Skip to content

Sword of Coming 564

บทที่ 564 ดั่งนักท่องเที่ยวที่ออกเดินทางไกลอยู่ภายนอก

เฉินผิงอันลงจากเรือข้ามฟากกลางทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังแคว้นชิงเฮาที่ถือว่าค่อนข้างอยู่ห่างไกลกันดารของอุตรกุรุทวีป

ระยะทางพันลี้ เฉินผิงอันเลือกจะเดินบนทางเส้นเล็กระหว่างป่าเขา เดินทาง ทั้งวันทั้งคืน เรือนกายพุ่งทะยานว่องไวดุจสายฟ้า

เพียงไม่นานก็มาถึงเมืองแห่งนั้น เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในถนนถ้ำเซียนที่ไม่กว้างมากเส้นนั้น ประตูบ้านหลังหนึ่งก็เปิดออก บุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินออกมา คลี่ยิ้มกวักมือให้เขา

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป สีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

เขาเก็บความคิดกลับมา เดินเร็วๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย

หลี่ซีเซิ่งเดินลงมาจากบันได เฉินผิงอันประสานมือคารวะด้วยพิธีการของลัทธิขงจื๊อ “คารวะอาจารย์หลี่”

หลี่ซีเซิ่งยิ้มพลางประสานมือคารวะกลับคืน

เด็กหนุ่มชุยซื่อยืนอยู่ด้านในของประตูมองคนบ้านเดียวกันสองคนที่จากกันไปนานและได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่นอกประตูใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กหนุ่ม ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ ชุยซื่อก็ดีใจตามไปด้วย

พอมาถึงอุตรกุรุทวีป อาจารย์ก็มักจะขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องราว ต่อให้หัวคิ้ว คลายออกก็ดูเหมือนว่ายังมีหลายเรื่องอยู่เบื้องหลังรอให้อาจารย์ไปใคร่ครวญ ไม่เหมือนในเวลานี้ที่ดูเหมือนว่าอาจารย์ของตนไม่ต้องคิดอะไรมาก มีเพียงความสุขสบายใจอย่างเดียวเท่านั้น

หลี่ซีเซิ่งพาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือน แล้วหันหน้ามายิ้มกล่าว “เกือบจะจำเจ้าไม่ได้อยู่แล้วเชียว”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “คาดว่ารอให้คราวหน้าที่ข้าได้ไปพบเป่าผิงน้อยในสำนักศึกษาก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”

เดินไปถึงห้องหนังสือของหลี่ซีเซิ่ง ห้องไม่ใหญ่นัก ตำราก็ไม่มาก แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอย่างพวกอักษรภาพ วัตถุโบราณอะไรที่มากเกินความจำเป็น

หลี่ซีเซิ่งบอกให้ชุยซื่อไปอ่านหนังสือของตัวเอง

แล้วเขาก็ยกเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะออกมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันที่เพิ่งปลดงอบและหีบไม้ไผ่

หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “ดีมาก จิตใจสงบมากขึ้นแล้ว”

เฉินผิงอันเกาหัว

หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “เรื่องบางอย่าง เมื่อก่อนไม่เหมาะที่จะพูด ตอนนี้ก็ควรจะพูดให้เจ้าฟังได้บ้างแล้ว”

เฉินผิงอันที่เดิมทีก็นั่งตัวตรงอยู่แล้วยิ่งนั่งอย่างสำรวมถูกต้องตามระเบียบมากยิ่งขึ้น “อาจารย์หลี่โปรดพูด”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยว่า “ข้าคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองสักเท่าไร”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยเหมือนกัน”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่ออีกว่า “ยังจำยันต์ไม้ท้อที่ปีนั้นข้าอยากจะมอบให้เจ้าได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ

หลี่ซีเซิ่งกล่าว “ก่อนหน้านั้น ข้าเคยประมือกับผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้นในตรอกหนีผิงไปครั้งหนึ่ง ถูกต้องไหม?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มทันใด “อาจารย์ทำให้เฉาจวิ้นผู้นั้นต้องอับจนหนทาง”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้าว่า “อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้ฝึกลมปราณฝึกตนได้ยากมาก แต่ข้ากลับฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว เร็วจนหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูในภายหลัง เมื่อเทียบกับข้าแล้วก็ไม่นับเป็นอะไรได้”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่รอฟังประโยคถัดไปเงียบๆ

คำพูดของหลี่ซีเซิ่งดั่งการเปิดเผยเจตนารมสวรรค์ ถ้อยคำนั้นราวกับว่าหากไม่ทำให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา “ข้าเองก็เพิ่งจะมารู้ต้นสายปลายเหตุหลังจากที่ได้ทบทวนอนุมานในภายหลังครั้งแล้วครั้งเล่า โชคชะตาที่เดิมทีควรเป็นของเจ้า หรือควรจะพูดว่าโชควาสนาบนมหามรรคาส่วนนั้น มาหล่นอยู่บนตัวข้า ข้าเอง ก็เหมือนกับเจ้าที่รู้สึกมาโดยตลอดว่าหมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ล้วนควรพิถีพิถันในคำว่าสมดุล เจ้าได้ข้าเสีย ‘หนึ่ง’ น้อยใหญ่ในแต่ละครั้ง จะไม่มีทางหายไปหรือเพิ่มขึ้นมาเฉยๆ ได้เด็ดขาด ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”

เฉินผิงอันขยับปากจะพูด หลี่ซีเซิ่งกลับโบกมือ “รอให้ข้าพูดให้จบก่อน”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่อว่า “วิธีการคิดเรื่องราวของเจ้าและข้าไม่ต่างกันมากนัก เมื่อรู้แล้วก็มักจะต้องทำอะไรสักอย่างถึงจะสบายใจ แม้ว่าก่อนหน้านั้นข้าจะไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองได้ครอบครองโชควาสนาในส่วนของเจ้าไป แต่ในเมื่อภายหลังขอบเขต ไต่ทะยาน ความสามารถในการเล่นหมากล้อมเพิ่มพูน ข้าจึงค่อยๆ อนุมาน ถอยกลับไปทีละก้าวจนกระทั่งคำนวณได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นในเมื่อรู้แล้ว ข้าย่อมไม่อาจรับเอามาอย่างผึ่งผาย แม้ว่าตอนนี้ขนาดข้าก็ยังไม่อาจรู้ประวัติ ความเป็นมาของยันต์ไม้ท้อชิ้นนั้น ไม่ว่าข้าจะอนุมานอย่างไรก็ไม่ได้ผลลัพธ์

แต่ข้ารู้ชัดเจนดีว่า สำหรับข้าแล้ว ยันต์ไม้ท้อต้องสำคัญมากแน่ๆ แต่ก็เพราะว่ามันสำคัญนี่แหละ ตอนนั้นข้าถึงได้อยากจะมอบมันให้กับเจ้า ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางใจอย่างหนึ่ง ข้าลดเจ้าเพิ่ม สองฝ่ายกลับคืนมามีสมดุลเหมือนเดิม ในช่วงเวลาระหว่างนี้ หาใช่ว่าตอนนั้นข้าหลี่ซีเซิ่งมีขอบเขตสูงกว่าเจ้า หรือจะบอกว่ายันต์ไม้ท้อล้ำค่ามาก พวกเราจึงไม่เท่าเทียมกัน ก็เลยจะแลกเปลี่ยนเอาของชิ้นหนึ่งมามอบ ให้เจ้า ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ข้าได้รับรากฐานมรรคาส่วนนั้นของเจ้ามา ข้าก็ควรจะเอารากฐานมรรคาของข้ามอบให้แก่เจ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นได้หนึ่งคืนหนึ่งอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าตอนนั้นเจ้าไม่ยินดีจะรับไว้ ข้าก็เลยต้องถอยไปหนึ่งก้าว นี่เป็นเหตุให้ข้า พูดกับผู้อาวุโสหลี่เอ้อร์ของยอดเขาสิงโตว่า การมอบยันต์ให้ก็ดี การเขียนยันต์ บนเรือนไม้ไผ่ก็ช่าง หากเจ้ารู้สึกซาบซึ้งบุญคุณจึงมาพบเจอข้าหลี่ซีเซิ่ง ก็มีแต่จะเพิ่มความหนักใจให้เจ้าและข้า ปมเชือกที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วจะยุ่งมากกว่าเก่า ไม่สู้ไม่ต้อง พบกันเลยจะดีกว่า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยสีหน้านิ่งสงบ

หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “ส่วน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้นกับกระดาษยันต์ทั้งหลาย ไม่นับรวมอยู่ในกรณีนี้ ข้าก็แค่ใช้สถานะพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงขอบคุณ ที่เจ้าช่วยดูแลปกป้องนางไปตลอดการเดินทางเท่านั้น”

เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ

อยู่ดีๆ สีหน้าของหลี่ซีเซิ่งก็เปลี่ยนมาเป็นเปลี่ยวเหงา เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดน้องชายของข้าชื่อหลี่เป่าเจิน ในชื่อของเป่าผิงน้อย ก็มีอักษรคำว่า ‘เป่า’ มีเพียงข้าที่ไม่เหมือนใคร?”

บุตรชายหญิงสามคนของสกุลหลี่ถนนฝูลวี่ หลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน”

ปีนั้นเวลาที่แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่กับอาจารย์อาน้อยของนาง ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่นางไม่เคยเล่าให้เขาฟัง เฉินผิงอันจึงได้ยินมาว่ามารดาแท้ๆ ของนางค่อนข้างจะลำเอียงรักหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรองมากกว่า กับบุตรชายคนโตอย่าง หลี่ซีเซิ่ง นางกลับไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากนัก สำหรับเรื่องในครอบครัวของ เป่าผิงน้อย ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเคยบอกไว้ แค่ได้ยินได้ฟังก็พอ เขาไม่เคยเก็บเอาไปใคร่ครวญให้ลึกซึ้ง

หลี่ซีเซิ่งลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองไปไกล

ทุกครั้งที่ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ สกุลหลี่จะมีขนบธรรมเนียมประจำตระกูลอย่างหนึ่งที่ไม่ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร มารดาของพวกเขาสามพี่น้องจะให้พวกบ่าวไพร่ ในจวนเอ่ยคำสุภาษิตหรือบทกวีที่มีอักษรคำว่า ‘หลี่’ ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่มีความหมายดีอย่างท้อหลี่พูดไม่ได้ แต่ผลของพวกมันกลับมีรสหวาน คนเดินย่ำผล เป็นทาง (เปรียบเปรยว่าคนซื่อสัตย์จริงใจจะทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งชื่นชอบได้เสมอ) หรือประโยคจับหมวกใต้ต้นหลี่ แม้กระทั่งหากมีเด็กคนใดที่เอ่ยประโยค ‘ท้อธรรมดาหลี่สามัญ’ ซึ่งเป็นความหมายในเชิงลบออกมาโดยไม่ทันระวัง มารดาของพวกเขาก็ยังไม่โกรธ ยังคงมอบเงินยาสุ้ยให้ มีเพียงยามที่นางได้ยินประโยคว่า ‘ให้ผลท้อมามอบผลหลี่กลับคืน’ เท่านั้นที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปเยอะมาก จากนั้นพอได้ยินประโยคว่า ‘หลี่ตายแทนท้อ’ สตรีที่มักจะมีสีหน้าเป็นมิตรน่าเข้าใกล้สำหรับบ่าวไพร่อยู่เป็นนิตย์กลับมีสีหน้าโกรธเคืองยากจะปกปิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตอนนั้นหลี่ซีเซิ่งยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในมุมหัวเลี้ยวของระเบียงทางเดินพอดี จึงได้เห็นภาพนั้น และได้ยินคำพูดเหล่านั้น

ตอนนั้นหลี่ซีเซิ่งไม่เข้าใจ จึงได้แต่ฝังกลบความสงสัยใคร่รู้ไว้ในส่วนลึกของ หัวใจ แรกเริ่มก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่สักเท่าไร เพียงแต่ยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ดูเหมือนว่านับแต่โบราณมา คำว่าท้อหลี่มักจะอยู่เคียงข้างกันในบทกวีอยู่เสมอ

หลี่ซีเซิ่งหันหน้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝั่งตรงข้ามมีครอบครัวแซ่เฉินอาศัยอยู่ มีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งอายุมากกว่าหลี่เป่าเจินสองสามปี ชื่อว่าเฉินเป่าโจว หากเจ้าได้เจอเขาก็จะเข้าใจได้เองว่าเหตุใดถึงมีเพียงข้าหลี่ซีเซิ่งที่สามารถรับโชคชะตาส่วนนั้นแทนเจ้าได้”

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องไปพบแล้ว

เพราะแค่หลี่ซีเซิ่งพูดอย่างนี้ เฉินผิงอันก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว

หลี่ซีเซิ่งพลันยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”

ถนนถ้ำเซียนของของอุตรกุรุทวีป เฉินซีเซิ่ง

ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป หลี่เป่าโจว

เดิมทีตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้

และนี่ก็ช่วยอธิบายว่าเหตุใดบนหลุมศพบรรพบุรุษของสกุลเฉินที่ฝังอยู่ในภูเขาลึกถึงได้มีต้นเจีย (อักษร 楷 ที่เป็นชื่อของต้นไม้ชนิดนี้อ่านได้สองแบบคือเจียหรือข่าย ต้นเจียในพจนานุกรมไทยแปลได้เป็นต้นอบเชยจีน พันธ์ไม้นี้ยังมีชื่อเรียกอีกมากมาย ตามตำราจีนถือเป็นวงศ์เดียวกับหวงเหลียนสมุนไพรของจีน) ซึ่งมีความหมายถึง อริยะปราชญ์เผยกายบนโลกเติบโตขึ้นมา

เพราะเดิมทีแล้วอาจารย์หลี่ผู้นี้ ควรจะแซ่เฉิน

หลี่ซีเซิ่งทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังเสียงเบา “เรื่องราวมากมาย ข้าคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ก็เหมือนกับว่าบนเส้นทางของชีวิตคนมีภูเขาสายน้ำเป็นอุปสรรคขัดขวาง มีด่านมากมายกางกั้น มีเพียงตบะสูงขึ้นอีกนิดถึงจะข้ามผ่านไปได้ด่านหนึ่ง”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “อาจารย์หลี่ควรจะเสียใจ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเสียใจมากขนาดนั้น”

หลี่ซีเซิ่งหัวเราะ สายตาใสกระจ่างและเป็นประกายเจิดจ้า “ประโยคนี้ ปลอบประโลมใจคนได้ดี”

เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย

จากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็เสนอให้คนทั้งสองเล่นหมากล้อมกัน

คนทั้งสองจึงเล่นหมากล้อมพลางพูดคุยกันไปด้วย

เฉินผิงอันวางหมากช้า พอถึงช่วงท้าย ทุกครั้งที่วางหมากลงไปถึงจะพูดคุย สองสามประโยค

“ตอนที่ยังไม่ได้เดินทางมาอุตรกุรุทวีป อันที่จริงข้ากลัวมาก ได้ยินว่าที่นี่มี ผู้ฝึกกระบี่เยอะ ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนทำอะไรตามอำเภอใจ ข้าก็เลยคิดว่าลองมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ดู นั่นถึงทำให้ได้รู้ว่า ที่แท้ขอแค่ข้ามผ่านด่านในหัวใจไปไม่ได้ ไม่ว่าคนจะบังคับลมเดินทางไกลอย่างมีอิสระเสรีมากแค่ไหน เท้าทั้งสองข้างก็ยัง จมอยู่ในปลักโคลนอยู่ดี”

