Skip to content

Sword of Coming 542

บทที่ 542 ได้สมบัติ

คนทั้งสี่หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง รอจนตี๋หยวนเฟิงที่เอามือกดด้ามดาบหันมาสบตากับหวงซือ พวกเขาถึงได้วิ่งตะบึงไปยังภูเขาเขียวพร้อมกัน

ก่อนหน้านี้จุดที่พวกเขาร่วงลงมา ด้านล่างมีก้อนหินสีเขียวทรงกลมขนาดใหญ่คล้ายภาพฝ้าบนเพดานสิ่งปลูกสร้างรองรับ เดิมทีมันควรจะอยู่บนฝ้าเพดานใน วัดวาอาราม คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งนี้กลับถูกคนเหยียบย่ำ อยู่ใต้ฝ่าเท้า

ตรงใจกลางของภาพฝ้าเพดานทรงกลมนี้คือดอกบัวดอกหนึ่ง วงรอบนอกคือ เจียวหลงสองตัวที่หัวหางเชื่อมติดกัน ขยับไปข้างนอกอีกก็คือเฟยเทียน (ชื่อพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เป็นพระโพธิสัตว์ที่บินอยู่บนท้องนภาซึ่งปรากฎอยู่ใน ภาพแกะสลักที่แผ่นหินประเทศจีน) สิบหกองค์ มีวงล้อมหลายชั้น แต่ละชั้นแกะสลัก ถี่ยิบแต่ประณีตงดงาม

ตี๋หยวนเฟิงใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะอยู่หลายครั้ง เป็นเสียงเหมือนโลหะ แข็งแกร่ง มิอาจทำลาย

ทว่าต่อให้จะยกเอาไปได้ ตี๋หยวนเฟิงก็ไม่กล้าทำตัวเหลวไหล เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องออกไปจากซากปรักจวนเซียนโดยผ่านที่แห่งนี้

เมื่อครู่นี้การที่เขากับหวงซือจงใจหยุดรออยู่ก่อน แน่นอนว่าเพื่อป้องกัน เรื่องไม่คาดฝัน หากมีคนแอบแฝงตัวตามพวกเขาเข้ามาที่นี่ ก็จะต้องโดนหนึ่งหมัดและหนึ่งดาบของพวกเขา

เฉินผิงอันที่ตามหลังมารั้งท้ายสุดแอบคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น ยังคงไม่มีลางของปราณชั่วร้ายแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับฟ้าดินด้านนอก แผ่นยันต์ ยังเผาไหม้ช้ากว่าเสียอีก

สาเหตุน่าจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น

คนอีกสามคนทำเพียงแค่เหลือบตามองเขาแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีก

ระหว่างขุนเขาเขียวน้ำใส มีสะพานโค้งหยกขาวแห่งหนึ่งทอดตัวอยู่

ประหนึ่งสายรุ้งสีขาวที่นอนทาบทับสายน้ำ

บนเสาที่เป็นราวรั้วสะพานแต่ละเสาสลักสัตว์ประหลาดหลากหลายชนิด ไม่มีซ้ำแบบกัน ฝีมือประดุจเทพรังสรรค์ ราวกับว่ามีสิ่งชีวิตนอนหลับใหลอยู่ภายใน

บริเวณใกล้เคียงกับผิวน้ำใต้สะพานมีหินก้อนใหญ่แกะสลักเป็นรูปสัตว์ประหลาดที่เป็นหนึ่งในบุตรของมังกรในตำนาน บนศีรษะมีเขาสองข้าง ทั่วทั้งตัวเต็มไป ด้วยเกล็ด รูปสลักนี้ถูกสร้างให้อยู่ในลักษณะนอนหมอบยื่นหัวมองเข้าไปในน้ำ

เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ความคิด

รูปสลักสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้สะพานแห่งนี้ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ล้ำค่าหายากอะไร เพียงแต่ชื่อเรียกของเผ่าพันธ์มังกรตัวนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

ในใต้หล้าไพศาล โดยทั่วไปแล้วจะเรียกมันว่าปาเซี่ยหรือป้าเซี่ย แต่ตอนที่อยู่ ในพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนั้นเฉินผิงอันได้เดินผ่านสะพานข้ามสายน้ำน้อยใหญ่มา จนทั่วแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เคยเห็นสัตว์ชนิดนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะ ของมันแตกต่างไปจากในใต้หล้าไพศาลเล็กน้อย อีกทั้งหากอิงตามตำราทั้งหลายที่ราชครูจ้งชิวไปเอามาจากกรมโยธาธิการ ตำรา ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุดเล่มนั้นได้บันทึกถึงสัตว์ชนิดนี้ไว้ว่าชื่อกงฟู่ หรือ สัตว์เลี่ยงน้ำ สามารถกลืนกินน้ำในแม่น้ำลำธาร เป็นสัตว์ที่ผู้ครองยุทธภพของ ยุคบรรพกาลอันห่างไกลเลี้ยงเอาไว้ เล่าลือกันว่าเทพอัคคีไม่ชอบมัน จึงใช้วิธีการ ต้มน้ำทะเลสาบน้ำมหาสมุทรให้เดือดพล่านมาสังหารมันทั้งเป็น

แต่ในใต้หล้าไพศาลกลับไม่มีบันทึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มีเพียงบันทึกที่ พร่าเลือนเกี่ยวกับหนึ่งในบุตรทั้งเก้าของมังกร มีความแตกต่างกันแค่เล็กน้อย ไม่มี คำกล่าวเกี่ยวกับ ‘ผู้ครองยุทธภพ’ อะไรนั่นแน่นอน

เฉินผิงอันเก็บความคิดในใจลงไป ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ให้มากความอีก แล้วจึงหยิบยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพานออกมาอีกหนึ่งแผ่น หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ก็ไม่ได้ยื่นมันส่งให้พวกหวงซือ แต่เดินขึ้นไปบนสะพานด้วยตัวเอง

ไร้คลื่นไร้มรสุม ไม่มีเรื่องน่าตกใจ ไม่มีอันตราย

แล้วเฉินผิงอันก็เดินผ่านสะพานหินหยกขาวมาทั้งอย่างนี้ ครั้นจึงหันไปกวักมือเรียกพวกคนที่อยู่ด้านหลัง บอกให้พวกเขารู้ว่าไม่มีกลไกอะไร สามารถเดินข้ามสะพานมาได้อย่างสบายใจ

คนทั้งสามต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป นักพรตซุนรู้สึกว่าสหายเฉินผู้นี้คงจะ คิดว่าทุกคนใกล้จะได้เดินเข้าไปในภูเขาสมบัติกันแล้ว ก็เลยอยากจะแสดงฝีมือ สักหน่อย แต่ก็เปลืองกำลังเปล่า เพราะหากถึงเวลาที่ควรต้องตาย สหายผู้นี้ก็ยัง ต้องตายอยู่ดี ตอนนั้นที่อยู่บนก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เขาไม่ควรจะตอบตกลงร่วมเดินทางมาด้วย ยิ่งไม่ควรเข้ามาในซากปรักจวนตระกูลเซียนที่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วย ทรัพย์สมบัติแห่งนี้ เพียงแต่ว่าพอคิดเช่นนี้ ยังไม่ทันเป็นจิ้งจอกที่เศร้าใจเพราะกระต่ายตาย นักพรตร่างผอมสูงก็ต้องตกตะลึงขวัญผวาขึ้นมาเสียก่อน ไม่ใช่ว่า ตนก็จะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เหมือนกันหรอกนะ?

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอายุน้อยลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ การค้นหาสมบัติก็คือการฝึกตน ขอแค่ไม่ได้ไปเจอกับสำนักศัตรูคู่แค้น ส่วนใหญ่ก็มักจะสามัคคีปรองดองกัน ต่อให้เป็นเพียงแค่การพบเจอกันอย่างผิวเผิน แต่เมื่อบอกตัวตนออกไปอย่างชัดเจนก็ถือว่าเป็นโชควาสนาและการสานสัมพันธ์ควันธูปอย่างหนึ่ง ท่าทาง ยามฮุบกลืนผลประโยชน์ก็ไม่นับว่าน่าเกลียดเกินไป

ทว่าผู้ฝึกตนอิสระที่จับกลุ่มกัน ส่วนใหญ่มักจะจับกลุ่มกันสามสี่คน น้อยไปก็ ทำไม่สำเร็จ มากไปก็อาจทำให้เกิดปัญหา หากมีลมพัดใบไม้ไหวสักหน่อย ยังไม่ทัน ถึงช่วงเวลาที่ได้แบ่งทรัพย์สินอย่างเท่าเทียมก็เกิดขัดแย้งกันเป็นการภายในเสียก่อน คิดจะช่วงชิงโชควาสนากับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นระหว่างที่แย่งชิงกัน ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นฝ่ายแรกที่ยินดีทุ่มชีวิตมากกว่า หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ผู้ฝึกตนอิสระยังถึงขั้นมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู ที่มีร่วมกัน ยินดีลงทุนอย่างไม่เสียดาย แต่หากแบ่งทรัพย์สินกันแล้ว คิดจะเขมือบกลืนกันเอง จะไปยากอะไร? ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา หลังจากที่ สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว กลับไม่มีความคิดที่จะฮุบกลืนผลประโยชน์เอาไว้ คนเดียว แล้วจะยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ป่าเถื่อนไปไย?

