บทที่ 535 กู้ช่านยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น
ปีนี้นครอวิ๋นโหลว นครน้ำบ่อแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนได้ทยอยกันจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาของลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธสองครั้ง สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนไปมหาศาล เพราะว่าต้องเชื้อเชิญเทพเซียนบนภูเขาจากทั้งสองลัทธิมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่ใช่พวกเทพเซียนที่ดีแต่สร้างชื่อเสียงจอมปลอมด้วย
และสาเหตุยังเป็นเพราะสถานะของคนสองคนที่จัดงานไม่ธรรมดา โดยแบ่งออกเป็นหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่เปลี่ยนจากนักโทษของเกาะกงหลิ่วกลายมาเป็นผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้ง กับกวนอี้หรานแม่ทัพผู้เฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่อย่างนั้นคาดว่าราคาค่าจัดงานอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเพิ่มขึ้นจากนี้ไปอีกเป็นเท่าตัว การที่สามารถเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหล่านี้ลงจากเขามาได้ จำเป็นต้องใช้ควันธูปจำนวนมาก และยิ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย แน่นอนว่าทั้งสามารถสะสม บุญกุศลให้กับตัวเอง แล้วก็ยังได้ผูกมิตรกับหลิวจื้อเม่าและกวนอี้หราน ล้วนถือว่า เป็นเรื่องดี ดังนั้นเทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุสมณศักดิ์สูงทั้งหลายจึงตั้งใจกับการ ทำพิธีทั้งสองครั้งนี้มาก
ในระหว่างนี้มีเงาร่างไม่สะดุดตาของคนสามคนซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา แต่เกี่ยวกับเรื่องความสามารถในการคิดบัญชีของคนทั้งสามนี้ ขุนนางผู้ติดตามกองทัพที่อยู่ข้างกายกวนอี้หรานรู้สึกเลื่อมใสไม่น้อย
คนทั้งสามแบ่งออกเป็นชื่อกู้ช่าน เจิงเย่ หม่าตู่อี๋
งานพิธีกรรมทั้งสองครั้งปิดฉากลงได้อย่างราบรื่น ทุกคนต่างก็แซ่ซ้องว่าผู้ถวายงานหลิวและแม่ทัพกวนมีคุณธรรมเลิศล้ำหาที่เปรียบมิได้
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ หลังจากดื่มสุราเลี้ยงฉลองกับขุนนางภายใต้ บังคับบัญชาของแม่ทัพกวนแล้ว
เด็กหนุ่มร่างผอมสูงที่สวมชุดสีเขียวคนหนึ่งก็เดินกลับที่พักเพียงลำพัง ที่พักแห่งนั้นตั้งอยู่ในตรอกห่างไกลเงียบสงบแห่งหนึ่งของนครน้ำบ่อ เขาเช่าเรือนหลังเล็กไว้ที่นี่หนึ่งหลัง มีเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน กำลังชะเง้อคอมองมา พอเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มชุดเขียวก็ถอนหายใจโล่งอก เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็คือ เจิงเย่ คนโชคดีที่ถูกจางเย่ผู้ฝึกตนเฒ่าของเกาะชิงเสียช่วยออกมาจากหลุมเพลิง ภายหลังมาทำงานอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย ช่วงเวลานั้นเขาได้ช่วย นักบัญชีท่านหนึ่งเก็บกวาดเรือนที่พัก ภายหลังก็ออกเดินทางไปท่องภูเขาสายน้ำของหลายแคว้นด้วยกัน ใช้วิชานอกรีตคล้ายคลึงกับผีเข้าสิงร่างคนมาช่วยพัฒนาตบะของตัวเองให้รุดหน้า
หม่าตู่อี๋เองก็ยังไม่ได้นอนหลับ เดิมทีนางก็เป็นผีอยู่แล้ว การฝึกตนตอนกลางคืนจะช่วยให้เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว เวลานี้นางจุดตะเกียงดวงหนึ่งไว้บนโต๊ะ กำลังดีดลูกคิดคำนวณบัญชี งานพิธีกรรมทั้งสองครั้งใช้จ่ายเงินไปราวกับสายน้ำไหล ยังดีที่ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ชื่อว่าจูเหลี่ยนคนนั้นได้ทยอยส่งเงินฝนธัญพืชมาให้สองก้อน ครั้งหนึ่งเป็นจูเหลี่ยนที่เดินทางมาพบพวกเขาด้วยตัวเอง อีกฝ่ายมีใบหน้าประดับยิ้ม ท่าทางอ่อนโยนเป็นมิตร พูดคุยด้วยง่ายอย่างถึงที่สุด ครั้งที่สองไหว้วานคนหนุ่มที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งให้นำไปส่งที่นครอวิ๋นโหลว แล้วนำมามอบต่อให้พวกเขา สามคน
หม่าตู่อี๋สวมห่มยันต์หนังจิ้งจอกของสกุลสวี่นครลมเย็นแผ่นนั้น รูปโฉมจึงงดงามน่าหลงใหล
กู้ช่านยืนอยู่นอกประตู ปัดไปตามเสื้อผ้าเพื่อสลายกลิ่นสุราที่ติดกาย แล้วจึงเคาะประตูเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาในห้อง เขารินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหม่าตู่อี๋ ส่วนเจิงเย่นั้นนั่งอยู่บนม้านั่งระหว่างคนทั้งสอง
หม่าตู่อี๋พูดโดยไม่เงยหน้า “ขุนนางของจวนแม่ทัพไม่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองเหมือนพวกขุนนางประจำท้องถิ่นที่พวกเราพบเจอในปีนั้นเลย นอกจากใช้จ่าย เงินทองไปบางส่วนแล้วก็แทบจะไม่เคยเอาเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง”
กู้ช่านเอ่ยอย่างเฉยชา “ไม่ละโมบ? หนึ่งเพราะไม่มีความกล้านั้น ทำงานภายใต้เปลือกตาของแม่ทัพกวน ไม่กล้าไม่ตั้งใจ สองเพราะเส้นทางอนาคตถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องยาวไกล หากสละอนาคตที่รุ่งเรืองเพียงเพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่คุ้มกัน แน่นอนว่าต้องให้ได้เป็นขุนนางใหญ่เสียก่อนแล้วค่อยหาเงินก้อนใหญ่ใส่กระเป๋า หากไม่มีหัวคิดเสียบ้าง จะสามารถมาเป็นขุนนางผู้ช่วยแม่ทัพกวนได้อย่างไร แต่ในบรรดานี้ ก็มีขุนนางบุ๋นบางส่วนที่ไม่ได้ทำเพื่อเงินทองจริงๆ และวันหน้าพวกเขาก็จะยังคงเป็นเช่นนี้”
หม่าตู่อี๋ยืดแขนบิดขี้เกียจ กู้ช่านยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งไปให้
การกระทำเป็นธรรมชาติ อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ต่อให้เป็นหม่าตู่อี๋ก็ยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ ส่วนเจิงเย่นั้น ได้รับถ้วยน้ำชาที่กู้ช่านยื่นส่งไปให้นานแล้ว
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ลำบากทุกคนแล้ว”
หม่าตู่อี๋ดื่มน้ำชารวดเดียวหมด นวดคลึงข้อมือตัวเองแล้วพูดด้วยสีหน้าสดชื่น “ในที่สุดก็มีเวลาว่างไปเก็บตกของดีแล้ว! ต่อจากนี้ข้าจะไปท่องแคว้นต่างๆ รอบทะเลสาบซูเจี่ยนให้ทั่วเลย! แคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วก็ต้องไปด้วย!”
กู้ช่านเอ่ยเตือน “เดี๋ยวข้าจะนำป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนั้นมามอบให้เจ้า ท่องเที่ยวไปตามแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีเหล่านี้ เส้นทางคร่าวๆ ของเจ้าก็ให้พยายามอยู่ใกล้ๆ กับด่านเมืองใหญ่ที่มีกองทัพต้าหลีปักหลักอยู่ หากเจอกับปัญหาจะได้ไปขอความช่วยเหลือได้ แต่เวลาปกติ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเอาป้ายสงบสุขออกมาจะดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนของแคว้นที่ล่มสลายหลายแห่งมองเป็นศัตรู”
หม่าตู่อี๋กลอกตามองบน “จู้จี้จุกจิกอยู่ได้ ไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือไร? ข้าต้องให้เจ้ามาสอนหลักการตื้นเขินพวกนี้ด้วยหรือ? ข้าน่ะออกท่องยุทธภพกับท่านเฉินมานานกว่าเจ้าเสียอีก!”
