Skip to content

Sword of Coming 536

บทที่ 536 ว่าวบนท้องฟ้ามีความแตกต่าง

บนเกาะกงหลิ่ว เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับยังคงมีต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่

เกาะแห่งนี้คือภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักเจินจิ้ง ซึ่งก็คือภูเขาที่สร้างศาล บรรพจารย์ขึ้นมา

ทั่วทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้แต่เกาะกงหลิ่วเอง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้มีงานก่อสร้าง ฝุ่นผงปลิวคลุ้งมืดฟ้ามัวดินอยู่ตลอดเวลา สำนักเจินจิ้งที่ใช้จ่ายเงินมือเติบจ้างอาจารย์กลไกของสำนักโม่ นักสำรวจภูมิศาสตร์หยินหยางจำนวนมากให้มาตรวจสอบที่ดิน ยืนยันโชคชะตาน้ำรากภูเขาของที่แห่งนี้ให้แน่ชัด และยังมีเซียนซือของหลายสำนักซึ่งรวมนักกสิกรรมเป็นหนึ่งในนั้น บวกกับช่างบนภูเขาอีกมากมายถูกจ้างให้มาทำงานที่นี่ หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินก็คือ อย่าได้ประหยัดเงินเทพเซียนให้ข้าเด็ดขาด ก้อนอิฐทุกก้อน ฉลุหน้าต่างทุกบาน สวนดอกไม้ทุกแห่งของที่แห่งนี้ ล้วนต้องใช้ของ ที่ดีที่สุดของแจกันสมบัติทวีป

อีกทั้งผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างจวนตระกูลเซียนเหล่านั้นยังมีจำนวนหลายร้อยคน ส่วนใหญ่ล้วนมาจากใบถงทวีป ลำพังแค่เรื่องให้คนที่จ้างมานั่งเรือ ข้ามฟากไปกลับข้ามทวีป รวมไปถึงค่าเข้าพักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่สำนักเจินจิ้ง ออกค่าใช้จ่ายให้หมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่การใช้จ่ายเงินเทพเซียนในเรื่องนี้ก็มากพอจะทำให้เกาะมากมายในทะเลสาบซูเจี่ยนต้องควักทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมาใช้ภายในค่ำคืนเดียวแล้ว

เป็นเหตุให้ตระกูลเซียนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปทั้งหมดล้วนรับรู้ เรื่องที่สอง นั่นคือสำนักเจินจิ้งมีเงินมากจนคนขนหัวชี้ชันด้วยความโกรธ

ส่วนเรื่องแรกนั้นก็แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนสามคนครึ่ง

คนหนึ่งคือเซียนกระบี่หญิงนามว่าลี่ไฉ่ที่มาจากอุตรกุรุทวีป ผู้เฒ่าสำนักกุยหยกที่เดิมทีมีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงขอบเขตหยกดิบ และสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสียที่เป็นขอบเขตหยกดิบครึ่งตัว

ตอนนี้หลิวจื้อเม่าเริ่มปิดด่านแล้ว

ดังนั้นช่วงนี้เกาะโดยรอบเกาะกงหลิ่วทั้งหมดจึงปิดภูเขา

มีคนสองคนเดินเลียบริมฝั่งที่ต้นหลิวต้นหยางขึ้นเรียงรายไปช้าๆ เจ้าสำนัก เจียงซ่างเจิน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหลิวเหล่าเฉิง

เจียงซ่างเจินหักกิ่งหลิวลงมาถักเป็นมงกุฎแล้วสวมครอบไว้บนศีรษะตัวเอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก ใช่มั้ย พี่ใหญ่หลิว” (มาจากประโยคหวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก ต้นหลิวต้นหยางพลิ้วไหวโชยอ่อนไปตามสายลม)

หลิวเหล่าเฉิงไม่ได้เอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินเป็นบุรุษที่ประหลาดอย่างมาก เขามีวิธีการที่อำมหิตนองเลือด เชี่ยวชาญการซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้ม แต่ให้ความเคารพกฎเกณฑ์เป็นที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มาจากคำพูดของเจียงซ่างเจินเอง แต่เป็นเพราะการกระทำ ทุกอย่างของเจียงซ่างเจินที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของ สำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกแห่งนี้ที่เป็นการอธิบายหลักการเหตุผลนี้แก่ผู้ฝึกตนในสำนักทุกคน แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ที่เจียงซ่างเจินตั้งขึ้นมีจุดที่ไม่เห็นใจผู้อื่นอยู่มากมาย

ด้วยเรื่องนี้กวนอี้หรานแม่ทัพกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่มาปักหลักเคยได้สื่อสารพูดคุยกับสำนักเจินจิ้งอยู่หลายครั้ง หลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานก่อกำเนิดมักจะไปทะเลาะกับจวนแม่ทัพเป็นประจำ ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง ทุบโต๊ะถลึงตา ยังดีที่ ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ ไม่ได้ลงมือกันจริงจัง

ไม่ใช่ว่าหลี่ฝูฉวีนิสัยดีอะไร แต่เป็นเพราะเจียงซ่างเจินเคยเตือนสตรีผู้ถวายงานที่คล้ายกับเป็นหน้าเป็นตาภายนอกให้แก่สำนักเจินจิ้งผู้นี้ว่า ชีวิตของเจ้าหลี่ฝูฉวีไม่มีค่า หน้าตาของสำนักเจินจิ้ง…ก็ไม่มีค่า ใต้หล้านี้สิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริง มีเพียงเงินเท่านั้น

ประโยค ‘หวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก’ ที่เจียงซ่างเจินเอ่ยออกมาจากความรู้สึกก่อนหน้านี้ อันที่จริงความหมายก็เรียบง่ายมาก ในเมื่อข้ายินดีพูดเรื่องนี้ ต่อหน้าเจ้า ก็หมายความว่าถึงแม้ข้าเจียงซ่างเจินจะรู้เรื่องความรักความแค้นในอดีตของเจ้าหลิวเหล่าเฉิง แต่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงสามารถวางใจได้เลย ข้าไม่มีทางใช้อุบายใดๆ ที่จะทำให้เจ้าคับแค้นสะอิดสะเอียนเด็ดขาด

หลิวเหล่าเฉิงเองก็ไม่เกรงใจ เขาวางใจได้จริงๆ

ส่วนหลิวจื้อเม่านั้น หากฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ ผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนของสำนักเจินจิ้งก็จะเปลี่ยนมาเป็นสามคน

เพราะยอดฝีมือสำนักกุยหยก หรือจะพูดให้ถูกก็คือผู้เฒ่าจากสำนักใบถงที่ป่าวประกาศแก่โลกภายนอกว่าปิดด่านผู้นั้น อันที่จริงได้ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้ อีกแล้ว

ตอนนั้นทำท่าว่าเป็นการล้อมสังหารของคนสี่คนที่ร่วมมือกัน แต่คนที่ลงมือจริงๆ กลับมีแค่สองคน

หลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่าแค่รับหน้าที่คุมท้ายขบวน หรือควรจะพูดว่ารับหน้าที่คอยดูงิ้ว

เชือดไก่ให้ลิงดู

เกิดขึ้นที่เกาะกงหลิ่วแห่งนี้

ลี่ไฉ่และเจียงซ่างเจิน คนหนึ่งชักกระบี่ออกจากฝัก อีกคนหนึ่งเรียกใบหลิวออกมา ตาเฒ่าที่พกพาอาวุธหนักของสำนักใบถงหันมาสวามิภักดิ์ต่อสำนักกุยหยก ผู้นั้น พอเห็นหน้าลี่ไฉ่ก็ไม่เหลือแม้แต่ความคิดจะให้เจ้าคนบ้าอย่างเจียงซ่างเจินพินาศวอดวายไปพร้อมกันอีกแล้ว น่าเสียดายที่เขาอยากหนีแต่หนีไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงตายไป

สู้กันอย่างไม่มีความระทึกชวนตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้ฝึกตนหลายคน บนเกาะกงหลิ่วก็ยังสัมผัสได้เพียงภาพปรากฎการณ์แปลกประหลาดแค่วูบเดียว จากนั้นฟ้าดินก็เงียบสงัด ลมพัดโชยเอื่อย แสงจันทร์กระจ่างสว่าง

เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยขึ้นว่า “วันหน้าหากเจอกับนักพรตของสำนักโองการเทพ บอกให้ลูกศิษย์ของสำนักเจินจิ้งข้า ให้ความเคารพพวกเขาสักหน่อย เจียมตัวกันเข้าไว้ ไม่ว่าถูกหรือผิด ขอแค่เกิดการปะทะกัน ถูกคนฆ่าตาย ไม่ว่าจะเป็นใคร สำนักเจินจิ้งจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่ทันระวังไปฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย ศาลบรรพจารย์สำนักเจินจิ้งก็จะตัดหัวของวีรบุรุษชายชาตรีผู้นั้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น แล้วให้หลี่ฝูฉวีส่งไปยังสำนักโองการเทพเพื่อขอขมา”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้ม “ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรใช่ไหม?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า

ไม่ยากที่จะเข้าใจ

ต้นไม้ใหญ่เรียกลม เป็นเป้าของฝูงชน

สำนักเจินจิ้งไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปใดๆ ในแจกันสมบัติทวีป มองดูเหมือน มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด แต่อันที่จริงล้วนมีศัตรูอยู่ทุกหนแห่ง ยกตัวอย่างเช่น กองทัพม้าเหล็กต้าหลี

แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ การที่เจ้าสำนักหนุ่มอย่างเจียงซ่างเจินยอมก้มหัวให้ถึงขั้นนี้ หลิวเหล่าเฉิงอดเลื่อมใสเขาไม่ได้

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ในมือได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาผู้นี้ใช้วิธีการที่ป่าเถื่อนไร้พันธนาการยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “ตอนนี้สภาพการณ์ของข้า หรืออันที่จริงก็คือสภาพการณ์ของเจ้ากับหลิวจื้อเม่า ทั้งต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่ง สะสมกองกำลังที่แท้จริง แล้วก็ทั้งต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าสามารถควบคุมได้ด้วย ก็แค่ไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้วสกุลซ่งต้าหลีจะผลักใครออกมางัดข้อกับสำนักเจินจิ้งของพวกเรา แจกันสมบัติทวีปไม่ว่าอะไรก็ดีหมด มีแค่เรื่องนี้ที่ไม่ดี สกุลซ่งคือเจ้าของทั้งทวีป ราชวงศ์ในโลกมนุษย์แห่งหนึ่งกลับมีหวังว่าจะควบคุมบนภูเขาล่างภูเขาได้อย่างสิ้นเชิง หากเปลี่ยนมาเป็นใบถงทวีปของพวกเรา ฟ้าสูงฮ่องเต้เล็ก ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็คือ คนที่มีอิสระเสรีอย่างแท้จริง”

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มเอ่ย “อันที่จริงเมื่อก่อนทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นเช่นนี้ กษัตริย์ อ๋องและขุนนางของแคว้นทั้งหลายรอบด้าน ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย”

เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ไม่เหมือนกัน สถานที่ไร้กฎหมายอย่างทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสถานที่เปลี่ยวร้างกันดารในยุคบรรพกาลอันห่างไกล ปีศาจ นับหมื่นบนโลกสามารถทำตัวกำเริบเสิบสานแค่ไหนก็ได้ องค์เทพบนสวรรค์กิน ควันธูปในโลกมนุษย์เป็นอาหาร ส่วนเผ่าปีศาจบนพื้นดินก็กินคนเป็นอาหาร ดังนั้น ถึงได้มีการแบ่งแยกฟ้าดินของอริยะผู้มีคุณธรรม ตัวอยู่ท่ามกลางโชคแต่ไม่รู้ว่ามีโชค ไม่ใช่ว่ามีเพียงคนโง่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วพวกเราทุกคนต่างก็แทบไม่ใช่ข้อยกเว้น”