ตี๋หยวนเฟิงสังเกตเห็นว่าสายตาของนักพรตซุนล่อกแล่กไม่หยุดนิ่ง จึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม กังวลว่าจะถูกข้ากับหวงซือหลอกทำร้ายหรือ? พื้นที่มงคลหายากที่ใหญ่ ถึงเพียงนี้ พวกเราสามพี่น้อง สุดท้ายจะขนย้ายไปได้สักกี่มากน้อย? ในเมื่อขนอย่างไรก็ขนไม่หมด ยังต้องให้เจ้าฆ่าข้า ข้าฆ่าเจ้าอีกหรือ?”

นักพรตซุนได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แล้วก็อดไม่ไหวลูบหนวดยิ้มตาหยี

คนทั้งสามเดินข้ามสะพานโค้งหยกขาวมา นักพรตซุนฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจทรุดตัวลงนั่งยอง เอามือลูบไปบนเส้นทางสะพานหยกขาว ไม่ใช่หยกมันแพะงดงามทั่วไปในโลกมนุษย์ มารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่เงินเทพเซียนอีกก้อนที่นอนนิ่งไม่ขยับ หรอกหรือ?

นักพรตซุนใช้นิ้วเคาะเบาๆ เสียงใสกังวาน ช่างไพเราะเสนาะหูเสียจริง

ก็เหมือนกับเสียงเคาะเงินร้อนน้อยสองเหรียญเบาๆ ที่ได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตนั่น ช่างชวนให้คนหลงใหล ฟังร้อยรอบก็ไม่เบื่อ

หลังจากที่ขยับเข้าใกล้ประตูภูเขา ตี๋หยวนเฟิงก็แหงนหน้ามองไปยังขั้นบันได ที่ทอดยาวสู่ยอดเขา ยิ้มกล่าวว่า “เดินอ้อมสักหน่อย ไปดูทัศนียภาพโดยรอบ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว พวกเราค่อยขึ้นเขากันไป”

อีกสามคนที่เหลือต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง

ตรงหน้าประตูภูเขามีซุ้มหินขนาดใหญ่ยักษ์ลักษณะโบราณเรียบง่ายที่ฝังเลื่อมตัวอักษรใหญ่ยักษ์สี่คำว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ เอาไว้

กลอนคู่สองด้านก็ยังคงแกะสลักลงบนก้อนหิน

นิ่งสงัดไม่ขยับเชื่อมโยงกันจึงมีปาฏิหาริย์

ผู้ที่ได้ส่วนดีจากผืนดินจึงศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

เฉินผิงอันจ้องมองกลอนคู่นี้นิ่งนาน

อันที่จริงมันเป็นกลอนที่ไม่มีสัมผัสคล้องจองเลยแม้แต่น้อย

แต่ใช้น้ำเสียงใหญ่โต ความหมายก็ใหญ่โตมากด้วย

หวงซือคือคนที่ไม่คิดจะมองกรอบป้ายและกลอนคู่นี้มากกว่าใคร เขาย้ายเส้นสายตาไปยังจุดที่ห่างไปไกลและจุดสูงอยู่นานแล้ว

ตี๋หยวนเฟิงมองไปทางด้านหลังซุ้มป้ายแล้วทยอยไล่มองจากสองข้างฝั่งขึ้นไปด้านบน มีป้ายศิลาแกะสลักอยู่สามสิบหกอัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวอักษร ที่แกะสลักถึงได้ถูกปาดกลึงจนเรียบไปหมด

ราวกับว่าสิ่งที่สามารถบอกประวัติความเป็นมาของซากปรักแห่งนี้ให้แก่ คนรุ่นหลังได้ มีเพียงสี่ตัวอักษรว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ ที่เขียนก็เหมือนไม่เขียนนั่นเท่านั้น ส่วนกลอนคู่ทั้งสองบทก็ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่

นักพรตซุนแหงนหน้ามองกรอบป้ายโบราณนั้นแล้วจุ๊ปากพูดว่า “เขียนอะไร ส่งเดชเช่นนี้ สมควรจะถูกทำลายให้หมด”

ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง หาใช่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย หากไม่ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ทุบทำลาย ก็ต้องสาบสูญไปอย่าง น่าประหลาดใจ หรือไม่ถ้ำสวรรค์ก็หล่นลงพื้นกลายเป็นพื้นที่มงคล แต่นักพรตซุน เชื่อว่าไม่มี ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ อะไรนั่นอยู่อย่างแน่นอน นอกจากนี้ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้ จะมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่ก็ยังอยู่ห่างจากถ้ำสวรรค์ในตำนานอีกไกลโข เพราะบนภูเขาก็มีบันทึกมากมายที่คล้ายคลึงเกร็ดพงศาวดารเช่นกัน ยามที่พูดถึง ถ้ำสวรรค์ ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘ปราณวิญญาณเข้มข้นราวสายน้ำ’ อยู่เสมอ ความเข้มข้นของโชคชะตาน้ำของสถานที่แห่งนี้ยังอยู่ห่างจากคำกล่าวนั้นมากนัก

เมื่อเทียบกับคนสามคนที่อยู่ข้างกาย เฉินผิงอันย่อมเข้าใจถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ได้ดียิ่งกว่า แต่ก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ อะไรเหมือนกัน และหากจะคิดเอารูปแบบของสิ่งปลูกสร้างที่นี่มาอนุมานยุคสมัยของถ้ำสถิต ก็เปลืองแรงเปล่า เพราะถึงอย่างไรความรู้ที่เฉินผิงอันมีต่ออุตรกุรุทวีปก็ยังตื้นเขินอยู่มาก ทุกครั้ง ที่ถึงช่วงเวลานี้ เฉินผิงอันจะยิ่งเข้าใจเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากสำนัก บนภูเขาได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม รากฐานของภูเขาลูกหนึ่ง จำเป็นต้องให้ลูกศิษย์ของ ศาลบรรพจารย์แต่ละรุ่นคอยสั่งสมมาจริงๆ ได้แต่จดจำเอาไว้ก่อน หากมีโอกาส วันหน้าจะลองวาดเค้าโครงของสิ่งปลูกสร้างหลักนี้ไว้ แล้วส่งภาพวาดไปให้ ชุยตงซานดู

ตี๋หยวนเฟิงดึงสายตากลับคืนมา พยักหน้ายิ้มเอ่ย “แปลกประหลาดมากจริงๆ”

หลังจากนั้นคนทั้งสี่ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ฝีเท้าไม่ช้า พวกเขาเดินผ่านตำหนักใหญ่หลังแล้วหลังเล่า ระหว่างทางมีทั้งศาลาหอเก๋ง มีระเบียงยาวราวรั้วสีชาด คนทั้งสี่ ได้เห็นโครงกระดูกขาวโพลนอยู่เป็นระยะ ดูจากตำแหน่งที่โครงกระดูกล้มลง ล้วนเป็นการตายอย่างเฉียบพลันทั้งสิ้น

ไม่มีใครผลักประตูเข้าไปข้างใน

เพราะยังคงหวังว่าจะไปตรวจสอบที่อารามเต๋าบนยอดเขาดูก่อน

โดยทั่วไปแล้ว สมบัติหนักของแต่ละสำนักมักจะอยู่บนจุดสูงเสมอ

จวนตระกูลเซียนไม่รู้ชื่อแห่งนี้ ทุกหนแห่งล้วนมีรอยกรีดเล็กๆ ถี่ยิบเต็มไปหมด แต่ละรอยล้วนไม่ลึก เหมือนมีฝนปราณกระบี่ที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มาเยือนอย่างกะทันหันจนคนไม่ทันตั้งตัว

กระบี่นี้

ต้องมาจากมือของเซียนกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบหรือขอบเขตเซียนเหรินกันแน่

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงได้ออกกระบี่อย่างประหลาดเช่นนี้ ปราณกระบี่ท่วมทับฟ้าดิน อีกทั้งยังดูเหมือนว่ายังหาตัวคนเจออย่างแม่นยำแล้วปล่อยกระบี่ไปหาอีกด้วย

เฉินผิงอันเงยหน้ามอง

มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้จริงๆ

สรุปก็คือสำนักตระกูลเซียนขนาดใหญ่กลับต้องพังทลายหายไปในเสี้ยววินาทีเช่นนี้

ตลอดทางที่เดินมา ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูงกันไปเรื่อยๆ รอบด้านมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง

นักพรตซุนกระวนกระวายไปตลอดทาง ราวกับว่ามีน้ำเย็นๆ สาดใส่หัวตลอดเวลา เขาก็เลยยื่นมือไปลูบคลำกระพรวนเจดีย์วิเศษนั้นตามจิตใต้สำนึก

หากมีภูตผีปีศาจซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ควรจะทำอย่างไรดี?

หากท่ามกลางโครงกระดูกเหล่านี้มีวิญญาณใครสักคนที่หลังจากตายไปแล้ว กลายไปเป็นผีร้าย ยึดครองจวนตระกูลเซียนแห่งนี้ไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้ว ต่อให้ตอน มีชีวิตอยู่คือพวกทึ่มไร้สติปัญญา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะฝึกตนจนเป็นผีเซียนดิน ได้แล้วกระมัง?