กู้ช่านยิ้มบางๆ อย่างไม่ถือสา “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปพักผ่อนก่อน ร่วมงานเลี้ยงที่ต้องร่ำสุราแบบนี้เหนื่อยที่สุดเชียวล่ะ”
กู้ช่านออกจากห้องแห่งนี้ไปยังห้องหนังสือที่อยู่ด้านข้างของห้องหลัก บนโต๊ะวางอาวุธหนักวิถีผีที่ปีนั้นนักบัญชีเชื่อมาจากคลังสมบัติลับของเกาะชิงเสียอย่าง ตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ เอาไว้ และยังมีเรือนแก้วจำลองที่ปีนั้นอวี๋กุ้ยผู้ถวายงานเกาะชิงเสียขายให้กับนักบัญชี เมื่อเทียบกับคุกล่างชิ้นนั้น เรือนแก้วจำลองนี้มีแค่ ยี่สิบห้อง วัตถุหยินสิบเอ็ดตนในนั้น ตอนที่มีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง พอตายไปได้กลับกลายมาเป็นผีร้าย มีทิฐิยึดมั่นลึกล้ำอย่างถึงที่สุด ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้ยังมีเหลืออีกประมาณครึ่งหนึ่ง
กู้ช่านนั่งอยู่บนม้านั่ง สายตาจ้องนิ่งไปที่ตำหนักพญายมราชคุกล่าง จิตใจจมจ่อมอยู่ภายใน ดวงจิตของเขาเล็กเหมือนเมล็ดงา ประหนึ่งเกาะชิงเสียที่อยู่ในทะเลสาบ ซูเจี่ยน จิตวิญญาณของ ‘กู้ช่าน’ อยู่ในเรือนแก้ว พวกผีและวัตถุหยินที่ยินดีจากไปหลังพิธีกรรมทั้งสองครั้งมีสองร้อยกว่าตน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่คือวัตถุหยินที่ทยอยกันทำตามความปรารถนาได้สำเร็จแล้ว และก็มีบางส่วนที่ไม่ยึดติดกับชีวิตที่ผ่านมา หวังว่าจะได้ไปจุติเกิดใหม่ เปลี่ยนมามีวิธีอยู่รอดอย่างใหม่
แต่ก็ยังมีภูตผีวัตถุหยินที่เลือกจะอยู่ในคุกล่างแห่งนี้ คอยก่นด่าสาปแช่งตัวการร้ายอย่างเขาวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ในบรรดานั้นมีไม่น้อยที่แม้แต่นักบัญชีผู้นั้น ก็ยังสบถด่าสาปแช่งด้วยถ้อยคำอำมหิตรุนแรงไปพร้อมกันด้วย
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ กู้ช่านก็ยังคงทำตามข้อตกลงที่มีกับคนผู้นั้น ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ผีตนใดแหลกสลายกลายเป็นผุยผง กลับกันทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งยังต้องโยนเงินเทพเซียนเข้าไปในตำหนักพญายมราชคุกล่างและเรือนแก้วจำลองด้วย เพื่อให้พวกมันรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้ ไม่ต้องถึงขั้นตกต่ำกลายไปเป็นผีร้าย
กู้ช่านถอยออกมาจากคุกล่าง ย้ายดวงจิตเข้าไปในเรือนแก้วจำลอง ไล่เดินไป ทีละห้อง ภายในห้องเป็นสีดำสนิท มองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ มีเพียงยามที่ผีดุร้ายยืนอยู่ตรงหน้าประตูเท่านั้น กู้ช่านถึงจะสามารถมองประสานสายตากับพวกมันได้
เวลานี้ผีสตรีที่สวมชุดสีขาวหิมะตนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ห่างกันแค่หนึ่งฉื่อ แต่นางก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลงมือทำอะไร
เพราะก่อนหน้าที่เรือนแก้วจำลองจะถูกส่งมอบมาถึงมือของกู้ช่าน พวกมันเคยให้คำสัญญากับนักบัญชีที่เรือนกายผ่ายผอมราวกับโครงกระดูกเดินได้ผู้นั้นว่า ในอนาคตเมื่อกู้ช่านเข้ามาในเรือนแก้วจำลองแห่งนี้ หากคิดจะฆ่าคนเพื่อแก้แค้นย่อมไม่มีปัญหา แต่ต้องรับผลลัพธ์ที่ตามมาด้วยตัวเอง และโอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ปีนั้นวัตถุหยินสิบเอ็ดตนไม่มีใครเลือกที่จะลงมือ ตอนนี้มีสองตนในนั้นที่ต่างก็ได้สมใจปรารถนา เลือกจะไปจากโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ตนหนึ่งเรียกร้องให้กู้ช่านดูแลคนในตระกูลของเขาอย่างน้อยร้อยปี อีกทั้งยังต้องให้ทุกคนร่ำรวยมีเกียรติ ไม่ต้องประสบพบเจอกับหายนะใหญ่ กู้ช่านตอบตกลง อีกคนหนึ่งเรียกร้องให้กู้ช่าน มอบสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของนาง รับรองว่าลูกศิษย์ คนนั้นจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้พันธนาการการฝึกตนของ ลูกศิษย์ตน กู้ช่านไม่อาจมีจิตคิดร้ายใดๆ ต่อเขา กู้ช่านก็ตอบตกลงอีกเช่นกัน เพียงแต่บอกว่าสมบัติอาคมคงต้องติดไว้ก่อน ทว่าบนเส้นทางการฝึกตนของลูกศิษย์คนนั้นของนาง เขากู้ช่านสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ ได้
ยังมีอีกสามตนที่เลือกจะพึ่งพากู้ช่าน รับหน้าที่เป็นขุนพลผี เท่ากับว่าเป็นผู้ถวายงานปลายแถวบนภูเขาของกู้ช่าน เงินทองที่ต้องใช้บนเส้นทางการฝึกตนและเส้นทางการเลื่อนสถานะในอนาคตจะกำหนดโดยดูจากความเล็กใหญ่ของคุณความชอบ คนหนึ่งในนั้นก็คือผีผู้เฒ่าที่เคยออกจากเรือนแก้วจำลองมาช่วยหม่าตู่อี๋ดูของที่เก็บตกมาได้ ตอนนี้เขาไม่ค่อยมาฝึกตนในเรือนแก้วจำลองแล้ว แค่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลคลังสมบัติให้กับคนทั้งสาม
กู้ช่านถอนดวงจิตออกมาจากเรือนแก้ว หลับตาทำสมาธิ เหมือนหลับแต่ไม่ได้หลับ
ทางฝั่งของห้องแห่งนั้น หม่าตู่อี๋ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะกับเจิงเย่
หม่าตู่อี๋ยังคงวาดฝันถึงประสบการณ์การลงภูเขาหลังจากนี้พลางคิดคำนวณถึงทรัพย์สมบัติและคลังทองเล็กๆ ของตนในทุกวันนี้ไปด้วย
เจิงเย่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป แต่ก็ไม่เต็มใจจะลุกเดินจากไป
หม่าตู่อี๋กล่าวอย่างสงสัย “มีเรื่องหรือ?”
เจิงเย่ถาม “วันหน้าคิดจะทำอย่างไร?”
หม่าตู่อี๋อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “คิดจะทำอย่างไรอะไร?”
เจิงเย่ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งของเกาะจูไชจะย้ายไปอยู่บ้านเกิดของท่านเฉิน ข้าเองก็อยากไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนเหมือนกัน”
หม่าตู่อี๋ขมวดคิ้ว “ตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทะเลสาบซูเจี่ยนตอนนี้ ไม่เหมือนในอดีตที่เป็นตายไม่อาจตัดสินได้ด้วยตัวเอง ทะเลสาบซูเจี่ยน ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าลองดูสิ ผู้ฝึกตนอิสระมากมายขนาดนั้นล้วนกลายมาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเจินจิ้งแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาขอบเขตสูง ส่วนใหญ่ล้วนมีชาติกำเนิดมาจากเจ้าเกาะใหญ่ คนตัวเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงอย่างเจ้าเจิงเย่ไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเจ้ายินดีเอ่ยปาก ขอร้องให้กู้ช่านช่วยสานความสัมพันธ์ ปูเส้นทางให้เจ้าสักหน่อย ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันให้หลัง เจ้าเจิงเย่อาจจะได้เป็นผู้ฝึกตนผีของสำนักเจินจิ้งแล้วก็ได้ ต่อให้ไม่ไปพึ่งพาสำนักเจินจิ้ง เจ้าเจิงเย่แค่สงบใจตั้งใจฝึกตนก็ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจวนแม่ทัพนครน้ำบ่อ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า เจ้าเจิงเย่ที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงก็ถือว่าปลอดภัยมั่นคงอย่างมาก”
เจิงเย่ก้มหน้าลง “ข้ากลัวกู้ช่านมากจริงๆ”
หม่าตู่อี๋ด่าอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้านี่มันไม่ได้ความเอาเสียเลย!”
หลังจากที่เจิงเย่จากไป หม่าตู่อี๋ก็จมสู่ภวังค์ความคิด
ยิ่งนานวันกู้ช่านก็ยิ่งเหมือนนักบัญชีท่านนั้นแล้ว แต่หม่าตู่อี๋รู้ดีอยู่แก่ใจว่า เพียงแค่เหมือน แค่นี้เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นแท้จริงแล้วหม่าตู่อี๋ก็กลัวกู้ช่านเหมือนกัน
จวนแม่ทัพที่ตั้งอยู่ในตระกูลฟ่านนครน้ำบ่อ แม่ทัพใหญ่กวนอี้หรานยังจุดตะเกียงจัดการกิจธุระอยู่ในห้องหนังสือ เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น กวนอี้หรานก็ปิด รายงานลับฉบับหนึ่งลง แล้วเอ่ยว่า “เข้ามา”
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีนามว่าอวี๋ซานฝางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาอย่างผึ่งผาย นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วเรอออกมาเสียงดัง ก่อนจะยิ้มพูดว่า “ดื่มเหล้ามื้อนี้ เต็มคราบดีจริงๆ! เจ้าตะพาบน้อยแซ่กู้ผู้นั้น อายุไม่มาก แต่กลับ ดื่มเหล้าเก่งสมกับเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ความสามารถในการโน้มน้าวให้คนอื่นดื่ม ก็ยิ่งร้ายกาจ มารดามันเถอะ ข้ากับพี่น้องสองคนช่วยกันมอมเหล้าเขา ตอนแรก ตกลงกันไว้แล้วว่าจะต้องทำให้เจ้าเด็กนี่นอนกลิ้งอยู่ใต้โต๊ะให้ได้ คิดไม่ถึงว่าดื่มไป ดื่มมา พวกเราสามคนกลับเริ่มตีกันเองเสียก่อน โต๊ะใหญ่ๆ สองโต๊ะ คนเกือบยี่สิบคน สุดท้ายคนที่เดินออกมาได้มีแค่ข้าผู้อาวุโสกับเจ้าเด็กนั่นเท่านั้นเอง แถมเจ้าเด็กนั่น ยังช่วยแบกคนหลายคนกลับไปที่พักด้วย”
กวนอี้หรานเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นอย่างไร?”
อวี๋ซานฝางตอบ “เมื่อก่อนเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเกาะชิงเสียและเจ้าเด็กนี่ ข้าได้ยินมาจนหูแทบแฉะ แต่ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมานี้ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าลือเลย!”
กวนอี้หรานพยักหน้ารับ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
อวี๋ซานฝางเองก็คร้านจะคิดเล็กคิดน้อย บุรุษหยาบกระด้างที่อยู่บนหลังม้ามาตลอดชีวิตอย่างเขาไม่มีความคิดวกวนอ้อมค้อม ถึงอย่างไรก็มีสหายที่ร่วมเป็น ร่วมตายด้วยกันมาหลายปีอย่างกวนอี้หรานคอยช่วยแบกรับให้อยู่แล้ว ยังจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า
กวนอี้หรานถาม “อวี๋ซานฝาง ข้าคิดว่าจะขยับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกับ คนหนุ่มต่งสุ่ยจิ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนผู้นั้นอีกสักหน่อย เตรียมจะช่วยเขาสานสัมพันธ์กับตระกูลของข้า ขยายกิจการเล็กๆ บางอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย”
อวี๋ซานฝางเอ่ยอย่างอัดอั้น “เจ้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม? ข้าเป็นนักบัญชีกับใครเขาไม่ได้ แล้วก็เป็นหมาเฝ้าบ้านให้ใครไม่ได้ด้วย ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ อย่าบอกให้ข้าไปเป็นผู้ติดตามของเจ้าต่งสุ่ยจิ่งนั่นล่ะ ข้าผู้อาวุโสคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีตัวจริงเสียงจริง เสื้อเกราะเหล็กที่เป็นหลุมเป็นรูชิ้นนั้นก็คือเมียของข้า หากเจ้ากล้าสั่งให้ข้าปลดเสื้อเกราะเปลี่ยนไปเป็นเศรษฐีกับผายลมสุนัขอะไรนั่น เท่ากับว่าผูกปมแค้นแย่งชิงภรรยากับข้า ระวังเถอะข้าผู้อาวุโสจะเตะให้เจ้าตายเลย!”
กวนอี้หรานพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เส้นทางการทำเงินล่างภูเขา นับแต่โบราณมาการขนส่งทางน้ำก็คือเงินที่ไหลมาตามกระแสน้ำ แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็นบนภูเขาก็คือเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ราชวงศ์โลกมนุษย์ทั้งหมด ขอแค่ในแคว้นมีเส้นทางการขนส่งทางน้ำ ระดับตำแหน่งของขุนนางผู้ดูแลหลักส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ต่ำ แต่ละคน มีชื่อเสียงไม่โดดเด่น แต่ในมือกลับกุมอำนาจที่แท้จริง ตอนนี้ราชสำนักต้าหลีของ พวกเรากำลังจะก่อตั้งที่ว่าการแห่งใหม่เพื่อให้ดูแลเส้นทางการเดินเรือข้ามฟากและท่าเรือมากมายของหนึ่งทวีป ขุนนางหลักมีระดับขั้นต่ำกว่าเจ้ากรมการคลังแค่ ขั้นเดียว ตอนนี้ทางราชสำนักเริ่มมีการแย่งชิงตำแหน่งกันแล้ว ตระกูลกวนของข้าได้มาสามตำแหน่ง ข้าสามารถขอตำแหน่งที่ต่ำที่สุดนั้นมาได้ มันเป็นสิ่งที่ข้า สมควรได้รับ ทั้งในและนอกตระกูลต่างก็ไม่มีใครหาข้อตำหนิได้”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ กวนอี้หรานก็ถามว่า “อวี๋ซานฝาง ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าถอดเสื้อเกราะกลับคืนสู่มาตุภูมิ เพราะแบบนั้นมีแต่จะทำให้เจ้าอัดอั้นตาย ข้าจะไม่เข้าใจเจ้าได้อย่างไร? ข้าก็แค่อยากฉวยโอกาสนี้ส่งเจ้าไปยังที่ว่าการแห่งใหม่ วันหน้าเจ้าอยู่ในที่สว่าง ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ในที่มืด พวกเจ้าคอยช่วยเหลือประคับประคองกัน เจ้าเลื่อนขั้น เขาร่ำรวย วางใจเถอะ ล้วนเป็นงานสะอาด เจ้าก็ถือซะว่าคอยช่วยเหลือข้า เป็นอย่างไร?”