เจียงซ่างเจินสาวเท้าเดินเนิบช้า “ตอนนี้ชาวบ้านในใต้หล้าไพศาลของพวกเรา พดถึงพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ ภูตต้นไม้ดอกไม้ ภูตตัวประหลาดทั้งหลาย ผีและวัตถุหยินว่าอะไร? บอกว่าพวกมันอยู่ในสถานที่มืดสลัวห่างไกลไปสุดขอบฟ้า อยู่ในทะเลสาบหนองบึงในผืนป่าที่ไร้เงาผู้คน ต่อให้จะมีพวกที่อยู่ใกล้กับโลกมนุษย์ พวกที่อยู่ร่วมกับพวกเรา แต่ก็ยังคงถูกกฎเกณฑ์ที่ยิบย่อยอย่างถึงที่สุดพันธนาการเอาไว้ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีปีศาจออกอาละวาด ก็คือสถานที่ที่เทียนซือ ออกกระบี่ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดล้วนมียันต์ไม้ท้อ ภาพเทพทวารบาล ศาลบรรพชนที่ควันธูปลอยกรุ่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง สามารถไปวัดวาอารามเพื่อขอพร ขอให้พ้นจากทุกข์ภัย มีการขึ้นภูเขาไปพบปะเซียน มีโชควาสนาในแบบต่างๆ”

เจียงซ่างเจินหยุดเดิน กวาดตามองรอบด้าน แล้วจึงปลดมงกุฎกิ่งหลิวโยนทิ้งไปในทะเลสาบ “ถ้าอย่างนั้นหากมีวันหนึ่ง มนุษย์อย่างพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตน ล้วนจำต้องสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกับพวกมัน จะมีสภาพการณ์ แบบไหน? เจ้ากลัวหรือไม่? แต่ข้าเจียงซ่างเจินกลับกลัวมาก”

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “ข้าไม่มีทางคิดเรื่องพวกนี้”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ไม่เป็นไร เพราะมีคนที่จะคิด ดังนั้นเจ้าและหลิวจื้อเม่า จึงสามารถวางอยู่ตัวนอกเรื่องราวได้เต็มที่ ตั้งใจฝึกตนของตัวเองไป เพราะต่อให้ วันหน้าจะเกิดฟ้าดินพลิกคว่ำ พวกเจ้าก็ยังสามารถหลบพ้นหายนะไม่ต้องตาย ขอบเขตสูงมากพอก็ย่อมมีทางถอยและทางรอดให้แก่พวกเจ้า และไม่ว่าวิถีทางโลก จะย่ำแย่แค่ไหน ก็ดูเหมือนว่ามักจะมีคนที่คอยช่วยโอบอุ้มเจ้ากับหลิวเหล่าเฉิง อยู่เสมอ พวกเจ้าเกิดมาก็เพื่อนอนเสวยสุข อืม ก็เหมือนข้า ยืนก็มีเงิน นอนก็ยังมีเงิน”

หลิวเหล่าเฉิงขมวดคิ้ว

เจียงซ่างเจินถามด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าหากผู้ฝึกตนบนยอดเขาทุกคนต่างก็คิดเหมือนเจ้าหลิวเหล่าเฉิงเล่า?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ไม่มีทาง”

เจียงซ่างเจินเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ดังนั้นนี่ก็คือจุดที่น่าสนุกมากที่สุด เรื่องดีทุกอย่าง พวกเรามองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไหนเลยจะต้องพูดให้มากคิดให้มาก แต่เรื่องที่ไม่ดี พวกเรากลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สามารถคิดถึงได้เป็นนาน”

หลิวเหล่าเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักผู้นี้พูดเรื่องเหล่านี้กับตนด้วยจุดประสงค์ใด

เจียงซ่างเจินกลับเปลี่ยนหัวข้อเสียแล้ว ท่าทีของเขาผ่อนคลาย ไม่เหลืออารมณ์ประหลาดอย่างก่อนหน้านี้อีก ฝีเท้าก็แผ่วเบา “ในนิยายยุทธภพบอกไว้ว่า สหายของวีรบุรุษต่างก็เป็นคนดีที่ทำเรื่องดี ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังตายอย่างมีค่า ในนิยาย เรื่องเล่าประหลาดเทพเซียนบอกไว้ว่า จิตใจมนุษย์ขึ้นๆ ลงๆ มีผีร้ายคอยเดินวนเวียน ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่วล้วนมีผลตอบแทน หลิวเหล่าเฉิง เจ้าเคยอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดพวกนี้ไหม?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ไม่เคยอ่าน”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกว่าต้องอ่านหนังสือให้มากๆ อย่างไรเล่า”

หลิวเหล่าเฉิงรู้ว่าเจ้าสำนักท่านนี้กำลังล้อเล่น ดังนั้นจึงไม่เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจัง

เจ้าสำนักท่านนี้อยู่ว่างงานอย่างน่าเบื่อหน่ายทุกวัน นอกจากการฝึกตนแล้วก็มักจะร่ายใช้เวทอำพรางตาไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในสี่นครใหญ่ริมทะเลสาบซูเจี่ยน ทุกครั้งที่กลับมาจะต้องซื้อของเล่นมาให้เด็กที่เซียนกระบี่ลี่ไฉ่ผู้นั้นเป็นคนอุ้มมาเสมอ เขาหยอกเล่นกับเด็กคนนั้น สอนให้เด็กคนนั้นหัดเดิน เจียงซ่างเจินสามารถใช้เวลานานๆ ไปกับเรื่องพวกนี้ บางครั้งแม้แต่หลิวเหล่าเฉิงก็ยังอดอัดอั้นไม่ได้ สรุปแล้วเป็นเพราะนิสัยที่คนคาดเดาไม่ถูกเช่นนั้นของเจียงซ่างเจินที่ทำให้เขาเดินทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งสูงอย่างในทุกวันนี้

หรือว่าเป็นเพราะหลังจากที่อยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว จิตใจดั้งเดิมและนิสัยเริ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยน ถึงได้มีเจ้าสำนักเจินจิ้งอย่างในทุกวันนี้กันแน่

เจียงซ่างเจินเดินมาถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง “ก่อนที่หลิวจื้อเม่าจะปิดด่านได้ขอพื้นที่เขตอิทธิพลเดิมซึ่งรวมถึงเกาะชิงเสียกับเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้นจากข้า เขาคิดว่า จะมอบมันให้แก่กู้ช่านผู้เป็นลูกศิษย์ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขตพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับนคร อวิ๋นโหลวนั้น ข้าคิดจะมอบมันให้กับกู้ช่านโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มอย่างกู้ช่านที่อายุยังน้อยผู้นั้น พอได้ยินเรื่องนี้กลับกล้ารับเอาไว้ สมกับคำว่าหิวตายขี้ขลาด อิ่มตายใจกล้าเสียจริง”

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ หากอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยน สำหรับสำนักเจินจิ้งแล้ว อาจกลายมาเป็นภัยร้ายแอบแฝง”

เจียงซ่างเจินหันหน้ามาส่งยิ้มด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกล่าวอย่างจริงใจว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่เพราะข้ามีความแค้นกับเขาและเกาะชิงเสีย ข้าหลิวเหล่าเฉิงและสำนักเจินจิ้งต่างก็ไม่ใคร่ยินดีเห็นกู้ช่านค่อยๆ ลุกผงาด เลี้ยงเสือไว้เป็นภัย คือข้อห้ามใหญ่หลวง”

ไม่ใช่เพียงแค่

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “เจ้ารู้สึกว่าที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของกู้ช่านคืออะไร?”

หลิวเหล่าเฉิงตอบ “แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่ไม่ได้อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว รวมไปถึงกฎเกณฑ์ที่เฉินผิงอันสอนเขา กวนอี้หรานที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับ เฉินผิงอัน หรือไม่อาจจะยังมีคนที่ข้าไม่รู้อยู่อีก พวกเขาย่อมต้องคอยจับตามอง ทุกการกระทำของกู้ช่านอย่างลับๆ นี่หมายความว่ากวนอี้หรานต้องใช้โอกาสนี้จับตามองข้าและหลิวจื้อเม่า รวมไปถึงสำนักเจินจิ้งไปพร้อมกันด้วย เรื่องเหล่านี้ กู้ช่านน่าจะคิดได้แล้ว”

สำหรับเรื่องเลี้ยงเสือไว้เป็นภัย

เจียงซ่างเจินไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

แม้ว่าหลิวจื้อเม่าจะมีขอบเขตต่ำกว่าหลิวเหล่าเฉิง แต่ได้ไปมาหาสู่กับ ราชสำนักต้าหลีมากกว่า อีกทั้งในอดีตยังคาดหวังว่าจะได้เป็นเจ้าแห่งทะเลสาบ ซูเจี่ยนอย่างสมชื่อมากกว่าหลิวเหล่าเฉิง ดังนั้นในเรื่องบางเรื่องจึงมองการณ์ไกล ได้กว่าหลิวเหล่าเฉิง แน่นอนว่าสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัวของหลิวจื้อเม่าเอง เพราะฉะนั้นหัวสมองของเขาถึงแล่นได้มากกว่า ส่วนหลิวเหล่าเฉิงนั้น ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระที่มีความหวังบนมหามรรคา ความคิดจิตใจจึงบริสุทธิ์กว่า ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากขนาดนั้น

อันที่จริงก่อนที่หลิวจื้อเม่าจะปิดด่าน เขาเคยไปหากู้ช่านที่ตรอกเก่าโทรมของนครน้ำบ่อมาก่อน

เจียงซ่างเจินเดาออกว่าด้วยเรื่องอะไร

มอบตำราถ่ายทอดมรรคา

ขอเกาะชิงเสียกลับคืนมาจากสำนักเจินจิ้งก็คือการปกป้องมรรคาที่ยาวไกลสำหรับกู้ช่าน เพราะหลิวจื้อเม่าเองก็สามารถคาดเดาแผนการที่ยาวนานแผนหนึ่งของเจียงซ่างเจินออกเช่นกัน

แทนที่จะปล่อยให้สกุลซ่งต้าหลีประคับประคองกองกำลังที่ไม่รู้จักมาเล่นงานสำนักเจินจิ้ง ก็ไม่สู้ให้สำนักเจินจิ้งเป็นฝ่ายหาคนที่เหมาะสมแล้วส่งตัวไปให้ถึงที่ยังดีกว่า

สำหรับสองฝ่ายแล้ว นี่คือทางเลือกที่ฉลาดซึ่งไม่ ‘เสียหายภายใน’ มากที่สุด

เจียงซ่างเจินเดินอาดๆ ไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนสองครั้ง ขอแค่คน ที่มีใจไม่ได้ตาบอดก็ล้วนย่อมต้องมองเห็นอยู่ในสายตา เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ เจียงซ่างเจินจงใจให้คนใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว

เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว

เจียงซ่างเจินแห่งสำนักเจินจิ้ง

สะพานที่เชื่อมอยู่ตรงกลางนั้น ก็คือเกาะชิงเสียและกู้ช่าน

ดังนั้นด่านยากที่แท้จริงของสำนักเจินจิ้งไม่ได้อยู่ที่กู้ช่าน ทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้แต่สำนักโองการเทพอะไร

แต่อยู่ที่เบื้องหลังสถานการณ์ใหญ่สองอย่าง หนึ่งคือกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ฮุบกลืนหนึ่งแคว้น จากนั้นก็ต้องต้านทานกองกำลังอีกกองที่ใหญ่ยิ่งกว่า

เวลานั้นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สำนักเจินจิ้งต้องเปลี่ยนจากทางเลือกมาเป็นคัดเลือกแล้ว

แต่สิ่งเหล่านี้ อย่าว่าแต่หลิวเหล่าเฉิงเลย ต่อให้เป็นหลิวจื้อเม่าก็ยังถูกปิดหูปิดตา บุคคลยิ่งใหญ่อย่างสำนักเจินจิ้ง เมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระสองคนนี้ พวกเขาจะยินดีขบคิดถึงความรู้ในส่วนลึกที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองได้อย่างไร?

ผู้ฝึกตนอิสระ นอกจากตบะของตัวเองพอจะมีน้ำหนัก หมัดใหญ่หน่อยแล้ว ยังจะเข้าใจอะไรอีก?

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเจอสายตาดูแคลน เจอการข่มกำราบจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมาจนพอแล้ว แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังเพ้อฝันคิดว่าขอบเขตก็คือหลักการเหตุผลทุกอย่าง

ไม่คิดจะใคร่ครวญดูให้ดีว่าเหตุใดสำนักกุยหยกถึงได้มีเจ้าสำนักที่ใกล้จะได้เป็นขอบเขตบินทะยาน เหตุใดเขาเจียงซ่างเจินถึงได้ครอบครองกิจการบ้านเรือนอย่างในทุกวันนี้? ลำดับก่อนหลังไม่อาจเรียบเรียงผิดพลาดได้ สามลัทธิร้อยสำนักที่ตอนนี้ มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ช่วงแรกเริ่มสุดนั้น มีใครบ้างที่ไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจาก เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ได้แต่เอาชีวิตรอดไปวันๆ อยู่บนผืนแผ่นดินโลกมนุษย์? ใครบ้างที่ไม่ใช่หุ่นเชิดที่ใยชักอยู่ในมือของทวยเทพผู้อยู่สูงส่งบนสวรรค์ชั้นฟ้า?