ดังนั้นนักพรตซุนจึงต้องลูบคลำกระพรวนเจดีย์วิเศษบ่อยๆ ถึงจะวางใจลงได้

อันที่จริงกระพรวนชิ้นนี้ยังความมหัศจรรย์ด้านอื่นอีก ยิ่งมีสิ่งสกปรกที่ขอบเขตต่ำต้อยขยับเข้ามาใกล้ เสียงกระพรวนก็จะยิ่งดังถี่กระชั้น ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร หากถึงขอบเขตประตูมังกร ก็จะยิ่งดังจนคนที่ห้อยมันไว้จิตใจวุ่นวายไม่เป็นสุข แต่หาก มีปีศาจโอสถทองอยู่ใกล้ๆ กระพรวนเจดีย์วิเศษกลับจะไม่ส่ายไหวอย่างรุนแรง ยิ่งคนนอกมองมาก็ยิ่งไร้ความเคลื่อนไหวไร้เสียง แต่ในความเป็นจริงแล้วบนทะเลสาบหัวใจของเจ้าของที่หล่อหลอมมันได้สำเร็จจะเกิดเสียงดังตึงขึ้นครั้งหนึ่ง

แล้วก็เพราะการเตือนอย่างเงียบเชียบของกระพรวนเจดีย์วิเศษในครั้งนั้นที่ทำให้นักพรตซุนหนีพ้นหายนะมาได้

นักพรตซุนหวังแค่ว่าคราวนี้อย่าได้มีเสียงกระพรวนดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจเลย

คนทั้งสามเคยจับกลุ่มกันรับมือกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งมาก่อน ต่อให้จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งอยู่ติดกายก็ยัง ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ดังนั้นนักพรตซุนจึงหวังว่ากระพรวนเจดีย์วิเศษที่ห้อยไว้ตรงเอวจะส่าย อย่างรุนแรง ส่งเสียงดังสะเทือนฟ้าไปเลยก็ยิ่งดี

ตอนที่คนทั้งสี่เดินผ่านโครงกระดูกที่อยู่ข้างทาง ตี๋หยวนเฟิงจะต้องโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของโครงกระดูกก็จะถูกพายุลมกรดพัดให้แหลกสลาย เป็นผุยผง ไม่เพียงเท่านี้ เครื่องประดับมากมายของผู้ฝึกตนที่เดิมทีควรมี ปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ด้านในก็ยังยากจะหนีพ้นจุดจบกลายเป็นเถ้าธุลีไปได้

มีเพียงโครงกระดูกเท่านั้นที่พอพายุหมัดผ่านไปกลับยังคงเป็นปกติไม่แหลกสลาย

เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

หลังจากที่ลงมือไปสิบกว่าครั้ง ตี๋หยวนเฟิงก็ยังคงไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ นักพรตร่างผอมสูงจึงเริ่มชิงลงมือก่อน เขาทำเลียนแบบอีกฝ่าย แต่น่าเสียดายที่ตบะ ไม่ได้เรื่อง จึงยังไม่เจอชุดคลุมอาคมสักชิ้น

ตี๋หยวนเฟิงจึงหันหน้ามามองหวงซือ “พี่ใหญ่หวงก็ลองเสี่ยงดวงดูด้วยสิ?”

บางทีอาจเป็นเพราะลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยน ภายหลังระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมาบนภูเขา หวงซือก็ลองโบกชายแขนเสื้อดู และเสื้อผ้าที่อยู่บนโครงกระดูกก็ยังคง อยู่ดังเดิม นักพรตซุนจึงรีบวิ่งไปดึงเอาชุดออกมา

ช่างหัวมาดยอดฝีมือเรือนเทพสายฟ้าอะไรนั่นเถอะ!

ข้าผู้อาวุโสคือผู้ฝึกตนอิสระที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัสกับเงินฝนธัญพืชแม้แต่ ครึ่งเหรียญ!

เพียงแต่ว่าพอดึงมาได้สำเร็จ นักพรตซุนก็ยังคงตัดใจมอบมันให้หวงซือ

นี่ก็คือกฎของผู้ฝึกตนบนภูเขา

แน่นอนว่ายังมีกฎที่ใหญ่ยิ่งกว่ารอคนทั้งสี่อยู่ภายหลัง แต่หากดูจากตอนนี้ ต้องเท่ากับว่ารอสหายเฉินผู้นั้นคนเดียวถึงจะถูก

นักพรตซุนเริ่มรู้สึกเวทนาอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้

หรือว่าตนควรจะทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีจิตใจดี เกลี้ยกล่อมตี๋หยวนเฟิงและหวงซือดูสักครั้ง?

หากขนสมบัติในคลังของที่แห่งนี้ไปไม่หมด ทุกคนได้ผลเก็บเกี่ยวกลับไป เต็มไม้เต็มมือจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนชิงทรัพย์กระมัง?

เพียงแต่ว่านักพรตซุนยังคงลังเลตัดสินใจไม่ได้ เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอให้ได้ผลเก็บเกี่ยวก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ไม่อย่างนั้นหากสุดท้ายแล้วแม้แต่ห่อสัมภาระใบสองใบก็ยังบรรจุได้ไม่เต็ม แล้วตนยังใจอ่อน มีเมตตากรุณาดุจสตรีเช่นนี้ มีแต่จะทำให้สองคนนั้นเกิดความชิงชัง ไม่แน่ว่าอาจถือโอกาสสังหารตนไปพร้อมกันด้วย

เฉินผิงอันเดินตามมาด้านหลังคนทั้งสามอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นว่าบนพื้นลานกว้างหยกขาวเบื้องหน้าอารามเต๋ามีโครงกระดูกที่ค่อนข้างเล็กอยู่สองโครง หลังจากตี๋หยวนเฟิงสะบัด ชายแขนเสื้อไปแล้ว อาภรณ์ก็สลายหายไปไม่เหลืออยู่อีก ทว่าโครงกระดูกแต่ละโครงกลับทิ้งของสิ่งหนึ่งเอาไว้

เพียงแต่ว่าอาวุธหนักบนภูเขาทั้งสองชิ้นนี้มีรอยแตกร้าวเยอะมาก ระดับขั้น ถูกทำลายให้เสียหายไปไม่น้อย

ตี๋หยวนเฟิงทรุดตัวลงนั่งยองหยิบพวกมันขึ้นมา แล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

หวงซือเอ่ย “ดูท่าสมบัติอาคมอาวุธวิเศษของที่แห่งนี้ ระดับขั้นคงไม่ค่อยดีสักเท่าไร”

ตี๋หยวนเฟิงพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เน้นปริมาณแล้วกัน”

นักพรตซุนหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

หวงซือเองก็คลี่ยิ้มบางๆ อย่างที่หาได้ยาก

เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ร่วมวงด้วย เขายังคงเคยชินกับการคิดหาทางหนีทีไล่ก่อน แล้วค่อยมาพูดเรื่องค้นหาทรัพย์สมบัติ

ยืนอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองไปไกล จุดที่สายตามองเห็น นอกจาก ภูเขาเขียวน้ำใสแล้ว ทัศนียภาพในระยะร้อยลี้ล้วนสามารถมองเห็นได้หมด ต่างกัน ก็แค่ว่าอยู่ไกลหรือใกล้เท่านั้น จุดที่สายตามองเห็นอย่างพร่าเลือนก็อาจจะอยู่ไป ไกลสักหน่อย ราวกับว่ามีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอย่างถึงที่สุดอยู่เส้นหนึ่ง พอผ่านเส้นนั้นไป ทุกอย่างก็พลันแปรเปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน ให้ความรู้สึกกดดันแก่เฉินผิงอันราวกับว่ามาถึงจุดสิ้นสุดบนเส้นทาง ฟ้าดินว่างเปล่า

นี่เป็นเรื่องดี แล้วก็เป็นเรื่องร้าย

เรื่องดีก็คือถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้คือสถานที่ไร้รากฐานในตำนาน คล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลยุคบรรพกาลที่ปริแตก ไม่ได้สร้างขึ้นบนขุนเขาสายน้ำ ที่แท้จริง

นี่หมายความว่าซากปรักตระกูลเซียนแห่งนี้จะต้องมีประวัติศาสตร์ยาวนาน อย่างถึงที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะมีวัตถุดิบวิเศษของฟ้าดินที่มีมูลค่าควรเมืองอยู่จริง หรืออาจจะมีวิชาลับตระกูลเซียนที่ชี้ตรงไปยังขอบเขตเซียนดินอยู่สักเล่มสองเล่ม

แต่เรื่องร้ายก็คือ เข้ามาง่ายแต่ออกไปยาก เว้นเสียจากว่ามีคนสามารถทำลายตราผนึกฟ้าดินขนาดเล็กออกไปได้

ด้านหลังเฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่ง แน่นอนว่าเขาต้องทำได้ ต่อให้เป็นม่านฟ้าที่แข็งแกร่งมั่นคงแค่ไหน เกรงว่าก็คงเทียบกับหุบเขาผีร้ายแห่งชายหาดโครงกระดูกไม่ได้

แต่พอถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มอิทธิพลทั้งหลาย นี่ขัดแย้งต่อเจตจำนงแรกของเขาที่ว่า ‘แอบมาหาเงินเก็บตกของดีก้อนเล็กๆ แล้วจากไปเงียบๆ ไม่ต้องมีใครมาสนใจข้า’ อย่างยิ่ง

เฉินผิงอันไม่อยากกลายเป็นเจียงซ่างเจินคนที่สอง กลายเป็นหนูวิ่งข้ามถนน ที่ใครเห็นก็ร้องอยากจะทุบตีในสายตาของผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีป

การที่พวกหวงซือสามคนยังอยู่สงบได้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะยังสังเกตไม่เห็นถึงภาพเหตุการณ์ประหลาดของขุนเขาสายน้ำจุดที่อยู่ห่างไปไกล นี่แสดงให้เห็นว่า ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างหวงซือนั้น ไม่ใช่กระดาษเปียก แต่ก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งสักเท่าไร