“แล้วก็กลัวว่าตัวเองจะเดินจากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่ง ก็เลยใช้ฉายาว่าเฉินคนดี นี่ไม่ใช่ว่าทำไปเพื่อความสนุกอะไร แต่เพื่อเป็นการย้ำเตือนตัวเองว่ามาฝึกประสบการณ์นี่ ไม่สามารถกระทำการกำเริบเสิบสานตามแต่ใจ คล้อยไปตามสถานการณ์ของที่นี่ได้อย่างแท้จริง”

“คงเป็นเพราะส่วนลึกในใจแอบคิดมาโดยตลอดว่า หากสามารถเป็นคนดีที่แท้จริงได้ก็คงจะดี”

หลี่ซีเซิ่งไม่ได้พูดอะไรมาก แต่พอได้ยินประโยคนี้ถึงได้เอ่ยว่า “ยอมรับว่าตัวเอง มีความเห็นแก่ตัว แต่กลับสามารถทำดีได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า นี่คืออะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

หลี่ซีเซิ่งคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางลงบนกระดานเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “นี่ก็คือประโยคที่ว่า ‘ปฏิบัติตนอย่างสำรวมแม้ยามอยู่ลำพัง ควบคุมตัวเองให้สอดคล้องกับมารยาทพิธีการ’ ที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเราพร่ำพูดมาโดยตลอด”

เฉินผิงอันส่ายหน้า เขาไม่เห็นด้วยสักเท่าไร

หลี่ซีเซิ่งเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่มองสถานการณ์บนกระดานหมาก “แต่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยมากจริงๆ”

เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องของการเล่นหมากล้อม ข้าไม่มีพรสวรรค์เลยจริงๆ”

หลี่ซีเซิ่งยิ้ม “เป็นเช่นนี้จริงหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เพราะข้าวางหมากอย่างไม่มีรูปแบบ ตัดใจจาก หนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่ไม่ได้”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ย “คนบนโลกล้วนวางหมากของตัวเองอยู่บนวิถีทางโลก หมื่นเรื่องราวหมื่นผู้คนต่างก็เป็นคนฉลาดที่เหมือนมีเม็ดหมากอยู่ในมือ มีมากมาย ไม่ได้มีแค่เจ้าเฉินผิงอันคนเดียวหรอก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดประโยคนี้ของอาจารย์หลี่ปลอบใจคนได้ดีจริงๆ”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ย “ข้าพูดจากใจจริง แต่เจ้าน่ะพูดประจบ ใครสูงใครต่ำก็ตัดสินได้ทันที”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราออกท่องยุทธภพ บนหน้าผากของทุกคนล้วนสลักคำว่าจริงใจ!”

หลี่ซีเซิ่งยิ้มพลางยกมือขึ้นกุมกันเป็นหมัด “ยินดีที่ได้พบๆ”

แต่รอยยิ้มของเฉินผิงอันกลับค่อนข้างฝืดฝืน

หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจอยู่ในใจ

คงจะคิดถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วหลังนั้น

คนเรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ดุจนักท่องเที่ยวที่ออกเดินทางไกลอยู่ด้านนอก

……

เมื่อเรือข้ามฟากมุ่งจากเหนือลงใต้ก็ทยอยผ่านราชวงศ์ต้าจ้วน แคว้นจินเฟย แคว้นหลันฝาง แล้วก็ไปถึงท่าเรือฝูสุ่ยของสวนน้ำค้างวสันต์

ตอนนี้ได้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เฉินผิงอันจึงพลาดงานเลี้ยงอำลาวสันต์ของสวนน้ำค้างวสันต์ไปอีกปี เมื่อเทียบกับคราวก่อน ท่าเรือฝูสุ่ยซบเซากว่าเดิมมาก

ความครึกครื้นของสวนน้ำค้างวสันต์ล้วนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิทั้งสิ้น

เฉินผิงอันเดินลงจากเรือข้ามฟาก เมื่อเทียบกับการแต่งกายตอนที่จากไป เมื่อปีก่อนก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากสะพายเจี้ยนเซียนมาเป็นสะพายหีบไม้ไผ่ ยังคงใส่ชุดเขียวสวมงอบ ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ดังเดิม

เฉินผิงอันตรงไปที่ถนนเหล่าไหว บนถนนคึกคักกว่าตรงท่าเรืออยู่มาก ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ เห็นร้านเล็กๆ ที่แขวนกรอบป้ายว่าผีฝูแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างชอบใจ ตัวอักษรใหญ่สองข้างของกรอบป้ายเขียนได้ไม่เลวเลยจริงๆ เขาปลดงอบลงมา ก้าวข้ามธรณีประตู ตอนนี้ในร้านยังไม่มีลูกค้า นี่ทำให้เฉินผิงอันกลัดกลุ้มขึ้นมา อีก ตัวแทนเถ้าแก่เงยหน้ายิ้มต้อนรับเขา คือผู้ฝึกตนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจาก เรือนจ้าวเย่ฉ่าว พอเห็นว่าเป็นเจ้าของร้านหนุ่ม รอยยิ้มก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงความจริงใจ รีบเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา ค้อมเอวกุมหมัดทักทาย “หวังถิงฟางคารวะเถ้าแก่เซียนกระบี่”

คำเรียกขานนี้ก็คือผลลัพธ์จากการที่หวังถิงฟางใคร่ครวญเองเป็นครึ่งๆวัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาพบเจอกับเซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินอีกครั้งเร็วขนาดนี้

เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนภูเขา หากออกเดินทางไกลขึ้นมาก็มักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยสิบปีหรือหลายสิบปีเสมอ

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ลำบากเถ้าแก่หวังแล้ว”

หวังถิงฟางถามเสียงเบา “ผู้น้อยจะไปเอาสมุดบัญชีมาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย?”

คนทำการค้าก็ต้องพูดภาษาการค้า มีประโยชน์กว่าคำทักทายปราศรัยเป็นไหนๆ

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินพร้อมกับอีกฝ่าย เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง วางงอบสานไว้บนไม้เท้าเดินป่า

หวังถิงฟางหยิบสมุดบัญชีออกมาสองเล่ม พอเฉินผิงอันเห็นภาพนี้ ความกลัดกลุ้มก็หายวับไป หากกิจการไม่ดีจริงๆ จะลงบัญชีไว้ได้ตั้งสองเล่มเชียวหรือ?

เฉินผิงอันกวาดตามองวัตถุต่างๆ ที่อยู่บนชั้นวางสมบัติมากมายในร้าน อย่างละเอียดมาก่อนแล้ว ในใจจึงกระจ่างแจ้งดี จากนั้นพอเอามาเทียบกับสมุดบัญชีแล้วมองเห็นจุดหนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “มีคนซื้อมงกุฎทองที่มีระดับขั้น เป็นสมบัติอาคมคู่นั้นไปในราคาสูงเทียมฟ้าจริงๆ หรือ?”

พอเห็นวันที่ขายสินค้าได้ สีหน้าเฉินผิงอันก็เหยเก ถามว่า “ใช่หญิงสาวที่มีสำเนียงของแคว้นอู่หลิงคนหนึ่งหรือไม่? ข้างกายยังมีองค์รักษ์ที่สะพายกระบี่ติดตามมาด้วย?”