ไม่ใช่ว่าเจียงซ่างเจินดูแคลนผู้ฝึกตนอิสระบนโลก ในความเป็นจริงแล้วปีนั้น ที่เขาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปก็เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระมานานหลายปี อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้ไม่เลวอีกด้วย

เจียงซ่างเจินมองไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนที่ริ้วคลื่นสีเขียวมรกตแผ่กระเพื่อมแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม้บรรทัดของเหล่าอาจารย์ ไม่ใช่ว่ามีมากเกินไป แต่มีน้อยเกินไป ตีเบาเกินไป ลูกศิษย์มักจะความจำไม่ดี จำไม่ได้ว่าเคยโดนตี แล้วก็ไม่เคยมีคนคิดว่า เหล่าอาจารย์จะมีความกลัดกลุ้มกังวลใจของตัวเองบ้างหรือไม่ วันใดอยู่ดีๆ จะพูดว่าผิดหวังก็ผิดหวังเลยหรือไม่ คนบนโลกทุกคนที่ชอบทำจิตใจให้สงบและใช้เหตุผล หากผิดหวังขึ้นมา นั่นก็แสดงว่าสิ้นหวังอย่างแท้จริงแล้ว”

ในใจของหลิวเหล่าเฉิงยังคงไม่มีความรู้สึกร่วมด้วยสักเท่าไร

เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาถามว่า “เจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งควักเอาความจริงใจออกมาพูดกับเจ้า เจ้าจะไม่ตั้งใจฟังก็ได้ แต่ถ้าเป็นขอบเขตเซียนเหรินเล่า?”

หลิวเหล่าเฉิงพลันขนลุกอยู่ในใจ

เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “คนไม่รู้ไม่ผิด เพราะถึงอย่างไรอริยะก็เคยกล่าวไว้ว่า ไม่ทันอบรมสั่งสอนก็ลงโทษคือการกระทำอันป่าเถื่อน”

เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง “เดิมทีไม่ควรบอกความจริงแก่เจ้าเร็วขนาดนี้ สมบัติพิทักษ์ภูเขาที่ข้าซ่อนไว้บนร่างของสาวใช้ยาเอ๋อร์นั่นต่างหากถึงจะเป็นด่านเป็นตายที่แท้จริงของเจ้ากับหลิวจื้อเม่า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เพราะจู่ๆ ข้าก็พลันคิดเรื่องหนึ่งได้อย่างกระจ่างแจ้ง ใช้เหตุผลพูดคุยกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเจ้า แค่หมัดแข็งกว่าก็เพียงพอ หากใช้ความคิดและจิตใจมากเกินไป มีแต่จะถ่วงเวลาการใช้จ่ายเงินของข้าเจียงซ่างเจิน”

ไม่ใช่ถ่วงเวลาการหาเงิน แต่เป็นถ่วงเวลาการใช้เงิน

หลิวเหล่าเฉิงสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ

สภาพการณ์อันตรายที่เป็นดั่งทางตันซึ่งไม่ได้พบเจอมานาน ปราณสังหารล้อมรอบทิศที่ไม่ได้พบเจอมานาน

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “เมื่อก่อนข้ามักจะรู้สึกว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขา เมื่อไปถึงจุดสูงที่สูงยิ่งกว่าเดิมแล้ว ก็มักจะเปลี่ยนไปเป็นฉลาดมากขึ้น แต่ตลอดหลายปีที่เฝ้าดูมานี้ อันที่จริงกลับผิดหวัง อย่างมาก หลิวเหล่าเฉิงหากเจ้าไม่รีบทำเวลา ไม่รีบสงบจิตใจฝึกฝนสภาพจิตของตนให้ดี เปลี่ยนเส้นสายรากฐานความคิดบางอย่างของตัวเอง อย่าว่าแต่ไล่ตามข้าเลย แม้แต่หลิวจื้อเม่าก็ยังสามารถสะบัดเจ้าทิ้งห่างไว้ด้านหลังได้ แน่นอนว่ายังมีกู้ช่าน ผู้นั้น อยู่แค่ว่าจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะรู้สึกได้เองว่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเจ้าก็คือเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า กู้ช่านที่ในอนาคต อันยาวนานเป็นได้แค่มดตัวหนึ่ง เจ้ากลับไม่อาจสังหารเขาได้อีกชั่วชีวิต หลิวจื้อเม่าขยับขึ้นมานั่งทัดเทียมกับเจ้า ยามมองข้าเจียงซ่างเจินก็ยิ่งได้แต่ต้องแหงนหน้ามอง”

เจียงซ่างเจินยกมือขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อแล้วพลิกหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง มือทั้งสองปั้นหยดน้ำสีเขียวมรกตที่รวบรวมแก่นโชคชะตาน้ำเอาไว้ขึ้นมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็ใช้สองนิ้วขยี้ให้แตกเบาๆ

“เจ้าคิดว่าปีนั้นที่นักบัญชีคนนั้นขึ้นเกาะมาพบเจ้าก็เพราะเคารพเลื่อมใสเจ้าอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เลย สิ่งที่เขาเคารพ สิ่งที่เขายำเกรงก็คือกฎเกณฑ์ที่มารวมกันอยู่บนร่างของเจ้าในเวลานั้น แต่สักวันหนึ่ง บางทีอาจไม่นานเท่าไรนัก ไม่กี่สิบปี? หรือหกสิบปี? ก็จะกลายเป็นว่าต่อให้เท้าทั้งสองข้างของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงเหยียบยืนอยู่บนยอดเขาของเกาะกงหลิ่ว คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงท่าเรือแห่งนี้ เจ้าก็ยังรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าเขาอยู่ดี”

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “ได้รับการสั่งสอนแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ขอบเขตเซียนเหรินเป็นคนพูดจะฟังเข้าหูกว่าจริงๆ เสียด้วย ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจอ่านตำราให้ดี ส่วนข้าก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี”

หลิวเหล่าเฉิงถอนหายใจหนึ่งที

อยู่ดีๆ เจียงซ่างเจินก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บางทีวันหนึ่งข้าอาจได้ย้อนกลับคืนไปเฝ้าพิทักษ์สำนักกุยหยกที่ใบถงทวีป ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไปของสำนักเจินจิ้ง ส่วนหลิวจื้อเม่าผู้นั้น เจ้าก็สามารถกดขอบเขตเขาไว้ที่คอขวดขอบเขตหยกดิบ ทำให้เขาไม่มีแม้แต่ความกล้าจะฝ่าทะลุสู่ขอบเขตเซียนเหริน หากเวลานั้นเจ้าอารมณ์ไม่เลว บวกกับที่รู้สึกว่าเขาไม่อาจเป็นภัยคุกคามแก่เจ้าได้ ก็ใจกว้าง สักหน่อย ให้เขาได้เลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน ปล่อยให้เขาได้ก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของสำนักเจินจิ้งอยู่ในแจกันสมบัติทวีปไปก็แล้วกัน”

เจียงซ่างเจินสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ “นี่ไม่ใช่การวาดภาพเพ้อฝันให้เจ้า ข้าเจียงซ่างเจินไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่ำช้าเช่นนั้น”

หลิวเหล่าเฉิงทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง

ตอนนี้สำนักเจินจิ้งมีคนที่คอยรวบรวมรายงานสายน้ำภูเขาทั้งหมดของใบถงทวีปโดยเฉพาะ ข่าวหนึ่งในนั้นมีการเล่าลือบอกว่า เจ้าสำนักของสำนักกุยหยกซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของตระกูลเซียนใบถงทวีปที่เก็บตัวเงียบมานานอาจจะปิดด่าน ไปแล้ว

หวังไขว่คว้าขอบเขตบินทะยานที่ลี้ลับมหัศจรรย์

และสวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่า อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับ หลิวเหล่าเฉิง เพราะถึงอย่างไรก็ร่วมเดินทางผ่านภูเขาสายน้ำอันเป็นเส้นทางยาวไกลในแจกันสมบัติทวีปมาด้วยกัน

อันที่จริงเดิมทีหลิวเหล่าเฉิงก็เป็นผู้ถวายงานที่สวินยวนเลือกให้มาอยู่ในสำนักเจินจิ้งอยู่แล้ว

เพียงแต่เมื่อมาอยู่กับเจียงซ่างเจิน ความสัมพันธ์ควันธูปน้อยนิดแค่นั้นกลับ ไม่มีค่าแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง

หลิวเหล่าเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ยากนักกว่าจะเกิดปณิธานแรงกล้าเช่นนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงพยักหน้า พูดเสียงทุ้มหนักว่า “ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ข้าหลิวเหล่าเฉิงก็สามารถทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อสำนักเจินจิ้งของตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว”

เจียงซ่างเจินหันมาตบไหล่หลิวเหล่าเฉิงเบาๆ “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ก่อนหน้านี้คำพูดบางอย่างของข้าไม่ค่อยน่าฟัง พี่ใหญ่หลิวอย่าได้ถือสากันเลย”

หลิวเหล่าเฉิงลังเลอยู่ชั่วขณะ

เจียงซ่างเจินก็เอ่ยขึ้นมาว่า “คนกันเอง เจ้าย่อมสามารถพูดจาไม่น่าฟังได้ เจ้าไม่ต้องถือสา ข้าคนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่กลัดกลุ้ม แค่กลุ้มว่ามีเงินมากเกินไปเท่านั้น”

หลิวเหล่าเฉิงตีหน้าเคร่งพูดว่า “เจ้าสำนักเจียง ทำไมเจ้าถึงได้กวนโอ้ยขนาดนี้?”

เจียงซ่างเจินนวดคลึงข้างแก้ม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเหมือนกระจ่างแจ้งในฉับพลันว่า “คงเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงกระมัง”

……

ทางฝั่งของแคว้นชิงหลวน มีเด็กหนุ่มชุดขาวรูปโฉมและบุคลิกโดดเด่นคนหนึ่ง พาหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเล็กไปเดินเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมาครึ่งแคว้น

ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ ‘เก็บตก’ หยกลัญจกรจากแคว้นเหวินจิ่งที่ล่มสลายมาจากมือของชายฉกรรจ์ที่ตระกูลตกอับคนหนึ่งบนท่าเรือหางผึ้งซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป

แต่แคว้นเหวินจิ่งนี้ไม่ได้ล่มสลายภายใต้กีบเท้าม้าเหล็กของต้าหลี แต่เป็นประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ยาวนานยิ่งกว่านั้น

ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทสิ้นแคว้นของแคว้นจิ่งเหวินผู้นั้นจะไม่มีความคิดที่จะกอบกู้แคว้นกลับคืนมา ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ก็ไม่คิดจะลงจากภูเขา ยังคงฝึกตนอยู่บนภูเขาดังเดิม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้แคว้นจิ่งเหวินจะยังเหลือโชคชะตาแคว้นอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เท่ากับชะตาแคว้นขาดสะบั้นไปแล้ว

เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนใดก็ล้วนไม่อาจเป็นจักรพรรดิได้ นี่คือกฎเหล็กของโลกมนุษย์

นอกจากหยกลัญจกรที่ซื้อมาในราคาถูกชิ้นนี้แล้ว เด็กหนุ่มยังไปดูต้นซิ่งโบราณ ‘ไม้จักรพรรดิ’ ‘ต้นไม้อัครมหาเสนาบดี’ ‘ซิ่งแม่ทัพ’ ต้นไม้หนึ่งต้นที่ได้รับการแต่งตั้งถึงสามชื่อ เด็กหนุ่มชุดขาวหยุดเท้ายืนนิ่งอยู่ที่นั่น ตรงช่วงล่างของต้นไม้ใหญ่กลวงโบ๋ เด็กหนุ่มนั่งยองหันหน้าเข้าหาโพรงนั้นแล้วพึมพำกับตัวเองอยู่นาน