การดำรงอยู่ของเส้นเส้นนั้น อันที่จริงไม่ได้มีความหมายต่อเฉินผิงอันในเวลานี้ สักเท่าไร แต่หากผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น เขากลับเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็น อีกทั้งยังสามารถเดินออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้

คนที่เหลืออีกสามคนยังคงถูกปิดหูปิดตา บางทีตอนนี้อาจจะกำลังลอบสื่อสาร กันว่าควรจะเล่นงานสหายนักพรตเช่นเขาอย่างไรก็เป็นได้

อารามเต๋าที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใหญ่ กรอบป้ายก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ก่อนที่คนทั้งสี่ จะเดินเข้าไปในอารามต่างก็อดไม่ไหวหันไปมองกระเบื้องแก้วสีเขียวมรกตบนหลังคา บนภูเขามีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากมาย แต่กลับมีเพียงที่แห่งนี้ที่ถึงจะมีกระเบื้องนี้

กาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นไป แผ่นกระเบื้องกลับยังคงส่องประกายรัศมี เรืองเรือง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กระเบื้องแก้วทั่วไปที่หาได้ในพระราชวังหรือจวนโหว ของโลกมนุษย์ เป็นสมบัติบนภูเขา ของใช้ในบ้านของเทพเซียนที่แท้จริง

สรุปก็คือแผ่นกระเบื้องทุกแผ่นล้วนเป็นเงินเทพเซียน

ภาพนี้ทำให้นักพรตซุนที่มองดูอยู่สั่นสะท้านไปทั้งตัว คาดว่าไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีมูลค่าถึงเจ็ดแปดเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง? หากเป็นกระเบื้องแก้วชั้นดีที่ใช้วิชาลับตระกูลเซียนเผาขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเปลี่ยนจากเงินร้อนน้อยไปเป็นเงินฝนธัญพืชก็เป็นได้!

หวงซือและตี๋หยวนเฟิงต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่เคยไปมาหาสู่กับภูเขาของสำนักใหญ่ ดังนั้นมูลค่าของกระเบื้องแก้วพวกนี้ พวกเขาจึงประมาณการณ์ไม่ได้พอๆ กับ นักพรตซุน แต่สำนักตระกูลเซียนที่เคยไปมาหาสู่กันก็ล้วนไม่เคยใช้กระเบื้องแก้ว พวกนี้มามุงหลังคา ทว่าโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขากลับพบเห็นได้ไม่น้อย

สุดท้ายเฉินผิงอันมองไปยังจุดที่คนทั้งสี่จากมา ตรงนั้นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง หากเขามีโอกาสก็จะต้องถามคนกลุ่มถัดไปให้จงได้

พวกเขาจะเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ประมาณช่วงเวลาไหน

อันที่จริงเฉินผิงอันกำลังคำนวณอยู่ในใจตลอดเวลา

หากความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำกาลเวลาในที่แห่งนี้มีความต่างจาก ใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผลลัพธ์ ที่เลวร้ายที่สุดไว้สองอย่างแล้ว

กลุ่มของจานชิงท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงมาถึงหน้าประตูถ้ำ

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลคนนั้นกำลังตรวจสอบรอยเท้าบนพื้น

เกาหลิงแม่ทัพบู๊แห่งแคว้นฝูฉวีพูดเสียงทุ้มหนัก “ท่านโหวน้อย บริเวณใกล้เคียงกับภูเขามีคนไม่น้อยแอบซ่อนตัวอยู่”

จานชิงยิ้มกล่าว “ก็ให้พวกเขามากินฝุ่นตามก้นพวกเราแล้วกัน ในเมื่อกล้า พอจะเข้ามาในถ้ำ ก็ต้องกล้าพอจะไปหาครรภ์เกิดใหม่”

เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อผู้ฝึกตนอิสระและเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล

ต่อให้ตัวเองจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงคนหนึ่ง แต่บางทีคงเป็นเพราะส่วนลึก ในกระดูกของเขายังคงเป็นลูกหลานชนชั้นสูงร่ำรวย เห็นพวกอัครเสนาบดีและ จวนอ๋องมาจนชิน แล้วก็เคยชินกับการวางแผนเล่นงานผู้อื่น การฉวยโอกาสและ คล้อยไปตามโอกาส หาใช่อาศัยหมัดหนึ่งคู่และสมบัติหลายชิ้นฆ่าแกงผู้อื่นไปมา ดังนั้นสำหรับพวกคนบนเส้นทางเดียวกันที่สูงส่งเหนือใครเหล่านั้น จานชิง จึงเบื่อหน่ายชิงชังอย่างถึงที่สุด แต่หากถึงช่วงเวลาที่ต้องอาศัยวิชาคาถาสังหารคนจริงๆ แน่นอนว่าจานชิงย่อมไม่โอ้เอ้อืดอาด

ป๋ายปี้เอ่ยสัพยอก “ไม่รีบร้อนสักนิดเลยหรือ ไม่กลัวหรือว่าคนสองกลุ่มนั้น จะชิงโอกาสได้เปรียบไปก่อน?”

จานชิงยิ้มกล่าว “หากพวกเขาสามารถหล่อหลอมสมบัติตระกูล หรือกินวิชาลับอะไรได้ในชั่วพริบตา ก็ถือว่าข้าโชคร้าย ต้องยอมรับชะตากรรมไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้น คนกับสิ่งของจะหนีหายไปไหนได้”

เกาหลิงยิ่งรู้สึกว่าต้องมองคนผู้นี้ในมุมใหม่มากขึ้นทุกที

ก่อนหน้านี้สำหรับท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงอะไรนี่ เขาแค่มองอีกฝ่ายเป็น เศษสวะที่ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดีเท่านั้น

ตอนนี้ลองมานึกดูแล้ว ในอนาคตใครกล้าดูแคลนคนผู้นี้ แล้วเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากันขึ้นมา รับรองว่าอีกฝ่ายต้องเพลี่ยงพล้ำให้เขาอย่างแน่นอน

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคนเปิดทาง ถือเขียนไขชูขึ้นสูงเดินเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด

ป๋ายปี้อารมณ์ผ่อนคลาย ขอแค่ไม่เจอเหตุไม่คาดฝันที่ใหญ่เกินไป การมาเยี่ยมเยือนภูเขาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้นางลงมือด้วยตัวเองเลย

ต่อให้ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ยและเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆสองคนมาเยือนด้วยตัวเอง ก็ยังถือได้ว่าเป็นแค่เรื่องไม่คาดฝันน้อยๆ เท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนในกลุ่มของตนก็มากพอจะรับมือแล้ว

คนทั้งกลุ่มมาถึงโพรงถ้ำที่มีภาพวาดขององค์เทพสวรรค์ลงสีสันทั้งสี่องค์

จานชิงขมวดคิ้วน้อยๆ ในเรื่องฝ่าค่ายกลนี้ ตนไม่ถนัดเลยจริงๆ อาจารย์ที่เป็นก่อกำเนิดของตน ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระ วิชาที่เล่าเรียนมาจึงปะปนกันหลากหลาย จึงน่าจะคุ้นเคยดี เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยถ่ายทอดวิชาเกี่ยวกับการเข้าสู่พื้นที่ลับเพื่อค้นหาโชควาสนาอะไรแก่จานชิงมาก่อน เขามักจะบอกว่าวิชากลไก ที่เป็นวิชาสายรองพวกนั้นจะถ่วงเวลาการฝึกตน รอจนจานชิงเลื่อนขั้นเป็น ขอบเขตประตูมังกรเมื่อไหร่ค่อยพูดถึงเรื่องอื่น

ในเมื่อผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มแรกและผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆต่างก็ไม่อยู่กันแล้ว คิดดูแล้วพวกเขาก็น่าจะทยอยกันเข้าไปในซากปรักจวนเซียนแล้ว

ป๋ายปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อจากนี้จะทำอย่างไร? จะให้พวกเราเบิกตาจ้องกันไปมาอยู่ตรงนี้หรือ?”

จานชิงพูดอย่างระอาใจ “หากรู้ตำแหน่งทางออกก็แค่เฝ้าตอรอกระต่ายก็พอ กลัวก็แต่ว่าทางออกที่ว่าจะอยู่ห่างไปร้อยกว่าลี้ พวกเราคงไม่ทันได้เจอพวกเขา”

ป๋ายปี้เอาสองมือไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบด้าน “หาเบาะแสดูก่อน หากไม่ได้จริงๆ ก็ถือว่าเจ้าติดค้างน้ำใจข้าครั้งใหญ่”

จานชิงเอ่ยถาม “ค่าตอบแทนสูงมากหรือ?”