อวี๋ซานฝางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้อยากเป็นขุนนางอะไรนั่นสักหน่อย ช่างมันเถิด เจ้าเอาโอกาสนี้ไปมอบให้คนอื่นเถอะ”
กวนอี้หรานถาม “เจ้าอยากตายอยู่ในสนามรบจริงๆ หรือ?”
อวี๋ซานฝางแสยะปากยิ้มกว้าง “ตอนนี้มีสงครามให้ทำเสียที่ไหน?”
กวนอี้หรานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือว่า “สนามรบหลังจากนี้ ก็อันตรายมากเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่บนหลังม้า ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวพันกับความลับอะไร มันเป็นเพียงแค่การอนุมานของข้าเอง นั่นก็คือผู้ฝึกตน ในกองทัพทั้งหมดที่ไม่ใช่คนของต้าหลี ใครก็ตามแต่ แม้แต่ข้ากวนอี้หรานเอง ก็ล้วน มีโอกาสตายอย่างเฉียบพลันได้ทุกที่ทุกเวลา ตายได้อย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้อาณาเขตแคว้นใต้อาณัติที่เกิดโศกนาฎกรรมสิ้นแคว้นที่รุนแรง ยิ่งขยับ เข้าใกล้อดีตเมืองหลวงของแคว้นเก่า หรือไม่ก็ขยับเข้าใกล้ภูเขาตระกูลเซียนที่ ล่มสลาย โอกาสที่ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจะรบตายก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งข้า ยังกล้าพูดด้วยว่า การลอบสังหารที่อำมหิตจะมีเยอะมาก เยอะมากๆ”
อวี๋ซานฝางร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าเป็นแบบนี้ การที่ข้าไม่วิ่งไปเป็นขุนนางก็ถูกแล้วน่ะสิ ด้วยฝีมือแมวสามขา (เปรียบเปรยถึงคนไม่มีความสามารถ ดั่งแมวสามขาที่จับหนูไม่ได้) ของเจ้า ไม่มีข้าอยู่ด้วย เวลาเจ้าไปเข้าห้องส้วมก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกใครแทงมีดใส่ก้นจนเป็นรูหลายรูหรอกหรือ?”
กวนอี้หรานโมโหจนหยิบที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์อันหนึ่งขว้างใส่ชายฉกรรจ์ผู้นั้น
อวี๋ซานฝางคว้าเอาไว้ได้ ยิ้มพูดหน้าเป็นว่า “โอ้โห ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ตบรางวัล”
แล้วอวี๋ซานฝางก็ลุกขึ้นยืน วิ่งตะบึงไปทางประตูห้อง
กวนอี้หรานนั่งอยู่ที่เดิม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็แค่ของเล่นที่มีค่าไม่กี่ตำลึง เจ้ายังมีหน้าจะเอาไปด้วยงั้นหรือ?”
อวี๋ซานฝางหยุดเดิน หันหน้ากลับมา ขว้างที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์กลับคืนด้วยสีหน้ารังเกียจ สบถว่า “เจ้าเป็นถึงลูกหลานสกุลกวนแห่งเมืองอวิ๋นไจ้ มณฑลอี้โจว แต่ดันเอาของผุๆ นี่มาวางไว้บนโต๊ะงั้นหรือ?! ข้าล่ะนึกอายแทนนายท่านผู้เฒ่ากวนจริงๆ!”
คิดไม่ถึงว่ากวนอี้หรานจะรีบยื่นสองมือออกมารับที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์ชิ้นนั้นเอาไว้ เป่าลมใส่มันเบาๆ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นี่คือของตกแต่งห้องหนังสือเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋งเชียวนะ แม่ทัพซู ของพวกเรามอบมันเป็นรางวัลให้ข้าด้วยตัวเอง อันที่จริงมีค่ามากนักล่ะ”
อวี๋ซานฝางเพิ่งจะเปิดประตูออกไป เขาที่หันหลังให้กับว่าที่เจ้าประมุขสกุลกวนเสาค้ำยันแคว้นชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง แล้วยกนิ้วหนึ่งขึ้น พอกระแทกประตูปิดแล้วก็ ก้าวยาวๆ จากไป
กวนอี้หรานส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเส้นสายตาของเขามาตกอยู่บนโต๊ะ รอยยิ้มนั้นก็หุบลง
พลิกเปิดรายงานลับจากองค์กรสายลับศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีต่ออีกครั้ง ตัวอักษรในรายงานฉบับนั้นเยอะมาก นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดใน ราชสำนักต้าหลี
เพราะภายใต้การอนุมานของราชครูชุยฉาน เอกสารรายงานทุกอย่างล้วนเน้นย้ำในด้านความกระชับ ได้ใจความ
การที่กวนอี้หรานสามารถอ่านรายงานลับฉบับนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาแซ่กวน แต่เป็นเพราะเขาคือแม่ทัพที่มาปักหลักตั้งกองทัพอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนพอดี จึงจำเป็นต้องให้เขาเขียนรายงานตอบกลับด้วยตัวเอง
รายงานฉบับนี้มาจากมือของขุนนางบุ๋นตำแหน่งเล็กๆ แซ่หลิ่วคนหนึ่งที่มาจากแคว้นชิงหลวน ทว่าเนื้อหาเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ ใหญ่จนทำให้กวนอี้หรานที่ได้อ่านแค่ไม่กี่ตัวอักษรรู้สึกเหมือนมีไอเย็นๆ ลอยโชยมาปะทะใบหน้า
เป็นกลยุทธ์โดยละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ในอนาคตของทะเลสาบซูเจี่ยน
เนื้อหาหนึ่งในนั้นพูดถึงกู้ช่าน แน่นอนว่าพูดถึงเขากวนอี้หรานด้วย
……
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลิ้วกายลงในลานเรือนขนาดเล็กอย่างเงียบเชียบ
กู้ช่านเก็บตำหนักพญายมราชคุกล่างและเรือนแก้วจำลองที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งที่วางไว้ข้างเท้า
หยิบเอาพัดไม้ไผ่ที่ทำจากไม้ไผ่เสินเซียวบนโต๊ะขึ้นมาเหน็บไว้ตรงเอว เดินยิ้ม ออกจากห้องหนังสือ ไปเปิดประตูใหญ่ของห้องหลัก
แขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ ถือว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเขา
หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียที่เล่าลือกันว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายอยู่ในคุกน้ำ และตอนนี้ก็มีหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด
กู้ช่านเปิดประตูแล้วก็ประสานมือโค้งคารวะ “ศิษย์กู้ช่านคารวะอาจารย์”
หลิวจื้อเม่าส่งยิ้มให้พลางพยักหน้ารับ “ระหว่างพวกเราอาจารย์และศิษย์ ไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันเช่นนี้”
คนทั้งสองนั่งลงในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักซึ่งมีกรอบป้ายเขียนคำว่า ‘ชื่อเสียงหอมหวนขจรนาน’ ที่เจ้าของบ้านเดิมทิ้งไว้
กลอนคู่ที่แขวนไว้สองด้านก็ผ่านกาลเวลามานานแล้วเช่นกัน เนื่องจากไม่เคย ได้เปลี่ยนใหม่จึงมีกลิ่นอายของความโบราณเก่าแก่ ‘ยามเปิดประตูภูเขาด้านหลัง น้ำใสงามสบายตา ยามปิดหน้าต่างบทความคุณธรรมอบรมจิตใจ’
หลิวจื้อเม่านั่งลงบนตำแหน่งประธาน กู้ช่านนั่งอยู่ด้านข้าง
หลิวจื้อเม่ามองประเมินห้องโถงแห่งนี้ไปรอบหนึ่ง “สถานที่เล็กไปสักหน่อย แต่ยังดีที่สะอาดและสงบ”
กู้ช่านถาม “อาจารย์จะดื่มเหล้าหรือไม่? ที่นี่ไม่มีเหล้าหมักตระกูลเซียน แต่เหล้าหมักข้าวเหนียวของสหายคนหนึ่งกลับยังมีอยู่ไม่น้อย แต่สุราในหมู่ชาวบ้านเช่นนี้ อาจารย์อาจดื่มไม่ชินสักเท่าไร”
หลิวจื้อเม่าโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ดื่มดีกว่า”
กู้ช่านจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม “ก่อนหน้านี้อาจารย์ออกไปข้างนอกกับผู้ถวายงานคนหนึ่งของสำนักมารอบหนึ่ง ตอนนี้จึงพอจะถือว่ามีความสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ซูเกาซาน อยู่บ้าง เจ้าอยากเข้าร่วมกองทัพ ชิงเอาตำแหน่งขุนนางแม่ทัพบู๊มาบ้างหรือไม่?”