ภายหลังระหว่างที่กำลังเดินทาง เด็กหนุ่มที่ได้หยกลัญจกรมาครองก็ใช้เหตุผลที่ว่า ‘การเก็บสะสมต้องเก็บได้ครบถ้วน’ จึงไปเยือนภูเขาอีกลูกหนึ่ง ไปเดิมพัน หนึ่งต่อหนึ่งกับผู้ฝึกตนเฒ่าที่เลือกเดินบนเส้นทางของการประคองมังกร จากนั้นก็ใช้สองเดิมพันสอง แล้วก็ชนะอย่างฉิวเฉียดมาอีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็ลงเดิมพันทุกอย่างที่มีลงบนโต๊ะ ใช้สี่เดิมพันสี่ สุดท้ายแปดเดิมพันแปด เอาชนะจนอีกฝ่ายเหลือ หยกลัญจกรเพียงสองชิ้น คนต่างถิ่นแซ่ชุยผู้นี้มีนิสัยชอบเดิมพัน ราวกับเสียสติไปแล้ว ถึงได้ป่าวประกาศว่าจะเอาสมบัติสิบหกชิ้นที่ได้มาอยู่ในมือแล้วเดิมพันกับอีกสองชิ้นสุดท้ายของอีกฝ่าย แล้วผลก็กลายเป็นว่าเขาคือฝ่ายชนะ

แล้วก็เพราะอาศัยโชคดีขี้หมาเช่นนี้ เด็กหนุ่มชุดขาวถึงได้สมบัติสิบหกชิ้นที่เหลืออยู่ของแคว้นเหวินจิ่งมาอยู่ในมือ เดินอาดๆ ลงมาจากภูเขา เอาหยกลัญจกรประจำแคว้นที่สืบทอดต่อกันมาซึ่งมีมูลค่าควรเมืองเหล่านั้นบรรจุไว้ในห่อผ้าฝ้ายง่ายๆ แล้วให้เด็กเล็กร่างกายบอบบางคนหนึ่งแบกไว้ เวลาเดินลงจากภูเขาจึงเกิดเสียงดังกระทบกันเคร้งคร้าง

ระหว่างที่เดินลงจากภูเขา เซียนหลิวหลีที่รับหน้าที่เป็นข้ารับใช้เฒ่ารู้สึกเสียว สันหลังวาบอยู่ตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอาจถูกเปิดออกทุกเมื่อ จากนั้นก็ถูกคนเขาปิดประตูตีสุนัข แน่นอนว่าสุดท้ายใครจะตีใครก็ยังบอกได้ยาก แต่ผู้ฝึกตนเฒ่ากังวลว่าสมบัติอาคมไม่มีตา หากเซียนซือใหญ่ชุยดูแลได้ไม่ทั่วถึง ตนจะพานถูกฆ่าผิดตัวไปด้วย ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้ชัดเจนดีว่าคนเดียวที่ชุยเซียนซือสนใจ คือเจ้าเด็กโง่ที่สายตาขุ่นมัวไม่ฉายแววของการมีสติปัญญาผู้นั้น

โชคดีที่ดวงในการเดิมพันของภูเขาลูกนั้นดีได้เสียที เพราะไม่ได้คิดจะลงมือ

ตลอดทางมานี้ คนทั้งสามคนต้องเดินเท้ากันไม่น้อย

เห็นการแสดงยุทธของเมืองหลวงที่แคว้นอวิ๋นเซียวเรียกว่ากองทัพม้าเหล็ก ได้ชื่นชมงานเทศกาลโคมไฟในเมืองหลวงของแคว้นชิ่งซาน น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ได้เห็น ‘ห้าสะคราญอวบอิ่ม’ อันเป็นความชื่นชอบประหลาดของฮ่องเต้แคว้นชิ่งซาน เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นแค่ได้เห็นให้เป็นบุญตาก็ยังดี แต่ชุยเซียนซือ ได้ซื้อ ‘เฉียนเปิ่นฉ่าว’ ซึ่งเป็นที่นิยมมาหนึ่งเล่ม ไม่ใช่ตำราฉบับสมบูรณ์หายากอะไร สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป เวลาที่เดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กระหว่าง ป่าเขา ก็มักจะเดินไปอ่านไป บอกว่าเนื้อหาชวนให้ขบคิด

หลังจากผ่านชายแดนแคว้นชิงหลวนมา ชุยเซียนซือก็เดินช้ายิ่งกว่าเดิม มักจะหยิบเอาหยกลัญจกรชิ้นหนึ่งออกมาเป็นประจำ แล้วเอามาถูลงบนใบหน้าของเด็กน้อยที่ถูกเขาเรียกว่า ‘เกาเหล่าตี้’

เซียนหลิวหลีทำหน้าที่เหมือนคนแบกหามที่คอยรับใช้คุณชายร่ำรวยที่ ออกเดินทางทัศนาจร คอยแบกหีบที่ใส่ของจุกจิก

แต่เขารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับ ‘เกาเหล่าตี้’ ที่มักจะถูกขี่เป็นม้าเป็นประจำแล้ว อันที่จริงเขาถือว่าโชคดีมากแล้ว ดังนั้นจึงมักจะพร่ำเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า ต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดีนี้เอาไว้

ส่วนการกระทำหลายอย่างที่เป็นไปตามแต่ใจขึ้นอยู่กับอารมณ์ของท่านชุยผู้นั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นมาจนชินชาแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มสามคนนั้นมีคนที่ชื่อว่าลวี่หยางเจิน ทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันโดยบังเอิญ เดินทางร่วมกันไประยะทางหนึ่ง เซียนหลิวหลีคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต่างจากมดตัวน้อยเหล่านี้มีคุณสมบัติอะไรมาพูดคุยกับเซียนซือใหญ่ชุยอย่างถูกคอ ถึงท้ายที่สุดยังได้รับโชควาสนาครั้งหนึ่งที่ เซียนซือใหญ่ชุยตั้งใจทิ้งไว้ให้ไปด้วย นั่นเป็นตอนที่อยู่ในถ้ำที่ใช้หลบฝนแห่งหนึ่ง แล้วไปแตะโดนกลไกโดย ‘ไม่ทันระวัง’ ดังนั้นอาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งในนั้นจึงได้รับยันต์ปึกใหญ่ที่มีชื่อว่าหวงสี่ เรียกได้ว่ามีโชคดีใหญ่เทียมฟ้า

หากนำมาหักเป็นเงินเทพเซียน ย่อมต้องเป็นทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งอย่างแน่นอน อีกสองคนที่เหลืออย่างพวกลวี่หยางเจินก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวไปไม่น้อย เชื่อว่าความรู้สึกของคนทั้งสามในเวลานั้นก็คงเหมือนเหยียบขี้หมา พอยกเท้าขึ้นมาดู โอ้โห กำลังจะอ้าปากด่า แต่ดันเห็นว่าด้านล่างขี้หมาซ่อนทองเอาไว้

ตอนนั้นเซียนหลิวหลีมองผู้ฝึกตนอิสระทั้งสามคนที่ปิติยินดีเจียนคลั่งปรึกษาหารือกัน จากนั้นก็ถือว่าพวกเขาพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง เพราะตกลงกันว่าจะแบ่งเงินเทพเซียนส่วนหนึ่งให้แก่เซียนซือใหญ่ชุย ส่วนเซียนซือใหญ่ชุยก็ดันทำหน้า ‘ดีใจอย่างไม่คาดฝัน’ บวกกับ ‘ซาบซึ้งจนน้ำหูน้ำตาไหล’ รับความปรารถนาดีนั้นไว้ เซียนหลิวหลีที่อยู่ด้านข้างมองดูอยู่ด้วยความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง

คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ งั้นควรทำอย่างไร? ก็ไม่ต้องคิดน่ะสิ ผู้ฝึกตนลัทธิมารอย่างเซียนหลิวหลีนี้ ในเรื่องบางเรื่องสามารถเข้าใจได้ชัดเจนเป็นพิเศษ

ส่วนที่เรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวซึ่งมีผู้ฝึกตนหญิงรวมตัวกันอยู่มากมายแห่งนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวก็ไปยืนสองมือเท้าเอวตรงหน้าประตูภูเขา แล้วร้องเร่ขายภาพ วังวสันต์เทพเซียนของตัวเองด้วยเสียงอันดัง แน่นอนว่าทำการค้าไม่สำเร็จ คุณธรรม ก็ไม่มี ดังนั้นจึงได้แต่ถูกผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มใหญ่พุ่งลงจากเขามาไล่ฆ่าด้วยท่าทาง เกรี้ยวกราดดุดัน

เรื่องแบบนี้ไม่นับเป็นเรื่องอะไรได้เลย

เซียนหลิวหลีรู้สึกว่าตลอดทางที่ได้เดินทางมานี้ ตนได้ฝึกจิตใจจน ประสบผลสำเร็จใหญ่แล้ว!

นอกจากเรื่องเล่นสนุกพวกนี้

บางครั้งเซียนซือใหญ่ชุยก็มีความจริงจังอยู่บ้าง นั่นยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้สึกเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด

ตอนอยู่ในอารามจินกุ้ย เซียนซือชุยนั่งลงถกปัญหากับเจ้าอาราม

พูดไปพูดมา เจ้าอารามผู้เฒ่าก็เข้าสู่สภาวะเข้าฌานนั่งลืมตนไป

เจ้าอารามผู้นั้นมีนามว่าจางกั่ว ตบะขอบเขตประตูมังกร แต่เวลานั้นราวกับว่าจู่ๆ ก็มีลางว่าจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทอง

ทำเอาเซียนหลิวหลีที่มองดูอยู่รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง

ในวัดป๋ายสุ่ยที่มีกระแสน้ำพุที่กำเนิดขึ้นใต้ดิน ชุยเซียนซือนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำที่ไม่รู้ว่าเหตุใดปากบ่อถึงถูกปิด แล้วก็เริ่มอธิบายพระคัมภีร์กับภิกษุหนุ่มที่ออกไปถ่ายทอดพระธรรมอยู่นอกวัดมากกว่าศึกษาพระคัมภีร์อยู่ในวัด

คนทั้งสองล้วนสวมชุดสีขาว

หนึ่งลัทธิขงจื๊อ หนึ่งภิกษุ

แรกเริ่มทั้งสองฝ่ายเริ่มถกปัญหากันที่เรื่อง ‘พ้นจากพระคัมภีร์หนึ่งคำ ย่อมกลายเป็นข้อวิจารณ์ที่บ่อนทำลาย’

ถึงอย่างไรเซียนหลิวหลีก็รู้สึกเหมือนฟังภาษาสวรรค์ จึงไม่รู้สึกสนใจแม้แต่น้อย

ส่วนเด็กน้อย ‘เกาเหล่าตี้’ นั้นนั่งอยู่ข้างประตูไม้ไผ่สาน รับฟังคำพูดของ แต่ละคนที่อยู่ด้านใน เด็กน้อยร้องอือๆ อาๆ แต่ก็ยังคงพูดอะไรไม่ได้อยู่ดี

สุดท้ายชุยเซียนซือที่สวมชุดขาวล่องลอยก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนปากบ่อที่ใช้หินสีดำปิดเอาไว้ ยิ้มพูดปริศนาธรรมติดต่อกันอยู่หลายคำ ‘สือฟางยึดที่นั่ง เชียนเหยี่ยน พลันหยุดชะงัก? ไม่สู้ยึดลิ้นของคนใต้หล้าทั้งหมด? ถ้าอย่างนั้นจะต้องเคียดแค้นที่ไม่ได้เตะแท่นดอกบัวให้พลิกคว่ำ ไม่ได้ทุบเศียรพระพุทธรูปให้แตกด้วยหรือไม่?’

จากนั้นเขาก็ยกฝ่ามือตบให้หินสีดำที่ปิดผนึกบ่อน้ำก้อนนั้นแตกออก

เด็กหนุ่มชุดเขียวลอยตัวอยู่เหนือปากบ่อ แล้วถามกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ภิกษุเฒ่าก็มีความรู้สึกเหมือนแมว แต่ไม่กล้าร้องเรียกต่อหน้าคน?”