ป๋ายปี้พยักหน้ารับ “ไม่ถือว่าน้อย เท่ากับว่าข้าต้องเสียตบะไปประมาณสิบปี”

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำผู้นี้เรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิต ชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง คือยันต์สีเขียวที่พบเห็นได้ยากมากแผ่นหนึ่ง เป็นยันต์ที่มีภาพกระแสน้ำไหลริกๆ ทั้งเรียบง่าย แต่ก็ทั้งประหลาด สายน้ำที่วาดไว้บนยันต์ไหลรินอย่างเชื่องช้า และยังพอจะได้ยินเสียงน้ำไหลดังมาแว่วๆ ด้วย

ผู้ฝึกตนโอสถทองที่มีชาติกำเนิดจากสำนักบนภูเขาคนหนึ่งยินดีหลอมยันต์ แผ่นหนึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดระดับขั้นของยันต์แผ่นนี้ ก็น่าจะเป็นสมบัติอาคม

ป๋ายปี้เอ่ย “นี่คือยันต์โบราณแผ่นหนึ่ง ในอดีตอาจารย์ของข้าได้มาโดยบังเอิญ มันมาจากซากปรักที่เป็นหนึ่งในสามศาลโบราณของลำน้ำจี่ตู้ มีชื่อว่ายันต์ชุ่นจิน มีความมหัศจรรย์มากมาย หากผู้ที่ฝึกวิชาน้ำได้ครอบครองมันจะเหนื่อยเพียงครึ่ง แต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว เพื่อได้ครอบครองยันต์แผ่นนี้ ทางสำนักทะเลาะกัน รุนแรงไม่น้อย แต่อย่าไปพูดถึงดีกว่า สรุปก็คือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของมันก็คือสามารถช่วยให้พวกเราเดินเข้าไปในพื้นที่ลับได้”

ยันต์ชุ่นจิน ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ายันต์กาลเวลา

ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด

แม้ว่าจานชิงจะไม่รู้ความเป็นมาของยันต์แผ่นนี้ชัดเจนนัก แต่เขาก็ยังคงส่ายหน้า “อย่าดีกว่า”

ป๋ายปี้ถอนหายใจ “ข้าเป็นเซียนดินโอสถทองแล้ว เท่ากับตบะสิบปีของตอนที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรในอดีต แค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ยิ่งเป็น ช่วงหลังๆ ความต่างของหนึ่งขอบเขตก็ยิ่งเหมือนฟ้ากับดิน ผู้ฝึกลมปราณเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธก็ยิ่งเป็นเช่นนี้”

จานชิงยิ้มเจื่อนเรียกนาง “พี่หญิงป๋าย”

ป๋ายปี้ยิ้มกล่าว “แค่คำว่าพี่หญิงป๋ายคำเดียวก็เพียงพอแล้ว”

ต่อให้เป็นลูกหลานอ๋องโหวที่นิสัยเย็นชาแล้งน้ำใจอย่างจานชิงก็ยังอดไม่ได้ อยากจะเอื้อมมือไปกุมมือของนางเอาไว้

แต่ป๋ายปี้กลับส่ายหน้า พูดด้วยจิตใจที่สงบนิ่งว่า “สตรีในโลกมนุษย์ที่ถูกเจ้าเลี้ยงดูไว้มีหลายคนที่ยินดีตายเพื่อเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย? แต่นี่เจ้ากลับหวั่นไหวเพียงเพราะเซียนดินโอสถทองอย่างข้าต้องเสียตบะไปแค่ไม่กี่ปีน่ะหรือ? ความรักชายหญิงที่เป็นเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องมีก็ได้ หากในอนาคตบนเส้นทางของ การฝึกตนมีผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดคนหนึ่งยอมทุ่มเทเพื่อเจ้าเช่นนี้ เจ้าก็จะเปลี่ยนใจอีกหรือไม่? คู่รักเทพเซียนบนภูเขาที่แท้จริง ไม่มีคู่ไหนที่มีความรู้สึกตื้นเขิน เพียงเท่านี้”

จานชิงเหมือนถูกฟ้าผ่า อึ้งงันไม่อาจตอบโต้

ป๋ายปี้พลันเอ่ยว่า “ก่อนจะใช้ยันต์ชุ่นจิน ลองหาเบาะแสดูก่อน แล้วค่อยบุก เข้าไป หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองท่านจะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ หากทั้งสองท่านยังทำไม่ได้ก็ค่อยถึงคราวข้า”

ในใจของจานชิงรู้สึกดีขึ้นมาได้เล็กน้อย

เมื่อมองพี่หญิงป๋ายที่หน้าตางดงามชวนหวั่นไหวผู้นี้อีกครั้ง กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า

หลังจากที่หวนอวิ๋นปรากฎตัวในถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้ก็รีบแปะยันต์เฉพาะลงบนร่างของคนทั้งสามเพื่ออำพรางลมปราณบนร่างพวกเขาทันที

ส่วนริ้วคลื่นลมปราณยามที่คนทั้งสามก้าวเดิน เขาหวนอวิ๋นเป็นเพียงแค่เซียนดินโอสถทองสายยันต์คนหนึ่ง ไม่ใช่เทียนจวินลัทธิเต๋าอะไร ไม่อาจทำได้สมบูรณ์แบบ ไร้ช่องโหว่ขนาดนั้น

ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆผู้นั้นผ่อนลมหายใจโล่งอก ไม่มีการลอบสังหารรออยู่ ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

หวนอวิ๋นพลันเอ่ยขึ้นว่า “ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ไปเดินเล่นกันเอง นอกจากการ เข่นฆ่าตัดสินเป็นตายแล้ว ข้าผู้อาวุโสจะไม่สนใจพวกเจ้าอีก โชคดีและเคราะห์ที่อยู่นอกเหนือจากความเป็นความตายก็ขึ้นอยู่ที่โชคชะตาของใครของมันแล้ว”

จากนั้นหวนอวิ๋นก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางแย่งชิงกับพวกเจ้า อย่างมากที่สุดก็แค่เลือกเอาของที่พวกเจ้าเหลือไว้ หรือไม่ หากพวกเจ้าไม่อาจพบเจอ ข้าผู้อาวุโสก็ค่อยไปเก็บของผุๆ พังๆ มา”

ร่างของหวนอวิ๋นหายวับไปเหมือนไอหมอกเหมือนก้อนเมฆ ไม่เหลือร่องรอยกระเพื่อมไหวแม้แต่น้อย

ผู้ถวายงานเฒ่ายิ้มพูดกับเด็กรุ่นหลังสองคน “หวนเจินเหรินเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ไปเถอะ ต่อจากนี้ควรจะรับมือกับผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้นอย่างไร นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่พวกเจ้าสองคนต้องกังวลที่สุด”

ฟังความนัยในถ้อยคำของผู้ปกป้องมรรคาท่านนี้ออก สตรีก็กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “แล้วท่านอาจารย์อาล่ะ?”

ผู้ถวายงานเฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “หรือจะให้ข้าช่วยพวกเจ้าแย่งชิงสิ่งของ แบกสิ่งของ? พวกเจ้ามาเที่ยวขุนเขาสายน้ำหรือไร? อาจารย์อาอย่างข้าเป็นคน แบกหามของพวกเจ้างั้นหรือ?”

ผู้ถวายงานเฒ่าเตรียมทะยานลมขึ้นสู่อากาศสูง อยากจะดูว่าม่านฟ้าของถ้ำสถิตแห่งนี้สูงเท่าไรกันแน่ อีกทั้งมองพื้นดินจากมุมสูงก็จะช่วยให้มองความลี้ลับที่ซ่อนไว้ออก ได้ง่ายมากกว่า

แต่เพื่อความปลอดภัย ผู้เฒ่าก็ยังเรียกอาวุธวิเศษที่ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิต ชิ้นหนึ่งออกมา ปล่อยให้มันลอยหมุนขึ้นไปกลางอากาศก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตน พุ่งหัวทิ่มเข้าไปในค่ายกลภูเขาสายน้ำ

เข้ามาในซากปรักจวนเซียนที่ไร้เจ้าของเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกที่ล้วนมีแต่เงินให้เก็บ

แล้วก็มีปราณสังหารรอคนที่มาเก็บเงินอยู่ทุกหนแห่งด้วย

อันที่จริงผู้เฒ่าก็มีทั้งความดีใจและความกังวลใจ ดีใจก็เพราะโชควาสนา ของที่แห่งนี้ต้องไม่เล็กอย่างแน่นอน และยังอยู่เหนือจากที่คาดการณ์เอาไว้ด้วย ที่นี่ย่อมไม่ใช่จวนสำหรับฝึกตนของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรอะไรแน่ๆ แต่ต้องเป็นสำนักแห่งหนึ่ง เพียงแค่ดูจากขนาดของสิ่งปลูกสร้างก็รู้แล้วว่าไม่ด้อยกว่า นครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยเลย ดังนั้นการที่คราวนี้เจ้านครเสิ่นเจิ้นเจ๋อ เอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นมามอบให้ตน จึงเป็นเรื่องที่ถูกจนถูกกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

ส่วนเรื่องที่เป็นกังวลก็คือจวนเซียนแห่งนี้ไม่อาจย้ายออกไปได้ หากเป็นสถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนใหญ่เซียนดินก่อกำเนิด หรืออาจเป็นห้าขอบเขตบนอะไรจริงๆ รอให้พวกเขากลับไปถึงนครเหนือเมฆ แล้วขอแค่มีข่าวเล็ดรอดออกไป ถึงเวลานั้น เมื่อมาเยี่ยมขุนเขาค้นหาสมบัติอีกครั้ง เกรงว่าโอสถทองคนหนึ่งก็คงไม่อาจเก็บซากน้ำแกงอะไรมากินได้ มีแต่จะถูกสำนักที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำที่ได้ยลจันทร์ก่อนใช้ วิชาอภินิหารย้ายขุนเขาในตำนานย้ายออกไป สำนักที่อยู่ใกล้กับแคว้นเป่ยถิงมากที่สุด หนึ่งอยู่ตะวันตก อีกหนึ่งอยู่เหนือ ต่างก็อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ความต่าง เพียงแค่นั้น สำหรับผู้ฝึกตนของสำนักที่มีเรือข้ามฟากเป็นของตัวเองแล้วก็ สามารถมองข้ามไปได้เลย

