Skip to content

Sword of Coming 529

บทที่ 529 ปัจจุบันและอนาคตของแจกันสมบัติทวีป

หร่วนฉงที่หายตัวไปนานมาก ในที่สุดก็กลับคืนสู่บ้านของตัวเองเสียที เขาไปที่เพิงริมลำคลองหลงซวีมาก่อนรอบหนึ่ง ได้พบกับสวีเสี่ยวเฉียวลูกศิษย์ของตัวเอง จากนั้นก่อนจะไปยังภูเขาเสินซิ่วซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งของสำนักกระบี่หลงเฉวียน ก็ได้จัดการจับพวกภูตของจวนตระกูลเซียนภูเขาใหญ่ทางฝั่งตะวันตกที่พึ่งพาสำนักซึ่งไม่ยอมรักษากฎโยนออกไปนอกอาณาเขต แล้วหร่วนฉงถึงได้กลับไปยังภูเขาบ้านของตน ลูกศิษย์สิบสองคนที่รับมาตามหลังพวกต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียวได้ถูกศิษย์พี่รองอย่างต่งกู่เรียกให้มารวมตัวกัน แล้วให้พวกเขาออกกระบี่แสดงวรยุทธ หร่วนฉงมีสีหน้าไร้อารมณ์ตั้งแต่ ต้นจนจบ แล้วก็ไม่ได้ชี้แนะเวทกระบี่ที่เป็นรูปธรรมอะไรให้แก่ลูกศิษย์ที่ได้รับ การบันทึกชื่อกลุ่มนี้ เขานั่งอยู่บนม้านั่ง พอรับชมเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นไปหลอมกระบี่ต่อ ทำเอาพวกลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งเดิมทีเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมพากันกระวนกระวายไม่เป็นสุข

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ชอบสวมชุดสีเขียวผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัว

แต่ศิษย์พี่สี่เซี่ยหลิงกลับอยู่ด้วย เขาถอนหายใจหนึ่งที แล้วจึงกลับไปฝึกตนที่เรือนของตัวเองต่ออีกครั้ง

พอหร่วนฉงปรากฏตัวก็มีคนทยอยกันมาเยือนสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างไม่ขาดสาย ด้วยหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากจวนตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อแห่งนี้

มีทั้งทายาทอายุน้อยที่ตระกูลผู้สูงศักดิ์ของต้าหลีคุ้มกันพามาส่ง แล้วก็มีเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เดินทางมาเพียงลำพัง และยังมีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนที่หวังว่าจะได้กลายมาเป็นผู้ถวายงานหรือไม่ก็เค่อชิงบนภูเขา

ปลาและมังกรปะปนกัน

นี่ทำให้ลูกศิษย์ใหญ่ในนามของหร่วนฉงอย่างต่งกู่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจไม่น้อย

ต่งกู่ทั้งต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เหล่าเด็กรุ่นหลังร่วมสำนักทั้งสิบสองคนที่ชื่อยังไม่ได้รับการบันทึกลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ แล้วยังต้องดูแลเรื่องน้อยใหญ่ทั้งบนและล่างสำนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่คนทั้ง สิบสองฝึกตนอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว พรสวรรค์และสติปัญญามีสูงต่ำเท่าไร ต่างฝ่ายต่างก็พอจะรู้กันอยู่ในใจแล้ว และนิสัยใจคอของ แต่ละคนก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมา บางคนคิดว่าพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่ของตน สู้คนอื่นไม่ได้ก็เลยเบนความสนใจไปในเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น บางคนก้มหน้าก้มตามานะฝึกฝน แต่กลับยังไม่ได้ผล เวทกระบี่พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า บางคนเวลาอยู่บนภูเขานอบน้อมถ่อมตน ทว่าลงจากภูเขากลับชอบโอ้อวดลำพองตนในฐานะ ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ และยังมีตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ขอบเขตพัฒนาไปไกล พันลี้ได้ในวันเดียว นำโด่งทิ้งห่างจากคนรุ่นเดียวกันไปไกลที่ได้มาขอความรู้เรื่อง วิชากระบี่ชั้นสูงของศาลลมหิมะจากต่งกู่เป็นการส่วนตัว

ส่วนพรรคตระกูลเซียนที่สร้างจวนอยู่บนภูเขาใหญ่แถบทิศตะวันตกทั้งหลายก็มักจะพากันแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนภูเขาเสินซิ่วเป็นประจำ แน่นอนว่าก็ยังต้องให้ ต่งกู่ออกหน้าไปสานความสัมพันธ์ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายและเวลาอย่างยิ่ง หร่วนซิ่วศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้แน่นอน ศิษย์น้องสวีเสี่ยวเฉียว ก็มีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบเรื่องงานเลี้ยงหรือการเข้าสังคมมาตั้งแต่เกิด เซี่ยหลิงก็ยิ่ง ไม่ยินดีจะปั้นหน้ายิ้มพูดจาดีๆ กับใคร

หากไม่เป็นเพราะสำนักกระบี่หลงเฉวียนไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจในเรื่องของเงินทอง ต่งกู่ก็นึกอยากจะเปลี่ยนใจกลับคำ เป็นฝ่ายเปิดปากขอร้องหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์เรื่องการเปิดภูเขา จากนั้นก็จะได้ปิดด่านฝึกตนอย่างมีเหตุผลชอบธรรม ภายในร้อยปีต้องกลายเป็นก่อกำเนิด นี่ก็คือกฎข้อหนึ่งที่ต่งกู่ตั้งให้กับตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่เหมือนกับสวีเสี่ยวเฉียวที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ของศาลลมหิมะมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าต่งกู่จะเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาในทำเนียบของสำนัก กระบี่หลงเฉวียน แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อันที่จริงนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์อย่างมาก

หร่วนฉงไม่ถือสา ทว่าต่งกู่รู้สึกละอายใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นต่งกู่จึงคิดถึงวิธีการที่โง่เขลาที่สุด ในเมื่อไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ขอบเขตมาชดเชย

ส่วนเซี่ยหลิงผู้เป็นศิษย์น้องนั้น สามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตขึ้นมา ได้แล้ว ตอนนี้กำลังบำรุงด้วยความอบอุ่น ไม่เพียงเท่านี้ บรรพบุรุษสกุลเซี่ย หรือก็คือเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีปที่เผยบารมีของหนึ่งคนที่สามารถสยบหนึ่งทวีปผู้นั้น ได้ทยอยมอบสมบัติหนักบนภูเขาสองชิ้นให้กับหลานชายแห่งตรอกเถาเย่ผู้นี้ ชิ้นหนึ่งเป็นของที่เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปคนหนึ่งทิ้งไว้ซึ่งมอบให้เซี่ยหลิงนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต มีนามว่า ‘ใบท้อ’ นั่นคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เซียนกระบี่ ท่านนั้นทิ้งไว้หลังดับสิ้นจากโลกนี้ไป แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซี่ยหลิง แต่หากสามารถหลอมมันให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ อานุภาพของสมบัติที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้จะมีมากน้อยเท่าไร ไม่ต้องคิดก็พอจะจินตนาการได้แล้ว

และยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกลูกหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘จันทร์เต็มดวง’ ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด

ต่งกู่รู้ดีอยู่แก่ใจตัวเองว่า ในสายตาของศิษย์น้องเซี่ยหลิงไม่มีศิษย์พี่อย่างเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่ได้บอกว่าเซี่ยหลิงอาศัยที่พึ่งของตระกูลตนเองจึงมองไม่เห็นหัวใคร หยิ่งยโสโอหัง ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เวลาอยู่กับเขาต่งกู่ เซี่ยหลิงไม่เคยมีท่าที ไม่เคารพ และยิ่งไม่เคยนึกดูแคลนในตัวตนของต่งกู่ เวลาปกติขอแค่เป็นเรื่องที่ เซี่ยหลิงสามารถช่วยได้ เขาล้วนไม่เคยบอกปัด ช่วงเวลาสำคัญในการฝึกตนบางช่วงหลังจากที่ต่งกู่เลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทอง เซี่ยหลิงก็ยิ่งเป็นฝ่ายเสนอตัวเป็น ผู้ถ่ายทอดวิชากระบี่ให้เด็กรุ่นหลัง ไม่อาจหาข้อตำหนิใดๆ จากตัวเจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยผู้นี้ได้เลย

เพียงแต่ว่าเป็นเพราะฐานกระดูกและโชควาสนาของเซี่ยหลิงดีเกินไป บนภูเขา ในสายตาของเขามีเพียงหร่วนซิ่ว ล่างภูเขา เซี่ยหลิงก็จับจ้องแค่คนหนุ่มสาวเพียง หยิบมือซึ่งมีหม่าขู่เสวียนรวมเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น

มาถึงขอบเขตอย่างต่งกู่และเซี่ยหลิงนี้ การกินอาหารบนภูเขา แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ธัญพืชทั้งห้าที่ปะปนกันส่งเดชอีกต่อไป ส่วนใหญ่ล้วนต้องเป็นอาหารที่ปรุงตามตำราอาหารซึ่งสำนักโอสถหนึ่งในเมธีร้อยสำนักเรียบเรียงขึ้นอย่างตั้งใจ หนึ่งวัน กินสามมื้อ อันที่จริงนี่สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างมาก

เพียงแต่ว่ากิจการของสำนักกระบี่หลงเฉวียนนั้นยิ่งใหญ่ ทว่าลูกศิษย์มีน้อย อีกทั้งหร่วนฉงยังเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี ทุกปีล้วนสามารถได้รับเงินเดือนของเซียนซือก้อนใหญ่มาจากทางราชสำนักของต้าหลี ส่วนต่งกู่นั้น เนื่องจากเป็นขอบเขตโอสถทอง ในอดีตยังเคยเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้ว หนึ่งรอบ ไม่ได้ลงมือทำอะไรมากมาย แต่กลับได้คุณความชอบที่ไม่เล็กมาก้อนหนึ่ง หลังจบเรื่องจึงได้ป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาเป็นผู้มอบให้หนึ่งแผ่น ตอนนี้ยังได้แขวนชื่ออยู่ในหน่วยจานกานของต้าหลี ดังนั้นเขาเองก็มีเงินเดือนจากทางการ ก้อนใหญ่ที่จำนวนน่าตะลึงอยู่เช่นกัน