กู้ช่านส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์คงไม่นำความสัมพันธ์ควันธูปของอาจารย์มาใช้ให้สิ้นเปลืองแล้ว”
หลิวจื้อเม่าเองก็ไม่คิดจะบังคับฝืนใจ เขาพลันพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “กู้ช่าน ตอนนี้เจ้ายังไม่อายุสิบสี่เลยใช่ไหม?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ
หลิวจื้อเม่าเงียบงันไปครู่หนึ่ง “หากอาจารย์ฝ่าทะลุขอบเขต เลื่อนขั้นเป็น ห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ ในฐานะผู้ถวายงานก็สามารถเสนอข้อเรียกร้องสามข้อ แก่สำนักเจินจิ้ง นี่เป็นเรื่องที่เจ้าสำนักเจียงรับปากมาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าคิดว่าจะ เปิดปากขอให้สำนักเจินจิ้งแบ่งเกาะชิงเสียและเกาะใต้อาณัติซึ่งรวมเกาะซู่หลิน เป็นหนึ่งในนั้นออกมา แล้วยกให้เจ้าทั้งหมด”
กู้ช่านมีสีหน้าเป็นปกติดังเดิม ไม่ได้รีบร้อนจะเอ่ยวาจา
หลิวจื้อเม่าจึงเอ่ยต่อไปว่า “อาจารย์ไม่ได้คิดทำเพื่อลูกศิษย์อย่างเจ้าไปเสียทั้งหมด อาจารย์เองก็มีใจที่เห็นแก่ตัวเช่นกัน เพราะไม่อยากให้การสืบทอดของ สายเกาะชิงเสียต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นี้ มีเจ้าอยู่บนเกาะชิงเสีย ศาลบรรพจารย์ ก็ไม่ถือว่าถูกปิด ต่อให้สุดท้ายแล้วเกาะชิงเสียจะเหลือคนแค่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเกาะชิงเสียอย่างข้าก็สามารถอุทิศตนถวายชีวิตให้แก่เจียงซ่างเจินและสำนักเจินจิ้งได้อย่างเต็มที่แล้ว”
กู้ช่านถาม “อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไร? อาจารย์เชิญบอกมาได้เลย ศิษย์ไม่กล้าพูดจาสวยหรูว่าจะไม่ปฏิเสธทุกเรื่องที่อาจารย์เอ่ยมา แต่หากเป็นเรื่องที่ทำได้ ศิษย์จะต้องทำให้อย่างแน่นอน แล้วก็จะยังพยายามทำให้ดีที่สุดด้วย”
หลิวจื้อเม่ามีสีหน้าปลาบปลื้ม ลูบหนวดยิ้ม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ช่วยศาลบรรพจารย์ของเกาะชิงเสียแตกกิ่งก้านสาขา ง่ายดายเพียงเท่านี้แหละ แต่เอาเรื่องที่ไม่น่าฟังมาพูดกันก่อน นอกจากหลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานก่อกำเนิดของสำนักเจินจิ้งผู้นั้นแล้ว ผู้ถวายงานน้อยใหญ่คนอื่นๆ อาจารย์ล้วนไม่สนิทสนมด้วย สักคน บางคนยังเป็นศัตรูแอบแฝงด้วยซ้ำ เจียงซ่างเจินเองก็ไม่ได้จริงใจกับข้า อย่างแท้จริง ดังนั้นเจ้ารับเอาศาลบรรพจารย์เกาะชิงเสียและเกาะใต้อาณัติทั้งหลายไปหมด จึงไม่ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว เจ้าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียให้ดี
เพราะถึงอย่างไรทรัพย์สินที่หล่นลงมาจากฟ้า เงินมากเกินไปก็กระแทกคนให้ตายได้ เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เข้าตาอาจารย์ อาจารย์ถึงได้พูดกับเจ้ากู้ช่าน อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้”
กู้ช่านเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นขอให้ศิษย์ได้ใคร่ครวญให้ดีอีกสักหน่อย อย่างช้าสุดสามวัน ก็สามารถมอบคำตอบที่แน่ชัดให้แก่อาจารย์ได้”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด ระมัดระวังกลัวตาย วางแผนก่อนค่อยลงมือ ทุ่มสุดชีวิตอย่างไม่เสียดาย เดิมพันมากก็ได้มาก นี่ก็คือรากฐานในการ หยัดยืนของผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเรา”
กู้ช่านผงกศีรษะ “คำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ กู้ช่านก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ในอดีต นึกว่าตัวเองเข้าใจเหตุผลไปเสียทุกเรื่อง อันที่จริงกลับไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นศิษย์ที่ดื้อรั้นไม่รู้ความ เป็นที่ขบขันของอาจารย์แล้ว”
หลิวจื้อเม่าพูดกลั้วหัวเราะ “ทุกคนในใต้หล้านี้ที่พร่ำพูดว่าตัวเองเข้าใจเหตุผล ทุกอย่าง แน่นอนว่าย่อมเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรที่สุด อันที่จริงการกระทำของเจ้า ในอดีต มองดูเหมือนไร้ขื่อไร้แป แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่เจ้าคิด ขอแค่มีชีวิตอยู่รอดมาได้ ความยากลำบากใหญ่หลวงทั้งหลายที่ต้องเผชิญมา ก็คือรากฐานสมบัติที่แท้จริงของผู้ฝึกตนอิสระ โดนต่อยจนฟันร่วงหมดปากก็ยังต้องกลืน ทั้งเลือดทั้งฟันลงไป นี่ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าเข้าใจหลักการเหตุผลที่แท้จริง”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที
หลิวจื้อเม่าหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งที่ราวกับทำมาจากวัสดุอย่างทองหรือหยก เพราะมันส่องประกายแสงแวววาว มีไอหมอกแผ่ปกคลุมขมุกขมัว ชื่อตำราเขียนด้วยตัวอักษรโบราณสีทองสี่คำว่า ‘คัมภีร์สกัดคงคา’
หลิวจื้อเม่ายื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน แล้วผลักตำราเล่มนั้นไปให้กับเด็กหนุ่มชุดเขียวที่สุขุมเยือกเย็น แล้วผู้เฒ่าก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “วิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้พวกเจ้าเมื่อก่อน เป็นวิชารากฐานภายนอกของศาลบรรพจารย์เกาะชิงเสีย ถือว่า เป็นแค่วิชาสายรองเท่านั้น มีเพียงวิชาลับตระกูลเซียนเล่มนี้ที่ถึงจะเป็นรากฐาน มหามรรคาของอาจารย์ บอกตามตรง ปีนั้นอาจารย์ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่เจ้าจริงๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะกลัวเจ้าจะร่วมมือกับหนีชิวน้อยมาสังหารอาจารย์”
หลิวจื้อเม่าผลักตำราลับเล่มที่ตัวเองเก็บรักษาอย่างดีดุจชีวิตมาหลายร้อยปีเล่มนั้นออกไปแล้วก็ไม่เหลือบมองอีกแม้แต่ครั้งเดียว “วันนี้ไม่เหมือนวันวาน หากข้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ทุกเรื่องก็ล้วนพูดได้ง่าย แต่หากโชคร้ายกายดับมรรคาสลาย ระหว่างฟ้าดินไม่มีหลิวจื้อเม่าอยู่อีก ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจ้าคิดบัญชีตามหลัง”
กู้ช่านไม่ได้หยิบตำราโบราณตระกูลเซียนที่มูลค่าแทบจะเท่ากับ ‘ห้าขอบเขตบน’ ครึ่งตัวเล่มนั้นมา เขาลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคารวะหลิวจื้อเม่าอีกครั้ง
หลิวจื้อเม่านั่งตัวตรงอยู่ตรงตำแหน่งประธานของห้องเล็ก รับการคารวะนี้จากลูกศิษย์
การวางอุบายปัดแข้งปัดขาระหว่างพวกเขาอาจารย์และศิษย์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นับว่าไม่น้อยเลยจริงๆ
คืนนี้คนหนึ่งมอบตำรา คนหนึ่งคารวะ อันที่จริงนั้นเรียบง่ายมาก นี่เป็นเพียงแค่การถ่ายทอดมรรคกถาที่บริสุทธิ์ดั้งเดิมที่สุดบนเส้นทางการฝึกตนบนโลกใบนี้
หลังจากผ่านคืนนี้ไป บัญชีเก่าและการคิดคำนวณที่สมควรมีระหว่างอาจารย์และศิษย์คู่นี้ บางทีอาจจะยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนไม่น้อยเรื่องหนึ่ง
กู้ช่านเก็บตำราลับตระกูลเซียนเล่มนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “ศิษย์พี่หญิงเถียนและศิษย์พี่ชายที่เหลือของเจ้า แต่ละคนโง่เง่าไม่แพ้กัน”
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคและเคราะห์ที่หามาใส่ตัวเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้”
หลิวจื้อเม่าขบคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไปหยิบเหล้ามาสองกา อาจารย์อยากคุยเรื่องสัพเพเหระกับเจ้าต่ออีกสักหน่อย ต่างคนต่างดื่มเหล้ากัน ไม่ต้องเกรงใจ”
เดิมทีประตูของห้องหลักก็ไม่ได้ปิดอยู่แล้ว แสงจันทร์จึงสาดทอเข้ามาในห้อง
กู้ช่านไปที่ห้องครัว วิ่งไปกลับอยู่สองรอบ หิ้วเอาเหล้าหมักจากบ้านเกิดที่ต่งสุ่ยจิ่งมอบให้มาสองกา กับถ้วยขาวสองใบ และยังมีกับแกล้มจานเล็กๆ อีกสองสามจาน
หลิวจื้อเม่ารินเหล้าหนึ่งถ้วย แล้วคีบเอาปลาแห้งตัวเล็กที่รสชาติกรุบกรอบของทะเลสาบซูเจี่ยนขึ้นมาหนึ่งตัว เขาเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดื่มเหล้าตามไปหนึ่งอึก
นี่ก็คือรสชาติของโลกมนุษย์
แม้จะบอกว่าเขามีความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขตอย่างมาก และเจียงซ่างเจินเองก็ย่อมช่วยคุ้มกันยามที่เขาฝ่าทะลุขอบเขตอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
แต่บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่แน่นอนเสมอไป
เพราะยังคงมีความเป็นไปได้ว่ารสชาติบ้านๆ ภายใต้แสงจันทร์มื้อนี้อาจเป็นอาหารมื้อดึกมื้อสุดท้ายบนโลกในชีวิตนี้ของเขาหลิวจื้อเม่าก็เป็นได้
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “ปีนั้นสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่พวกเจ้าจัดตั้งขึ้นมา คนที่ทุกคนรู้จักกันดี อันที่จริงก็มีแค่พวกเจ้าเก้าคนเท่านั้น คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็คงมีแค่ไม่กี่คนที่เดาออกว่า คนสุดท้ายนั่นคือนักบัญชีที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาเกาะชิงเสียของพวกเรา น่าเสียดายนัก เดิมทีในอนาคตควรมีโอกาสได้กลายเป็นเรื่องเล่าขาน ที่งดงามเรื่องหนึ่ง”
หลิวจื้อเม่าเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่ง หรี่ตาจิบเหล้าหนึ่งอึก คีบถั่วลิสงสองสามเม็ดมาโยนเข้าปาก แล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาเริ่มนับ “มารร้ายกู้ช่านแห่งเกาะชิงเสีย เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน ศิษย์พี่สี่ฉินเจวี๋ย ศิษย์พี่หกเฉาเจ๋อ ฟ่านเยี่ยนนายน้อยแห่งนครน้ำบ่อ ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะหวงหลี หยวนหยวนแห่งเกาะกู่หมิง หันจิ้งหลิงองค์ชายที่ตกระกำลำบาก หวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่”
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “ศิษย์พี่หญิงเถียนของเจ้าไปที่เกาะกงหลิ่วมาสองรอบ ข้าล้วนไม่ได้ออกมาพบนาง ครั้งแรกนางเดินวนเวียนอยู่ริมขอบอาณาเขตหนึ่งวัน หนึ่งคืนเต็มๆ แล้วก็ต้องกลับไปพร้อมความผิดหวัง ครั้งที่สองยิ่งนานก็ยิ่งกลัวตาย จึงคิดจะบุกเกาะกงหลิ่ว ใช้วิธียอมให้ชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งชั่วคราว เพื่อแลกเปลี่ยน มาด้วยชีวิตที่สมบูรณ์ในภายภาคหน้า น่าเสียดายที่อาจารย์ที่ใจดำอำมหิตอย่างข้ายังคงคร้านจะมองนาง ชีวิตครึ่งหนึ่งนั้นของนางถือว่าเสียไปเปล่าๆ เจ้าคิดจะจัดการกับนางอย่างไร? จะตีหรือจะฆ่า?”