ผู้ถวายงานเฒ่าผู้นี้หวังเพียงแค่ว่าเจ้าของที่นี่คนเก่าจะเป็นแค่เซียนดินไร้แซ่ ไร้นามคนหนึ่งเท่านั้น ขออย่าให้ขอบเขตสูงไปกว่านี้อีกเลย

โอสถทองนั้นดีที่สุด ก่อกำเนิดค่อนข้างเป็นปัญหา หลังจบเรื่องก็ยากที่จะเก็บกวาดได้

ไม่แน่ว่าอาจมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากสำนักขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนนครเหนือเมฆ ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเปิดปาก เจ้านครก็ได้แต่ต้องคายเนื้อติดมันชิ้นใหญ่นั้นออกมามอบให้อีกฝ่ายแต่โดยดี แล้วยังต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจด้วยซ้ำ

หากเป็นซากภูเขาที่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเฝ้าพิทักษ์ นั่นก็ไม่ต้องคิดเลย เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นโชคที่มาพร้อมเคราะห์ หลังเจอกับโชคดีครั้งใหญ่แล้ว ก็คือหายนะใหญ่ที่มาเยือนถึงสำนัก

เว้นเสียจากว่านครเหนือเมฆของพวกเขาสามารถทำลายฟ้าดินขนาดเล็กนี้ ได้ทันที ลบเลือนร่องรอยทั้งหมดทิ้งไปในรวดเดียว

แต่น่าเสียดายที่นครเหนือเมฆไม่มีทางทำได้

เว้นเสียจากว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อจะตัดสินใจเด็ดขาด หลังจากที่พวกเขาสามคนกับหวนอวิ๋นกลับคืนไปถึงนครเหนือเมฆแล้วก็เป็นฝ่ายไปหาสำนักหนึ่งในนั้น แล้วปรึกษาหาส่วนแบ่งที่ค่อนข้างยุติธรรมจากอีกฝ่าย

ส่วนพื้นที่วิเศษที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นแห่งนี้ บวกกับสิ่งปลูกสร้างสำเร็จรูป ที่มากมายขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่สำหรับพักร้อนที่ดีเยี่ยมของสำนัก อีกฝ่ายในอนาคตอย่างแน่นอน

อาวุธวิเศษที่ใช้ตรวจสอบเส้นทางชิ้นนั้นบินว่อนไปสี่ทิศ ไม่เจออุปสรรคใดๆ มาขัดขวาง

ผู้ถวายงานเฒ่าจึงทะยานลมขึ้นสู่กลางอากาศสูงได้อย่างวางใจ

และในขณะที่ผู้ถวายงานเฒ่าออกห่างจากพื้นดินไปได้หลายร้อยจั้งนั้นเอง อาวุธวิเศษชิ้นนั้นพลันระเบิดแตก ผู้ถวายงานเฒ่ารู้ว่าท่าไม่ดี แล้วจู่ๆ ก็พลันถูกคนกระชากให้ร่วงลงมาบนพื้นดิน

ผู้ถวายงานเฒ่าใจสั่นสะท้าน จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ที่แท้ก็เป็น หวนอวิ๋นเจินเหรินที่กดไหล่ของเขาเอาไว้ พาเขาทะยานลงไปบนพื้นด้วยกัน จากนั้น ผู้ถวายงานเฒ่าก็สัมผัสได้ว่าเหนือศีรษะมีลมปราณเล็กบางเสี้ยวหนึ่งพุ่งวาบผ่านไป เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เหลือร่องรอย

หวนอวิ๋นเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แนะนำเจ้าว่าอย่าขึ้นไปข้างบนอีก ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เป็นเซียนดินโอสถทองก็ยังไม่อาจต้านรับปราณกระบี่ที่ออก ตรวจตราไปทั่วสี่ทิศกลุ่มนั้นได้”

ก่อนหน้านี้เจินเหรินผู้เฒ่าโยนยันต์สำรวจเส้นทางหลายแผ่นออกไปรอบทิศ แล้วก็สังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่มียันต์ลอยขึ้นไปยังจุดสูงจะต้องแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงในเสี้ยววินาที

ผู้ถวายงานเฒ่าแหงนหน้ามองไป ลมปราณเสี้ยวนั้นไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาแล้ว

ขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆผู้นี้กล่าวอย่างตกตะลึง “หรือว่าซากปรักแห่งนี้ยังมีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์อยู่?!”

หวนอวิ๋นที่ไปวนอ้อมภูเขาเขียวมารอบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ล้วนตายกันไปหมดแล้ว ไม่มีคนรอดชีวิต แล้วก็ไม่มีพวกภูตผีด้วย เหลือแต่ปราณกระบี่นี้ที่ยังคง ดำรงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้”

หวนอวิ๋นมีสีหน้าเครียดขรึม “จะบอกข่าวที่กึ่งดีกึ่งร้ายแก่เจ้าข่าวหนึ่ง หลังจากที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเก่าแก่แห่งนี้ต้องแหลกสลายเพราะเหตุไม่คาดฝัน ก็เหลือ อาณาบริเวณที่ลี้ลับมหัศจรรย์นี้เอาไว้ ความเล็กใหญ่ของอาณาเขตมีรัศมีคร่าวๆ ประมาณร้อยลี้ อายุของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้บอกได้ยาก อาจจะพันปี หรืออาจจะยาวนานยิ่งกว่านั้น แต่ข้าผู้อาวุโสพอจะอนุมานได้แล้วว่าถ้ำสถิตบนภูเขาแห่งนี้ สูญสลายไปประมาณช่วงไหน นั่นคือประมาณเจ็ดแปดร้อยปีก่อน ทว่านี่ไม่ใช่ เรื่องปกติ ในประวัติศาสตร์แคว้นเป่ยถิง เดิมทีก็ไม่มีสำนักตระกูลเซียนเช่นนี้อยู่เลย”

หวนอวิ๋นหยุดเรือนกายที่กำลังทะยานลงสู่พื้น ลอยตัวอยู่ห่างพื้นมาร้อยกว่าจั้งพร้อมกับผู้ถวายงานเฒ่า แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียง อย่างเดียว หลังจากที่สำนักของที่แห่งนี้ล่มสลายไป ฟ้าดินขนาดเล็กนี่ก็ถูก ยอดฝีมือนอกโลกไม่ทราบนามพกติดกายไปด้วย

จนกระทั่งย้ายมาถึงแคว้นเป่ยถิงแห่งนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม เซียนท่านนี้ถึงได้ ไม่สามารถครอบครองพื้นที่ลับแห่งนี้แล้วฝึกตนต่อไปอย่างราบรื่น จากนั้นก็อาศัย ที่แห่งนี้มาเปิดภูเขาตั้งพรรคอยู่ภายนอก หากไม่เป็นเพราะเจอหายนะที่ไม่คาดฝัน สมบัติขั้นสูงสุดบางชิ้นที่บรรจุฟ้าดินขนาดเล็กนี้ไว้หล่นลงไปกลางภูเขาลึกของ แคว้นเป่ยถิงโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ถ้าอย่างนั้นหลังจากคนผู้นี้มาถึงแคว้นเป่ยถิงแล้วก็ไม่ได้ออกเดินทางไกลต่อ แต่แอบปิดด่านอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ลาจากโลกนี้ไป อย่างเงียบเชียบ”

หวนอวิ๋นถอนหายใจ “เป็นตายไม่แน่นอน มหามรรคาเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง”

ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้และหลักการนี้

ก็มักจะทำให้คนรู้สึกหมดอาลัยตายอยากอย่างห้ามไม่ได้

เพียงแต่ว่าหลังจากที่หวนอวิ๋นทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังแล้วก็สะดุ้งคืนสติในทันใด เขานึกถึงประโยคที่ตนใช้ปลอบเสิ่นเจิ้นเจ๋อตอนอยู่นครเหนือเมฆ แล้วอารมณ์ก็พลันกลับคืนมาเป็นปกติ ในใจไม่เหลือพยับหมอกใดๆ ทิ้งไว้อีก

นักพรตเต๋าฝึกตน หากทำร้ายตัวเองก็จะทำร้ายคนอื่นได้ยิ่งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงได้มีด่านเคาะใจที่ยากจะข้ามผ่านที่สุดในบรรดาสามลัทธิร้อยสำนัก

อันที่จริงหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่ามีคุณสมบัติดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าเซียนดินบนภูเขาทุกคนที่อยู่บนเส้นทางเลียบลำน้ำใหญ่ของอุตรกุรุทวีปต่างก็รู้สึกว่าเส้นทางสายยันต์ของเขาหวนอวิ๋นมีอนาคตยาวไกล สอดคล้องกับมหามรรคาของตัวเขาเอง ถึงได้ มีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ แต่อันที่จริงหวนอวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นี่เรียกว่า คนใบ้กินหวงเหลียน แม้ขมขื่นก็พูดไม่ออก เคยมียอดฝีมือกล่าวไว้ว่า หากเขาหวนอวิ๋นเข้าไปอยู่ในตระกูลเซียนที่มีอักษรจงเสียแต่เนิ่นๆ จากนั้นก็อย่าไปเรียน ไอ้พวกวิชายันต์ผีที่ดีแต่เปลือกพวกนั้นอีก ป่านนี้ก็คงกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนไปนานแล้ว

ดังนั้นสำหรับคำว่าผลได้ผลเสีย หวนอวิ๋นเข้าใจได้ลึกซึ้งอย่างถึงที่สุด

ยามที่เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ ก็ได้แต่เอาการฝึกตนที่เป็นดั่งการขัดเกลาจิตแห่งเต๋า มาคลายความกลัดกลุ้มเท่านั้น

ในอารามเต๋าที่อยู่บนยอดเขาตั้งบูชารูปปั้นของนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่อยู่ในท่านั่ง ทอดสายตามองไปเบื้องหนา สองมือวางทับซ้อนไว้ด้านหน้าตัวเอง

บนโต๊ะมีกระถางธูปทองเหลืองใบเล็กใบหนึ่ง ด้านในกระถางยังมีขี้เถ้าเหลืออยู่ครึ่งกระถาง

ไม่ว่าใครก็รู้ว่ากระถางธูปใบเล็กที่วาววับใบนั้นต้องเป็นสมบัติหนักของลัทธิเต๋าชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีใครไปแตะต้อง

ตี๋หยวนเฟิงถามเบาๆ ว่า “นักพรตซุน เจ้าเคยเห็นคนผู้นี้จากในตำราภาพเหมือนของเทวรูปลัทธิเต๋าพวกเจ้าบ้างหรือไม่?”