ภิกษุชุดขาวท่านนั้นก้มหน้าพนมมือทั้งสิบ ท่องภาษาพระธรรมเบาๆ หนึ่งคำ

ภิกษุหนุ่มเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม แล้วเอ่ยเนิบช้าอย่างรู้ใจว่า “คนที่ฝีมือเล่นหมากล้อมสูงเช่นท่าน ใต้หล้านี้มีน้อย คนที่โง่เขลาเฉกเช่นข้า ใต้หล้านี้ไม่มี”

จากนั้นเซียนหลิวหลีก็ได้เห็นว่าเซียนซือใหญ่ชุยของตนผู้นั้นคล้ายจะพึงพอใจกับถ้อยคำนั้นมาก จึงกระโดดลงจากบ่อน้ำ เดินจากมาพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง เขาตบหัวเด็กน้อยหนึ่งที แล้วคนทั้งสามก็ออกมาจากวัดป๋ายสุ่ยด้วยกัน

ยามนั้นชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่มชุดขาวโบกสะบัด ฝีเท้าล่องลอยดุจลูกคลื่น จุ๊ปากเอ่ยว่า “หากให้ตายอย่างไรเจ้าก้อนหินดื้อด้านนี้ก็ไม่ยอมพยักหน้าตกลง ฝังตัวอยู่ท่ามกลางพื้นป่ารกชัฏแล้วได้มาเจอโดยบังเอิญ จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายมากหรอกหรือ?!”

ถึงอย่างไรเซียนหลิวหลีก็ฟังอะไรไม่เข้าใจอยู่แล้ว จึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจด้วยการพยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนซือท่านผู้อาวุโสนอกจากจะมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมีมรรคกถาสูงส่ง มีพระธรรมลึกล้ำขนาดนี้ ไปเข้าร่วมงานโต้วาทีของสามลัทธิได้สบายๆ ไม่มีปัญหาเลยจริงๆ”

เด็กหนุ่มชุดขาวด่าอย่างขันๆ ว่า “ผายลมเหม็นโฉ่น่ะสิเจ้า!”

เซียนหลิวหลียิ้มกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ “เซียนซือกล่าวถูกทั้งหมด”

เด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้ามา “เจ้าฉลาดไม่น้อย ไม่สู้อยู่เป็นพระที่นี่ดีหรือไม่?”

เซียนหลิวหลีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ไม่นะ ข้าไม่มีความฉลาดมากพอจะฝึกพระธรรมหรอก! ไม่มีเลยสักนิดเดียว!”

จากนั้นชุยตงซานก็พาหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมารอบหนึ่ง

ไปพบกับเจ้าอารามของอารามขนาดเล็กท่านหนึ่ง

อารามเต๋าแห่งนั้นมีชื่อว่าอารามป๋ายอวิ๋น เป็นสถานที่ห่างไกลที่เล็กเท่าก้อนเต้าหู้ อยู่ติดกับตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน เสียงหมาเห่าไก่ขัน คลอเคล้าไปด้วยเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เสียงร้องเร่ขายของ จอแจดังระงม

ชุยตงซานพักอยู่ที่นั่นหลายวัน บริจาคเงินค่าธูปค่าน้ำมันไปไม่น้อย แน่นอนว่า ก็ยืมหนังสือมาเปิดอ่านอยู่หลายเล่มด้วย เจ้าอารามท่านนี้อย่างอื่นนั้นมีไม่มาก ที่มากก็คือตำราที่เก็บสะสมเอาไว้ อีกทั้งลำพังเพียงแค่ความเข้าใจจากการอ่านตำราหลากหลายของนักพรตวัยกลางคนที่ไร้สัญชาติไร้นามผู้นั้น ก็สามารถเอามาเขียนเป็นตัวอักษรได้เกือบหนึ่งล้านตัว ชุยตงซานจึงอ่านสิ่งที่เขาเขียนมากกว่า เจ้าอารามเอง ก็ไม่ได้หวงวิชาความรู้ ยินดีให้คนอื่นมาเปิดอ่าน ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มต่างถิ่น ที่แบกหีบตำราออกทัศนาจรผู้นี้ยังเป็นผู้มีจิตศรัทธาที่ใช้จ่ายเงินมือเติบอีกด้วย ในที่สุดอารามป๋ายอวิ๋นของตนก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออีกแล้ว

เช้าตรู่วันที่ชุยตงซานบอกลาจากไป นักพรตน้อยคนหนึ่งที่กว่าจะได้มีชีวิตสุขสบาย ดั่งเทพเซียนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายรู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปเลย เด็กน้อยร้องให้น้ำมูกน้ำตานองหน้า ทำเอาอาจารย์ที่เป็นเจ้าอารามมองเขาด้วยความเวทนา ตนที่เป็นอาจารย์ทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่หรือไม่?

ชุยตงซานจากไปได้ไม่ถึงครึ่งวัน

นักพรตน้อยยังคร่ำครวญไม่เลิก ตอนที่ถือไม้กวาดกวาดใบไม้ร่วงในอารามจึงค่อนข้างจะใจลอยไปบ้าง

จากนั้นก็มีรถเทียมวัวเจ็ดแปดคันพากันเคลื่อนขบวนมาถึงนอกอารามป๋ายอวิ๋น บอกว่าเอาตำรามาส่ง

บนรถเทียมวัวบรรจุตำราหลากหลายรูปแบบของร้อยสำนักเอาไว้ แต่ละหีบ แต่ละลังล้วนถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งนี้

ภาพนี้ทำเอาเจ้าอารามวัยกลางคนที่ใบหน้าผอมตอบปากอ้าตาค้าง

แต่เมื่อป้ายแผ่นหนึ่งถูกเอาลงมาจากรถเทียมวัวคันสุดท้าย เจ้าอารามก็เรียกนักพรตน้อยที่อารมณ์ลิงโลดเบิกบานให้ช่วยกันยกเข้าไปในห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง

บนกรอบป้ายนั้นเขียนสองคำว่า ‘ไจซิน’ (ขจัดความคิดวุ่นวายในใจ เพื่อฝึกจิตใจให้สงบ)

หลังออกมาจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนแล้ว เซียนหลิวหลีก็ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถม้า ชุยตงซานนั่งอยู่ด้านข้าง เด็กน้อยนั่งงีบหลับอยู่ในห้องโดยสาร

ผู้ฝึกตนเฒ่าถามเสียงเบา “เซียนซือ เจ้าอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนเสียหน่อย เหตุใดท่านถึงต้องโปรดปรานเขาขนาดนี้?”

ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะไปทางซ้ายทีขวาที บนทีล่างที พลางเอ่ยว่า “เขาน่ะหรือ อาจารย์สองคนของข้าทั้งก่อนและหลัง ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน ในช่วงยุคสันติสุข ต่างก็ไม่โดดเด่น ทว่าพอถึงช่วงกลียุค นั่นก็คือ…”

ผู้ฝึกตนเฒ่ารอคอยประโยคถัดไป แต่รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคหลังนั้นเสียที

รอจนเซียนหลิวหลีล้มเลิกความคิดที่จะรอคอยคำตอบ ชุยตงซานถึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด”

ชุยตงซานหยุดมือทั้งสองข้าง พูดเนิบช้าว่า “คนสอนหนังสือทั่วไป สามารถทำให้ความรู้ของเด็กเรียนดี ดีขึ้นได้มากกว่าเดิม อาจารย์ที่ดีขึ้นมาหน่อย ก็จะสอนทั้งเด็กเรียนดี แล้วก็ดูแลเด็กที่เรียนไม่เก่งด้วย ยินดีโน้มน้าวคนให้เปลี่ยนจากผิดไปเป็นถูก

ส่วนอาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ล้วนยินดีที่จะมอบความอดทนและ ความปรารถนาดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่พวกคนชั่วร้ายที่ไม่รู้ความเพราะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน คนประเภทนี้ ไม่ว่าพวกเขาเดินไปที่ไหน โรงเรียนและเสียงท่องหนังสือ แท้จริงแล้วก็ยังอยู่ตรงนั้น มีบางคนรู้สึกว่าหนวกหู ไม่เป็นไร มีคนฟังเข้าหู ย่อมดี”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ช่างซ่อมที่สามารถเขย่าคลอนวิถีทางโลกอะไร แต่เป็นต้นกำเนิดน้ำพุใสในใจของคนบนโลก น้ำไหลลงไปสู่เบื้องล่าง ผ่านเท้าของทุกคนไป เพราะไม่ได้อยู่ในระดับสูง ไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถก้มหน้า ค้อมเอวลงไปวักน้ำมาดื่มได้”

ชุยตงซานพลันลุกพรวดขึ้นยืน ชูแขนขึ้นสูงราวกับว่าในมือถือจอกเหล้า เด็กหนุ่มชุดขาวในเวลานี้ลุกขึ้นยืนอาภรณ์โบกสะบัด สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “บนโลกใบนี้มีรสชาติหวานมันเลี่ยนอยู่มากมาย ทุกคนชื่นชอบ แน่นอนว่าย่อมไม่ผิด ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ ทว่ายามที่กระหายน้ำก็มีน้ำให้ดื่ม วักมาดื่มด้วยตัวเอง จะไม่สาแก่ใจ จะไม่โชคดีได้หรือไร?!”

เซียนหลิวหลีขับรถม้าอย่างระมัดระวัง

เฮ้อ

เซียนซือใหญ่ชุยชอบพูดจาประหลาดที่ทำให้คนไม่เข้าใจเช่นนี้อยู่เสมอ

ผลกลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนเฒ่าถูกเตะเข้าที่ท้ายทอยด้านหลัง แล้วคนผู้นั้นก็ด่าตามมาว่า “มารดามันเถอะ เจ้าไม่รู้จักเอ่ยประจบเอาใจสักคำ ไม่รู้จักปรบมือให้กำลังใจกันบ้างเลยรึ?!”

ผู้ฝึกตนเฒ่าตกใจสะดุ้งโหยง รีบใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ว่าถ้อยคำประจบเอาใจนี้ ไม่ใช่ว่านึกจะพูดก็พูดได้นี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่ถูกเซียนซือใหญ่ชุยทำให้ตกใจเช่นนี้ ต่อให้เซียนหลิวหลีเค้นสมองครุ่นคิดก็ยังไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ

ยังดีที่คนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลังได้พูดขึ้นมาแล้วว่า “ช่างเถิด ถึงอย่างไรชั่วชีวิตนี้ เจ้าก็ไม่มีโชคจะได้ไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว”

จากนั้นเซียนหลิวหลีก็ผ่อนคลายขึ้นได้หลายส่วน

เพราะบริเวณโดยรอบรถม้ามีนกสีเขียวที่ถูกพับจากกระดาษบินล้อมวนราวกับสิ่งมีชีวิต

ไม่ใช่กระดาษยันต์หวงสี่ที่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั่วไปสามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาได้

แต่เป็น ‘ยันต์ชิงป๋าย’ ที่วัสดุเหมือนฟ้าสีครามหลังฝนตก ว่ากันว่าเป็น กระดาษยันต์ที่ลัทธิเต๋าใช้เขียนถ้อยคำแซ่ซ้องโดยเฉพาะ ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด

ผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญสายยันต์ครึ่งตัว

ดังนั้นจึงพอจะรู้ว่ากระดาษยันต์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ คือกระดาษยันต์สีเขียวที่แฝงปณิธานของอริยะเอาไว้ เป็นกระดาษที่ไม่มีชื่อเรียกที่แน่นอน

เพียงแต่ว่ายันต์ชิงป๋ายที่ใช้เขียนคำแซ่ซ้องเหล่านี้กลับถูกนำมาพับเป็น นกกระดาษเสียอย่างนั้น

เซียนซือใหญ่ชุย มันเหมาะแล้วจริงๆ หรือ?