หวังถิงฟางกล่าวอย่างตกตะลึง “เรื่องนี้เถ้าแก่ก็คิดคำนวณได้ด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันจนใจเล็กน้อย ไม่ได้บอกสถานะของสุ่ยจิ่งเฉิงและหรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เพียงส่ายหน้าเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เป็นพวกที่ ไม่เห็นเงินเป็นเงินจริงๆ ราคาที่ขายออกจะต่ำไปสักหน่อย”

หวังถิงฟางจึงรู้สึกตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย

เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน เปิดสมุดบัญชีช้าๆ ยิ้มกล่าวว่า “การค้าครั้งนี้ เถ้าแก่หวังทำได้ดีที่สุดแล้ว ข้าก็แค่พอจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายอยู่บ้างก็เลยพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย ไม่ถึงขั้นที่จะต้องหลอกลวงคนใกล้ตัวจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ที่ขายของอยู่ในร้านเอง ย่อมไม่มีทางขายได้ราคาเท่าเถ้าแก่หวังอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันอ่านสมุดบัญชีอย่างละเอียดพลางพูดคุยเรื่องสถานกาณ์ช่วงที่ผ่านมาของสวนน้ำค้างวสันต์กับการทำการค้าของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวกับหวังถิงฟางไปด้วย

หวังถิงฟางยิ้มกล่าว “ก็แค่โอกาสประจวบเหมาะ อาศัยหน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าของเถ้าแก่ถึงขายสมบัติพิทักษ์ร้านอย่างมงกุฎทองคู่นั้นไปได้ การค้าบนสมุดบัญชี ของปีก่อนถึงได้ดูสวยงาม ไม่เกี่ยวกับผู้น้อยสักเท่าไร ผู้น้อยขอบังอาจขอร้องเถ้าแก่ว่าอย่าบอกความจริงกับทางอาจารย์ของผู้น้อย ไม่อย่างนั้นผู้น้อยก็ต้องม้วนเสื่อเก็บผ้าออกไปจากร้านผีฝูแห่งนี้แน่ๆ อาจารย์ให้ความสำคัญกับการค้าของร้านผู้อาวุโสมาก กำไรและขาดทุนของทุกฤดูกาลล้วนต้องผ่านตาเขาด้วยตัวเอง และยังเรียกผู้น้อยไปสอบถามด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ครั้งนี้ข้าพกก้อนชากำแพงดำน้อยของจวนไช่เฉวี่ย มาด้วยส่วนหนึ่ง จะไปขอบคุณถังเซียนซือถึงที่ด้วยตัวเอง กิจการของร้านจัดการ ได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก หากเถ้าแก่หวังไม่กังวลว่าข้าจะวาดงูเติมขากับถังเซียนซือ ข้าย่อมต้องช่วยพูดชมเถ้าแก่หวังหลายๆ คำแน่”

หวังถิงฟางถอยหลังไปสองก้าว ประสานมือคารวะขอบคุณ “เถ้าแก่เซียนกระบี่ มีพระคุณยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา ผู้น้อยตอบแทนได้เพียงพยายามให้มากขึ้น ช่วยให้ร้านผีฝูหาเงินมาได้มากกว่าเดิม”

เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชีลง แล้วก็ไม่เปิดอ่านเล่มที่สองแล้ว ในเมื่อหวังถิงฟาง พูดแล้วว่าทางฝั่งของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวจะต้องตรวจสอบดู เฉินผิงอันก็ปฏิบัติกลับคืนอย่างมีมารยาท หากยังอ่านอย่างละเอียดต่อไปก็เท่ากับว่าตบหน้าหวังถิงฟางและเรือนจ้าวเย่ฉ่าวแล้ว

เขาผลักบัญชีเล่มบางสองเล่มไปให้หวังถิงฟาง ยิ้มกล่าว “สมุดบัญชีไม่มีข้อผิดพลาด บันทึกไว้ได้อย่างละเอียดและชัดเจน ไม่มีอะไรให้ข้าไม่วางใจ อีกอย่าง วันหน้าเถ้าแก่หวังทำการค้าก็แค่ให้เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวก็พอ ไม่จำเป็น ต้องเข้มงวดกับกำไรหรือขาดทุนในแต่ละปีของร้านมากเกินไป หน้าบัญชีก็จะยิ่งน่าดู หลังข้าออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้ คาดว่าก็คงทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือ ทิ้งร้านไปนานอีกหลายปี ต้องรบกวนให้เถ้าแก่หวังสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจแล้ว”

หวังถิงฟางตกปากรับคำด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บสมุดบัญชีมาใส่ในลิ้นชักแล้วลงดาลเอาไว้อย่างระมัดระวัง

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปหยิบของสองชิ้นออกมาจากหีบไม้ไผ่ ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยก ที่มีภาพปรากฎการณ์ของ ‘ไฟในน้ำ’ ซึ่งสลักบทกลอนที่สามารถอ่านแบบวนกลับได้วงหนึ่ง และยังมีกระจกทองสัมฤทธิ์โบราณอีกบานหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต้องเป็นกระจกขับไล่เสนียดชั่วร้ายอย่างแน่นอน และยังสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘วังหลวงเป็นผู้สร้าง’ ซึ่งมีมูลค่ามากที่สุดเอาไว้อีกด้วย หากรวมกับกาซู่อิ่งและ ป้ายถือศีล ของทั้งสี่ชิ้นนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธหวงซือที่มอบให้ หลังจบเรื่องแล้ว ย้อนนึกถึงการเดินทางตามหาสมบัติครั้งนั้น การที่สามารถแยกกันไปคนละทาง กับหวงซือ ไม่ถือว่าเจอกันด้วยดี แต่ก็ถือว่าจากกันด้วยดีอยู่จริงๆ

เดิมทีระดับขั้นของกาซู่อิ่งก็ไม่ถือว่าสูงนัก แต่หลังจากเจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋น ช่วยดูของให้แล้วก็บอกอย่างชัดเจนว่าของเก่าแก่ชิ้นนี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดูดซับปราณวิญญาณของสมบัติวิเศษธาตุไม้ได้ สำหรับเฉินผิงอันที่ตอนนี้หลอม วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามเป็นธาตุไม้แล้ว จึงถือว่าเป็นของจำเป็นที่ต่อให้มีทอง เป็นพันชั่งก็ยากจะหาซื้อมาได้พอดี ระหว่างที่เดินทางลงใต้มานี้ เฉินผิงอันจึงได้ใช้ วิชาหลอมสามขุนเขาของฮว่อหลงเจินเหรินหลอมมันให้กลายเป็นสมบัติที่คอยให้การช่วยเหลือในช่องโพรงสำคัญแห่งหนึ่งของจวนไม้ จึงเอาวางไว้ในจวนไม้

ส่วนป้ายถือศีลแผ่นนั้นเฉินผิงอันก็คิดว่าจะหลอมมันไว้ในจวนน้ำเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องของการหล่อหลอมนี้เผาผลาญเวลามากเกินไป ทุกวันนอกจากจะหลอมโชคชะตาน้ำของอิฐเขียวหกชั่วยามอย่างที่ฟ้าผ่าก็ไม่มีสะเทือนแล้ว เวลานอกเหนือจากนั้นสามารถหลอมกลางให้กาซู่อิ่งได้สำเร็จก็ถือว่าเฉินผิงอัน ขยันตั้งใจฝึกตนมากแล้ว หลายครั้งที่นั่งเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันก็ใช้เวลาว่าง แทบทั้งหมดไปกับเรื่องของการหลอมวัตถุ

เฉินผิงอันวางกำไลหยกและกระจกโบราณสองชิ้นวางไว้บนโต๊ะ อธิบายประวัติความเป็นมาของวัตถุทั้งสองชิ้นคร่าวๆ แล้วยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อขายมงกุฎทองสองชิ้นออกไปได้แล้ว ร้านผีฝูก็ไม่มีสมบัติพิทักษ์ร้านอีก ของสองชิ้นนี้เถ้าแก่หวังเอาไปรวม ให้ครบจำนวน แต่ว่าจะไม่ขายทั้งสองชิ้น สามารถโก่งราคาให้แพงลิบลิ่วได้เลย ถึงอย่างไรก็แค่วางไว้ในร้านเพื่อเรียกพวกลูกค้าเซียนดินอยู่แล้ว ร้านเล็ก แต่ของดีๆ มีเยอะ”