วันนี้หร่วนฉงออกจากห้องเตาหลอม ลงมือทำอาหารด้วยตัวเองหนึ่งโต๊ะ แล้วเรียกต่งกู่มาเพียงลำพัง

ต่งกู่ที่ได้เห็นอาหารบ้านๆ บนโต๊ะตัวนั้นก็รู้ทันทีว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ต้องมาด้วย

แล้วก็จริงดังคาด เพียงไม่นานหร่วนซิ่วก็เดินเข้ามาในห้อง นางเดินไปตักข้าวของตัวเอง แล้วนั่งลงข้างกายหร่วนฉง ส่วนต่งกู่แน่นอนว่าต้องนั่งหันหลังให้กับประตูห้อง ตรงข้ามกับอาจารย์อย่างหร่วนฉง

“ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”

หร่วนฉงคีบเนื้อตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งให้กับบุตรสาวอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็พูดกับต่งกู่ว่า “ได้ยินมาว่าอู๋ยวนที่เดิมทีเป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองถูกย้ายให้ไปอยู่จังหวัดใหม่แล้ว?”

ต่งกู่รีบวางตะเกียบลง แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หลังจากที่เขตปกครอง หลงเฉวียนเลื่อนขั้นเป็นจังหวัดหลงโจว ลูกศิษย์ของราชครูผู้นี้ก็ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็น ผู้ว่าจังหวัดหลงโจวตามลำดับขั้นตอน แต่ถูกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเดิม เป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองแถวบริเวณใกล้เคียงกับตีนเขาของขุนเขากลางแห่งใหม่ต้าหลีที่ตั้งอยู่บนอาณาเขตราชวงศ์จูอิ๋งเดิม อยู่ทางใต้ของสำนักศึกษากวานหูแห่งนั้น”

ทุกคนต่างก็เดากันออกว่าปีนั้นราชครูได้ฝากความหวังกับอู๋ยวนไว้มาก หวังให้เขามาบุกเบิกถิ่นฐานที่นี่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกสี่แซ่สิบตระกูลของเมืองเล็กร่วมมือกันผลักไสจนหมดสง่าราศี ถูกตอกกลับจนหน้าหงายอยู่หลายครั้ง แม้จะบอกว่าอำเภอได้เลื่อนเป็นเขตการปกครอง แต่ในใจใต้เท้าราชครูกลับไม่พอใจอยู่นานแล้ว ดังนั้นการที่เขตการปกครองได้เลื่อนเป็นจังหวัดในครั้งนี้ อันที่จริงอู๋ยวนที่ไม่มี คุณความดีก็มีคุณความเหนื่อยยากจึงถูกย้ายไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองให้รับตำแหน่งที่มองดูเหมือนเท่าเดิม แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการลดตำแหน่งให้ต่ำกว่าเดิม

เขตการปกครองหลงเฉวียนเลื่อนเป็นจังหวัดหลงโจว อาณาบริเวณกว้างใหญ่ ภายใต้การปกครองก็มีเขตอยู่สี่แห่งอย่างชิงสือ เป่าซี ซานเจียงและเซียงฮว่อ

เมืองเล็กยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอำเภอไหวหวง

ตอนนี้นายอำเภอหยวนก็ได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองชิงสือ ส่วนผู้ตรวจการเฉาของหน่วยตรวจการเตาเผามังกรก็ยังคงดำรงเป็นขุนนาง ตำแหน่งเดิม เพียงแต่ว่าทางฝั่งกรมพิธีการได้แอบเปลี่ยนระดับขั้นของขุนนางผู้ตรวจการท่านนี้ให้เท่าเทียมกับเจ้าเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง ดังนั้น คนหนุ่มของสองสกุลผู้เป็นเสาค้ำยันแคว้น อันที่จริงจึงถือว่าต่างก็ได้เลื่อนขั้นแล้ว เพียงแต่ว่าคนหนึ่งอยู่ในมุมสว่าง คนหนึ่งชื่อเสียงไม่โดดเด่นก็เท่านั้น

ผู้ว่าจังหวัดหลงโจวคือคนต่างถิ่นที่อยู่ในวงการขุนนางต้าหลีคนหนึ่ง มาจาก แคว้นใต้อาณัติอย่างแคว้นหวงถิง มีนามว่าเว่ยหลี่ มีชาติกำเนิดที่ยากจน ตอนอยู่ในแคว้นหวงถิง ตำแหน่งขุนนางก็เป็นแค่เจ้าเมืองเขตเล็กๆ ระดับสี่ชั้นเอกเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่าพอมาอยู่ต้าหลีดันได้เป็นขุนนางใหญ่สมชื่อสมตำแหน่ง นี่ทำให้ราชสำนักของต้าหลีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ภายหลังจึงมีข่าวลือเล็กๆ แพร่มาจากเมืองหลวง ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่เจ้ากรมขุนนางของต้าหลีเลือกตัวมาเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครคัดค้าน การกระทำแหกกฎที่เลื่อนขุนนางของแคว้นใต้อาณัติให้เป็นขุนนางคนสำคัญประจำท้องที่ของต้าหลีไม่สอดคล้องกับหลักพิธีการหรือ? ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ยังไม่ตรัสอะไร ทางฝั่งกรมพิธีการก็ไม่มีใครหาเรื่อง หากมีใครกล้ากระโดดออกมา คงคิดว่า เจ้ากรมผู้เฒ่ากวนกินหญ้าจริงๆ สินะ? ขุนนางของต้าหลีที่สู้กับราชครูชุยด้วยเหตุผลแล้วยังเถียงได้ชนะนั้น มีไม่กี่คนหรอก

นอกจากการเปลี่ยนแปลงในวงการขุนนางแล้ว เทพอภิบาลเมืองของอำเภอ เขตการปกครองและจังหวัดต่างก็มีการกำหนดจำนวนเอาไว้แล้ว เทพอภิบาลเมืองสองท่านของอำเภอและเขตการปกครองคือวิญญาณวีรบุรุษในท้องถิ่นที่จังหวัดใหญ่ใกล้เคียงสองจังหวัดเป็นผู้แนะนำมา แม้จะบอกว่าในบันทึกของฝั่งกรมพิธีการต้าหลีได้มีรายชื่อของพวกเขารอเสียบแทนตำแหน่งว่างขององค์เทพประจำศาลบุ๋น ศาลเทพอภิบาลเมืองและภูเขาแม่น้ำของแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปก็ไม่มีทางเอาตำแหน่งที่ดีเกินไปมามอบให้พวกเขาได้ ครั้งนี้อยู่ดีๆ ได้กลายเป็นเทพอภิบาลเมืองภายใต้การปกครองของจังหวัดหลงโจวจึงถือว่าเป็นงานดีดั่งชิ้นเนื้อติดมันที่ทำให้คนอิจฉา

ในฐานะเทพอภิบาลเมืองคนแรกของจังหวัดหลงโจวซึ่งตำแหน่งเทพสูงที่สุด การปรากฏตัวของเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ก็ทำให้วงการขุนนางต้าหลีเกิด ความครึกโครมไม่น้อยเช่นกัน ขุนนางสำคัญที่อยู่ศูนย์กลางหลายคนต่างก็ได้เห็น เรื่องตลกของเฉาหยวนสองแซ่เสาหลักของแคว้น

เพราะเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดไม่ใช่คนที่สองแซ่ใหญ่เป็นผู้แนะนำ แต่เป็นเทพแห่งผืนเดินเล็กๆ ของศาลเล็กบนภูเขาแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาหมั่นโถวซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดตัดระหว่างสองแม่น้ำอย่างซิ่วฮวาและชงตั้น

หร่วนฉงเอ่ยเนิบช้า “อู๋ยวนออกไปจากแผ่นดินของต้าหลี อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป”

ต่งกู่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวงในของราชสำนักต้าหลี จึงไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช

แต่การจากไปของอู๋ยวน ทำให้ต่งกู่รู้สึกเสียดายไม่น้อย เพราะเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้รู้จักวางตัวยิ่งนัก วิธีการที่เขาใช้คบค้าสมาคมกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ทำให้ต่งกู่รู้สึกชื่นชมอย่างยิ่ง

ยังดีที่เจ้าเมืองของเขตเป่าซีที่มีนามว่าฟู่อวี้นั้น คือขุนนางผู้ช่วยที่ในอดีตติดตามอู๋ยวนเข้ามายังอำเภอของเมืองเล็ก มีชาติกำเนิดจากเลขาธิการฝ่ายบุ๋น จนกระทั่งคนผู้นี้ เดินจากเบื้องหลังมายังเบื้องหน้า เพื่อนร่วมงานหลายคนที่เคยร่วมงานกันมาหลายปีถึงได้ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า แท้จริงแล้วเจ้าเมืองฟู่ผู้นี้เป็นถึงทายาทคนโตของสกุลฟู่ตระกูลชนชั้นสูงของต้าหลี และตระกูลฟู่ก็คือตระกูลผู้สูงศักดิ์นอกเหนือจากสองแซ่เสาค้ำยันแคว้น

หลังจากที่ฟู่อวี้ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองเป่าซี เพียงไม่นานก็มาเยี่ยมเยือนสำนักกระบี่หลงเฉวียน เขาพูดคุยกับต่งกู่อย่างถูกคอ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ ไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่ง