นักพรตซุนส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นมาก่อน”

มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่กล้าพูดออกมา นักพรตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หน้าตาธรรมดา ความรู้สึกที่เทวรูปนี้มอบให้กับผู้คนก็มีเพียงความสามัญไร้ความพิเศษ ถึงขั้น ไม่มีความรู้สึกชวนให้คนอกสั่นขวัญผวาได้เหมือนภาพฝาผนังขององค์เทพแห่งสวรรค์ทั้งสี่ท่านในถ้ำด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันจ้องนิ่งไปยังเทวรูปนั้น ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาสามร้อยกว่าปีที่ได้ ท่องไปท่ามกลางกระแสสายน้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวพร้อมกับตงไห่นักพรตเฒ่าอารามกวานเต๋าผู้นั้น บางครั้งก็จะได้เห็นเจ้าอารามผู้เฒ่านั่งอยู่ในท่านี้ เพียงแต่ว่าพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก บางทีในสายตาของมนุษย์ธรรมดา ท่านั่งนี้ อาจจะไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แต่เฉินผิงอันกลับมีความรู้สึกที่พร่าเลือนอย่างหนึ่ง

เขามักจะรู้สึกว่าปณิธานที่แท้จริงในการฝึกตนของเจ้าอารามผู้เฒ่ากับบนร่างของเทวรูปนักพรตเต๋าวัยกลางคนที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ทางจิตวิญญาณ

เฉินผิงอันนึกถึงสี่คำที่เคยเปิดเจอในตำราของลัทธิเต๋า

หลุดจากขอบเขต นั่งลืมตน

กาลเวลาอันยาวไกล

ผู้ฝึกตนไม่รู้ร้อนหนาวล่างภูเขา คนตายไปแล้ว เหลือเพียงเทวรูปที่ว่างเปล่า ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่เจ้าจะมีมรรคกถาสูงส่งมหัศจรรย์มากแค่ไหน แล้วจะอย่างไร? ก็ยิ่งไม่รู้ถึงสี่ฤดูกาลที่หมุนเวียนผันเปลี่ยนอยู่ดีไม่ใช่หรือ นักพรตฝึกตน ฝึกไปจนถึงท้ายที่สุด จะอยู่สูงได้ถึงแค่ไหนกันแน่?

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ หยิบธูปสายน้ำภูเขาสามดอกออกมาจากในวัตถุชื่อ หลังจากจุดธูปแล้วก็ปักมันลงในกระถางธูปใบเล็ก

นักพรตซุนรู้สึกว่าสหายนักพรตผู้นี้เพ้อเจ้อสิ้นดี หรือยังหวังให้นักพรตในเทวรูปยังมีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่ พอเจ้าจุดธูปสามดอกนี้แล้วก็จะประทานโชควาสนา มาให้?

หวงซือและตี๋หยวนเฟิงต่างก็ไม่ได้ขัดขวางการจุดธูปของคนผู้นี้

ในความเป็นจริงแล้วพวกเขายิ่งอยากอาศัยการจุดธูปที่เป็นการกระทำอันบุ่มบ่ามของผู้เฒ่าชุดดำมาวิเคราะห์กระถางธูปใบเล็กด้วยว่า นี่จะเป็นการไปเตะต้องกลไก จนมีโชควาสนาอีกอย่างหนึ่งปรากฏ หรือว่าจะเป็นการเตะต้องกลไกที่ชักนำหายนะปลิดชีพมาสู่กันแน่

เพราะพวกเขาต้องเอากระถางธูปใบเล็กนี้ไปแน่ และในเมื่อมีคนยินดียอมเสี่ยงอันตรายเบิกทางให้ก็ย่อมดีขึ้นไปอีก

รอจนธูปทั้งสามดอกเผาไหม้จนหมดก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

ตี๋หยวนเฟิงจึงยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่หวงได้ชุดคลุมอาคมไปก่อนชุดหนึ่ง ข้าได้เครื่องประดับมาสองชิ้น ถ้าอย่างนั้นกระถางธูปใบนี้ควรจะตกเป็นของใคร? นักพรตซุน พี่ใหญ่เฉิน?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าคงไม่เอาแล้วล่ะ ในภูเขามีสิ่งปลูกสร้างตั้งมากมาย สิบเจ็ดสิบแปดหลังยังเดินไม่ทั่ว หลังจากที่แยกย้ายกันลงมือ ก็มีงานมากพอให้ข้ายุ่งวุ่นวายแล้ว หากนักพรตซุนต้องการกระถางธูปใบเล็กนี้ก็เอาไปได้เลย”

หวงซือกล่าว “ข้าสามารถใช้ชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นมาแลกกระถางธูปใบนี้กับนักพรตซุน”

นักพรตซุนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งยวด แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบตกลง

หวงซือโยนชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นออกไป แล้วตัวเองก็ไปหยิบกระถางธูปมาใส่ใน ห่อสัมภาระ จากนั้นก็กวาดเอาพวกเสื้อผ้า ขวดไห สิ่งของที่ไม่มีค่าในห่อสัมภาระ ใบใหญ่ออกมาโยนทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

แล้วจึงฉีกห่อผ้าออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งโยนให้ตี๋หยวนเฟิง ให้เขาเอาไปใช้เป็นห่อผ้าบรรจุของ หวงซือชำเลืองตามองนักพรตซุนที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเอ่ยว่า “นักพรตซุนสวมชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่ขนาดนี้ จะถอดเอามาเป็นห่อสัมภาระไม่ได้หรือ?”

นักพรตซุนทำท่ากระจ่างแจ้ง อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน

หลังจากนั้นคนทั้งสี่ก็เริ่มง่วนค้นหาสมบัติในส่วนของตนอยู่ในอารามเต๋าขนาดเล็ก ตี๋หยวนเฟิงเจอเบาะรองนั่งสีขาวหิมะใบหนึ่ง นักพรตซุนกระชากผ้าม่านสีทองที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไรลงมาหลายผืน

หวงซือเดาเอาว่าในเทวรูปต้องมีความลี้ลับซ่อนอยู่ จึงปล่อยหมัดต่อยให้ เทวรูปแตกกระจาย ทว่ากลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรกลับคืนมา

ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ลูบคลำอิฐเขียวที่มีความชื้นสูง เคาะๆ ตีๆ ไปเรื่อยๆ เพิ่งจะวางแผนบางอย่างได้ก็ได้ยินความเคลื่อนไหวนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองหวงซือ ฝ่ายหลังหันมาแสยะยิ้มให้เฉินผิงอัน

นักพรตซุนตกใจสะดุ้งโหยง ตี๋หยวนเฟิงแค่ชำเลืองตามองเศษซากเทวรูปที่ แตกกระจายอยู่บนพื้น พอเห็นว่าเป็นแค่เศษไม้ลงสีสันที่ไม่มีค่าก็ไม่มองให้เสียเวลาอีก

คนทั้งสี่เดินออกมาจากอารามเต๋าด้วยกัน นักพรตซุนเพิ่งจะเดินข้ามธรณีประตู

ตรงเอวของนักพรตร่างผอมสูงผู้นี้ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระลอก

กระพรวนเจดีย์วิเศษชิ้นนั้นถึงกับระเบิดแตกไปโดยตรง

นักพรตซุนร้องโหยหวนเสียงหลง “แย่แล้วๆ! ต้องเป็นเพราะการกระทำที่ไม่ให้ความเคารพของพวกเราที่ไปทำให้นายท่านเทพเซียนของลัทธิเต๋าผู้นี้โมโหเข้าแน่ๆ”

หวงซือกับตี๋หยวนเฟิงหันมาสบตากัน ต่างก็ไม่มีความลังเลใดๆ รีบสาวเท้ามุ่งหน้าลงจากเขาไป แยกย้ายกันไปหาสมบัติตามสิ่งปลูกสร้างแห่งอื่น

นักพรตซุนลังเลเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้เลือกติดตามตี๋หยวนเฟิงไป แต่ตามไปกับหวงซือ เขาร้องเรียกเสียงดังว่ารอข้าด้วย แล้วก็วิ่งตะบึงเข้าไปหาอีกฝ่าย

เพียงไม่นานอารามเล็กด้านหลังของคนทั้งสี่ก็พังครืนถล่มลงมา ฝุ่นผงฟุ้งกระจายมืดฟ้ามัวดิน

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนลงจากภูเขาไปหาสมบัติเหมือนกับคนทั้งสาม