หวังถิงฟางยิ้มพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แล้วจึงเก็บของทั้งสองชิ้นไปอย่างระมัดระวัง กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยจะซื้อกล่องไม้เป็นชุดที่ระดับขั้นดีที่สุดมาจากสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อสมบัติหนักสองชิ้นนี้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่าใช้จ่ายประเภทนี้ วันหน้าเถ้าแก่หวังไม่จำเป็นต้องบอกข้า ข้าเชื่อคัมภีร์การทำการค้าของเรือนจ้าวเย่ฉ่าว แล้วก็เชื่อใจในตัวเถ้าแก่หวัง”

หวังถิงฟางประสานมือคารวะขอบคุณอีกครั้ง

เฉินผิงอันออกจากร้านผีฝูไปพบกับลูกจ้างหนุ่มที่ช่วยแกะสลักหินไข่ห่านของ หน้าผาอวี้อิ๋งทั้งสี่สิบแปดก้อนให้เขา ฝ่ายหลังซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพียงแต่ยิ้มแล้วพูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปดูต้นไหวโบราณต้นนั้น เขายืนอยู่ที่นั่นนานมาก

หลังจากนั้นก็บังคับเรือยันต์ที่หวนอวิ๋นมอบให้ไปเยือนเรือนจ้าวเย่ฉ่าวและ หญิงชราอาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลันเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ ของขวัญที่พกไปเยี่ยมเยือนล้วนเป็นกำแพงดำน้อยที่อู่ชวินบรรพจารย์ผู้คุมกฎของจวนไช่เฉวี่ยมอบให้ในภายหลัง

หญิงชราดีใจมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ตำแหน่งฐานะของซ่งหลันเฉียวผู้เป็นลูกศิษย์ในสวนน้ำค้างวสันต์เหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นอายุน้อยคนนี้ และการที่คนหนุ่มเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนนางถึงเรือน ด้วยตัวเองถึงสองครั้งก็ยิ่งเป็นการให้เกียรตินาง ก่อนหน้านี้หญิงชราไม่มีของขวัญ ตอบแทนกลับคืน และครั้งนี้ก็ยังคงไม่มีอยู่เหมือนเดิม ใช่ว่าหญิงชราขี้เหนียว แต่เป็นเพราะเซียนกระบี่หนุ่มที่เรียกแทนตัวเองว่าผู้น้อยทุกคำนั้นเอ่ยประโยคที่ ชาญฉลาดว่า ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม สะสมไว้รวมกัน’ ทำให้หญิงชราเบิกบานใจ อย่างถึงที่สุด ถึงกับเดินมาส่งเขาด้วยตัวเองถึงตีนเขา พอกลับไปถึงบนภูเขาแล้ว หญิงชราที่มีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งในศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ใคร่ครวญอยู่ พักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจว่าวันหน้านอกจากที่ตนจะต้องไปมาหาสู่กับเรือนจ้าวเย่ฉ่าว ที่เดิมทีมีความสัมพันธ์อันธรรมดาต่อกันให้มากขึ้นแล้ว ยังต้องกำชับซ่งหลันเฉียว ผู้เป็นลูกศิษย์อีกว่าให้คอยช่วยดูแลกิจการของร้านผีฝูเยอะๆ หน่อย ไม่ต้องคอย ปิดบังอำพราง กังวลว่าจะเป็นการเปิดเผยร่องรอยให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองมีการกระทำชั้นต่ำอะไรอีก วันหน้าก็เปิดเผยท่าทีให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นนางผู้เป็นอาจารย์ที่เรียกร้องให้เขาทำ ใครกล้าปากมาก คิดว่าสองอาจารย์และศิษย์ที่เป็นโอสถทองอย่างพวกเขากินหญ้าหรือไร?

ตอนที่อยู่บนยอดเขาเพียนหรานของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เดิมทีควรมอบกำแพงดำน้อยโถหนึ่งไปให้ตามคำสัญญา เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่กล้าราดน้ำมันลงบน กองเพลิง การไปเยี่ยมเยือนด้วยความจริงใจของสวีซิ่งจิ่วก่อนหน้านื้ทำให้ฉีจิ่งหลง ดื่มเหล้าจนอิ่มมากพอแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าดื่มเหล้าแล้วยังต้องดื่มชาอีก? มโนธรรมในใจของเฉินผิงอันยากจะสงบลงได้ จึงคิดว่าจะมอบชาไปให้ฉีจิ่งหลงจากที่สวนน้ำค้างวสันต์แห่งนี้ เขาไม่อยากรับก็ต้องรับ

ก่อนหน้านี้ไปเยือนเรือนจ้าวเย่ฉ่าว ถังชิงชิงบุตรสาวของถังเซียนซือไม่อยู่บนภูเขา นางไปพบคู่รักที่จวนเถี่ยชางของราชวงศ์ต้ากวานแล้ว ฟังจากน้ำเสียงของถังเซียนซือ ทั้งสองฝ่ายใกล้จะได้แต่งงานผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากันแล้ว หลังจากนั้นเรือนจ้าวเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์กับจวนเถี่ยชางก็จะกลายเป็นญาติที่ดองกัน ผ่านการแต่งงาน ถังเซียนซือเชื้อเชิญให้เซียนกระบี่เฉินไปร่วมดื่มเหล้ามงคลด้วย เฉินผิงอันหาข้ออ้างปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม ถังเซียนซือเองก็ไม่ได้บังคับให้เขาต้องลำบากใจ

เฉินผิงอันชื่นชอบจวนเถี่ยชางไม่ลงจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วยังถือว่าเฉินผิงอันผูกปมแค้นกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ บนเรือข้ามฟากลำนั้น เขาสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขต ร่างทองแซ่เลี่ยวที่มีชาติกำเนิดจากสมรภูมิรบกับมือตัวเอง เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ย จวนเถี่ยชางไม่เพียงแต่ไม่เอาเรื่อง กลับกันยังแสดงถึงความเคารพยำเกรง เฉินผิงอันเข้าใจถึงความอดทนข่มกลั้นของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงพยายามจะรักษาสถานะของน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ส่วนคำที่บอกว่าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน พบเจอกันแค่ยิ้มก็สลายความแค้นอะไรนั่น ก็อย่านับดีกว่า

ดื่มเหล้ากับหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอยู่หลายครั้ง ยังเคยเป็นพันธมิตรในช่วงเวลาสั้นๆ เคยทำการค้าร่วมกัน ก็คือคำกล่าวที่เฉินผิงอันเคยบอกว่าเรื่องราวทางโลกซับซ้อน ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องปรับตัวให้ได้

ได้กลับมาพบเจอกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงอีกครั้งที่ริมชายหาดของทะเลตะวันออก ในอุตรกุรุทวีป ท่ามกลางการพูดคุยที่มองดูเหมือนผ่อนคลาย เฉินผิงอันบอกว่าปีนั้นหากวานรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงต้องการให้เขาโขกหัว แล้วหลิวเสี้ยนหยาง จะสามารถหลบเลี่ยงหายนะได้ ก็อย่าว่าแต่ให้เขาเฉินผิงอันคุกเข่าโขกหัวเลย จะให้เขาโขกหัวจนเลือดอาบหน้าก็ยังได้

ซึ่งตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ถ้อยคำที่ล้อเล่นอะไร

แต่หลังจากที่หลิวจื้อเม่าฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ ภูเขาลั่วพั่วก็ยังไม่มีการส่งคำไปอวยพร

บนเส้นทางของชีวิตคน ก้มหัวให้คนก็แบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือต้องไปพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น สถานการณ์บีบบังคับ นอกจากนี้ก็คือพวกคนที่แสวงหาผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

อย่างแรกจะทำให้คนกลัดกลุ้มจนมิอาจบรรยาย แต่อย่างหลังกลับทำให้คน มีความสุขกับการทำมัน

เฉินผิงอันนั่งโดยสารเรือยันต์มุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งที่เคยเป็นสถานที่ชงชาของหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู ตอนนี้ที่นี่ต่างก็เป็นเขตอิทธิพลของตนเหมือนกับร้านผีฝู