หร่วนฉงเอ่ย “วันหน้าเจ้าก็ไม่ต้องมาดูแลเรื่องการต้อนรับขับสู้ของภูเขาเรา อีกแล้ว เรื่องแบบนี้ขอแค่เจ้าไม่ปัดทิ้งก็มีแต่จะต้องยุ่งวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นไปชั่วชีวิต แล้วจะยังฝึกตนได้อย่างไร? ต้นทุนในการหยัดยืนของสำนักกระบี่หลงเฉวียน ไม่ใช่ว่าจะให้ใครมาทำก็ได้”

หร่วนฉงมองต่งกู่แวบหนึ่ง ฝ่ายหลังมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ คงจะเข้าใจผิดคิดว่า ตนไม่พอใจลูกศิษย์ใหญ่อย่างเขากระมัง

หร่วนฉงจึงคลี่ยิ้มอย่างหาได้ยาก “ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ไม่ได้จะให้เจ้ามาเป็นนักการทำงานจุกจิก การฝึกตนแบ่งออกเป็นบนภูเขาและล่างภูเขา ตอนนี้เจ้าเองก็ถือว่าเป็นหน่วยจานกานครึ่งตัวแล้ว ทุกครั้งที่เจอกับคอขวดเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้ ก็อย่ามัวเสียเวลาอยู่บนภูเขา ฉวยโอกาสนี้ออกไปฝึกประสบการณ์เสียเถอะ เวลาปกติก็หมั่นเขียนจดหมายไปมาหาสู่กับทางกรมอาญาต้าหลีบ่อยๆ ตอนนี้วิถีทางโลกของแจกันสมบัติทวีปวุ่นวาย เมื่อเจ้าลงจากภูเขาไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพาลูกศิษย์ สองสามคนกลับมาด้วยกันได้ คราวหน้าเจ้าก็บอกกับทางฝั่งของกรมอาญาว่า เจ้าจะไปยังอาณาเขตของภูเขากานโจวก่อน ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ควรจะผูกสัมพันธ์กับทางฝั่งศาลลมหิมะเอาไว้บ้าง”

ต่งกู่รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เขาพยักหน้ารับ

สำหรับอาจารย์ท่านนี้ ในใจเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

ถ้อยคำไม่กี่คำของอาจารย์ ทั้งช่วยให้เขาลดแรงกดดดัน ทั้งยังมีความหมายที่ลึกซึ้งของการถ่ายทอดมรรคา สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นี่เท่ากับเป็นการบอกให้ รู้ว่าตนได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนศาลลมหิมะแล้ว

จู่ๆ หร่วนฉงก็หยิบตะเกียบขึ้นมาปัดตะเกียบของบุตรสาวที่ยื่นไปหมายจะคีบ เนื้อตุ๋นน้ำแดงชิ้นสุดท้าย “เหลือไว้ให้ต่งกู่”

เวลานี้หร่วนซิ่วเติมข้าวไปไม่รู้กี่ถ้วยแล้ว

ต่งกู่ไม่กล้าหัวเราะ

หร่วนฉงพูดกับต่งกู่ว่า “เจ้ารู้สึกว่าลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อทั้งสิบสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

ต่งกู่จึงไล่อธิบายถึงพรสวรรค์และข้อดีข้อเสียของนิสัยคนทั้งสิบสอง

หร่วนฉงหันไปมองบุตรสาวของตน

หร่วนซิ่วเพิ่งจะคีบอาหารขึ้นมาคำใหญ่ นางรีบเขย่าตะเกียบเบาๆ อาหารที่คีบติดอยู่จึงลดจำนวนน้อยลง

หร่วนฉงมองจานอาหารที่เหลืออาหารแทบจะติดก้นจานแล้ว จึงผลักจานใบนั้นไปไว้ตรงหน้านางเสียเลย

หรวนซิ่วยิ้ม ถามว่า “ท่านพ่อ เหตุใดวันนี้ถึงไม่ดื่มเหล้าล่ะ?”

หร่วนฉงส่ายหน้า แล้วพลันเอ่ยว่า “วันหน้าเจ้าไปสร้างกระท่อมฝึกตนที่ ภูเขาหลงจี๋ (สันหลังมังกร) ก็จำไว้ว่าอย่าไปมีเรื่องกับผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่แล้วกัน นอกจากนี้ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องประหลาดอะไรก็ไม่ต้องตกอกตกใจ พ่อรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ

หร่วนฉงถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของต้าหลีขึ้นมาอีก

สำหนักกระบี่หรงเฉวียนจะได้รับรายงานภูเขาแม่น้ำที่เป็นความจริงที่สุดของแจกันสมบัติทวีป นี่เป็นสิ่งที่ทางราชสำนักต้าหลีกำหนดด้วยตัวเอง จึงจะมีรายงานข่าวถูกส่งมาที่ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาเสินซิ่วเขตการปกครองหลงเฉวียนตามเวลาที่กำหนด

อยู่ดีๆ หร่วนฉงก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อันที่จริงลูกศิษย์ที่ข้าต้องการรับไว้มากที่สุดใน ปีนั้น ก็คือหลิวเสี้ยนหยาง”

ต่งกู่เคยได้ยินเรื่องของคนผู้นี้มาก่อน

เขาคือเพื่อนรักของเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง

เกือบจะต้องตายด้วยน้ำมือของวานรเฒ่าย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง

ด้วยเหตุนี้ทั้งหลิวเสี้ยนหยางและเฉินผิงอันจึงต่างก็ถือว่าได้ผูกปมแค้นกับ ภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นครลมเย็นแล้ว

แรกเริ่มที่สกุลสวี่ขายทอดจวนตระกูลเซียนที่สร้างขึ้นเรียบร้อยแล้วให้กับ ราชสำนักต้าหลี ไยจะไม่มีสาเหตุมาจากความกริ่งเกรงในตัวเฉินผิงอันรวมอยู่ด้วย ภายหลังสกุลสวี่นครลมเย็นก็ขับเรือตามกระแสลมอีกครั้ง มีการกระทำที่เป็นดั่งการล้อมคอกเมื่อวัวหาย ด้วยการให้บุตรสาวทายาทสายตรงออกเดินทางไกลไปแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาคนหนึ่งของสกุลหยวนเสาหลักแคว้น แล้วยังออกทั้งเงินออกทั้งแรง ช่วยให้ลูกหลานสกุลหยวนผู้นั้นได้มีอำนาจควบคุมกองทัพม้าเหล็กชายแดนกองหนึ่ง

เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครคิดได้ว่าเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นั้นจะสามารถ เดินมาทีละก้าวจนมีวันนี้ได้

หร่วนฉงและต่งกู่แค่กินอาหารไม่กี่คำพอเป็นพิธีเท่านั้น

จากนั้นสองอาจารย์และศิษย์ก็ไปเดินเล่นด้วยกัน

ต่งกู่เอ่ยเสียงเบาว่า “เทพภูเขาเว่ยจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกครั้งหนึ่งแล้ว ร้านที่ร้านผ้าห่อบุญทิ้งไว้บนท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็เปิดกิจการอีกครั้ง ของที่เอาออกมาขายล้วนเป็นของขวัญกราบภูเขาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้ฝึกตนของสถานที่ต่างๆ นำมา มอบให้”

หร่วนฉงยิ้มกล่าว “ดูท่าภูเขาลั่วพั่วจะขาดเงินอย่างมาก”

เมื่อเทียบกับต่งกู่ที่เป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว หร่วนฉงไม่เพียงแต่เป็นขอบเขตหยกดิบ ยังเป็นอริยะผู้เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงมองได้ไกลกว่าและทะลุ ปรุโปร่งยิ่งกว่า

การฝ่าทะลุขอบเขตของเว่ยป้อในครั้งนี้ถือเป็นการฝ่าด่านที่ไม่มีคอขวด หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ คอขวดที่เว่ยป้อจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ถูกคนทลายทิ้งไป นานแล้ว อีกทั้งยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมและลึกลับอำพราง หร่วนฉงเองก็เพิ่งจะได้ข้อสรุปนี้หลังจากที่ต้องสังเกตการณ์มาเนิ่นนาน สิ่งที่เว่ยป้อแสวงหาคือขอบเขต หยกดิบที่แค่เอื้อมมือก็คว้ามาครองได้ อีกทั้งยังเป็นขอบเขตที่ไร้ข้อบกพร่องใดๆ ไม่ใช่ว่าจะสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้หรือไม่

ดังนั้นดาบไม้ไผ่ที่คนผู้นั้นจ้วงแทงไปตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน เรียกได้ว่าแม่นยำมาก

ในใจหร่วนฉงกลัดกลุ้มไม่น้อย

เซียนกระบี่ใหญ่ในความหมายทั่วไป เวทกระบี่ของพวกเขาสูงหรือต่ำ ปณิธานกระบี่มากหรือน้อย อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ขอบเขตด้อยกว่ากันเล็กน้อยยังพอจะมองเห็นระยะห่างคร่าวๆ ได้อย่างถูไถ

ทว่าการออกกระบี่บางครั้งของคนบางคนกลับจำเป็นต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมองออกว่าจริงๆ แล้วพวกเขาออกแรงไปมากเท่าไร

พละกำลังมหาศาล แต่กลับไม่เด่นชัด

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว บางทีกระบี่อาจต้องร่วงลงบนใจคนเสียก่อน ถึงจะมองเห็นทักษะ

หร่วนฉงหวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง สำนักกระบี่หลงเฉวียนจะมีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ปรากฏตัว ต่อให้ช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

เพียงไม่นานต่งกู่ก็บอกลาจากไป

หร่วนฉงทอดสายตามองไปยังทิศไกล

อาณาเขตของขุนเขาเหนือ ในฐานะที่เป็นสถานที่มังกรลุกผงาดของต้าหลี เทพแห่งขุนเขาเหนืออย่างเว่ยป้อนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถคานอำนาจกับเขาได้ ไม่ได้อยู่ที่ขุนเขากลาง แต่อยู่ที่ขุนเขาใต้ คือเทพภูเขาที่เป็นสตรีท่านหนึ่ง