แต่เริ่มไล่เก็บสิ่งของชิ้นอื่นๆ ที่อีกสามคนไม่ยินดีจะเก็บเอาไป

ยกตัวอย่างเช่นกระเบื้องแก้วสีเขียวมรกตที่หนักอึ้ง อีกทั้งยังกินพื้นที่อย่างมาก และยังมีอิฐเขียวที่รวบรวมโชคชะตาน้ำไว้ได้อย่างเข้มข้นพวกนั้น

นอกจากห่อสัมภาระที่สะพายไว้เอียงๆ บนไหล่แล้ว เฉินผิงอันยังมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ

และก่อนหน้านี้ก็ไปเปิดร้านผีฝูที่ถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์พอดี จึงได้เอาของข้างในออกจนมีที่ว่างเพิ่มมาอีกเยอะ

แต่สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการเก็บไปด้วยจริงๆ กลับเป็นเศษไม้ของเทวรูปที่ถูก หนึ่งหมัดของหวงซือต่อยจนแหลกสลายนั่นมากกว่า

ท่ามกลางซากปรักของอารามเต๋า เฉินผิงอันเดินไล่เก็บสิ่งของต่างๆ ไปอย่าง ไม่รีบไม่ร้อน

กระเบื้องแก้วที่ส่องประกายแสงเรืองรองถูกเขาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อก่อน ขณะเดียวกันก็คอยโยนของจุกจิกที่อยู่ท่ามกลางกองเศษซากอารามเต๋าไปไว้บน ลานกว้าง คัดเลือกเศษชิ้นไม้ของเทวรูปมาอย่างละเอียด หาเศษไม้ไปพลางบรรจุกระเบื้องแก้วไปด้วย เล่าลือกันว่าหอแก้วของนครจักรพรรดิขาวมีกระเบื้องแก้วมรกตที่ทำจากวิชาลับวางทับซ้อนเป็นชั้นๆ มุงเป็นหลังคา มีคำกล่าวขานที่งดงามบอกว่า ‘เหนือหอแก้วมีกระเบื้องหมื่นแผ่น สาดสะท้อนเกิดริ้วคลื่นมรกตอยู่บนทะเลเมฆ’

หลังจากเฉินผิงอันเก็บรวบรวมเศษไม้ของเทวรูปได้ทั้งหมดแล้ว ยังเก็บกระเบื้องแก้วไปได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่น แล้วเขาก็เริ่มเกิดความคิดที่ประหลาด

หนึ่งเพราะพอเงยหน้าขึ้นมอง ก็ราวกับว่าซากของอารามเต๋าถูกตนย้ายตำแหน่ง เปลี่ยนจากจุดเดิมเคลื่อนย้ายมาไว้บนลานหยกขาว

นอกจากนี้อิฐเขียวที่ซุกซ่อนโชคชะตาน้ำเป็นเส้นเป็นกลุ่ม หาใช่ปราณวิญญาณทั่วไปพวกนั้นก็ทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในสภาวะที่ชวนให้ลำบากใจ หากคิดจะเก็บรวบรวมกระเบื้องแก้วบนหลังคาอารามและอิฐเขียวบนพื้นไปให้หมด เกรงว่าต่อให้เฉินผิงอัน มีวัตถุจื่อชื่อเพิ่มมาอีกหลายชิ้นก็คงยังทำไม่ได้

สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ต้องคิดให้มากความเลยด้วยซ้ำ

ทว่าในวัตถุจื่อชื่อยังเก็บของเก่าแก่บางอย่างที่ไม่มีค่าแม้แต่น้อยเอาไว้

เมื่อเทียบกับอิฐเขียวที่ซุกซ่อนแก่นโชคชะตาน้ำแล้ว บางทีการไปค้นหาสมบัติหรือโชควาสนาอื่นในสิ่งปลูกสร้างแห่งอื่นหลังจากนี้ อาจต่างกันราวฟ้ากับเหวก็เป็นได้

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยองอยู่ที่เดิม สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ

เขาแหงนหน้าขึ้น เอามือลูบตอหนวดใต้คาง แล้วก็ลุกขึ้นยืน พยายามจะขนย้ายอิฐเขียวกระเบื้องแก้วพวกนั้นไปให้ได้มากที่สุด

ของเก่าที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อ เขาไม่ได้ทิ้งไปแม้แต่ชิ้นเดียว

สุดท้ายเฉินผิงอันก็จุดธูปอีกสามดอกปักไว้ตรงกลางร่องระหว่างอิฐเขียวสองก้อนของซากอารามเต๋า รอจนธูปเผาไหม้จนหมด เขาก็เป่าลมออกมาเบาๆ หนึ่งที เป่าให้เศษขี้เถ้าเหล่านั้นปลิวสลายไป

เฉินผิงอันขุดเอาก้อนอิฐสีเขียวออกมา เขาลงมืออย่างเป็นระเบียบ ไล่แกะไป ทีละแถว ไม่ได้แกะทางซ้ายก้อนทางขวาก้อน แล้วจากนั้นก็ลบร่องรอยการขุด บนพื้นทิ้ง

สุดท้ายแม้แต่วัตถุฟางชุ่นก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน เอาอิฐเขียวสามสิบกว่าก้อน ใส่เข้าไปเหมือนกับในวัตถุจื่อชื่อ

คิดๆ ดูแล้ว เฉินผิงอันก็เอาอิฐเขียวหนึ่งก้อนกับกระเบื้องแก้วสองแผ่นใส่ไว้ใน ห่อสัมภาระของตัวเองอีก ห่อผ้าหนักอึ้งเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหนักแน่นมั่นคงตามไปด้วย

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงใส่อิฐเขียวอีกสองก้อนลงไปในห่อสัมภาระ

แล้วถึงได้ลงจากภูเขา

ไปดูนักพรตซุนที่จิตใจอ่อนไหวมากที่สุด

หากไม่ผิดไปจากที่คาด รอจนนักพรตซุนผู้นี้พอบเจอสมบัติหนักที่ทำให้หวงซือน้ำลายสอได้แล้ว ก็คือช่วงเวลาที่สหายนักพรตซุนต้องกายดับมรรคาสลายแล้ว

และก่อนที่สหายนักพรตซุนผู้นี้จะตะโกนบอกหวงซือว่ารอข้าด้วย อันที่จริง เขาก็ได้ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันหนึ่งประโยคว่า ‘ระวังฉินจวี้หยวนผู้นั้น เอาไว้ให้ดี ทางที่ดีที่สุดสหายก็อย่าได้ปรากฏตัวอีกเลย ฉวยโอกาสนี้ไปเก็บสมบัติ แล้วรีบหนีไปซะ หนีไปได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี ชีวิตมีค่ามากกว่าเงิน!’

เฉินผิงอันรู้สึกว่าลำพังเพียงแค่ประโยคนี้ก็ควรจะทำให้เรื่องไม่คาดฝันที่จะ เกิดขึ้นกับนักพรตซุนน้อยลงไปหนึ่งเรื่องแล้ว

การเยี่ยมเยือนภูเขาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ความอุดมสมบูรณ์ของสมบัติที่ได้มา อยู่เหนือกว่าที่เฉินผิงอันจินตนาการเอาไว้มาก มากจนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ในฝัน ก็ยังหัวเราะได้

ดังนั้นต่อจากนี้ก็คือการท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสายน้ำแล้ว

หากได้ผลเก็บเกี่ยวมาโดยบังเอิญอีกย่อมดียิ่งกว่า แต่หากไม่ได้อะไรเลยก็ไม่ถือว่าแย่

แต่การที่กระพรวนเจดีย์วิเศษของนักพรตซุนระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุนั้น เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับความแปลกประหลาดที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งของถ้ำสถิตแห่งนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่แปลกสักเท่าไรแล้ว

ต่อให้เมื่อครู่เฉินผิงอันจะเพิ่งจุดไฟเผายันต์ปราณหยางส่องไฟไปแผ่นหนึ่ง แล้วฟ้าดินก็ยังคงสว่างแจ่มใส ไร้ร่องรอยของปราณสกปรกชั่วร้ายอยู่ก็ตาม

คราวนี้เฉินผิงอันก็จนปัญญาแล้วจริงๆ

คงหนีไม่พ้นทหารมาเอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบเท่านั้นเอง (เปรียบเปรยถึงการรับมือไปตามสถานการณ์ ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็รีบมือได้)

ภัยธรรมชาติและหายนะจากคนในหลายๆ ครั้ง อันที่จริงก็ส่วนใหญ่ก็มีแต่ภัย จากคนเท่านั้นเอง

เฉินผิงอันเดินอ้อมซากปรักอารามเต๋าที่กองกันเป็นภูเขาอยู่บนลานกว้างหยกขาว ก่อนหน้านี้การพลิกๆ ค้นๆ ของเฉินผิงอันนั้นเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่มีทางพลาดอะไรไปแน่นอน

ต่อให้พลาดอะไรไปจริงๆ ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องคิดมาก

ในที่สุดคนกลุ่มที่สองก็มาถึงแล้ว

เมื่อเทียบกับท่าทางลับๆ ล่อๆ ของคนกลุ่มแรก คนกลุ่มนี้เรียกว่าเดินอาดๆ กว่ามาก

คือจานชิงท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงกับป๋ายปี้ผู้ฝึกตนหญิงผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำซึ่งเป็นคนของแคว้นฝูฉวี

เฉินผิงอันแปะยันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนร่างตัวเอง แล้วพุ่งทะยานลงไป เบื้องล่างดุจนกบินโฉบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!