แต่เฉินผิงอันกลับสังเกตเห็นว่าในศาลาของหน้าผาอวี้อิ๋งมีคนคุ้นเคยคนหนึ่ง ยืนอยู่ เจ้าของสวนน้ำค้างวสันต์อย่างบรรพจารย์ถานหลิง

เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์แล้วเดินเร็วๆ ไปทางศาลา

ถานหลิงเดินลงบันไดศาลามา ยิ้มกล่าวว่า “รู้ว่าเซียนกระบี่เฉินมาเยี่ยมเยือน สวนน้ำค้างวสันต์ พอดีกับที่ข้าว่างงาน ก็เลยพาตัวเองมาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ”

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับถานหลิง นั่งลงตรงข้ามกัน แล้วถึงได้ เปิดปากยิ้มบางๆ ว่า “ถานฮูหยินเกรงใจกันเกินไปแล้ว”

ถานหลิงยิ้มพลางยื่นสมุดรวมเล่มที่สวนน้ำค้างวสันต์เพิ่งจัดพิมพ์ใหม่ในช่วงปลายฤดูหนาวของปีก่อนมาให้ “นี่คือ ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ เล่มล่าสุด ภายหลัง ทางสำนักได้คำตอบรับกลับมา เกี่ยวกับบทดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งของเซียนกระบี่เฉินกับเซียนกระบี่หลิ่วได้รับความนิยมมากที่สุด”

เฉินผิงอันรับสมุดมา พลิกเปิดไปถึงหน้าที่มีบทของตน ถ้อยคำที่ใช้สละสลวย เนื้อหาเหมาะสม จึงคิดว่าเดี๋ยวจะเอากลับไปให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนอ่านดู

เฉินผิงอันเก็บสมุดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มองไปยังหน้าผาและบ่อลึกหยกขาวที่เกิดจากธรรมชาติ เอ่ยเสียงเบาว่า “พลาดงานเลี้ยงวสันต์ถึงสองครั้ง รู้สึกเสียดายมากจริงๆ จากไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาที่สวนน้ำค้างวสันต์อีก”

ถานหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ถึงได้ ‘โปรดปราน’ สวนน้ำค้างวสันต์ขนาดนี้?

ยามพบกันครั้งนั้น การแสดงออกของถานหลิงพูดได้แค่ว่ามีมารยาท แต่ท่าที กลับห่างเหินไปสักเล็กน้อย เพราะสำหรับถานหลิงและสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำการค้านอกเหนือจากที่มีอยู่ เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเขาก็ล้วนแสวงหาคำว่ามั่นคงเป็นหลัก

แต่หลังจากเซียนกระบี่ชุดเขียวอายุน้อยผู้นี้ออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ได้ ไม่นานเท่าไร ทางแถบของแคว้นฝูฉวีทางทิศเหนือที่ไม่ถือว่าห่างไปไกลมากนัก ก็มีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง พร้อมใจกันเซ่นกระบี่ นั่นคือแสงกระบี่สีทองที่พุ่งทะยานแหวกชั้นเมฆผ่าม่านฟ้า เมื่อหวนนึกไปถึงเรื่องที่มีแสงสีทองผ่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอู ถานหลิงจึงเริ่มเกิดการคาดเดาบางอย่าง

ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่รู้จักกับหลิ่วจื้อชิงอาจารย์อาน้อยของตำหนักจินอู ถานหลิงสามารถมาพบหน้าและพูดคุยด้วยสักสองสามประโยคได้

ทว่าหากเป็นคนที่สนิทสนมกับหลิ่วจื้อชิงผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แล้วยังมีคุณสมบัติที่จะร่วมเดินทางอีกทั้งยังเซ่นกระบี่ร่วมกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย ซึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแล้ว

ถ้าอย่างนั้นหากถานหลิงยังไม่ยอมเห็นแก่หน้าของอีกฝ่าย ก็ควรจะระเห็จตัวเองออกไปเฝ้าอยู่นอกร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวเส้นนั้นแล้ว

ไม่ใช่ว่าถานหลิงวางหน้าตาน้อยนิดนี่ไม่ลง แต่เป็นเพราะกังวลว่าการปรากฏตัวทั้งสองครั้งของตน ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจะดูชัดเจนเกินไปหน่อย กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้เกิดใจดูแคลน เหยียดหยามคนทั้งสวนน้ำค้างวสันต์

ในศาลา ทั้งสองฝ่ายยังคงพูดคุยกันอย่างมีมารยาท

แต่คำพูดของเซียนกระบี่หนุ่มก่อนหน้านี้ก็ทำให้ถานหลิงรู้สึกว่าการมาเยือนครั้งนี้ของตนไม่เสียเที่ยวแล้ว

ถานหลิงทักทายปราศรัยกับเฉินผิงอันอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัวลาจากไป เฉินผิงอันเดินมาส่งถึงด้านล่างบันได แล้วมองผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดท่านนี้ทะยานลมจากไป

เฉินผิงอันเขียนจดหมายลับขึ้นสามฉบับ แล้วก็ไปเยือนเรือนกระบี่ของสวนน้ำค้างวสันต์มารอบหนึ่ง จดหมายทั้งสามฉบับนั้นแยกกันส่งไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย นครเหนือเมฆและตำหนักจินอู

นอกจากจะส่งจดหมายไปให้ฉีจิ่งหลงแล้ว แน่นอนว่ายังมีกำแพงดำน้อยส่วนนั้นด้วย

ในจดหมายพูดถึงเรื่องของการซื้อกระบี่จำลองจากภูเขาชังกระบี่และสมบัติจากศาลซานหลาง เงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญ หลังจากการถามกระบี่สามครั้งต่อจากนี้ ฉีจิ่งหลงจะทำอย่างไรก็ให้จัดการเอาเองได้เลย แต่อย่างน้อยต้องซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่หนึ่งเล่มและเสื้อเกราะของศาลซานหลางหนึ่งชิ้น หากเงินไม่พอก็คงได้แต่ให้เขาฉีจิ่งหลงช่วยสำรองจ่ายไปให้ก่อน หากยังมีเหลือก็สามารถซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาเพิ่มได้หนึ่งเล่ม นอกจากนี้ก็พยายามเลือกหาสมบัติที่ราคาไม่สูงมากจากศาลซานหลางมาเพิ่มอีกหน่อย เป็นวัตถุแบบใดก็ได้ ในจดหมายเขียนไว้ อย่างชัดเจนว่าต้องการให้ฉีจิ่งหลงเอามาดของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนออกมาใช้ ตอนที่ช่วยตนต่อรองราคา

หากอีกฝ่ายไม่หลงกล ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำหน้าให้หนา พูดประโยคว่า ‘สำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้า’ ‘ข้าหลิวจิ่งหลง’ เป็นอย่างไรอย่างไร ให้มากสักหน่อย

ช่วงท้ายของจดหมายอวยพรให้ฉีจิ่งหลงรับการถามกระบี่ทั้งสามครั้งจากลี่ไฉ่ ต่งจู้และป๋ายฉางได้อย่างราบรื่น