ขุนเขากลางของต้าหลีในทุกวันนี้ก็คือขุนเขากลางเก่าของราชวงศ์จูอิ๋ง องค์เทพขุนเขาก็เป็นองค์เดิม เรียกได้ว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย เพราะขุนเขากลางของ หนึ่งราชวงศ์กลับได้กลายเป็นขุนเขากลางของทวีปอย่างแจกันสมบัติทวีป

จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ ผู้ฝึกกระบี่สวี่รั่ว ตอนนี้ยังเฝ้าพิทักษ์อยู่บนขุนเขา เป็นเพื่อนบ้านกับองค์เทพแห่งขุนเขากลางท่านนั้น

ส่วนหร่วนฉงนั้นทำหน้าที่จับตามองภูเขากานโจวซึ่งเป็นขุนเขาตะวันตกแห่งใหม่ เนื่องจากอยู่ห่างจากศาลลมหิมะไม่ไกลเท่าไร บวกกับภูเขากานโจวไม่เคยอยู่ใน อันดับของห้าขุนเขาประจำราชวงศ์ใดๆ มาก่อน ดังนั้นการเดินทางไปเยือนครั้งนี้ของหร่วนฉงจึงผ่อนคลายที่สุด อาจารย์หลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแจกันสมบัติทวีปท่านนี้จึงถือโอกาสไปพบปะพูดคุยเรื่องในวันวานกับเหล่าผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องในศาลลมหิมะ อันที่จริงนี่ก็คือคุณความชอบของการช่วยประคับประคองมังกรที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลีตั้งใจมอบให้แก่สำนักกระบี่หลงเฉวียน

เมื่อเปรียบเทียบกับคลื่นใต้น้ำและปราณสังหารที่ซ่อนอยู่รอบทิศทางของฝ่าย สวี่รั่วแล้ว หร่วนฉงตัวเบาเพราะไร้ภาระงาน หันกลับมามองทางฝั่งของภูเขาอี้ซานขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่ของต้าหลี ผู้ถวายงานลำดับต้นส่วนใหญ่ของต้าหลีล้วนเป็นเซียนดินอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด ลำพังเพียงแค่ช่วงเวลาที่ต้าหลีจัดงานพิธีใหญ่แต่งตั้งห้าขุนเขาก็มีการเข่นฆ่าสังหารที่โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุดเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนของแคว้นต่างๆ พากันกรูมาจากสี่ด้านแปดทิศ พยายามที่จะบุกสังหารขึ้นไปบนภูเขา หมายสังหารทูตของต้าหลี

สุดท้ายแม้แต่หนังสือแต่งตั้งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ใช้ ‘โคลนทองเชือกเงิน ผนึกด้วยหยกลัญจกร’ ก็ยังเกือบจะถูกผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตคนหนึ่งซัดจนแหลกเป็นผุยผง หลังจากโจมตีให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นถอยร่นไปได้แล้ว ผู้ถวายงานของต้าหลีเองก็มีทั้งที่บาดเจ็บและล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก

ภายหลังตอนที่รองเจ้ากรมฝ่ายขวาของกรมพิธีการต้าหลีออกไปลาดตระเวนแทนจักรพรรดิ ก็เกิดสถานการณ์ล้อมสังหารที่วางกับดักหลุมพรางไว้อย่างชัดเจน ยังคงมี ผู้ฝึกตนที่แคว้นล่มสลายจำนวนมากพากันกรูเข้ามาในสถานการณ์ กระโจนเข้าสู่ ความตายอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณในรัศมีพันลี้รอบภูเขาอี้ซานขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่วุ่นวายอย่างถึงที่สุด ภายหลังก็มีการจลาจลจากผู้ฝึกตนที่กระจัดกระจายอีกบางส่วน ทว่าในที่สุดภูเขาอี้ซานก็สามารถข้ามผ่านอุปสรรค กลายมาเป็นขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่ของต้าหลีได้สำเร็จ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาแห่งนี้ก็คือเทพองค์เดิมของหนึ่งในห้าขุนเขาของต้าหลี

เรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าการแต่งตั้งห้าขุนเขา ยังคงเป็นเรื่องการเลือกสถานที่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเพื่อสร้างเมืองหลวงแห่งที่สอง ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มลงมือดำเนิน การแล้ว

พื้นที่ศักดินาที่ซ่งจี๋ซินต้องไปประจำอยู่ก็คือนครมังกรเฒ่า รอให้เมืองหลวงแห่งที่สองสร้างเสร็จ ซ่งจี๋ซินที่ชื่อในทำเนียบของฝ่ายพลเรือนในพระองค์คือซ่งมู่ก็จะได้ปกครองเมืองหลวงแห่งที่สองอยู่ไกลๆ

หนึ่งในสถานที่ตั้งที่เป็นตัวเลือก ก็คือเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์จูอิ๋ง ข้อดีก็คือ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังของแคว้นไปมากนัก แต่ข้อเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คืออยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหูมากเกินไป ส่วนที่เป็นข้อห้ามของทางราชสำนักซึ่ง ถูกเก็บไว้เป็นความลับ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะมีคนบางคนไม่หวังให้อ๋องเจ้าเมือง คนใหม่อย่างซ่งจี๋ซินอาศัยการประสานรับกันระหว่างเมืองหลวงแห่งที่สองกับ นครมังกรเฒ่ามาควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปไปครอง

แต่ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกที่ตั้งเป็นที่ใด ราชสำนักต้าหลียังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด

ในฐานะผู้ถวายงานอันดับต้นของต้าหลี หร่วนฉงสามารถให้ข้อเสนอแนะได้ และฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของสกุลซ่งต้าหลีก็ต้องยินดีรับฟังอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า หร่วนฉงเลือกจะเงียบเฉยก็เท่านั้น

หร่วนซิ่วมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายหร่วนฉง

หร่วนฉงที่ครั้งนี้ออกจากภูเขาแล้วได้ไปเยือนศาลลมหิมะมารอบหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังเด็ก เหล่าผู้อาวุโสในศาลลมหิมะต่างก็รู้สึกว่าวิถีทางโลก ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ขอแค่ตั้งใจฝึกตนให้ดีก็พอ ดังนั้นเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราจึงมีความคิดที่ไม่ค่อยต่างไปจากพวกเขาสักเท่าไร ตอนนี้คนแก่ทุกคนต่างก็กำลังทอดถอนใจ ไม่อาจมองออกได้เลยว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ อีกแค่ไม่กี่สิบปี ให้หลัง แจกันสมบัติทวีปจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไรกันแน่ ซิ่วซิ่ว เจ้าว่านี่เป็น เรื่องดีหรือว่าเรื่องร้ายกันเล่า?”

หร่วนซิ่วคิดแล้วก็ตอบไม่ตรงคำถาม “สำนักกระบี่หลงเฉวียนขาดพื้นที่มงคล ถ้ำสวรรค์ที่เป็นของตัวเองไปแห่งหนึ่ง”

สีหน้าของหร่วนฉงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ก่อนจะใช้วิชาอภินิหารของ อริยะร่ายฟ้าดินขนาดเล็กมาสกัดกั้นโลกภายนอก “มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก หน้าผาหินแท่นสังหารมังกรของภูเขาหลงจี๋ในตอนนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยแบ่งให้กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเรา กับศาลลมหิมะ และภูเขาเจินอู่ แต่เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า แท่นสังหารมังกรที่ศาลลมหิมะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลและขุดหา แท้จริงแล้ว กลับแทบจะกลายเป็นเพียงเปลือกที่กลวงโบ๋แล้ว พ่อแสร้งทำเป็นมอง ไม่เห็นมาโดยตลอด ดังนั้นครั้งนี้ที่ไปเยี่ยมเยียนบรรพจารย์ของศาลลมหิมะจึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา บรรพจารย์บอกกับข้าแค่ว่าไม่ต้องไปสนใจ เท่ากับเป็นการยอมรับเรื่องที่แท่นสังหารมังกรหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยปริยาย ดังนั้นตอนที่เจ้าไปฝึกตนอยู่ที่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้เช่นกัน”

“เรื่องที่สอง ก็คือพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่เจ้าพูดถึง อันที่จริงสามารถไปทำการค้ากับทางร้านตระกูลหยางได้ เพราะมีแบบสำเร็จรูปอยู่แล้ว แต่คาดว่าราคาคงสูงจนเกินกว่าจะยอมรับได้ ทว่าอันที่จริงเรื่องราคาก็ยังพูดได้ง่าย อย่างมากก็แค่ต้องติดหนี้ไว้เท่านั้น”

พูดมาถึงตรงนี้ หร่วนฉงก็ชำเลืองตามองบุตรสาว พูดอย่างเป็นกังวลว่า “พ่อแค่ไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน”

จะไปว่าแล้วก็ยังคงเป็นเพราะไม่อยากให้หร่วนซิ่วเข้าสู่วังวนของสถานการณ์นี้เร็วเกินไป

ทุกอย่างที่หร่วนฉงทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นออกจากศาลลมหิมะ ใช้การที่ตบะถูกลดทอนมาเป็นค่าตอบแทนสำหรับการเข้ารับหน้าที่อริยะผู้พิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู จากนั้นก็สร้างภูเขาของตัวเอง ถูกสกุลซ่งต้าหลีเชื้อเชิญให้ไปรับตำแหน่งผู้ถวายงาน ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเพื่อบุตรสาวทั้งสิ้น

หร่วนซิ่วกลับเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ไม่เป็นไร นิสัยของหยางเหล่าโถว ท่านพ่อเข้าใจด้วยหรือ?”