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ทุ่มเทความคิดจิตใจด้วยความหวังดี จงใจให้ ศิษย์พี่หญิงเถียนอับจนหนทาง รู้สึกสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพราะหวังว่าข้ากู้ช่านและเกาะชิงเสียในอนาคตจะมีคนที่สามารถใช้งานได้ที่ รู้ความและรู้กาลเทศะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
หลิวจื้อเม่าอืมรับหนึ่งที “อันที่จริงวิธีการควบคุมเถียนหูจวินที่เจ้าใช้เมื่อก่อน ก็ไม่เลว เพียงแต่ว่ามันเหมือน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็ชี้ไปยังจานกับแกล้มสองสามใบที่วางอยู่บนโต๊ะ “ดื่มแต่เหล้าอย่างเดียว ไม่มีกับแกล้ม รสชาติก็จะแย่กว่าเดิมเยอะมาก ใช้ทั้งพระเดชพระคุณไปพร้อมกัน พูดเหมือนง่าย แต่ทำเข้าจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย เจ้าสามารถ ลองเรียนรู้ดูจากจางเย่พี่น้องเก่าแก่ของข้า นี่คือมโนธรรมอันดีงามที่มีไม่มากของอาจารย์แล้ว และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อเทียบกับการละโมบหวังให้ประหยัดแรงกายแรงใจ แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยวิธีการแบบเดียวกัน ไม่ว่ากับใครก็ใช้วิธีเผด็จการ ใช้ผลประโยชน์มาล่อลวง ควันธูปของภูเขาลูกหนึ่งย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “ข้าวแบบเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ แน่นอนว่าต้องแยกประเภทในการล่อลวง ชื่อเสียง เงินทอง สมบัติอาคม โชคในการฝึกตน ตกปลาคือความรู้ที่ยิ่งใหญ่วิชาหนึ่ง”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะร่าเสียงดัง “มิน่าเล่าข้าที่อยู่บนเกาะกงหลิ่วถึงได้ยินว่าทุกวันนี้เจ้าชอบไปตกปลาที่ริมทะเลสาบ ต่อให้จะได้ผลเก็บเกี่ยวไม่มาก แต่ก็ยังไปบ่อยๆ”
เรื่องที่ทำให้หลิวจื้อเม่าอารมณ์ดี ไม่ใช่เรื่องยิบย่อยเล็กน้อยที่มองดูเหมือน เรื่องล้อเล่นเช่นนี้
แต่เป็นเพราะในที่สุดกู้ช่านก็เข้าใจการกะน้ำหนักและกำลังไฟ เข้าใจหลักการแสดงความจริงใจได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ใช่ว่าพอถอดชุดคลุมอาคม คราบเจียวหลงที่หรูหรางดงามตัวนั้น เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวเนื้อหยาบอย่างทุกวันนี้ แล้วทุกคนจะพากันเชื่อว่าเขากู้ช่านเปลี่ยนนิสัยสันดาน กลายไปเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ได้จริงๆ หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็บอกได้แค่ว่าเมื่อเทียบกับในอดีต กู้ช่านได้เติบโตขึ้น แต่โตขึ้นไม่มาก และยังเคยชินที่จะมองเห็นคนอื่นเป็นคนโง่ ถึงท้ายที่สุดจะมีจุดจบอย่างไร? ฟ่านเยี่ยนจากนครน้ำบ่อที่แสร้งทำตัวเป็นคนโง่ คนหนึ่งก็แค่หาจุดอ่อนในใจของเขากู้ช่านได้พบ ปีนั้นจึงสามารถปั่นหัวเขากู้ช่านเล่น ชักจูงเขาได้เหมือนจูงสุนัข
ในเมื่อหลิวจื้อเม่ายอมมอบ ‘คัมภีร์สกัดคงคา’ ไปให้ แน่นอนว่าตอนที่จากไป ก็สามารถเอากลับคืนมาได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นต่อจากนี้ หลิวจื้อเม่าจึงยังจะมีการทดสอบทางสภาพจิตใจอย่างหนึ่งให้แก่กู้ช่าน
เถียนหูจวินที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะทำอะไรไม่ประสบผลสำเร็จ เจ้าเกาะซูหลิน ที่ในอนาคตอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ก่อกำเนิดทั่วไปผู้นั้น ก็เป็นเพียงแค่กับแกล้ม หนึ่งจานบนโต๊ะอาหารคืนนี้ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
ทว่าสกัดคงคาเจินจวินท่านนี้ไม่ได้รีบร้อน
นี่เขาก็เพิ่งจะเริ่มดื่มเหล้าเองไม่ใช่หรือ
หลิวจื้อเม่าพูดชวนคุยว่า “ฟ่านเยี่ยนเป็นผู้บงการแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังนครน้ำบ่อมาตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าคงมองออกกระมัง?”
กู้ช่านยิ้มจืดเจื่อน “อาจารย์ ข้าไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามองออกแล้วหรือไม่ว่าฟ่านเยี่ยนมีพรรคพวกอยู่ในราชสำนัก? ไม่ใช่กวนอี้หรานหลานชายสายตรงของเจ้ากรมขุนนางผู้เฒ่าของ ต้าหลี แล้วก็ไม่ใช่ซูเกาซานที่ยกทัพบุกเมืองหลวงราชวงศ์จูอิ๋งได้ก่อนผู้นั้นด้วย”
กู้ช่านคิดแล้วก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าจะพยายามอดทนกับเขาให้มากหน่อยก็แล้วกัน”
หวังว่าถึงเวลานั้นเขาฟ่านเยี่ยนกับพ่อแม่ของเขาจะยังสุขภาพแข็งแรงดี ทางที่ดีที่สุดคือตระกูลยังร่ำรวยรุ่งโรจน์
หลิวจื้อเม่าเอ่ยต่อว่า “หยวนหยวนเกิดในครรภ์ที่ดี พ่อแม่ต่างก็เป็นโอสถทองทั้งคู่ ที่พึ่งของเกาะกู่หมิง หรือจะพูดให้ถูกก็คือที่พึ่งของพ่อแม่หยวนหยวนก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นั้น แต่เขากลับถูกเด็กหนุ่มชุดขาวที่อำพรางตัวตน อย่างลึกล้ำกับหร่วนซิ่วแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนไล่ฆ่าไปไกลเป็นหมื่นลี้
จากนั้นก็ไปตายอยู่บนเส้นชายแดน ตามหลักแล้วเกาะกู่หมิงควรจะจบเห่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับดีนัก ได้ตำแหน่งผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้งไปอยู่ในมือ แล้วก็ได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาของต้าหลีเป็นฝ่ายออกให้ด้วย”
สำหรับเจ้าอ้วนน้อยที่มีชื่อเล่นว่าหยวนหยวนผู้นั้น กู้ช่านไม่ได้รู้สึกเคียดแค้นสักเท่าไร คนที่เอาความฉลาดมาอวดไว้บนหน้าให้คนอื่นดู จะฉลาดได้สักเท่าไรกันเชียว?
การขับเรือตามกระแสลมของเกาะกู่หมิงไม่ถือว่าเป็นวิธีการที่ร้ายกาจอะไรจริงๆ เพราะไม่ว่าใครก็ทำเป็นทั้งนั้น
ขอแค่เจ้าหมอนี่ไม่มาหาเรื่องตนอีก ก็ให้เขามาเป็นแขกผู้มีเกียรติของเกาะชิงเสียได้อย่างไม่มีปัญหา
ส่วนคำพูดแปลกแปร่งระหายหูที่หยวนหยวนคอยพึมพำอยู่ด้านหลัง น้ำลายเล็กน้อยแค่นั้นจะหนักได้สักกี่จิน?
เขากู้ช่านถูกคนใช้ถ้อยคำทิ่มแทงจิตใจ นับแต่เด็กจนโต สิ่งที่เคยได้ยินมา มีน้อยนักหรือ?
ตอนนี้กู้ช่านไม่คิดจะทบทวนใจตัวเองเพื่อฆ่าคนอีกแล้ว
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ตอนนี้
และคำว่า ‘ตอนนี้’ ที่ว่านั้น อาจเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง
เพราะเขารู้หลักการเหตุผลข้อหนึ่ง นั่นคือในช่วงเวลาที่เจ้าทำได้เพียงทำลายกฎเกณฑ์ แต่ไม่มีกำลังพอจะสร้างกฎขึ้นมาใหม่ เจ้าก็ต้องเคารพกฎก่อน ระหว่างนี้ ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ขอแค่ยังไม่ตาย มันก็จะกลายมาเป็นผล เก็บเกี่ยวที่มองไม่เห็นในทุกครั้ง เพราะเขากู้ช่านสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าเดิม การกระทบกระทั่งทุกอย่าง การชนกำแพง และการกินน้ำแกงประตูปิดในแต่ละครั้ง ล้วนเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
หลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “หันจิ้งหลิงฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาวช่างเป็นคนที่โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
แรกเริ่มหันจิ้งหลิงไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้านที่อยู่ในอาณาเขตการดูแลของตัวเอง หนีมาหลบภัยที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเสียนอ๋อง (อ๋องผู้มีคุณธรรม) จากนั้นก็ได้สวมชุดคลุมมังกรนั่งอยู่ บนบัลลังก์มังกร คาดว่าสองปีมานี้เจ้าเด็กนี่นอนหลับก็คงยังหัวเราะจนตื่นจาก ความฝันได้ องค์ชายอีกคนที่ผู้คนฝากความหวังไว้มากอย่างหันจิ้งซิ่นกลับต้องไปตายอยู่ในชานป่านอกเมืองหลวง ดังนั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างหันจิ้งหลิงผู้นี้จึงนั่งอยู่ บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ส่วนหวงเฮ้อที่ประคับประคองพี่น้องอย่างหันจิ้งหลิง ให้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์มังกรก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากัน เป็นรองเจ้ากรมพิธีการตั้งแต่อายุ ยังน้อย การแต่งตั้งห้าขุนเขาใหม่ของแคว้นสือหาวก็ล้วนเป็นเขาคนเดียวที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้ โดยที่เจ้ากรมพิธีการไม่กล้าบ่นอะไรสักคำ ว่ากันว่าพอไปถึง จวนที่ว่าการ ใต้เท้าเจ้ากรมยังเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้เขาด้วยตัวเอง บิดาของหวงเฮ้อ ก็ยิ่งถูกกล่าวขานให้เป็นฮ่องเต้ผู้หยัดยืนในราชสำนักแคว้นสือหาว ไม่มีชุดคลุม สีเหลืองอยู่บนกาย แต่สามารถพกดาบเข้ามาในท้องพระโรงได้
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคดีก็เป็นหนึ่งในความสามารถเหมือนกัน”
เจ้าคนที่หลงระเริงลำพองตนอย่างหวงเฮ้อผู้นี้ บางทีไม่ต้องให้เขาลงมือเอง สักวันก็ต้องถูกหันจิ้งหลิงที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มผู้นั้นจัดการจนมีสภาพอเนจอนาถเอง
แต่กู้ช่านก็ยังหวังว่าหวงเฮ้อจะตกมาอยู่ในกำมือของตน
เพราะปีนั้นหลังจากที่กู้ช่านตกอับ ไอ้หมอนี่เป็นเพียงคนเดียวที่กล้าขึ้นมา บนเกาะชิงเสียแล้วเรียกร้องให้เปิดประตูห้องแห่งนั้น
กู้ช่านกำลังรอโอกาส
อีกทั้งเมื่อโอกาสนี้มาถึงมือ ทุกอย่างจะต้องสมเหตุสมผล สอดคล้องกับกฎเกณฑ์
หลังจากที่หลิวจื้อเม่าไล่พูดชื่อทุกคนไปหมด
ท่าทีคร่าวๆ ที่กู้ช่านมีต่อทุกคน สกัดคงคาเจินจวินผู้นี้ก็พอจะมองออกได้คร่าวๆ แล้วเช่นกัน
ยังคงจดจำความแค้นเหมือนเดิม
แต่เมื่อเทียบกับการทำอะไรตามแต่ใจ ฆ่าคนส่งเดชอย่างในอดีตแล้ว ตอนนี้กู้ช่านสามารถเรียบเรียงลำดับเรื่องราวได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่สามารถอดทนข่มกลั้น กลับกันเมื่อต้องอยู่ในสภาวะจำศีลดั่งคนที่พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น ต้องก้มหัว ยอมให้กับทุกเรื่องอย่างทุกวันนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเคียดแค้น กลับกันยังยินดีที่จะแบกรับความยากลำบากนี้ไว้
ดีมาก
แบบนี้ก็จะยิ่งมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน และมีชีวิตได้ดียิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางทางตันที่มีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้ที่อดทนได้ดีที่สุด สุดท้ายรสขมต้องกลายเป็นหวานชื่น
นี่ก็คือการฝึกตนอีกอย่างหนึ่ง
หลิวจื้อเม่าไม่เคยกังวลว่าบนเส้นทางการฝึกตนภายนอกของกู้ช่านจะมีอุปสรรคไม่ราบรื่น
เจ้าเด็กนี่เกิดมาก็เพื่อเป็นผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่แพ้ให้แก่หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วอีกด้วย!