จดหมายที่ส่งไปให้สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆบอกว่าตนได้พบกับ ‘ท่านหลิว’ ผู้นั้นแล้ว อันที่จริงคราวก่อนที่ดื่มเหล้ากันนับว่ายังไม่สาแก่ใจนัก แต่หลักๆ เป็นเพราะสามศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นจึงจำต้องสงบจิตใจ แต่ท่านหลิวยอมรับในมาดการดื่มเหล้าของเจ้าสวีซิ่งจิ่วอยู่มาก ดังนั้นรอให้ท่านหลิวประลองกระบี่ทั้งสามครั้งสำเร็จก็อย่าได้รู้สึกลำบากใจเด็ดขาด เจ้าสวีซิ่งจิ่วสามารถมาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย ได้อีกรอบ คราวนี้ไม่แน่ว่าท่านหลิวอาจจะยอมดื่มเหล้าอย่างเต็มที่แล้วก็ได้ แล้วก็ ถือโอกาสช่วยตนนำความไปบอกแก่เด็กหนุ่มที่ชื่อป๋ายโส่วทีว่า ในอนาคตรอให้ ป๋ายโส่วลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เมื่อไหร่ สามารถไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปได้ ช่วงท้ายของจดหมายบอกกับสวีซิ่งจิ่วว่า หากอยากจะเขียนจดหมายตอบกลับสามารถส่งไปที่สำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกได้ ชื่อผู้รับให้เขียนเป็นชื่อของผังหลันซีผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อี แล้วค่อยให้เขาส่งต่อไปให้แก่เฉินคนดี

จดหมายฉบับสุดท้ายส่งไปยังยอดเขาหรงจู้ของตำหนักจินอู ผู้ที่รับจดหมายแน่นอนว่าต้องเป็นอดีตเจ้าของหน้าผาอวี้อิ๋งอย่างหลิ่วจื้อชิง

ตัวอักษรบนจดหมายมีอยู่แค่สองประโยคเท่านั้น “ฝึกฝนจิตใจไม่ง่าย เจ้าและข้ามาพยายามไปด้วยกัน”

“รอให้ข้ากลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกจะต้องช่วยเจ้าขอผลงานภาพเทพหญิงอันเป็นที่ภาคภูมิใจชุดหนึ่งมาจากอาจารย์ผู้เฒ่าผังอย่างแน่นอน”

กลับไปถึงที่หน้าผาอวี้อิ๋ง เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง ครุ่นคิดบางอย่างอยู่นาน

เรือข้ามฟากลำที่เดินทางไปกลับระหว่างสวนน้ำค้างวสันต์กับชายหาดโครงกระดูก ยังต้องรออีกสองวันกว่าจะมาถึงท่าเรือฝูสุ่ย

ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องมากมายรอให้ไปจัดการ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ

เฉินผิงอันจึงเดินออกจากศาลา ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกง ไปเดินเก็บหิน อยู่ในลำธารด้านล่างบ่อลึก

……

ซ่งหลันเฉียวผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองของสวนน้ำค้างวสันต์รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

เพราะเรือข้ามฟากของบ้านตัวเองที่เดินทางจากชายหาดโครงกระดูกมีผู้โดยสารที่น่ากลัวมากคนหนึ่งมาเยือน

คือเด็กหนุ่มชุดขาวท่าทางสง่างาม เขาต้องการจะไปสวนน้ำค้างวสันต์

ก่อนหน้านี้จุดที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินเล็กใหญ่อย่างชายหาดโครงกระดูกและ หุบเขาผีร้าย เกิดความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครมที่ทำให้ผีร่ำไห้เทพตะลึง แต่เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป แล้วก็ยุติลงเร็วเกินไป ซ่งหลันเฉียวจึงไม่ได้เห็นเองกับตา แต่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาที่พอจะมีสถานะสักหน่อย เรื่องที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการเก็บรวบรวมข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ แล้วไล่สืบไปตามเบาะแส หลังจากที่เด็กหนุ่มหน้าตางดงามถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตคนนั้น เดินขึ้นมาบนเรือ เรื่องแรกที่ซ่งหลันเฉียวทำก็คือรีบส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวยัง ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ บอกว่าต้องรับมือเขาอย่างระมัดระวัง คนผู้นี้นิสัยประหลาด เรื่องแรกที่ทำหลังจากมาถึงชายหาดโครงกระดูกก็คือแหวกม่านฟ้าของหุบเขาผีร้าย แล้วทุ่มสมบัติอาคมใส่หัวเกาเฉิงวิญญาณวีรบุรุษขอบเขตหยกดิบ ที่อยู่ในนครจิงกวาน!

เกาเฉิงที่เฝ้าพิทักษ์นครจิงกวานมีขอบเขตเท่าเทียมกับเซียนเหริน แต่เขากลับไม่ได้ตามมาไล่ฆ่า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มาหาเรื่องถึงถิ่นคนนี้

หากสวนน้ำค้างวสันต์ต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่คาดฝัน จะทำอย่างไร?

ระหว่างที่เรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ เด็กหนุ่มชุดขาวแอบลง จากเรือไปรอบหนึ่ง เขาไปที่ตีนเขาของแถบทะเลสาบชางอวิ๋น เพียงแต่ว่าไม่นาน ก็ทะยานลมไล่ตามเรือข้ามฟากมาด้วยท่าสุนัขตะกายน้ำ หวนกลับขึ้นมาบนเรือกลางดึกอย่างเงียบเชียบ หากไม่เป็นเพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ซ่งหลันเฉียว ที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขคอยเบิกตากว้างจับตามองเรือข้ามฟากของตัวเอง อยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนผู้นี้จะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ถึงขนาดเข้าออกเรือข้ามฟากที่ถูกสวนน้ำค้างวสันต์ร่ายตราผนึกเวทลับไว้ทั้งลำได้เหมือนกับสถานที่ไร้ผู้คนได้ขนาดนี้

นี่ยิ่งทำให้ซ่งหลันเฉียวอกสั่นขวัญแขวนมากกว่าเดิม

และดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะว่างงานมาก เพราะเขามักจะออกจากห้อง เป็นประจำ ทุกวันจะต้องเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่บนดาดฟ้าเรือ

หลังจากขยับเข้าใกล้อาณาเขตของสวนน้ำค้างวสันต์ เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มี ใฝแดงกลางหว่างคิ้วก็เริ่มจะอดทนไม่ไหว ดูเหมือนว่าจะรังเกียจที่ความเร็วของเรือ ช้าเกินไป เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไมถึงยังฝืนใจอดทนรออยู่บนเรือต่อ ไม่ได้ทะยานลมแหวกอากาศจากไป

วันนี้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายมาหาซ่งหลันเฉียวด้วยตัวเอง เขาเคาะประตู พอเจอหน้ากัน ก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ตอนนี้กิจการของร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่งหลันเฉียวที่ก่อนหน้านี้สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะมาเยือนถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสกับเซียนกระบี่เฉินเป็น…สหายกัน?”

เด็กหนุ่มถลึงตากว้าง พูดอย่างขุ่นเคือง “ผายลมน่ะสิเจ้า พวกเราจะเป็นสหายกันได้อย่างไร?!”

ซ่งหลันเฉียวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ทว่าในใจกลับเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ หรือว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูของเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น? สวนน้ำค้างวสันต์จะต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย? ถ้าอย่างนั้นตนควรจะทำอย่างไรดี?

เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม เจ้ารู้จักรึ?”

ความคิดในหัวของซ่งหลันเฉียวตีกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายกัดฟันพูดหน้าเคร่งว่า “ผู้น้อยรู้จักกับเซียนกระบี่เฉินจริง และยังถือว่าสนิทสนมกันด้วย ครั้งแรกที่เซียนกระบี่เฉินไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ก็นั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำนี้ของผู้น้อย”

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยกมือตบลงบนไหล่ของโอสถทองผู้เฒ่าหนักๆ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เด็กดี มหามรรคามีทางให้เจ้าเดินกว้างนัก!”