หร่วนฉงยิ้มเอ่ย “พ่อไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ นั่นแหละ”

นอกจากฉีจิ้งชุนแล้ว ในประวัติศาสตร์ของถ้ำสวรรค์หลีจูมีอริยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักมากมายขนาดนั้นที่เคยมาเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ แต่เกรงว่าคงไม่มีใครกล้า พูดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของผู้เฒ่าคนนั้น

หร่วนฉงก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น

หร่วนซิ่วทอดสายตามองไปทางเมืองเล็ก นางควักผ้าเช็ดหน้าออกมา หยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “ง่ายมาก ใครที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า ใครที่มีความหวังว่า จะเดินไปได้สูงยิ่งกว่า หยางเหล่าโถวก็ลงเดิมพันก้อนใหญ่กับตัวคนผู้นั้น ข้ารู้สึกว่า ข้าเองก็ไม่ถือว่าแย่ ดังนั้นท่านพ่อสามารถลองดูได้ ส่วนค่าตอบแทนจะเป็นอะไร ไม่สู้พูดกับผู้อาวุโสท่านนั้นไปตามตรงเลย ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสำเร็จรูป ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน สำนักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเราก็ต้องการ ส่วนวันหน้าจะต้องให้ข้า หร่วนซิ่วทำอะไร ก็ต้องดูที่อารมณ์ของหร่วนซิ่ว”

หร่วนฉงกล่าวอย่างกังขา “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี สาเหตุคงเป็นเพราะขนมรสชาติไม่เลว อารมณ์ของนางจึง ไม่เลวตามไปด้วย นางปัดมือ เอ่ยว่า “ลองดูก่อนสิ”

หร่วนฉงลังเลอยู่เล็กน้อย “จะให้พูดคุยกันแบบนี้จริงๆ หรือ?”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ

นางเตรียมจะยื่นมือออกไป

หร่วนฉงกลับร่ายวิชาอภินิหารของอริยะ มาปรากฏตัวอยู่ที่เรือนด้านหลังของ ร้านตระกูลหยางอย่างเงียบเชียบแล้ว

หร่วนซิ่วถอนหายใจ ยังนึกอยู่ว่าอยากให้ท่านพ่อซื้อขนมกลับมาให้ด้วย

ไม่ถึงครึ่งก้านธูป หร่วนฉงที่มีสีหน้าปั้นยากก็กลับมาที่ภูเขาเสินซิ่วแห่งนี้ เขามองบุตรสาวของตนแล้วส่ายหน้า พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “หรือว่าจะมีเรื่องดีๆ เหมือนขนมเปี้ยะที่หล่นลงมาจากฟ้าอยู่จริงๆ?”

หากทำการค้ากับหยางเหล่าโถว มีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามั่นคงน่าเชื่อถือยิ่งกว่าคำสัญญาแห่งภูเขาแม่น้ำใดๆ เสียอีก นั่นก็คือคำพูดที่ หลุดออกมาจากปากของผู้อาวุโสท่านนี้ ล้วนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องกังขาใดๆ

หร่วนซิ่วชำเลืองตามองม่านฟ้า ในใจคิดว่าหากมีขนมร่วงลงมาก็ดีน่ะสิ

……

นครมังกรเฒ่าที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป หลังจากสองเรื่องใหญ่อย่างฝูหนันหัวแต่งงานกับบุตรสาวทายาทสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน และ เจ้านครต้องรับศึกประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าผ่านไป สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว นั่นก็เป็นแค่ช่วงที่เวลาที่ได้แค่พอพักหายใจหายคอเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นก็ต้องเจอกับเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่า

ซ่งมู่แห่งต้าหลี ในฐานะน้องชายร่วมมารดาของฮ่องเต้ต้าหลีองค์ปัจจุบัน ตอนนี้ได้กลายมาเป็นอ๋องเจ้าแคว้นที่มีอำนาจบารมีมากที่สุดคนหนึ่ง และพื้นที่ศักดินาที่เขาย้ายมาปกครองก็คือนครมังกรเฒ่า โอรสคนอื่นๆ ของอดีตฮ่องเต้ต่างก็ได้รับพื้นที่ ศักดินาและสมญานามเช่นกัน เพียงแต่ว่าล้วนเป็นอ๋องสามตัวอักษร ออกจาก เมืองหลวงไปยังพื้นที่ของแคว้นใหญ่แต่ละแห่งที่ล่มสลาย ปกครองที่ดินของตัวเอง แต่กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับซ่งมู่ที่เป็นอ๋องอักษรเดียวเคียงบ่าได้ (อ๋องอักษรเดียวเคียงบ่าก็คืออ๋องที่มีชื่อนำหน้าตัวเดียวซึ่งมีตำแหน่งที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับจักรพรรดิได้) ความมีหน้ามีตาถึงระดับนี้ มากพอจะทำให้คนตกใจตายได้

สำหรับคนนครมังกรเฒ่าที่มีชีวิตอิสระเสรีและเอ้อระเหยลอยชายกันมาจนชินแล้ว เดิมทีนี่ควรจะเป็นฝันร้ายอย่างหนึ่ง ทว่าตระกูลใหญ่ๆ หลายแห่งซึ่งรวมถึงตระกูลฝู ดูคล้ายจะมีการเจรจากับราชสำนักต้าหลีมาก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีการต่อต้านใดๆ กลับกันแต่ละฝ่ายที่อยู่บนอาณาเขตอันกว้างขวางแถบทางเหนือของนครมังกรเฒ่า และแถบทางใต้ของราชวงศ์จูอิ๋ง กลับพากันทำการค้าอย่างกระตือรือร้น อีกทั้ง เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ต่างคนต่างแบ่งพรรคแบ่งพวก ขีดเส้นอาณาเขตออกจากกันอย่างชัดเจน ตอนนี้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายในนครมังกรเฒ่าก็ได้เริ่มหันมาร่วมมือกัน ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฟ่านกับตระกูลซุนที่มีความสัมพันธ์แนบแน่น ไม่ว่าใครคิดจะทำการค้าหาเงินจากใครก็ได้ทั้งนั้น

ข้อที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวก็คือเส้นทางการค้าของตระกูลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าล้วนมีต้าหลีคอยช่วยเปิดเส้นทางให้ ขอเพียงได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัย ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หรือไม่ก็แคว้นใต้อาณัติ สกุลซ่งที่อยู่ระหว่างทางได้ทั้งหมด

ดังนั้นเมื่อตระกูลฝูยอมยกพื้นที่เมืองชั้นในครึ่งหนึ่งของนครมังกรเฒ่าให้เป็นที่ตั้งจวนอ๋องของซ่งมู่ จึงไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว

แต่ในฐานะจุดศูนย์กลางที่สำคัญของทวีป ช่วงแรกเริ่มกิจการของนครมังกรเฒ่าย่อมได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้ฝึกลมปราณจำนวนไม่น้อยที่เห็นนครมังกรเฒ่าเป็นรังเงินรังทองดั่งดินแดนสุขาวดีนอกโลกได้พากันจากไปเงียบๆ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงแล้วประเมินสถานการณ์ แต่เมื่อสำนักใบถงและ สำนักกุยหยกของทวีปใหญ่ทางทิศใต้พากันแสดงท่าที การค้าของนครมังกรเฒ่า ก็พุ่งกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ถึงขั้นที่ว่าเฟื่องฟูยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซ่งมู่เข้ามาพักอยู่ในนครมังกรเฒ่าแล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ผู้ฝึกตนหลายคนจึงพากันกลับเข้ามาเสวยสุขอยู่ในเมืองอีกครั้ง

วันนี้คนหนุ่มที่ถอดชุดคลุมหม่างของอ๋องเจ้าแคว้นออกเรียบร้อยได้เดินออก จากจวน พาสาวใช้ไปเยือนร้านยาเก่าโทรมแห่งหนึ่งที่อยู่เมืองชั้นนอก

ไม่มีผู้ติดตามใดๆ เพราะว่าไม่จำเป็น

ในชายแขนเสื้อของคนหนุ่มมีงูสี่ขาที่บนหัวมีเขางอกตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่

แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าประมุขตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าก็เท่ากับว่าเป็น ผู้ถวายงานส่วนตัวของเขาแล้ว

ร้านยาที่ปิดร้านมานานหลายปีเพิ่งจะเปิดร้านทำการค้าใหม่อีกครั้ง เถ้าแก่ก็คือ ผู้เฒ่าคนหนึ่ง และยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ด รูปลักษณ์ภายนอกหล่อเหลาจนเกินจริง ข้างกายมีเด็กน้อยที่ลักษณะเหมือนคนทึ่มคนหนึ่ง หน้าตางดงามผิวขาวปากแดงเหมือนกัน ทว่าสายตากลับเลื่อนลอย พูดไม่เป็น น่าเสียดายนัก

ซ่งจี๋ซินเดินเข้ามาในตรอก อากาศในฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็น จื้อกุยสาวใช้ที่อยู่ ข้างกายยิ่งนานวันความงามก็ยิ่งเจิดจรัส

เมื่อสองนายบ่าวก้าวข้ามผ่านธรณีประตูร้านยาเข้ามา เถ้าแก่ผู้เฒ่าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้มานาน จึงไม่รู้สถานะของคุณชายหนุ่มคนนี้ เถ้าแก่ยิ้มถามว่า “มาซื้อยาหรือ? ลูกค้าเชิญเลือกได้ตามสบาย ราคาล้วนเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว”

ซ่งจี๋ซินขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองผู้เฒ่าแวบหนึ่ง แล้วจึงเริ่มหันไปเลือกยาสมุนไพร

ส่วนจื้อกุยก็ไปยกม้านั่งของร้านมานั่งที่หน้าประตู

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม หนุ่มสาวสองคนนี้ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ

ตอนนี้เขาไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินแล้ว อยู่ในแจกันสมบัติทวีปก็กล้าเดินกร่าง แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ตัวเขาเองต้องอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มชุดขาวด้วย

เถ้าแก่ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือ เฉินเสี่ยวหย่งเซียนหลิวหลีที่ไม่อาจทำตามแผนการที่วางไว้ในแคว้นไฉ่อีได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับตราประทับเทียนซือเทพอภิบาลเมืองที่ เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองจินเฉิงเก็บซ่อนไว้ไปได้ แถมยังเกือบจะต้องกายดับ มรรคาสลาย แม้แต่ถ้วยหลิวหลีใบนั้นก็ยังเกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่ โชคดีที่ใต้เท้าราชครูและศาลาคลื่นมรกตต่างก็ไม่ได้ถือสาในข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ของเขา และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ ราชครูใหญ่ชุยเป็นบุคคลบนยอดเขาที่ปณิธานอยู่กับการฮุบกลืน แผ่นดินของหนึ่งทวีป ไหนเลยจะมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับผลได้ผลเสียของหนึ่งคน หนึ่งเวลาหนึ่งสถานที่

แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวหาที่ซ่อนตัวของเขาพบ เซียนหลิวหลีก็ยังคงถูกหลอกอย่างน่าอนาถอยู่ดี น่าอนาถมากแค่ไหน ก็อนาถถึงขั้นที่ว่าถูกอีกฝ่ายวางแผนเล่นงานไปเสียทุกด้าน ตอนนี้เขารู้แค่ว่า ‘เด็กหนุ่ม’ แซ่ชุยผู้นี้ก็คือผู้รับผิดชอบของสายลับเดนตายทั้งหมดที่อยู่ทางทิศใต้ของต้าหลี

ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของซ่งจี๋ซินแผ่กระเพื่อม พอได้รับประโยคนั้นแล้ว ก็เริ่มเดินไปทางเรือนด้านหลัง

เพิ่งจะเลิกผ้าม่านขึ้น เซียนหลิวหลีก็รีบเอ่ยว่า “ลูกค้า ด้านหลังเข้าไปไม่ได้นะ”

ซ่งจี๋ซินจึงยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อซ่งมู่”

เซียนหลิวหลีคิดแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เชิญนายท่านตามสบาย”

ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปทางหน้าประตู “ไม่ไปด้วยหรือ?”

จื้อกุยหันหน้ามายิ้มให้ “อย่าดีกว่า”

ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้นางกลัวคนแค่สามคน คนหนึ่งตายไปแล้ว อีกคนหนึ่ง ไม่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ ครึ่งหนึ่งของคนสุดท้ายก็อยู่ในเรือนด้านหลังนั่น

ซ่งจี๋ซินจึงเดินไปยังเรือนด้านหลังเพียงลำพัง เขาเดินไปทางห้องหลักที่ประตูใหญ่เปิดอ้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเนิบช้า ก่อนจะเดินเข้าไปก็จัดระเบียบชุดของตัวเองให้เรียบร้อย

เขาซ่งจี๋ซินสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ มาจากการตัดสินใจร่วมกันของคนผู้นั้นที่อยู่ในห้อง กับซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเขา

ส่วนมารดาและ ‘พี่ชาย’ ที่เป็นฮ่องเต้คนนั้น คงจะไม่ถือสาหากชื่อของเขา จะถูกบันทึกแล้วก็ลบออกจากทำเนียบของฝ่ายพลเรือนในพระองค์อีกครั้ง

เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป

เด็กหนุ่มชุดขาวดูราวกับกำลังทำให้ห้องโถงของเรือนหลักแห่งนี้กลายมาเป็น ห้องหนังสือ บนโต๊ะแปดเซียนกาง ‘ภาพขี่ม้าเลียบสะพานริมหน้าผาในค่ำคืนหิมะตก’ เป็นเพียงเค้าโครงขาวดำ ทว่ากลับมีท่วงทำนองและภาพบรรยากาศสมจริง สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานจากฝีมือเทพ

และเขายังเปิดนิยายในยุทธภพของร้านหนังสือส่วนตัวที่จัดพิมพ์อย่างหยาบๆ ไว้เล่มหนึ่ง ใช้ที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์รูปสัตว์ตัวน้อยทับเอาไว้ บนหน้าหนังสือมี อักษรสีแดงเขียนคำอธิบายไว้หลายจุด

ซ่งจี๋ซินประสานมือคารวะ “ซ่งมู่คารวะท่านราชครู”

ชุยตงซานฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ สองขาเกี่ยวพันไว้ด้วยกัน ท่วงท่าเกียจคร้าน เขาหันหน้ามามองซ่งจี๋ซินแล้วยิ้มกล่าวว่า “จากลาที่เมืองเล็กนานหลายปี ในที่สุด ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้ว”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หากไม่เป็นเพราะท่านราชครูมีเมตตา ซ่งจี๋ซิน ก็ไม่มีโอกาสได้กลายเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าหลี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้รับตำแหน่งอ๋องมาอยู่พื้นที่ศักดินาอย่างนครมังกรเฒ่าเลย”

ชุยตงซานเอ่ยด้วยถ้อยคำที่ราวกับว่าหากไม่ทำให้คนตกใจจะไม่ยอมเลิกรา “ปีนั้นอันที่จริงฉีจิ้งชุนได้มอบสิ่งของไว้ให้กับทั้งเจ้าและจ้าวเหยา จ้าวเหยาน่ะ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด จึงต้องทำการค้ากับข้าครั้งหนึ่ง เขายอมตัดใจสละตราประทับตัวอักษรชุนชิ้นนั้น ผลได้ผลเสียของเรื่องครานั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ส่วนเจ้า ฉีจิ้งชุนมอบตำราเหล่านั้นไว้ให้ เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจ คร้านจะเปิดอ่าน อันที่จริงฉีจิ้งชุนล้วนทิ้งความรู้ความเข้าใจของตัวเองที่ได้จาก ลัทธิขงจื๊อและสำนักนิติธรรมไว้ให้เจ้าในตำราเหล่านั้น ขอแค่เจ้ามีความจริงใจมากพอก็ย่อมมองเห็น

ฉีจิ้งชุนไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ความหวังที่เขามีต่อเจ้า ไม่น้อยเลย ภายนอกขงจื๊อภายในนิติธรรม เป็นสิ่งที่ใครควรเรียนรู้? หากเจ้าได้ความรู้เหล่านั้นไปครอง บางทีท่านอาของเจ้าและข้าอาจทำให้มังกรบนชุดของเจ้ามีเล็บเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเล็บก็เป็นได้”

สีหน้าของซ่งจี๋ซินยังคงเป็นปกติ

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “สภาพจิตใจดีกว่าจ้าวเหยาอยู่มาก ก็ไม่แปลกที่ปีนั้น จ้าวเหยาเลื่อมใสเจ้ามาตลอด เวลาเล่นหมากล้อมก็ยิ่งสู้เจ้าไม่ได้”

ชุยตงซานชี้ไปที่ม้านั่งตัวหนึ่ง

ซ่งจี๋ซินจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว

ชุยตงซานยังคงนอนฟุบตัวบนโต๊ะตลอดเวลา ยิ้มเอ่ยราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “ซ่งอวี้จางตายไปไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ วิธีการสร้างสะพานแบบคานของอดีตฮ่องเต้สกปรกต่ำช้า เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีลูกหลานมังกรของสกุลซ่งต้าหลีตายไปมากขนาดนั้น ทว่าขุนนางผู้ตรวจการอย่างซ่งอวี้จางกลับไม่เพียงแต่ไม่หยุด เมื่อพอสมควร รีบขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเจ้า ใช้ชีวิตบั้นปลายของตัวเองอยู่ในกรมพิธีการไปให้ดี กลับเห็นองค์ชายอย่างเจ้าเป็นบุตรชายนอกสมรสของตัวเอง หากแบบนี้ยังไม่เรียกว่ารนหาที่ตาย แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ารนหาที่ตายได้อีก?”

แก้มของซ่งจี๋ซินขยับเล็กน้อย น่าจะเกิดจากการกัดฟันเบาๆ

ชุยตงซานหัวเราะร่า จุ๊ปากพูด “เจ้าซ่งจี๋ซินใจใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะได้นั่งหรือไม่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายตาของเจ้ามองไปไกลยิ่งกว่านั้น ทว่าจิตใจของเจ้า ก็คับแคบเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจปล่อยวางซ่งอวี้จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วลูกเล็กๆ ได้”

มือทั้งสองของซ่งจี๋ซินกำหมัดแน่น เงียบงันไม่เอ่ยคำใด

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หม่าขู่เสวียนตอแยสาวใช้ของเจ้าไม่ยอมเลิกรา ทำให้เจ้า ไม่สบอารมณ์มากเลยใช่ไหม?”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าจื้อกุยไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็น เรื่องที่ชวนให้คนสะอิดสะเอียน ดังนั้นรอวันใดที่สถานการณ์ในใต้หล้าอนุญาตให้ข้าสังหารหม่าขู่เสวียนได้แล้ว ข้าจะต้องลงมือฆ่าเจ้าเศษสวะตรอกซิ่งฮวาผู้นี้กับ มือตัวเอง”

ชุยตงซานโบกมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เศษสวะ? อย่าได้พูดจาวางโตไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ลูกหลานสกุลซ่งต้าหลีอย่างเจ้า ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเชื้อพระวงศ์ ผู้สูงศักดิ์ต่างหาก ถึงจะเป็นเศษสวะในสายตาของหม่าขู่เสวียน แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาเจินอู่จะต้องปกป้องหม่าขู่เสวียนอย่างสุดชีวิต นอกจากนี้ความเร็วในการฝึกตนของหม่าขู่เสวียนก็อยู่ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณทั้งทวีปตลอดมา ดังนั้นคำว่าสถานการณ์ที่เจ้าพูดถึงนี้ บางทียิ่งถ่วงเวลาล่าช้าเท่าไร เจ้าก็ไม่มีโอกาสมากเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “ประกายเฉียบมคมเกินไป เดินไปบนทางสุดโต่งย่อมเกิดเหตุพลิกผัน ในเมื่อข้าเป็นอ๋องเจ้าเมืองของโลกมนุษย์ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยต่อสู้เอาชีวิตกับเขา การฆ่าคนบนโลกใบนี้ นอกจากหมัดแล้ว ยังมีวิธีอีกมาก”

หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนติด ครั้งหนึ่งคือค่อยๆ วางแผนทีละก้าวปั่นหัวอีกฝ่าย อีกครั้งหนึ่งก็แทบจะเรียกได้ว่าเดิมพัน ด้วยชีวิต เลือกที่จะใช้สมบัติก้นกรุที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุดของตนมาสั่นสะเทือนคู่ต่อสู้

พรสวรรค์ในการฝึกตนที่หม่าขู่เสวียนแสดงออกมาท่ามกลางการเข่นฆ่าทั้ง สองครั้ง พอจะทำให้มองเห็นได้เลือนๆ ว่าเขาจะกลายมาเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งด้านการฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปอย่างสมศักดิ์ศรี

ก่อนหน้าหม่าขู่เสวียน ลูกรักแห่งสวรรค์บนภูเขาที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือหลี่ถวนจิ่งแห่ง สวนลมฟ้า อีกคนหนึ่งคือเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ

หากไม่เป็นเพราะถูกความรักพันธนาการ บนภูเขาก็มีคำกล่าวหนึ่งที่สืบทอดกันมา เนิ่นนานว่า หากหลี่ถวนจิ่งสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบได้เมื่อไหร่ เขาก็จะมีโอกาสได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน หรือแม้กระทั่งขอบเขตบินทะยาน! ถึงเวลานั้นสำนักโองการเทพย่อมไม่มีทางกำราบสวนลมฟ้าได้อยู่ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาตะวันเที่ยงเลย ดังนั้นบุญคุณความแค้นในปีนั้นของหลี่ถวนจิ่ง แท้จริงแล้ว มีเรื่องวงในซับซ้อนมากมาย ย่อมไม่ใช่แค่การดึงภูเขาตะวันเที่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเมื่อหลี่ถวนจิ่งลาจากโลกนี้ไป ความจริงเหล่านี้ ก็ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านหายไป ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ภูเขาตะวันเที่ยงที่ถูกหลี่ถวนจิ่งหนึ่งคนหนึ่งกระบี่สยบกำราบมานาน ในที่สุดก็ได้ ลืมตาอ้าปาก เริ่มหันกลับมาเป็นฝ่ายข่มทับสวนลมฟ้าได้บ้างแล้ว หากไม่เป็นเพราะหวงเหอเจ้าสวนคนใหม่เริ่มปิดด่าน ทำให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายต้องรอเขาออก จากด่าน มีเพียงหลิวป้าเฉียวคนหนึ่งที่ต้องคอยประคับประคองสวนลมฟ้าไว้ อย่างยากลำบาก เหล่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าทั้งหลายที่ถูกภูเขาตะวันเที่ยงทำให้อัดอั้น มานานจนไฟโทสะสุมเต็มท้องก็คงหันมาท้าประลองกระบี่กับสวนลมฟ้าครั้งแล้ว ครั้งเล่าไปแล้ว

ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ จมสู่ภวังค์ของความคิด

ซ่งจี๋ซินไม่ได้มีท่าทางร้อนใจใดๆ

เขาไม่เคยรู้สึกว่าได้เป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีแล้วจะมีคุณสมบัติมายืดอกเชิดหน้าต่อหน้าคนผู้นี้ และในความเป็นจริงแล้วต่อให้เปลี่ยนชุด นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ก็คงจะเหมือนกัน

ชุยตงซานมองไปนอกห้อง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “นกที่ถือกำเนิดอยู่ในกรง ย่อมนึกว่าการกางปีกบินเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง”

“ไก่จิกอาหารอยู่บนพื้น มีเงาของเหยี่ยวบินผ่านมาบนท้องฟ้า ก็จะเริ่มเป็นกังวลว่าข้าวเปลือกจะถูกแย่งไป”

ซ่งจี๋ซินขบคิดความหมายที่ลึกซึ้งของสองประโยคนี้อย่างละเอียด

ชุยตงซานถอนหายใจ “ไม่พูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนี้แล้ว ครั้งนี้ที่เดินทางมา นอกจากเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว ยังมีธุระอีกอย่างหนึ่งที่อยากบอกกับเจ้า อ๋องเจ้าเมืองอย่างเจ้าจะเอาแต่อยู่ในนครมังกรเฒ่าตลอดไปไม่ได้ หลังจากนี้ ศึกใหญ่ครั้งที่สองของต้าหลีพวกเรากำลังจะเปิดฉากอย่างแท้จริงแล้ว เจ้าไปที่ราชวงศ์จูอิ๋ง รับผิดชอบดูแลเรื่องการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองด้วยตัวเอง แล้วก็ถือโอกาสนี้สานสัมพันธ์กับสำนักโม่ด้วย การศึกที่ใช้สงครามเลี้ยงสงคราม หากหยุดอยู่แค่ที่ การแย่งชิง จะไม่มีความหมายใดๆ เลย”

ซ่งจี๋ซินถามเสียงเบา “ขอถามท่านราชครู ครั้งที่สองที่ว่านี้คือ?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่มีความเสียหายที่สามารถซ่อมแซมและสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ล้วนถือเป็นการรนหาที่ตายเอง นี่ไม่ใช่วิถีทางที่ยาวนาน”

ซ่งจี๋ซินเป็นคนฉลาด เขาจึงพอจะเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในถ้อยคำของราชครูผู้นี้ได้

ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “เส้นทางการลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี การที่ทำลายทุกกฎเกณฑ์ ทุกระบบกฎหมายของราชวงศ์ทั้งหมดที่เคยมีมา ก็เป็นเพียงแค่สนามรบบนหลังม้าเท่านั้น หลังจากนี้ผู้ฝึกยุทธต้าหลีที่ต้องพลิกตัวลงจากหลังม้าควรจะ ป่าวประกาศกฎหมายของต้าหลีพวกเราออกไปอย่างไร ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ ในความสำคัญอีกที กฎหมายเป็นสิ่งไร้ชีวิต มันถูกวางอยู่ตรงนั้น

ดังนั้นกุญแจสำคัญจึงอยู่ที่ตัวคน ความดีเลวของกฎหมาย ครึ่งหนึ่งอยู่บนเอกสาร อีกครึ่งอยู่บนตัวคน ทางทิศเหนือควรทำอย่างไร ทางทิศใต้ควรทำอย่างไร ก็คือ การทดสอบครั้งแรกระหว่างอ๋องเจ้าเมืองอย่างเจ้ากับฮ่องเต้ อย่าได้เห็นพวกเสาคานหลักของแคว้นซึ่งรวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากวนของต้าหลีเป็นคนโง่ แต่ละคนต่างก็เบิกตากว้างมองดูพวกเจ้าสองคนอยู่ทั้งนั้น”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ขอบคุณท่านราชครูที่ชี้แนะ”

ชุยตงซานหัวเราะ “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่อดีตฮ่องเต้ตั้งใจจะให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้ ทว่าก่อนเขาจะตายกลับสั่งให้ท่านอาของเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทน? ยืนกรานจะทำให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความคิดจะมอบตำแหน่งให้น้องชายตัวเองให้ได้?”

สีหน้าของซ่งจี๋ซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ชุยตงซานกระตุกมุมปาก ยื่นนิ้วมาชี้หน้าซ่งจี๋ซิน “เมื่อก่อนเป็นอดีตฮ่องเต้และอ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง ตอนนี้คือซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ กับอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่”

ริมฝีปากของซ่งจี๋ซินขยับเบาๆ สีหน้าเริ่มซีดขาว

ชุยตงซานเอ่ย “เรื่องของการเป็นฮ่องเต้นี้ พ่อของเจ้าทำได้ดีมากแล้ว ส่วนเรื่องของการเป็นพ่อ ข้าว่าเขาเองก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ตั้งใจทุ่มเทเพื่อเจ้าจริงๆ ส่วนลึกในใจของเจ้าโกรธแค้นไทเฮา ในใจของฮ่องเต้องค์ใหม่ก็มีเหตุผลให้โกรธแค้นอดีตฮ่องเต้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ดังนั้นการที่เรื่องของซ่งอวี้จางกลายมาเป็นปมในใจของเจ้าจึงค่อนข้างจะน่าขันแล้ว ส่วนที่น่าขันไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกของเจ้า คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าจะไร้ความรู้สึกได้อย่างไร? ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก แต่ที่น่าขันก็คือเจ้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย เจ้านึกจริงๆ หรือว่าคนที่ฆ่าซ่งอวี้จางคือคนสุกลหลูที่เป็นผู้ลงมือ

คือท่านแม่เจ้าที่สั่งให้เอาหัวใส่กล่องไม้ส่งกลับมาที่เมืองหลวง? คืออดีตฮ่องเต้? ไม่ใช่เลยสักนิด แค่นี้ก็ยังคิดไม่เข้าใจหรือ? ยังกล้ามาพูดจาวางโตอยู่ที่นี่ว่าจะอาศัยสถานการณ์ใหญ่ไปสังหารหม่าขู่เสวียนที่เหมือนมีสวรรค์เข้าข้างอีกหรือ?”

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคำนับอีกครั้ง “คำสั่งสอนของท่านราชครู ซ่งจี๋ซินน้อมรับไว้แล้ว!”