หลิวจื้อเม่ารินเหล้าให้ตัวเองอีกหนึ่งถ้วย พลางถามว่า “ภูตผีวัตถุหยินที่เหลือเหล่านั้น จะจัดการอย่างไร? หากเรื่องนี้พูดไม่ได้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูด”
กู้ช่านเพิ่งจะยกถ้วยเหล้าขึ้นมา เวลานี้จึงวางมันลงอีกครั้ง เงียบไปพักหนึ่ง ก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ หากพวกเขาที่ตายไปเป็นผีมีทิฐิเดียวที่ยึดมั่นคือการแก้แค้น ก็ง่ายมาก ข้าจะให้โอกาสพวกเขาได้แก้แคน อาจารย์ท่านเองก็น่า จะรู้แล้ว อาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ติดกับนครอวิ๋นโหลว เจ้าสำนักเจียงเตรียมจะแยกเกาะหลายแห่งที่มีโชคชะตาน้ำภูเขาเชื่อมโยงกันออกมามอบให้ข้ากู้ช่าน ถึงเวลานั้นข้าจะสร้างภูเขาสำหรับผู้ฝึกตนผีไว้ที่นั่นหนึ่งแห่ง วัตถุหยินทุกตน ล้วนสามารถฝึกตนได้ ขาดเงินในการฝึกตน? ข้ากู้ช่านออกให้! ขาดตำราลับ? ข้าจะไปหาตำราที่เหมาะสมมาให้พวกมัน เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าสามารถแก้แค้นได้แล้วก็แค่บอกมาได้เลย นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องและความปรารถนาส่วนใหญ่ ขอแค่เป็นสิ่งที่ข้ามีความสามารถ ทำได้เรื่องหนึ่งก็จะทำให้เรื่องหนึ่ง ข้ารู้ดีว่าตอนนี้พวกวัตถุหยิน ส่วนใหญ่กำลังรอโอกาสแล้วค่อยลงมือ ไม่เป็นไร ขอแค่พวกมันยินดีเปิดปากก็พอ”
หลิวจื้อเม่าพลันหัวเราะ “หากปีนั้นเฉินผิงอันต่อยหนึ่งหมัดหรือแทงหนึ่งกระบี่ให้เจ้าตาย สำหรับพวกเจ้าสองคนแล้ว จะเป็นทางเลือกที่ผ่อนคลายยิ่งกว่าหรือไม่?”
กู้ช่านก้มหน้าลง ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาถือค้างไว้ ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยด้วยสีหน้า ไร้อารมณ์ว่า “เฉินผิงอันไม่ใช่คนแบบนั้น ข้าเองก็ไม่ยินดีจะตายเร็วขนาดนั้น”
ตอนที่แหงนหน้าดื่มเหล้า สีหน้าของเด็กหนุ่มกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง
หลิวจื้อเม่าส่งยิ้มไปให้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในใจของหลิวจื้อเม่าราวกับแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเกาะเหล่านั้นจะตกไปเป็นของใคร เขาหลิวจื้อเม่าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย!
หลิวจื้อเม่าถอนหายใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การทดสอบสภาพจิตใจของกู้ช่าน เป็นครั้งสุดท้ายจึงมีตัวแปรเพิ่มขึ้นมาแล้ว
แต่หลิวจื้อเม่าที่ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ยังคงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าทางออกของเกาะชิงเสียอยู่ตรงไหน? ไม่ต้องรีบร้อน ดื่มเหล้าแล้วค่อยๆ คิดไป”
กู้ช่านวางถ้วยเหล้าลง เช็ดปากตัวเอง ค้อมตัวยื่นมือไปคีบปลาเล็กตากแห้งของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ส่งไปขายไกลตามงานเลี้ยงของชนชั้นสูงขึ้นมาตัวหนึ่ง หลังจาก ขบเคี้ยวอย่างละเอียดแล้ว ก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หนึ่ง ข้าสามารถเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบน สอง ข้าหาที่พึ่งของต้าหลีได้เจอ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นเจ้าประมุขของแซ่สกุล เสาค้ำยันแคว้นที่กุมอำนาจอย่างแท้จริง สาม อาศัยที่พึ่งนี้ได้ไปพบกับฮ่องเต้ต้าหลี กลายมาเป็นหมากที่เขาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อใช้ถ่วงดุจกับสำนักเจินจิ้งก่อน”
สายตาของหลิวจื้อเม่าฉายประกายเรืองรอง “ไม่มีข้อสี่หรือ?”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
หลิวจื้อเม่าซักถามต่อ “การกระทำเช่นนี้ของเจ้า สำหรับข้าที่เป็นอาจารย์ ผู้ถ่ายทอดมรรคาซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานสำนักเจินจิ้ง สำหรับเจียงซ่างเจิน เจ้าสำนักเจินจิ้งที่แบ่งเกาะให้เจ้าแล้ว จะไม่เท่ากับว่าทำตัวเป็นคนเนรคุณอย่างนั้นหรือ?”
กู้ช่านหันหน้าไปมองนอกห้องด้วยสีหน้าสุขุม “ค่ำคืนอันยาวนาน สามารถดื่มเหล้า ได้หลายถ้วย กินกับแกล้มได้หลายจาน วันนี้เพียงแค่พูดเรื่องนี้ แน่นอนว่าย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนเนรคุณ แต่รอจนปีหน้าที่ทำเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจเป็น การส่งถ่านท่ามกลางหิมะก็ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างการพูดและการทำ ยังมีการค้าอีกมากมายที่สามารถทำได้ ไม่แน่ว่าวันใดข้ากู้ช่านอาจตายไปง่ายๆ ก็เป็นได้”
ทุกครั้งหลิวจื้อเม่าจะดื่มเหล้าไม่มาก แต่ยกถ้วยอยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้เหล้าถ้วยสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกเขายกดื่มจนหมด
พูดได้ถึงขั้นนี้ ย่อมไม่ใช่การแสดงความจริงใจแบบปกติทั่วไปแล้ว
การเดินทางมาในคืนนี้ ไม่เสียเที่ยว
คิดไม่ถึงว่ากู้ช่านเห็นว่าหลิวจื้อเม่าดื่มเหล้าหมดแล้ว สุราในถ้วยก็ไม่เหลืออีก เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบกาเหล้าของตัวเองมารินให้ผู้เฒ่าอีกหนึ่งถ้วย
หลิวจื้อเม่าไม่ได้ห้ามปราม
หลังจากนั่งลงแล้ว กู้ช่านก็ยกเหล้าถ้วยสุดท้ายของเขาขึ้นมา พูดกับผู้เฒ่าว่า “พูดถึงแค่เรื่องราว ไม่พูดถึงจิตใจ ข้ากู้ช่านต้องขอบคุณท่านอาจารย์ที่ปีนั้นพาข้าออกมาจากตรอกหนีผิง ทำให้ข้ามีโอกาสได้ทำเรื่องมากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังมีชีวิต อยู่มาจนถึงคืนนี้ ได้พูดมากมายเช่นนี้”
หลิวจื้อเม่ายกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับกู้ช่านแรงๆ แล้วต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในถ้วยตัวเองจนหมด
หลิวจื้อเม่าลุกขึ้นยืน กู้ช่านก็ลุกขึ้นตาม
คนทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกไปยืนเคียงไหล่กันนอกห้องหลัก หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าวว่า “ตอนเยาว์วัยไม่หาเรื่องสนุก ตอนเป็นหนุ่มไม่หาความบันเทิง ช่างเป็นการเสียเวลาเปล่า”
กู้ช่านส่ายหน้า เอ่ยว่า “ตอนเป็นเด็กหนุ่มล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ช่วงเวลาดีๆ จะมีได้กี่มากน้อย”
หลิวจื้อเม่าร้องเอ๊ะหนึ่งทีคล้ายจะแปลกใจ หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “อ่านตำราไม่น้อยเลยหรือ?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “รายงานภูเขาสายน้ำ หนังสือเบ็ดเตล็ดล่างภูเขา ไม่ว่าอะไร ก็ยินดีอ่านให้มากหน่อย เพราะถึงอย่างไรก็แค่เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนมาไม่กี่วันเท่านั้น รู้สึกเสียดายไม่น้อย จากตรอกหนีผิงมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงไม่ได้เอาอะไรมาด้วยมากนัก จึงอยากจะอาศัยรายงานและตำราต่างๆ มารับรู้เรื่องของฟ้าดินภายนอกให้มากขึ้นอีกนิด”
หลิวจื้อเม่าชำเลืองตามองพัดไม้ไผ่ที่อยู่ตรงเอวของเขาแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เป็นของดี”
กู้ช่านปลดพัดพับลง ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า พูดด้วยสายตาใสกระจ่าง “หากอาจารย์ชอบก็เอาไปเถอะ”
ตอนที่ของชิ้นนี้เผยตัวก็หมายความว่ากู้ช่านตัดสินใจดีแล้วว่าจะเก็บมันไว้หรือจะสละมันไป
หลิวจื้อเม่าโบกมือ “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ ใครมอบให้เจ้า?”