ท่านผู้อาวุโสเอามามอบให้ข้าสักสองสามแผ่นเป็นสมบัติสืบทอดก็ยังดีนี่นา

ในใจผู้ฝึกตนเฒ่าร้องคร่ำครวญไม่หยุด

ตลอดทางที่ระหกระเหเร่ร่อนมานี้ อันที่จริงเขาไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย จึงได้แต่หวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง เซียนซือใหญ่ชุยจะรู้สึกว่าตนไม่มีความดีความชอบ อย่างน้อยก็ยังมีคุณความเหนื่อยยากที่เคยเป็นวัวเป็นม้าให้เขาอยู่บ้าง

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงการเป็นวัวเป็นม้า อารมณ์ของผู้ฝึกตนเฒ่าก็ดีขึ้นได้หลายส่วน

เจ้าเด็กทึ่มที่อยู่ในห้องโดยสารนั่นต่างหาก ถึงจะเป็นวัวเป็นม้าที่แท้จริง

ชุยตงซานพลันเอ่ยขึ้นว่า “ขับอ้อมไป ไปยังสวนสิงโตของสกุลหลิ่ว ไปพบคน น่าสงสารคนหนึ่ง”

จากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็ขับรถม้าลงใต้ไปตามเส้นทางที่ชุยตงซานบอกไว้ อย่างเชื่องช้ามั่นคง

ตลอดทางที่เดินทางอยู่ในแคว้นชิงหลวนแห่งนี้ มีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับสกุลหลิ่วสวนสิงโตอยู่ไม่น้อย

เจ้าประมุขสกุลหลิ่วผู้นำแห่งวงการนักประพันธ์ ไม่รักษาตัวให้ดีในวัยชรา ร่างกายทรุดโทรม ชื่อเสียงย่อยยับ จากขุนนางน้ำดีที่เป็นดั่งจิตแห่งบุ๋นของหนึ่งแคว้น กลับตกต่ำกลายมาเป็นคนสกปรกต่ำช้าราวกับปีศาจบุ๋น ยังไม่ต้องพูดถึงบทกวีและผลงานการประพันธ์ของเขาที่ถูกด้อยค่าจนไม่เหลือมูลค่าแม้แต่แดงเดียว นอกจากนี้ยังถูกสาดน้ำสกปรกใส่หัว อยากหลบเลี่ยงก็หลบเลี่ยงไม่ได้ ตระกูลปัญญาชนหนึ่งในสี่ตระกูลนักประพันธ์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวน กลายมาเป็นพื้นที่ที่ซุกซ่อนความ สกปรกโสมม ร้านหนังสือน้อยใหญ่ในหมู่ชาวบ้านยังมีการจัดพิมพ์นิยายรัก ประโลมโลกเล่มเล็กแบบหยาบๆ เผยแพร่ไปทั่วราชสำนักด้วย

ด้วยเหตุนี้หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองที่เดินทางกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว จัดงานแต่งงานที่สวนสิงโต รับสตรีต่างถิ่นไร้ชื่อไร้นามผู้หนึ่งเป็นภรรยา วันแต่งงานของเขารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจึงไม่ได้ออกมาพบเจอกับสหายสนิทแม้แต่คนเดียว

ส่วนหลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตที่ ‘ทำลายคนในครอบครัวเพื่อคุณธรรม’ นั้น ก็ได้ถูกตัดชื่ออกจากทำเนียบตระกูลสกุลหลิ่วไปนานแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งขุนนาง ของเขาก็ไม่ได้ใหญ่โต ว่ากันว่าเป็นผู้ช่วยขุนนางหลักที่ดูแลการขนส่งทางน้ำ เมื่อเทียบกับตำแหน่งนายอำเภอก่อนหน้านี้ ถือว่าได้เลื่อนขั้น แต่ไม่มีใครรู้สึกว่า คนประเภทนี้จะสามารถเดินไปสู่ตำแหน่งสูงในแคว้นชิงหลวนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่บริสุทธิ์ดีงามได้ ไม่แน่ว่าวันใดอาจไม่เหลือแม้แต่ตำแหน่งขุนนาง อีกทั้งจะต้องไม่มีใครสนใจใยดีเขา ไม่มีค่าพอให้กลายมาเป็นเรื่องขำขันที่ผู้คนจะเอามา พูดกันหลังมื้ออาหารด้วยซ้ำ เพราะพูดถึงเขาก็มีแต่ความน่าเบื่อ

นอกจากนี้ แคว้นชิงหลวนในทุกวันนี้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้าน โชคชะตาของแคว้นรุ่งโรจน์

ราชสำนัก บนภูเขา ยุทธภพ วงการนักประพันธ์ ล้วนมีผู้มีความสามาถถือกำเนิด ประหนึ่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นหลังฝนตก เป็นภาพบรรยากาศอันดีงามดุจ แสงเรืองรองบนขอบฟ้า

ยกตัวอย่างเช่นมีเด็กอายุแค่หกขวบคนหนึ่ง เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี ชื่อเสียงของการเป็นเด็กอัจฉริยะก็แพร่ไปทั่วราชสำนัก ในงานเทศกาลโคมไฟของเมืองหลวง ปีนี้ เด็กอัจฉริยะถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่หอชมทัศนียภาพ เด็กน้อยเข้าไปกอดขาฮองเฮาที่ได้เห็นเขาแค่แวบเดียวก็เกิดใจรักเอ็นดูอย่างสนิทสนม ฮ่องเต้ทดสอบความรู้ด้านบทกวีของเด็กอัจฉริยะผู้นี้ด้วยตัวเอง บอกให้เด็กคนนั้น แต่งกลอนตามหัวข้อที่มอบให้ เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของฮองเฮาขบคิดอยู่ชั่วครู่ ก็ร่ายบทกวีออกมาจากปาก ฮ่องเต้พลันเบิกบานพระทัย ถึงขนาดแหกกฎ มอบตำแหน่ง ‘ต้าโจวอ๋อง’ ให้กับเด็กน้อย

นี่คือตำแหน่งขุนนางที่รอชดเชยตำแหน่งว่าง แม้ว่าจะยังไม่มีหน้าที่ในวงการขุนนาง แต่กลับเป็นตำแหน่งขุนนางที่จริงแท้แน่นอน นี่หมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่าง ถึงที่สุดที่เด็กคนนี้จะเป็นขุนนางที่อายุน้อยที่สุด ไม่ใช่แค่ในประวัติศาสตร์ แคว้นชิงหลวน แต่เป็นในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป!

เวลานี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแล้ว

ริมลำคลองเส้นหนึ่งที่ยังไม่ถูกขุดลอกให้ทะลุโล่งอย่างเต็มที่ บนทางเส้นเล็ก ที่เงียบสงัด ด้านบนรถม้าที่โยกคลอนขึ้นลง เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น ส่วนในมือของเด็กน้อยก็ถือเชือกสายป่านของว่าวที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของ แคว้นชิงหลวนที่ชื่อว่ามู่เย่าเอาไว้

ขอแค่สายป่านไม่ขาด ว่าวกระดาษทุกชิ้นบนโลกใบนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าสามารถโบยบินได้สูง แต่กลับไม่อาจจากไปได้ไกล

ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายหลัง เหม่อมองว่าวที่อยู่บนฟ้า

อาจารย์ของข้า ตอนนี้สบายดีหรือไม่?

……

เรื่องของการเปิดเส้นทางลำเลียงทางน้ำใหม่อีกครั้ง เป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เกี่ยวพันกับทุกด้านของแคว้นชิงหลวน ดังนั้นทางฝั่งของราชสำนักจึงไม่ได้เอาแต่ เน้นในเรื่องความเร็วอย่างเดียว ความคืบหน้าจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า

ระดับขั้นของขุนนางที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าสูง มีอยู่สามคน สองคนแบ่งออกเป็นหลางจงจากเมืองหลวงที่ถูกดึงตัวมาจากกรมการคลังและกรมโยธาธิการ และยังมีผู้ว่าท่านหนึ่งของเมืองซึ่งเป็นสายหลักของเส้นทางลำเลียงทางน้ำตอนหนึ่ง เนื่องจากราชสำนักไม่ได้ประโคมข่าวเรื่องนี้ คนทั้งราชสำนักของแคว้นชิงหลวน ที่ให้ความสนใจเรื่องนี้จึงมีไม่มาก

มองดูเหมือนว่าใต้เท้าขุนนางจากเมืองหลวงสองท่านจะทำงานแค่ทางด้านทฤษฎี ส่วนผู้ว่าที่เป็นคนพื้นที่ทำงานด้านปฏิบัติ ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกันเลย ใต้เท้าผู้ว่าที่เดิมทีนึกว่าตนแค่ต้องมาทำงานพอเป็นพิธี พอไปถึงที่ว่าการที่สร้างไว้ชั่วคราวอยู่ริมตลิ่งของคลองส่งน้ำเข้าจริงๆ ถึงได้ค้นพบว่าหลางจงที่ตำแหน่งขุนนางยังเทียบกับตนไม่ได้ทั้งสองคนนั้น ดูเหมือนจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมมานานแล้ว ทำงานละเอียดรอบคอบ เป็นระเบียบขั้นตอน จนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อย เป็นเหตุให้แม้แต่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ที่คุ้นเคยกับงานในท้องถิ่นเป็นอย่างดีเช่นเขาไม่รู้ว่าควรจะยื่นมือเข้าแทรกตรงไหน ได้แต่ทำตามขั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายวางเอาไว้

นอกจากหลางจงระดับห้าชั้นเอกสองคนจากกรมการคลังและกรมโยธาธิการของเมืองหลวงแล้ว ยังมีขุนนางผู้ช่วยระดับห้าชั้นโทอีกคนหนึ่ง แซ่หลิ่ว นามว่าชิงเฟิง

ใต้เท้าหงผู้เป็นผู้ว่ารู้สึกรังเกียจชิงชังเด็กรุ่นหลังในวงการขุนนางอย่างเจ้าคนแซ่หลิ่ว ผู้นี้มาก ขายเพื่อนเพื่อเกียรติยศในยุทธภพก็ทำให้ผู้คนดูแคลนมากแล้ว แต่เจ้าตะพาบที่ขายพ่อเพื่อความรุ่งเรืองในวงการขุนนางเช่นนี้ ผู้ว่าหงรู้สึกเพียงว่าต้องปรึกษา เรื่องงานกับคนประเภทนี้ทุกวัน วันต่อมาต้องเปลี่ยนชุดขุนนางใหม่จึงจะได้ ไม่อย่างนั้นแค่ดื่มน้ำชาถ้วยเดียวก็ยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด

เวลาเกินครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ผู้ว่าหงไม่เคยชายตาเหลือบแลหลิ่วชิงเฟิง แล้วก็ดูเหมือนว่าขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงทั้งสองท่านจะเข้าใจอารมณ์ของใต้เท้าหงเป็นอย่างดี จึงจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ ส่วนตัวของหลิ่วชิงเฟิงเองนั้น สาเหตุ คงเป็นเพราะหมวกขุนนางเล็ก อีกทั้งยังเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงแสร้งทำเป็น นอบน้อมระมัดระวังยามอยู่กับใต้เท้าหงตลอดเวลา อีกทั้งเวลาปรึกษารายละเอียดเรื่องการจัดการเส้นทางลำเลียงทางน้ำบนโต๊ะประชุม หลิ่วชิงเฟิงก็แทบไม่เคย เปิดปากเอ่ยอะไร มีเพียงยามที่หลางจงจากเมืองหลวงสองคนเอ่ยถาม เขาถึงจะพูด

วันนี้ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งข้างคลองส่งน้ำมีเรื่องสนุกอย่างการแสดงกระโดด ม้าไม้ไผ่ให้ดู

บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินทางไปกลับลำคลองส่งน้ำเส้นเดิมจนครบหนึ่งรอบแล้วได้พาเด็กหนุ่มข้ารับใช้ที่ชื่อว่าหลิ่วซัวไปนั่งอยู่บนกำแพงดินเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง มองดูการแสดงทางฝั่งนั้นที่เสียงตีกลองดังสะเทือนฟ้า ม้าไม้ไผ่ทำมาจากไม้ไผ่สาน ใช้ผ้าห้าสีรัดพันเอาไว้ แบ่งออกเป็นสองช่วงคือช่วงหน้าและหลัง เอามาผูกไว้ตรงเอวของคนที่ขี่ม้ากระโดด ตามประเพณีพื้นบ้าน ชุดขาวขี่ม้าแดง ชุดเขียวขี่ม้าเหลือง สตรีขี่ม้าเขียว บัณฑิตขี่ม้าขาว ผู้ฝึกยุทธขี่ม้าสีดำ ต่างก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป

อันที่จริงมองไม่ออกแล้วว่าบัณฑิตผู้นี้มีตำแหน่งขุนนางติดกาย เพราะผิวของเขาถูกแดดเผาจนดำเมี่ยม บนร่างสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ มีเพียงบนเท้าเท่านั้นที่ สวมรองเท้าหนังเลียงผาแน่นหนาแข็งแรงแต่เก่า ไม่ใช่รองเท้าที่ครอบครัวชนบททั่วไปสามารถครอบครองได้

งานแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ไม่ได้ไปเยือนทุกหมู่บ้าน ต้องดูที่ว่าหมู่บ้านไหนออกเงิน ออกเงินมากหรือน้อย อีกทั้งม้าจะกระโดดโดยอิงตามราคาที่จ่ายด้วย

เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้ออกเงินค่อนข้างมาก ดังนั้นการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ถึงได้ตระการตามากเป็นพิเศษ

บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงยังมีอันธพาลที่เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จากต่างหมู่บ้านซึ่งมาร่วมวงชมเรื่องสนุกอยู่อีกไม่น้อย

พวกเขาพากันชี้ไม้ชี้มือใส่เด็กสาวในหมู่บ้านที่ร่ำรวยแห่งนี้ คำพูดคำจาไร้ความยำเกรง บอกว่าวันหน้าคุณหนูของบ้านใดจะต้องหน้าอกใหญ่มาก บอกว่าเด็กสาว ของครอบครัวไหนจะต้องให้กำเนิดบุตรชายได้ เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นๆ ลงๆ อยู่บริเวณโดยรอบหัวกำแพง แล้วก็ยังมีคนเถียงกันว่าสตรีของบ้านใดสวยที่สุดกันแน่ เปรียบเทียบกันว่าใครกันแน่ที่เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในรัศมีหลายสิบลี้นี้ ถึงอย่างไรต่างคนก็ต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง

บัณฑิตคนนั้นก็มองสตรีที่พวกเขาชี้ด้วย อีกทั้งยังไม่ปิดบังสายตามองประเมินของตนเองแม้แต่น้อย เด็กรับใช้ที่นั่งอยู่ข้างกายรู้สึกจนใจเล็กน้อย เหตุใดนายท่าน ถึงได้ทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้กันนะ

บัณฑิตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณสมบัติดั้งเดิมของสตรี มีเพียงความขาวเท่านั้นที่ยากที่สุด อันที่จริงจะอ้วนหรือผอมก็ไม่สำคัญ”

เด็กรับใช้กล่าวอย่างระอาใจ “นายท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ”

บัณฑิตยิ้มกล่าว “เจ้ายังเด็ก วันหน้าก็จะเข้าใจเอง ใบหน้าของสตรีไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด มีเพียงรูปร่างดีเท่านั้น ถึงจะยอดเยี่ยมที่สุด”

เด็กรับใช้กลอกตามองบน “นายท่าน ข้าจะต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม เพิ่งอ่านตำราได้แค่ไม่กี่เล่ม แล้วยังจะต้องไปสอบเอาตำแหน่งเป็นขุนนางเหมือนท่านอีกด้วย”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “เมล็ดพันธุ์บัณฑิตอย่างเจ้า อนาคตต้องได้เป็นขุนนางแน่”

เด็กรับใช้พลันตื่นเต้นดีใจ

คำพูดของนายท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ล้วนแม่นยำเสมอ!

ห่างพวกเขาไปไกล ใกล้กับจุดที่แสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ เสียงไชโยโห่ร้อง เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่หยุด

บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงที่พวกเขานั่งอยู่ก็มีผู้ชมไม่น้อย แต่หลายคน กลับออกปากตินู่นตินี่ ไม่เห็นว่าสนุกสนาน เสียงพ่นลมออกจากจมูกอย่างดูแคลนดังมากกว่าเสียงปรบมือ

เด็กรับใช้ถามเสียงเบา “นายท่าน ท่านมีความรู้ยิ่งใหญ่ รู้ต้นกำเนิดของการกระโดดม้าไม้ไผ่พวกนั้น ถ้าอย่างนั้นท่านลองบอกหน่อยสิว่า พวกเขากระโดดได้ไม่ดีจริงๆ หรือ? ข้ารู้สึกว่าก็ดีมากนี่นา”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “แน่นอนว่าต้องดี แต่พวกเราไม่ได้ออกเงิน แล้วทำไมต้องบอกว่าดีด้วย ของดีในใต้หล้านี้ มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องจ่ายเงิน?”

เด็กรับใช้มึนงงไม่เข้าใจ “นี่คือเหตุผลอะไร?”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก เขายื่นมือไปลูบหัวเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องไปคิดเรื่องพวกนี้ให้มากความ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันดีในการศึกษาเล่าเรียนของเจ้า”

เด็กรับใช้พยักหน้ารับ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงเอาแต่ดูเอกสารคดีเรื่องภาษีของกรมการคลังในแต่ละยุคสมัยล่ะ?”

จนถึงตอนนี้เด็กรับใช้ก็ยังไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตำแหน่งขุนนางของนายท่าน ตนในเวลานี้จะไปพลิกเปิดอ่านได้ แต่นี่ยังถึงขั้นว่ามีคนแอบนำมาส่งให้ถึงโต๊ะหนังสือของเขาโดยเฉพาะ

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ตำราประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจักรพรรดิในยุคหลังที่สั่งให้คนเขียนเรื่องราวของราชวงศ์ก่อน ความจริงบางอย่างย่อมขาดหายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มีเพียงเรื่องที่เงินทองเข้าออกเท่านั้นที่ไม่หลอกลวงคนมากที่สุด ดังนั้นหากมีโอกาส ยามที่พวกเราอ่านตำราประวัติศาสตร์ก็ควรต้องอ่านประวัติของคนที่มีอำนาจควบคุมดูแลเรื่องการเงินในแต่ละยุคแต่ละสมัย รวมไปถึงประวัติ การสร้างและการใช้เงินน้อยใหญ่ในเรื่องต่างๆ ของเขา ใช้คนหนึ่งคนเป็นจุดเริ่มต้น ใช้ผลกำไรขาดทุนของท้องพระคลังแคว้นเป็นเส้นที่ลากยาวออกไป แบบนี้ก็จะยิ่งมองเห็นผลได้ผลเสียของกลยุทธที่หนึ่งแคว้นเอามาใช้ได้ชัดเจนมากขึ้น”

เด็กรับใช้เกาหัว

หลิ่วชิงเฟิงทอดสายตามองไปยังความอึกทึกครึกครื้นที่ห่างไปไกลแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้าขอแค่นึกอยากอ่าน ก็มาเอาที่ข้าไปได้”

เด็กรับใช้เห็นว่าวันนี้นายท่านของตนยินดีที่จะพูดคุยก็อดดีใจไม่ได้

เพราะการตรวจสอบดูแลงานตั้งแต่ต้นถึงปลายคลองส่งน้ำทั้งสองรอบนั้นทำให้คนเหนื่อยตายได้จริงๆ อีกทั้งเวลานั้นนายท่านก็ไม่ค่อยชอบพูดสักเท่าไร เอาแต่มองภูเขาสายน้ำพวกนั้นที่ไม่มีความต่างกันแล้วจดบันทึกไปเงียบๆ

เด็กรับใช้ฉวยโอกาสที่วันนี้นายท่านยินดีที่จะพูดคุย จึงถามเพิ่มไปอีกว่า “นายท่าน ทำไมเวลาที่ท่านไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็จะต้องชอบไปพูดคุยกับพวกอาจารย์ในโรงเรียนตามชนบทหรือไม่ก็ตามนครต่างๆ ล่ะ?”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ย “เมล็ดพันธุ์บัณฑิตเกิดขึ้นได้อย่างไร? ตามหลังพ่อแม่ในครอบครัวก็คือครูบาอาจารย์แล้ว แล้วจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่บัณฑิตอย่างพวกเราควรให้ความ ใส่ใจได้อย่างไร? หรือว่าอยู่ดีๆ จะมีบัณฑิตที่ในท้องเต็มไปด้วยความรู้ อีกทั้งยังยินดี ที่จะอบรมบ่มเพาะตัวเองหล่นลงมาจากฟ้าได้จริงๆ”

เด็กรับใช้อืมรับหนึ่งที “นายท่านยังคงพูดจามีเหตุผล”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ “เรื่องนี้เจ้ากลับสามารถครุ่นคิดให้ดีๆ ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”

เด็กรับใช้พยักหน้ารับ “ตกลง!”

ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างกำยำและเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามา พอเห็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่หลิ่วชิงเฟิงกับเด็กรับใช้นั่งอยู่ คนผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนหัวกำแพง “ไสหัวออกไป”

เด็กหนุ่มผู้เป็นเด็กรับใช้มีสีหน้าขุ่นเคือง

คิดไม่ถึงว่านายท่านของตนจะลุกขึ้นยืนแล้ว แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรสักอย่าง เพียงแค่กระโดดลงจากหัวกำแพงเตี้ยๆ ไปเงียบๆ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ทำตาม ไปชมการกระโดดม้าไม้ไผ่ที่อื่น เพียงแต่ว่าพอลองมองไปอีกครั้งกลับเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนเก่าแล้ว

เด็กหนุ่มโมโหอย่างหนัก

หลิ่วชิงเฟิงที่ไปยืนตำแหน่งอื่นยืดคอยาว เขย่งปลายเท้า ดูการแสดงม้าไม้ไผ่ที่กระโดดอยู่บนลานตากธัญพืชของหมู่บ้านนี้ต่อไป

เด็กหนุ่มอัดอั้นอยู่ในใจ

นายท่านของตนไม่ว่าอะไรก็ดีหมด เพียงแต่นิสัยดีเกินไป ข้อนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

“ไม่พูดเรื่องถูกผิดกับคนผิด ถึงท้ายที่สุดตนเองก็จะกลายเป็นคนผิดนั้นเอง”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่แก่งแย่งชื่อเสียงกับวิญญูชนจอมปลอม ไม่ช่วงชิงผลประโยชน์กับคนถ่อยที่แท้จริง ไม่ถกเถียงเหตุผลกับคนดื้อดึง ไม่แข่งขัน ความกล้าหาญกับคนหยาบกระด้าง ไม่ประชันความรู้กับชาวลัทธิขงจื๊อที่ยากจน ไม่เมตตาประทานบุญคุณแก่คนโง่”

นี่ก็คือการไม่แก่งแย่งชิงดี

อันที่จริงยังมีความรู้ในเรื่องการแก่งแย่งแข่งขันอยู่อีกด้วย

แต่หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกว่าเอาไว้พูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายช้าสักหน่อยจะดีกว่านี้

เด็กหนุ่มเป็นบัณฑิต ไม่ตั้งใจเล่าเรียนหนังสืออ่านตำรา เอาแต่คิดถึงเรื่องหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นว่าจะไม่ใช่เรื่องดี

ขอแค่ไม่ทำความผิดมหันต์ก็พอแล้ว

เด็กหนุ่มหลิ่วซัวปลุกความกล้าโต้เถียงนายท่านของตัวเองที่รอบรู้ทุกเรื่องเป็นครั้งแรก “อะไรก็ไม่แก่งแย่งชิงดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่าพวกเราไม่เหลืออะไรเลยหรอกหรือ? จะเสียเปรียบเกินไปหน่อยไหม ไหนเลยจะมีหลักการที่ว่ามีชีวิตอยู่แล้วยังต้องยอมให้คนอื่นทุกเรื่อง ข้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ดีเลย!”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ “ลองคิดดูให้ดีๆ อีกครั้ง”

หลิ่วซัวส่ายหน้า “คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ”

หลิ่วชิงเฟิงถอนสายตากลับมา หันหน้ามามองเด็กหนุ่ม แล้วเอ่ยสัพยอกว่า “โง่ขนาดนี้จะมาเป็นเด็กรับใช้ของข้าได้อย่างไร?”