ชุยตงซานเหล่ตามองเขา เอ่ยว่า “หนังสือเหล่านั้นที่ฉีจิ้งชุนมอบไว้ให้เจ้า ความรู้ที่เขาถ่ายทอดมาให้ มองภายนอกเหมือนเขาสอนให้เจ้าใช้ขงจื๊อกับภายนอกนิติธรรมกับภายใน แต่แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้ามกันเลย เพียงแค่ว่าเจ้าไม่มีโอกาสจะไปทำความเข้าใจมันให้ชัดเจนเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เขาไม่เอ่ยอะไร

ชุยตงซานโบกมือ

ซ่งจี๋ซินจึงลุกขึ้นยืนแล้วบอกลาจากไป

เดินออกจากตรอกไปพร้อมกับสาวใช้จื้อกุย

ชุยตงซานมานั่งอยู่บนธรณีประตูแล้วอ้าปากหาวหวอด

เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่ถูกเขาหิ้วให้มาร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างกายวิ่งเข้ามากลางเรือน ถามประจบว่า “ชุยเซียนซือ คนผู้นั้นคือซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีจริงๆ หรือ?”

ชุยตงซานกล่าว “เจ้าเด็กนั่นหลอกเจ้าเล่นแล้ว”

เซียนหลิวหลีมีสีหน้ากระอักกระอ่วน จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี? นี่ก็คือปัญหา

ชุยตงซานโบกมือ “ไปเป็นเถ้าแก่ของเจ้าต่อซะ”

เซียนหลิวหลีจึงรีบออกไปจากลานเรือน

ชุยตงซานเปลี่ยนท่าใหม่ เขาเอนตัวนอนอยู่บนธรณีประตูทั้งอย่างนั้น สองมือ รองต่างหมอน

เรื่องของเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีในปีนั้นเป็นเพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อย อย่างหนึ่งท่ามกลางแผนการมากมาย

มีเทพอภิบาลเมืองจินเฉิงที่ธาตุไฟเข้าแทรกเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นสาย ลากแคว้นไฉ่อีเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คือหนึ่งในแผนการเล็กๆ ที่แสดงออกภายนอก สิ่งที่เขากับ เจ้าตะพาบเฒ่าต้องการอย่างแท้จริงถูกเก็บซ่อนไว้มิดชิดยิ่งกว่านั้น เขาต้องการใช้วิธีการที่ละมุนละม่อมซึ่งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์และมหามรรคามาปล่อยเจ้าคน น่าสงสารที่ถูกยันต์เทียนซือสยบอยู่ในนครจักรพรรดิขาวมานานเป็นพันปีผู้นั้นไป ตอนนี้เขาน่าจะมีชื่อว่าหลิ่วชื่อเฉิง จำต้องสิงร่างของบัณฑิตคนหนึ่งชั่วคราว น้ำใจ ครั้งนี้ อีกฝ่ายไม่อยากจะชดใช้คืนก็ต้องใช้คืน ส่วนเมื่อไหร่ที่ควรจะชดใช้น้ำใจในครั้งนี้ก็ต้องดูที่ว่าชุยตงซานจะหาตัวเขาหลิ่วชื่อเฉิงเจอเมื่อไหร่

บนกระดานหมากล้อมของแจกันสมบัติทวีปกระดานนี้ ยังมีการวางหมากที่ ยอดเยี่ยมซึ่งไม่มีใครล่วงรู้เช่นนี้อยู่อีกมาก

แต่สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมอะไร ก็แค่ การวางเม็ดหมากธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งของแคว้นชิงหลวน หลิ่วชิงเฟิงและหลี่เป่าเจินที่ ตาเฒ่าถูกใจ และยังมีเว่ยเหลียงผู้นั้นอีกคน การกระทำของคนทั้งสามในพื้นที่ของหนึ่งแคว้นนั้น มีความหมายลึกซึ้งยาวไกล ถึงขั้นที่ว่าอิทธิพลที่จะมีในอนาคตอาจจะอยู่นอกเหนือจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปไปอีก เพียงแต่ว่าตอนนี้คนทั้งสามต่างก็ไม่รู้ตัว ถึงท้ายที่สุดคนที่จะเข้าใจความหมายของมัน อาจกลับกลายมาเป็น หลิ่วชิงเฟิงที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ได้

อยู่ในพื้นที่คับแคบ เวลาร้อยปีกว่า ทำเรื่องยิบย่อยมามากมายขนาดนั้น

บางครั้งชุยตงซานก็จะถามใจตัวเองว่าความหมายของมันอยู่ที่ไหน หากปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย ฟ้าดินกลับตาลปัตร จะเท่ากับว่า ใต้หล้าไพศาลได้รับบทเรียนมาเพียงพอแล้วหรือไม่ ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะยิ่งดีขึ้น อีกหรือไม่?

ชุยตงซานเบิกตากว้างมองทัศนียภาพเหนือศีรษะที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด

ไหลไปตามกระแส คือคนบนโลกส่วนใหญ่

หากฉลาดหน่อย เวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็ชอบเลือกเดินทางลัด ค้นหาวิธีง่ายๆ ที่ประหยัดแรงกายแรงใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แสวงหาในด้านความเร็ว ยิ่งถึงเป้าหมายเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี นี่ไม่มีอะไรผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วหากทำได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่า ไม่ง่ายแล้ว

เพียงแต่ว่าก็เหมือนอย่างที่อริยะปราชญ์กล่าวไว้ ชีวิตคนเหมือนโรงเตี๊ยม ข้าก็คือนักเดินทาง นี่จึงเป็นเหตุให้อริยะปราชญ์กล่าวไว้อีกว่า โลกใบนี้ยิ่งใหญ่งดงามและมหัศจรรย์ ทัศนียภาพที่แปลกใหม่มักจะอยู่ที่การเสี่ยงอันตรายและสถานที่ห่างไกลเสมอ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ไร้เงาผู้คน ดังนั้นหากไม่ใช่คนที่มีปณิธานก็ไม่อาจไป พานพบ

ชุยตงซานถอนหายใจ

ทุกเรื่องราวในโลกที่ผ่านการอนุมานไปตลอดทาง ดูเหมือนว่าถึงท้ายที่สุด ก็ล้วนกลายเป็นคำสองคำว่า ‘น่าเบื่อ’

หม่าขู่เสวียนที่ถูกลู่เฉินหยิบออกมาจากกระดานแล้ววางกลับลงไปอีกครั้ง

ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ

เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ของศาลลมหิมะ

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายของราชวงศ์จูอิ๋ง บนร่างแบกรับโชคชะตาบุ๋นบู๊แห่งแคว้นที่หลงเหลืออยู่

หลิวเสี้ยนหยางที่ถูกทำลายแล้วผงาดขึ้นมาใหม่ ฝึกกระบี่อยู่ในความฝัน

กู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่สันดานไม่เปลี่ยน แต่กลับเปลี่ยนมาเป็นฉลาดยิ่งกว่าเดิม เข้าใจการโคจรของกฎเกณฑ์มากกว่าเดิม ย่อมได้มีโอกาสกลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่แท้จริงที่ประสบผลสำเร็จได้ยิ่งกว่าหลิวเหล่าเฉิง

หลี่หลิ่วที่เกิดมาก็รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ร่วมครอบครองยุทธภพ

หร่วนซิ่ว

หวงเหอแห่งสวนลมฟ้า

หมากที่อำพรางไว้ซึ่งฉีเจินเป็นผู้บ่มเพาะอบรมด้วยตัวเอง และสำนักโองการเทพก็ให้การปกป้องอย่างดี

และยังมีคนหนุ่มสาวบางส่วนที่ยังไม่ลุกผงาดหรือไม่ก็ชื่อเสียงยังไม่โดดเด่น ล้วนอาจได้กลายมาเป็นเสาคานหลักท่ามกลางกระแสคลื่นของสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปในอนาคต

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง เขานั่งเหม่ออยู่อีกครู่หนึ่งก็ลุกไปนั่งฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ แปดเซียนต่อ

เส้นสายตาของเขากวาดมองไปบนนิยายยุทธภพที่เปิดอ้าไว้ เป็นหนังสือที่เขา เอาออกมาจากสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยในปีนั้น เวลาที่ชุยตงซานอยู่ว่างๆ ก็มักจะเอามาเปิดออกอ่านแล้วจดบันทึกลงไปสองสามประโยค

ตอนนี้หน้าหนังสือที่เปิดไว้ บนนั้นคนที่เขียนเขียนเอาไว้ว่า ‘ถือกระบี่จับอาภรณ์ กระโดดขึ้นบนหลังคา แผ่นกระเบื้องไร้เสียง แสงจันทร์กระจ่าง ไปมาประดุจนก โบยบิน’ แล้วก็มีลายมือที่เขียนด้วยหมึกสีแดงของคนที่เปิดอ่านอย่างเขาเขียนไว้ว่า ‘สมกับมีมาดของเซียนกระบี่อย่างแท้จริง’

ชุยตงซานยกที่ทับกระดาษออก แต้มน้ำลายลงบนปลายนิ้ว คีบหน้ากระดาษขึ้นมาพลิกเปิดเบาๆ แล้วก็พลิกกลับคืน ชำเลืองตามองตัวอักษรที่เขียนเพิ่มไว้ ไม่ลืมเอ่ยชมเชยตัวเองว่า “เขียนได้ดีๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น ตรงห้องด้านข้างมีเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ท่าทางมึนๆ งงๆ คนหนึ่งยืนอยู่

ชุยตงซานยิ้มตาหยีเดินอ้อมโต๊ะแปดเซียนออกไป ค้อมเอวลงลูบหัวของเจ้าตัวน้อย พูดด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณีว่า “เกาเฉิงน้อย เจ้าต้องรีบๆ โตนะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!