กู้ช่านตอบ “เพื่อนของเพื่อนคนหนึ่ง”
เพื่อนของเพื่อน แต่กลับไม่ใช่เพื่อนของเขา
ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นหลิวเสี้ยนหยาง
แต่กู้ช่านกลับไม่เคยเห็นหลิวเสี้ยนหยางเป็นเพื่อน
เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก หลิวเสี้ยนหยางเป็นเพียงเพื่อนของคนผู้นั้น ต่อให้ กู้ช่านเองก็ยังต้องยอมรับว่า หลิวเสี้ยนหยางคือคนดี…ที่ไม่มีจิตใจชั่วร้ายเพียงไม่กี่คนของเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด
แต่กู้ช่านกลับยังคงไม่เห็นหลิวเสี้ยนหยางเป็นเพื่อน
กู้ช่านไม่ชอบนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาไม่สนใจใครของหลิวเสี้ยนหยางอย่างยิ่ง แล้วยังชอบเอาแม่ของเขามาล้อเล่น ดังนั้นจึงมีหลายครั้งที่กู้ช่านไล่ตีหลิวเสี้ยนหยางด้วยน้ำมูกน้ำตานองหน้า
และถึงท้ายที่สุดก็มักจะเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่หัวเราะร่ายอมรับผิดแต่โดยดี
จากนั้นเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่เต็มหน้าก็จะเดินกลับตรอกหนีผิงอย่างอ่อนระโหยโรยแรงไปพร้อมกับคนอีกคนหนึ่ง
เดินไปเดินมา เจ้าเด็กขี้มูกยืดผู้นั้นก็มักจะค่อยๆ คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า ไม่เหลือความกลัดกลุ้มกังวลใดๆ อีก
ดังนั้นเพื่อนของเขากู้ช่าน
จึงมีเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ วันหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และทั้งชีวิตจนถึงวันตายก็ยังคงเป็นเช่นนี้
แต่ชั่วชีวิตนี้เขากู้ช่านไม่มีทางเป็นคนแบบคนผู้นั้นได้
เขากู้ช่านก็คือกู้ช่าน
ใต้หล้านี้มีกู้ช่านแค่คนเดียว
แต่เขายินดีที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อีกทั้งเขายังเรียนรู้ได้อย่างดีเยี่ยม เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
เพราะก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปได้เอ่ยประโยคหนึ่งว่า
ต้นไม้ถือกำเนิดในไพร กับไม้เด่นที่กลับคืนสู่ไพร คือหลักการสองอย่าง
สุดท้ายหลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “กู้ช่าน รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าทรัพย์สินอันเป็นรากฐานของตระกูล?”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ขออาจารย์โปรดชี้แนะ”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “ไม่ใช่มีเงินหมื่นกว้านร้อยเอว มีผืนนาหมื่นไร่เหมือนเศรษฐี ในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็ไม่ได้เป็นแม่ทัพกันทั้งตระกูล พ่อลูกเข้าร่วมประชุมใน ท้องพระโรงร่วมกันเหมือนในวงการขุนนาง หรือถึงขั้นไม่ใช่มีเซียนมากมายดุจ ก้อนเมฆเหมือนบนภูเขา”
หลิวจื้อเม่าพูดแค่ครึ่งเดียว ยังคงไม่ได้ให้คำตอบอยู่เหมือนเดิม
กู้ช่านขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ก็คือหลังจากที่คนครอบครัวหนึ่งทำความผิดมหันต์ไปแล้ว ยังสามารถชดเชยแก้ไขกลับคืนมาได้ ไม่ใช่ว่านึกจะสูญสิ้น ก็สูญสิ้นไปแบบนั้น”
หลิวจื้อเม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ข้าหลิวจื้อเม่าไม่อาจทำได้แล้ว หลังจากผ่านหายนะครั้งนี้ไป ก็ทำให้จางเย่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว ต่อให้โชคดีได้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังเป็นได้แค่หมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่งของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล”
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกาะชิงเสียยังมีข้ากู้ช่าน”
หลิวจื้อเม่าส่ายหน้า “ต้องเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเราที่ยังมีกู้ช่าน!”
ผู้ฝึกตนอิสระ แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน
ต่อให้จะเป็นระหว่างอาจารย์และศิษย์ ก็ยังเป็นเช่นนี้
ร่างของหลิวจื้อเม่าทะยานวูบหายวับไป ย้อนกลับไปยังเกาะกงหลิ่วอันเป็นที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักเจินจิ้ง แล้วเริ่มปิดด่าน
กู้ช่านไม่ได้นอนหลับเลยตลอดทั้งคืน
เขาทำเพียงแค่สาวเท้าเดินเนิบช้าอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก
แม้ว่าหลิวจือเม่าจะปิดบังความเคลื่อนไหวและบทสนทนาในห้อง แต่ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกมาจากห้องกลับไม่ได้จงใจปิดบังอำพราง
ดังนั้นเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ย่อมรู้ถึงการมาเยือนและจากไปของสกัดคงคาเจินจวินผู้นี้
หม่าตู่อี๋เปิดหน้าต่างออก หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้วก็ใช้สายตาสอบถามกู้ช่านว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่
กู้ช่านยิ้มพลางโบกมือ บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องเป็นกังวล
ส่วนเจิงเย่ผู้นั้นเดิมก็มีนิสัยซื่อๆ ขี้ขลาด ดังนั้นจึงหลบอยู่ในห้องตลอดเวลา ลอบกระสับกระส่ายอยู่กับตัวเอง
แต่ในเรื่องของการฝึกตนก็ประหลาดเช่นนี้ เจิงเย่มีฐานกระดูกในการฝึกตนที่ดี ทว่าคุณสมบัติในการฝึกตนกลับเป็นหม่าตู่อี๋ที่ดีกว่า ขณะเดียวกันเจิงเย่กลับมี โชควาสนาที่ดียิ่งกว่า ส่วนหม่าตู่อี๋กลับมีนิสัยหลังกำเนิดที่ยอดเยี่ยมมากกว่า
ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นเจิงเย่ที่มีความหวังว่าจะเดินไปได้ยาวไกลมากกว่า
หม่าตู่อี๋ที่โชคดีเคยผ่านความตายมาหนึ่งครั้งไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นบางครั้งกู้ช่านก็รู้สึกอิจฉาความทึ่มทื่อไม่รู้ประสาของเจิงเย่ แล้วก็อิจฉาความไร้ทุกข์ไร้กังวลของหม่าตู่อี๋
เจิงเย่พลิกตัวกลับไปกลับมา สุดท้ายก็ม่อยหลับไป
กู้ช่านถอนหายใจ หากเจิงเย่ผู้นี้ฝึกตนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ต่อให้จะมีตบะขอบเขตน้อยนิดอย่างเช่นตอนนี้ แต่ก็ยังจะต้องเป็นแกะที่พาตัวเข้าปากเสือ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกอยู่ดี
อาศัยงานเลี้ยงน้อยใหญ่ที่จวนแม่ทัพ กู้ช่านค้นพบเบาะแสข้อหนึ่ง
การตั้งกฎเกณฑ์ของทะเลสาบซูเจี่ยน กวนอี้หรานแม่ทัพหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลร่ำรวยผู้นั้นจะต้องได้รับสมุดบัญชีมาก่อนเล่มหนึ่ง เพราะกู้ช่านรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างมาก
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีร่องรอยของนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้นั้นอยู่
กู้ช่านเอาพัดที่ถืออยู่ในมือมาตีลงบนไหล่เบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องที่ต้องเรียนรู้ ยังมีอีกมาก”
พัดไม้ไผ่ที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวในมือของเขาเล่มนี้
ด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรเขียนไว้
ลมเย็นจันทร์กระจ่าง ห้าอสนีก่อกำเนิด
น่าจะเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่เขียนลงบนหน้าพัดด้วยตัวเอง คงกำลังโอ้อวดความรู้ที่ตัวเองไปร่ำเรียนมาจากสกุลเฉินผู้รอบรู้กับเขากู้ช่านกระมัง
แต่กู้ช่านรู้สึกมาโดยตลอดว่าหากหลิวเสี้ยนหยางไปเรียนที่โรงเรียนพร้อมกับคนผู้นั้น หลิวเสี้ยนหยางมีแต่จะต้องคอยกินฝุ่นอยู่ด้านหลัง
แต่เรื่องราวทางโลก กลับทำให้คนผู้นั้นไปท่องอยู่ในยุทธภพ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางไปศึกษาเล่าเรียน
ดังนั้นกู้ช่านจึงไม่ค่อยชอบวิถีทางโลกที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ส่วนตำราลับตระกูลเซียนที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเล่มนั้น ตลอดคืนนี้กู้ช่านไม่ได้เปิดมันอ่านเลย
ข้ากู้ช่านฝึกตน ต้องรีบร้อนด้วยหรือ?
……
ยามฟ้าสาง กู้ช่านเปิดประตูออกมานั่งบนขั้นบันไดด้านนอก เทพทวารบาลและกลอนคู่ล้วนซื้อมาเมื่อปลายปีของปีก่อน
เคยมีเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต้องแขวนกลอนคู่ที่เขาเขียนด้วยตัวเองไว้บนบ้านหลังหนึ่งในตรอกหนีผิงให้จงได้
เวลานั้นคนผู้นั้นน่าจะดีใจมาก ดังนั้นจึงขยี้หัวของเจ้าเด็กขี้มูกยืดแรงๆ บอกว่ากระดาษแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่ของสองบ้านปีนี้ เขาจะเป็นคนควักเงินจ่ายเอง
นี่ไม่ใช่คำพูดที่เปลืองน้ำลายเปล่าหรอกหรือ?
นับตั้งแต่ที่เจ้าหมอนั่นไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร ภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่ของบ้านหลังเล็กที่อยู่สุดตรอกของตรอกหนีผิง มีครั้งใดบ้างที่ไม่ใช่เขาจ่ายเงินซื้อแล้วเอามาส่งให้ที่บ้าน? คนที่ยากจนยิ่งกว่า กลับกลายเป็นว่ายิ่งจ่ายเงินให้คนอื่นมากกว่า
น่าแปลกเสียจริง
เหตุใดใต้หล้าถึงมีคนแบบนี้ได้
กู้ช่านนั่งอยู่บนบันไดขั้นล่างสุด ข้อศอกค้ำยันอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่า รอคอยให้บ้านฝั่งตรงข้ามเปิดประตู
เพราะที่นั่นมีเจ้าเด็กตัวเท่าก้นอยู่คนหนึ่ง และบนใบหน้าก็มักจะมีมังกรเขียวน้อยๆ เหนียวหนืดสองเส้นห้อยอยู่เป็นประจำ
ดังนั้นกู้ช่านถึงได้เลือกมาเช่าเรือนอยู่ที่นี่
ฝั่งตรงข้ามคือครอบครัวเล็กครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่ยังอยู่ครบ ทำงานที่พอจะ เลี้ยงปากท้องให้พออยู่รอดไปได้ เจ้าตัวน้อยที่เพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่นานยังมีพี่สาว อีกหนึ่งคน หน้าตาไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไร ชื่อก็ไม่ค่อยน่าฟัง เด็กสาวนุ่มนิ่มบอบบาง แถมยังหน้าบาง มักจะหน้าแดงได้ง่าย ทุกครั้งที่เจอเขาจะต้องก้มหน้าก้าวเดินเร็วๆ
แน่นอนว่ากู้ช่านไม่มีทางชอบเด็กสาวชาวบ้านเช่นนี้
ฝั่งตรงข้ามมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่เตรียมจะไปเรียนที่โรงเรียนเดินอาดๆ ออกมา เขาสูดจมูกดังฟืด พอเห็นกู้ช่านก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ไปยืนอยู่บนธรณีประตู “เจ้าคนแซ่กู้ เจ้ามองอะไรน่ะ พี่สาวข้าเป็นหญิงงามปานนั้น คนยากจนอย่างเจ้าคู่ควรจะมองนางด้วยหรือ? ข้าว่าเจ้าตัดใจเสียเถอะ เจ้าไม่คู่ควรกับพี่สาวข้า! ข้าไม่อยากเรียกเจ้าว่าพี่เขยหรอกนะ”
กู้ช่านนั่งตัวตรง ใช้พัดไม้ไผ่ตีลงบนเข่าเบาๆ
เจ้าหมอนั่นอดใจไม่ไหวเหลือบมองพัดไม้ไผ่ของเขาอยู่หลายครั้ง แล้วกระโดดลงจากธรณีประตู วิ่งปรู๊ดมานั่งอยู่ข้างกายกู้ช่าน ยื่นมือออกมาแล้วกล่าวว่า “ขอข้าเล่นบ้างสิ”
กู้ช่านยิ้มถาม “ยังไม่รีบไปศึกษาหาความรู้อีกรึ?”