หลิ่วซัวหัวเราะหึหึ

หลิ่วชิงเฟิงพลันเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”

หลิ่วซัวจึงเดินจากมาพร้อมกับนายท่านของตัวเอง

หลิ่วชิงเฟิงเดินเนิบช้า ครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่

เดิมทีหลิ่วซัวยังมีคำถามอีก เพียงแต่ว่าเห็นท่าทางของนายท่านตอนนี้ก็รู้ว่าตน ไม่อาจรบกวนนายท่านได้แล้ว

การกระทำของหลี่เป่าเจินในตอนนี้ หลิ่วชิงเฟิงมีแต่จะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ

ความทะเยอทะยานของหลี่เป่าเจิน หรือก็สามารถเรียกได้ว่าปณิธาน อันที่จริง ไม่ถือว่าเล็กเลย

หนึ่งในหัวหน้าใหญ่ไม่กี่คนของสายลับศาลาคลื่นมรกตทางทิศใต้ของต้าหลีท่านนี้กำลังทำการทดสอบอย่างหนึ่ง เริ่มวางแผนอย่างละเอียดโดยเริ่มจากอันดับล่างสุด เมล็ดพันธุ์บัณฑิต จอมยุทธในยุทธภพ ผู้นำวงการนักประพันธ์ ขุนนางในราชสำนัก หลังจากที่เขาหลี่เป่าเจินเข้ามาในแคว้นชิงหลวน ทุกคนก็เริ่มกลายมาเป็นหมากที่เขาควบคุมอยู่ในมือแล้ว ตอนนี้แทบทุกคนล้วนเป็นเหมือนเด็กน้อยไม่รู้ความ ยกตัวอย่างเช่นเด็กอัจฉริยะที่ได้รับตำแหน่ง ‘ต้าโจวอ๋อง’ ผู้นั้น

ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ความหมายของแผนการร้ายมีเต็มเปี่ยม เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายมืดทะมึนน่าสะพรึงกลัว ปราณสังหารแผ่อบอวล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมด

ก็เหมือนว่าหลี่เป่าเจินกำลังสร้างบ้านหลังหนึ่ง เป้าหมายแรกของเขาไม่ใช่ว่า ได้เป็นฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหลังแคว้นชิงหลวนอะไร แต่เป็นว่าวันใดวันหนึ่ง ราชวงศ์ ในโลกมนุษย์จะสามารถเป็นผู้ควบคุมแม้กระทั่งโชคชะตาของตระกูลเซียนบนภูเขา เหตุผลนั้นง่ายมาก แม้แต่ตัวอ่อนผู้ฝึกตนก็ยังเป็นข้าหลี่เป่าเจินกับราชสำนักต้าหลี ที่ส่งขึ้นไปบนภูเขา เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า ตัวอ่อนผู้ฝึกตนกลายเป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาหรือไม่ก็เสาค้ำยันสำนักบนภูเขา นานวันเข้า เมื่อมาลองพูดเรื่องกฎเกณฑ์ของด้านล่างภูเขาอีกครั้งก็พูดคุยกันเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ระหว่างนี้ก็มีเหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวนท่านนั้นคอยมองดูอยู่ห่างๆ บางครั้งยังตั้งกฎที่แม้แต่ตัวหลี่เป่าเจินเองก็ยังต้องเคารพอีกหลายข้อ

สำหรับแผนการของหลี่เป่าเจิน นับตั้งแต่จุดประสงค์ไปจนถึงวิธีการ หลิ่วชิงเฟิง ก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากไม่เป็นเขา หลิ่วชิงเฟิงที่เล่นเหลือไว้ ก็เป็นเขาหลิ่วชิงเฟิงที่จงใจทิ้งไว้ให้หลี่เป่าเจิน

ยกตัวอย่างเช่นนับตั้งแต่ปีนี้มาก็มีผู้มีชื่อเสียงในวงการนักประพันธ์แคว้นชิงหลวนอีกหลายคนที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่แพร่สะพัด

จะทำอย่างไร? ยังคงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่หลิ่วชิงเฟิงสอนหลี่เป่าเจินในปีนั้น

อันดับแรก ก็ยกยอสรรเสริญก่อน บอกว่าบทกวีบทประพันธ์ของคนเหล่านั้นสามารถทัดเทียมกับอริยะได้ คุยโวว่านิสัยใจคอของคนเหล่านั้นมีคุณธรรมสูงส่งจนเหมือนอริยะที่อยู่บนแท่นบูชาเทพเจ้า

จากนั้นก็มีคนออกมาพูดประโยคที่เป็นกลางสักสองสามคำ แล้วก็เริ่มก่อหวอดกันเงียบๆ ต่อไป เริ่มชักนำไปสู่การถกเถียงในวงการนักประพันธ์ หลอกล่อให้พวกคนที่เป็นกลางรู้สึกรังเกียจคนเหล่านั้นที่อันที่จริงแล้วแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังแปลกใจว่าเป็นอริยะผู้มีคุณธรรมได้อย่างไร

สุดท้ายก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ พวกเจ้าเป็นอริยะคุณธรรมสูงส่งไร้ตำหนิไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เอาถ้อยคำเหลวไหลที่แต่งขึ้นมาส่งเดช เอาความผิดด้านพฤติกรรมส่วนตัวมาโจมตีคนเหล่านั้น เวลานี้ก็ถึงช่วงที่ยุทธภพและหมู่ชาวบ้านต้องออกแรงแล้ว นักเล่านิทานที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ เถ้าแก่ร้านหนังสือส่วนบุคคลก็จะเริ่มผลัดกันลงสนามรบ แน่นอนว่ายังมีคนในวงการประพันธ์ที่ตัวหลี่เป่าเจินเองรวบรวมมาไว้เพื่อ ‘ใช้งาน’ ที่รู้สึกเจ็บปวดปานจะขาดใจจนต้องออกมาพูดจาทวงความเป็นธรรม ถึงท้ายที่สุด ชื่อเสียงแต่ละคนก็จะพังพินาศ พวกชาวบ้านที่ช่วยผลักดันลูกคลื่นอย่างที่มองไม่เห็นจะสนใจความจริงหรือ? อาจจะมีคนที่สนใจ แต่ก็คงไม่มากนัก คนส่วนใหญ่ก็แค่มาร่วมวงดูเรื่องสนุกไม่ใช่หรือ? ก็เหมือนที่วันนี้หลิ่วชิงเฟิงเองก็มามองดูการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ที่ครึกครื้นนั้นอยู่ไกลๆ ไม่ใช่หรือไร?

เหตุใดต้องวาดหวังให้ฝูงชนที่เดิมทีก็แค่อยากเห็นเรื่องสนุกไปขบคิดให้มากความด้วย?

หลิ่วชิงเฟิงไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่

แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ไม่เคยมีเรื่องครึกครื้นใดที่ไม่มีวันเลิกรา

หลังจากเสียงอึกทึกจอแจผ่านไปแล้ว ก็คือความเงียบสงัด

เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

หลิ่วชิงเฟิงหัวเราะ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าเป็นตัวเปิดที่ดีเลยนี่นะ”

และตัวหลี่เป่าเจินเองก็ฉลาดอย่างมาก ง่ายที่จะสรุปจากเรื่องหนึ่งแล้วอนุมานไปเรื่องอื่นๆ ได้

หลิ่วชิงเฟิงพลันหยุดเดิน แล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายว่า “หลิ่วซัว จำไว้ว่าหากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่มาเกลี้ยกล่อมให้เจ้า ทำร้ายข้า ไม่ว่าจะต้องทำหน้าที่เป็นหมากที่ถูกอำพรางบนเส้นสายที่ยาวมากเส้นหนึ่ง หรือเป็นการลอบฆ่าที่ค่อนข้างฉุกละหุก เจ้าก็แค่พยักหน้าตอบตกลงไป ไม่เพียงแต่ต้องตอบตกลงกับอีกฝ่าย เจ้ายังต้องใช้ทุกวิธีการที่มี ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องมีความลังเลหรือออมมือใดๆ”

เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาว

ในหัวสมองว่างเปล่า

ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดนายท่านถึงต้องพูดจาชวนให้คนตกใจเช่นนี้ด้วย

หลิ่วชิงเฟิงพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เพราะเจ้าไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่นอน ข้าเก็บเจ้าไว้ข้างกาย อันที่จริงก็เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายเจ้าหนึ่งครั้ง ดังนั้นข้าจะต้องช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าต้องตายไปเปล่าๆ เพียงเพราะคำว่าคุณธรรม ในระหว่างนี้ เจ้าสามารถเรียนรู้จากข้าไปได้กี่มากน้อย สะสมเครือข่ายผู้คนได้ มากเท่าไร สุดท้ายจะป่ายปีนไปถึงตำแหน่งไหน ล้วนเป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่รู้ดี แต่กลับยังคงเก็บเจ้าไว้ข้างกาย ก็เพราะว่าข้าค่อนข้างอยากรู้ว่า เจ้าจะกลายเป็นหลี่เป่าเจินคนที่สองได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องฉลาดกว่าเขา ฉลาดจนถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายสามารถสร้างประโยชน์ให้กับวิถีทางโลกได้อย่างแท้จริง ได้หรือไม่”

น้ำตานองเต็มใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาถูกนายท่านที่ให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยผู้นี้ ทำให้ตกใจแล้ว

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “จำได้หรือยัง?”

เด็กหนุ่มปาดน้ำตา พยักหน้ารับ

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ “ดีมาก ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ไป เจ้าก็ต้องทดลอง ลืมเรื่องพวกนี้ไปซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็หลอกหลี่เป่าเจินไม่ได้หรอก”

ครู่หนึ่งต่อมา หลิ่วชิงเฟิงก็มีท่าทางตกตะลึงอย่างที่หาได้ยาก

เพราะมีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาตน ทว่าองค์รักษ์ที่ต้าหลีส่งมาให้คุ้มครองตนคนนั้นกลับไม่คิดจะปรากฎกาย

ในมือของเด็กหนุ่มคนนั้นถือว่าวกระดาษมาหนึ่งชิ้น เขาคลี่ยิ้มกว้างสดใส “หลิ่วชิงเฟิง ข้าถือจอบด้ามเล็กมาขุดกำแพงบ้านเจ้าแล้ว เจ้าอยู่กับเจ้าตะพาบเฒ่า ผู้นั้นก็ไม่เคยได้ดิบได้ดีอะไร วันหน้าก็มาอยู่กับข้าชุยตงซานเถอะ อีกอย่าง อะไรที่เป็นของข้าก็ต้องเป็นของข้า อะไรที่เป็นของเขาก็ยังคงเป็นของข้า จะต้องเกรงใจ เขาไปทำไม ทั่วทั้งแถบทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป เป็นข้าที่ใหญ่ที่สุด เจ้าตะพาบเฒ่านั่นคิดจะควบคุมข้าก็ทำไม่ได้”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “ข้อนี้ค่อนข้างยากสักหน่อย”

การปิดบังตัวตนของอีกฝ่าย หลิ่วชิงเฟิงที่ทกุวันนี้สามารถเปิดอ่านรายงานลับขององค์กรทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตจึงพอจะเดาได้คร่าวๆ ต่อให้จะเป็นเพียงตัวตนที่แสดงออกภายนอก แต่อันที่จริงก็มากพอให้อีกฝ่ายเอ่ยประโยคที่ไร้ความเคารพ ยำเกรงพวกนี้ได้แล้ว

ชุยตงซานโยนว่าวในมือให้หลิ่วชิงเฟิง หลิ่วชิงเฟิงคว้าเอาไว้แล้วก้มหน้าลงมอง ไม่มีสายป่าน เขาจึงหัวเราะ

หลิ่วชิงเฟิงเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าควรจะรู้ว่าปณิธานของข้าหลิ่วชิงเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่ ในเรื่องของการรักษาตัวรอด เรื่องของอิสระเสรี ไม่เคยเป็นสิ่งที่บัณฑิตอย่างพวกเราแสวงหา”

ชุยตงซานก้าวยาวๆ มาด้านหน้า เอียงศีรษะ ยื่นมือออกมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้า ก็คืนข้ามา”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “แน่นอนว่ามีคนเอามามอบให้ข้าเปล่าๆ ย่อมดีกว่า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเก็บเอาไว้ไม่คืนให้แล้ว”

ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “หลิ่วชิงเฟิง หากเจ้ายังทำตัวถูกใจข้าแบบนี้ต่อไป ข้าคงต้องช่วยอาจารย์ของข้ารับศิษย์แทนเขาแล้ว!”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านชุยคือเทพเซียนจากฝ่ายใด”?

ชุยตงซายืนอยู่ที่เดิม เท้าสองข้างไม่เคลื่อนไหว ยักไหล่ซ้ายทีขวาที ท่าทางซุกซนอย่างยิ่ง ยิ้มแต้เอ่ยว่า “เจ้าเคยเจอเขามาตั้งนานแล้ว”

หลิ่วชิงเฟิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เดาไม่ออก”

ชุยตงซานหัวเราะร่าเสียงดัง “เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าก็จะไม่อมพะนำกับเจ้าแล้ว อาจารย์ของข้าก็คือคนที่ปีนั้นทำให้รถเทียมวัวของเจ้าตกลงไปในน้ำ”

ชุยตงซานเองก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็พุ่งตัวมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วชิงเฟิง กระโดดเบาๆ แล้วฝ่ามือหนักๆ ข้างหนึ่งก็ตบป้าบลงบนหัวหลิ่วชิงเฟิง ทำเอาหลิ่วชิงเฟิงร่างเซวูบเกือบจะสะดุดล้ม แล้วก็ได้ยินคนผู้นั้นด่า อย่างเดือดดาลว่า “เจ้าลูกกระต่ายระยำ บังอาจเรียกชื่อของอาจารย์ข้าออกมาตรงๆ เลยรึ?!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!