ซ่งหลันเฉียวถูกตบจนร่างเซ พละกำลังนั้นหนักอึ้งมากจริงๆ จนโอสถทองผู้เฒ่ารู้สึกเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

รอยยิ้มของเด็กหนุ่มยังคงไม่จางหาย เขาเรียกให้ซ่งหลันเฉียวนั่งลงดื่มชาด้วยกัน ซ่งหลันเฉียวกระวนกระวายไม่เป็นสุข หลังจากนั่งลงแล้วรับถ้วยน้ำชามาก็ยัง หวาดผวาอยู่เนืองๆ

โดยไม่ทันรู้ตัว ซ่งหลันเฉียวก็ลืมไปแล้วว่าอันที่จริงที่นี่ก็คือถิ่นของเขาเอง

ตัวเด็กหนุ่มเองไม่ได้ดื่มชา เพียงแค่เอาไม้เท้าเดินป่าวางไว้ข้างมือบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยของอาจารย์ข้า ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสหายของข้าชุยตงซานด้วยเหมือนกัน”

ซ่งหลันเฉียวยิ่งสงสัย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในแจกันสมบัติทวีปสามารถนับนิ้วได้เลยนี่นา

ในบรรดาผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ไม่มีคนชื่อชุยตงซานนี้อยู่เลย แต่คนที่แซ่ชุย กลับมีอยู่คนหนึ่ง ก็คือชุยฉานราชครูต้าหลี คือชื่อที่ต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนบน ยอดเขาของอุตรกุรุทวีปก็ยังโด่งดังเลื่องลือเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนข้อที่ว่า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลายเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่หนุ่มได้อย่างไร?

ไม่ใช่ว่าซ่งหลันเฉียวดูแคลนคนหนุ่มที่ออกเดินทางไกลผู้นั้น แต่เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ของข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่เป็นที่สุด ก่อนจะกลับมาถึงภูเขามู่อี จะต้องแวะมาที่สวนน้ำค้างวสันต์ของพวกเจ้าก่อนรอบหนึ่งแน่นอน”

หลักๆ แล้วเป็นเพราะที่นั่นมีต้นไหวโบราณอยู่ต้นหนึ่ง

ชุยตงซานถึงได้มั่นใจขนาดนี้

ซ่งหลันเฉียวอดไม่ไหวถามว่า “เซียนกระบี่เฉินคืออาจารย์ของผู้อาวุโสงั้นหรือ?”

ชุยตงซานเหล่ตามอง “อิจฉารึ? เจ้าอิจฉาแล้วจะได้อะไร? การรับลูกศิษย์ของอาจารย์ข้าจะต้องเลือกแล้วเลือกอีก หมื่นคนก็ยังหาไม่เจอสักคน”

ซ่งหลันเฉียวใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

นี่มันอะไรกับอะไรกันเนี่ย

เซียนกระบี่หนุ่มที่ถือว่าพอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้น ตลอดทางที่เดินทางมาร่วมกัน ไม่ว่าจะยามที่รับรองผู้คนวางตัวในสังคม หรือยามพูดจาก็ล้วนรัดกุมรอบคอบ มีทั้งมารยาททั้งพิธีการ หลังจบเรื่องมาย้อนนึกดูก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ แล้วเหตุใดถึงได้มีลูกศิษย์ นิสัยประหลาดแบบนี้ได้?

ชุยตงซานพลันยิ้มตาหยี “หลันเฉียวเอ๋ย เจ้าไม่เชื่อว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ หรือไม่เชื่อว่าอาจารย์จะมีลูกศิษย์อย่างข้ากันล่ะ?”

ซ่งหลันเฉียวรู้สึกขนลุกขนชันไปหมด การพูดสองอย่างนี้มองดูเหมือนว่าความหมายพอๆ กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีความลี้ลับยิ่งใหญ่ ควรจะตอบอย่างไรก็ต้องระวังแล้วระวังอีก อันที่จริงทางเลือกที่มอบให้เขาก็มีไม่มาก แค่สองทางเท่านั้น พูดจาดีๆ เกี่ยวกับคนตรงหน้าผู้นี้ หรือพูดจาดีๆ เกี่ยวกับเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นราวกับคนเสียสติ และนั่นก็อาจจะเป็นการดูแคลนคนประหลาดที่ใจกล้า มีสมบัติอาคมมากมายและตบะสูงส่งผู้นี้เกินไปหน่อย

ซ่งหลันเฉียวชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างว่องไว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าควรจะปฏิบัติ ต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจจึงจะมั่นคงมากกว่า เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเซียนกระบี่เฉินที่อายุยังน้อยจะมีลูกศิษย์อย่างผู้อาวุโสได้”

ชุยตงซานส่ายหน้า จุ๊ปากเอ่ยว่า “น่าเสียดายๆ ทำให้ทางเดินแคบอีกแล้ว”

ซ่งหลันเฉียวนินทาในใจไม่หยุด ข้าผู้อาวุโสมาเจอกับคนประหลาดที่จิตใจยากคาดเดาอย่างเจ้าแล้วทางที่เดินไม่ถึงทางตัน ก็ควรจะไปจุดธูปกราบไหว้เหล่า บรรพบุรุษของสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว

ชุยตงซานหัวเราะร่า “กลับไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ก็ควรจะจุดธูปกราบไหว้ เหล่าบรรพบุรุษของเจ้าจริงๆ นั่นแหละ”

เส้นเอ็นหัวใจของซ่งหลันเฉียวหดเกร็งขึ้นมาทันใด

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ไม่กลัวผีมาเคาะประตู ข้าไม่ใช่ผี เจ้าเองก็ไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ แล้วยังจะต้องกลัวอะไร”

ซ่งหลันเฉียวพูดอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ข้าพูดล้อเล่นกับเจ้าจริงๆ นั่นแหละ ดังนั้นประโยคนี้ของเจ้าหลันเฉียว หนึ่งประโยคสองความหมาย มีความรู้อย่างมาก เคยเรียนหนังสือมาก่อนสินะ?”

ซ่งหลันเฉียวไร้คำพูดตอบโต้

ชุยตงซานหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ จะไปลองเสี่ยงดวงดูสิว่าตอนนี้อาจารย์อยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์หรือไม่ หลันเฉียวเจ้าเองก็จะได้มีเรื่องให้กังวลน้อยลง”

ซ่งหลันเฉียวรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด เลยเลือกจะหุบปากไม่เอ่ยอะไรเสียเลย ทำเพียงแค่น้อมส่งผู้อาวุโสท่านนี้ออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

เด็กหนุ่มหล่อเหลาสวมชุดขาวถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวเดินข้ามธรณีประตูออกไป ระหว่างที่เดินอาดๆ อยู่กลางระเบียงก็ชูมือขึ้นมาโบก “ไม่ต้องส่ง”

ซ่งหลันเฉียวยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เหงื่อแตกท่วมเต็มร่างแต่กลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

ชุยตงซานเดินไปถึงหัวเรือแล้วทะยานร่างขึ้น เรือข้ามฟากทั้งลำลดระดับต่ำฮวบไปหลายสิบจั้ง คนผู้นั้นจำแลงร่างเป็นรุ้งยาวจากไป เรือนกายเป็นเส้นสีขาวหิมะ พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามดุจฟ้าคำราม

เฉินผิงอันกำลังก้มตัวเก็บหินในลำธาร เขาเลือกเฟ้นหาไปทีละก้อน จากนั้นจึงหยิบใส่ไว้ในชายผ้าชุดเขียวที่ม้วนขึ้น มือข้างหนึ่งกุมป้องเอาไว้ แต่แล้วจู่ๆ ก็ยืดตัวขึ้นหันหน้าไปมอง

มองเห็นชุยตงซาน

เฉินผิงอันอึ้งอยู่นาน ถามว่า “ผู้อาวุโสชุยไปแล้วหรือ?”

ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที ก้มหน้าไม่มองสบตา

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่เป็นไร เจ้ายังสบายดีไหม?”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “อาจารย์ ข้าไม่ค่อยดีเท่าไร”

เฉินผิงอันปล่อยให้หินไข่ห่านเหล่านั้นร่วงลงสู่ลำธาร เดินขึ้นมาที่ชายฝั่ง โดยไม่ทันรู้ตัวอาจารย์ก็ตัวสูงกว่าลูกศิษย์ไปครึ่งศีรษะแล้ว

เฉินผิงอันยื่นมือไปโอบไหล่ชุยตงซาน เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านด้วยกัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!