เด็กน้อยกลอกตามองบน “ความรู้พวกนั้นไม่มีขาวิ่งหนีไปเองได้สักหน่อย ข้าจะไปสายหน่อย แล้วค่อยบอกกับอาจารย์ว่าปวดท้อง”
กู้ช่านเหล่ตามองมา “ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่เจ้าเดินไปโรงเรียนก็ต้องเอาดินเหลืองมาป้ายกางเกงด้วย อาจารย์ที่โรงเรียนถึงจะเชื่อเจ้า”
เด็กน้อยครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็สบถด่าเสียงดัง “เจ้าคนแซ่กู้ เจ้าโง่หรือไง? อาจารย์ไม่ได้จะตีข้าสักหน่อย แต่หากทำกางเกงเปื้อน กลับมาถึงบ้าน แม่ข้าจะไม่ตีข้าตายหรอกหรือ!”
หลังจากเด็กน้อยด่าจบก็ถามว่า “เจ้าคนแซ่กู้ เจ้าแต่งกลอนเป็น สอนข้าอีกสักสองประโยคสิ ข้าจะได้เอาไปโอ้อวดพวกเพื่อนในโรงเรียน”
กู้ช่านตอบอย่างขอไปทีว่า “ตาเฒ่าอยู่บ้านฝั่งตะวันออกป้องกันเสือทุกวัน แต่ไม่ทันระวังปล่อยให้เสือเข้าบ้านมากินเขา เด็กน้อยบ้านฝั่งตะวันตกไม่รู้จักเสือ จึงหยิบลำไม้ไผ่มาไล่เสือเหมือนไล่วัว”
เด็กน้อยพูดอย่างเดือดดาล “ตัวอักษรเยอะขนาดนี้เชียว? เอาน้อยๆ หน่อยสิ แล้วก็ให้มีอำนาจเต็มเปี่ยมด้วย!”
กู้ช่านร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็พูดไปอย่างส่งเดชว่า “เด็กหนุ่มลับมีดยามค่ำคืน ป่าวประกาศว่าใครล่วงเกินข้า คนผู้นั้นยืนก็ตาย คุกเข่าก็ตาย”
เจ้าตัวน้อยขมวดคิ้ว “ปราณสังหารเข้มข้นเกินไปแล้ว ข้ากลัวว่าจะถูกคนตี แต่ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ คงได้แต่เอาไปพูดกับคนที่วิ่งตามข้าไม่ทันเท่านั้น”
กู้ช่านหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบหัวเด็กน้อยไปหนึ่งที “เจ้านี่ฉลาดเหมือนข้า ตอนเด็กๆ เลย”
กู้ช่านหยุดเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “คำพูดระยำเช่นนี้ ฟังไปแล้วก็ลืมมันไปเถอะ ข้าจะสอนเจ้าอีกประโยคหนึ่ง ฟังแล้วดูมีความกล้าหาญมากกว่า”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “รีบพูดมาเลย!”
กู้ช่านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บนเตียงเย็นวาบทุกวัน”
เด็กน้อยกล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นความโกรธ ยกมือตบลงบนไหล่ของคนผู้นั้น “เจ้าน่ะสิที่ฉี่รดที่นอน!”
กู้ช่านพลันเอ่ยอย่างสงสัย “ใช่แล้ว อาจารย์ไม่ตีเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้ร้องไห้ ขี้มูกโป่งกลับบ้านมาทุกวันหรือไร? บอกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นเป็นตะพาบเฒ่า ชอบหยิบไม้เรียวมาตีพวกเจ้ามากที่สุด?”
เด็กน้อยยักไหล่ ยิ้มหน้าเป็น “เจ้าคงไม่รู้ล่ะสิ ที่โรงเรียนเปลี่ยนอาจารย์คนใหม่มาสอนแล้ว อาจารย์คนเก่าน่าโมโหยิ่งนัก คนที่เรียนดี เขาไม่เคยด่าไม่เคยดี เอาแต่ จับจ้องคนที่เรียนไม่เก่งอย่างพวกเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทั้งด่าทั้งตีอยู่นั่นแหละ ราวกับว่าพวกเราไปขโมยของในบ้านเขามาอย่างไรอย่างนั้น ข้าถึงขั้นนึกอยากโต กว่านี้ ไม่ต้องเป็นเด็กนักเรียน พอเริ่มมีเรี่ยวแรงบ้างแล้วจะแอบไปซ้อมเขาสักรอบ ส่วนอาจารย์คนปัจจุบันนี่ ดีมากเลยล่ะ ไม่เคยตีใคร แล้วก็ไม่เคยสนใจพวกเราด้วย ตอนนี้ชีวิตข้าช่างสุขสบายเสียจริง”
กู้ช่านหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ชอบอาจารย์คนปัจจุบันมากกว่าสินะ?”
เด็กน้อยอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง “เจ้าคนแซ่กู้ วันนี้ตอนออกมาจากบ้าน เจ้าถูกประตูหนีบหัวหรือไง? ทำไมถึงได้เอาแต่ถามคำถามโง่ๆ พวกนนี้? หากเปลี่ยนเป็นเจ้าที่ไปเรียนหนังสือในโรงเรียน จะไม่ชอบอาจารย์คนใหม่มากกว่าหรือ? ทุกวันนี้ต่อให้ พวกเราเล่นสนุกกันแค่ไหน แต่ขอแค่ไม่ไปรบกวนการเรียนของเด็กดีพวกนั้นก็พอแล้ว อาจารย์คนใหม่ไม่เคยสนใจ อย่าว่าแต่ตีเลย แม้แต่ด่าสักคำก็ไม่เคย ดีจะตายไป!”
กู้ช่านเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ที่ดูแลแต่เด็กเรียนดี ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่ดีหรือ? ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้จะยังต้องการอาจารย์สอนหนังสือไปทำไม?”
เด็กน้อยทอดถอนใจ “เจ้าคนแซ่กู้ สมองเจ้าพังหมดแล้วจริงๆ อันที่จริงนะ เมื่อก่อนข้าก็ยังนึกอยากให้เจ้าได้คู่กับพี่สาวข้า แต่ตอนนี้อย่าดีกว่า ข้าเรียนหนังสือ ก็ไม่ได้ความแล้ว หากในอนาคตพี่เขยยังไม่เอาไหนอีก วันหน้าจะทำอย่างไร”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเรียนหนังสือไม่ได้ความ ข้าว่าเจ้าฉลาด ไม่น้อย”
เด็กน้อยทำไหล่ลู่คอตก “ไม่เพียงแต่อาจารย์ใหม่ตอนนี้ แม้แต่อาจารย์คนก่อน ก็ยังบอกว่าหากข้ายังเกเรซุกซุนเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางได้ดิบได้ดีไปชั่วชีวิต ทุกครั้งที่อาจารย์ผู้เฒ่าด่าข้าหนึ่งครั้ง ไม้บรรทัดก็จะฟาดลงบนมือข้าหนึ่งที แล้วเวลาตีข้าน่ะ เขาใส่แรงมากที่สุดเลย ข้าล่ะเกลียดเขาจะตายอยู่แล้ว”
กู้ช่านลูบศีรษะของเด็กน้อย “เมื่อเติบใหญ่แล้ว หากพบเจอกับอาจารย์ทั้งสอง ในตรอกหรือบนถนน อาจารย์คนใหม่ เจ้าจะไม่สนใจเขาก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเขา ก็แค่รับเงินแล้วทำงานไปตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่แท้จริง แต่หากเจอกับอาจารย์คนเก่าผู้นั้น เจ้าจะต้องเรียกเขาคำหนึ่งว่าท่านอาจารย์”
เด็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น พูดอย่างเดือดดาลว่า “อาศัยอะไร! ข้าไม่ทำ!”
กู้ช่านแหงนหน้ามองท้องฟ้า “ก็อาศัยข้อที่ว่า อาจารย์ท่านนี้ยังคงมีความหวังต่อตัวเจ้า”
เด็กน้อยฟังด้วยความสับสนไม่เข้าใจ อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าเองก็เคยถูกอาจารย์ที่นิสัยแย่ตีแรงๆ มาก่อนหรือ?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ว่าเขานิสัยดีมาก”
เด็กน้อยจุ๊ปากพูด “น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไรเลย หึ แต่ข้ายังดีกว่าเจ้าหน่อย อาจารย์คนเก่าไม่อยู่แล้ว อาจารย์คนใหม่ก็ไม่ตีใคร”
เด็กน้อยลุกขึ้นยืน เช็ดใบหน้าลวกๆ แล้วแอบป้ายไปบนไหล่ของกู้ช่าน ก่อนจะวิ่งตะบึงหนีไป
กู้ช่านหันหน้าไปมอง ล้วนมีแต่คราบน้ำมูกของเจ้าลูกกระต่ายผู้นั้น
กู้ช่านสะบัดอาภรณ์อย่างเงียบเชียบ สลายร่องรอยเหล่านั้นทิ้งไป
เขาลุกขึ้นยืน เดินกลับเข้าไปในเรือน พอปิดประตูลงแล้วก็เอาพัดไม้ไผ่เหน็บ ไว้ตรงเอว
คนหลายคนล้วนสมควรตาย อีกทั้งวันหน้าจำนวนคนเหล่านี้ก็มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้กู้ช่านต้องมีชีวิตอยู่ก่อน วันหน้าจะใช้การทำความดีมาสะสมกองกำลัง เสริมด้วยวิธีการควบคุมใจคนหลากหลายรูปแบบ แล้วค่อยใช้กฎเกณฑ์มาฆ่าคน แม้ว่าจะไม่ค่อยสะใจเท่าไร แต่เขาจะยังพูดอะไรได้อีกเล่า? เรื่องดีข้าก็ทำ คนเลวข้าก็สังหาร อีกอย่างยังฆ่าอย่างที่เจ้าเฉินผิงอันไม่อาจหาข้อตำหนิใดๆ ได้อีกด้วย!
กู้ช่านเอนหลังพิงประตูห้อง
เพราะที่แท้เจ้าเด็กขี้มูกยืดในตรอกหนีผิงคนนั้นก็ตายไปแล้วจริงๆ
ในใจของเฉินผิงอัน ในใจของกู้ช่าน ล้วนตายไปแล้ว
แต่ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้กู้ช่านเสียใจมากที่สุด
นั่นคือตนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าสานของตรอกหนีผิงผู้นั้นอีกแล้ว เป็นเขาเฉินผิงอันที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป
กู้ช่าน
ช่าน
หยกงามส่องประกาย (อักษรช่าน 璨 ในชื่อกู้ช่าน สามารถแยกตัวอักษรออกมาได้อีกสามคำ เป็นความหมายว่าหยกที่ส่องประกาย) ที่คนผู้นั้นคาดหวังอย่างถึงที่สุด
ไม่มีทางมีได้อีกตลอดกาล
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น
กู้ช่านพลันปลดพัดพับลงมาแล้วคลี่ออก ใช้มันปกปิดใบหน้า
ครู่หนึ่งต่อมา กู้ช่านก็หุบพัดลง คลี่ยิ้มกว้างสดใส เอ่ยทักทายว่า “เจิงเย่”
เจิงเย่ยิ้มเกาหัว อืมรับหนึ่งที
แต่แท้จริงแล้วทั้งหน้าผากและฝ่ามือล้วนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
กู้ช่านเดินเข้าไปในห้องหลัก ไปอ่านหนังสือต่อ