บทที่ 565 อาจารย์และลูกศิษย์ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ
บรรยากาศในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ค่อนข้างจะแปลกประหลาด บางคนอารมณ์หนักอึ้ง ซึ่งก็คือพวกผู้เฒ่าบางคนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เก็บตัว อย่างสันโดษ และยังมีพวกผู้ถวายงาน เค่อชิงของสวนน้ำค้างวสันต์อีกบางส่วน
บางคนมาร่วมวงความครึกครื้น อารมณ์จึงนับว่าไม่เลว ยกตัวอย่างเช่นถังสี่เจ้าของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายสุด หญิงชราอาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลันเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟาก เวลานี้นางกำลังมองสบตากับถังสี่ที่ในอดีต มีความสัมพันธ์ที่ชืดชาต่อกัน แล้วสองฝ่ายก็พยักหน้าให้กันเบาๆ ในดวงตาต่างก็ ซ่อนอำพรางรอยยิ้ม
บางคนอารมณ์ซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่นถานหลิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน
เพราะซ่งหลันเฉียวส่งกระบี่บินมาแจ้งแก่ศาลบรรพจารย์ติดต่อกันถึงสองครั้ง จดหมายลับฉบับแรกบอกว่ามีผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ขอบเขตลึกล้ำยากจะคาดเดาคนหนึ่ง คือเทพเซียนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มชุดขาวพลิ้วไสว หลังจากโดยสารเรือ ข้ามทวีปของสำนักพีหมามาถึงชายหาดโครงกระดูกก็ไปโยนสมบัติอาคมใส่ นครจิงกวานดุจห่าฝน ทั้งเกาเฉิงและหุบเขาผีร้ายต่างก็ไร้ความเคลื่อนไหว ราวกับว่ากริ่งเกรงคนผู้นี้มาก จดหมายลับฉบับที่สองกลับบอกว่าคนผู้นี้บอกว่าตัวเองคือ ลูกศิษย์ของเซียนกระบี่หนุ่ม เรียกคนหนุ่มแซ่เฉินว่าอาจารย์ทุกคำ มีนิสัยประหลาดยากจะคาดเดา เขาซ่งหลันเฉียวคิดว่าหากต้องเข่นฆ่ากับอีกฝ่ายขึ้นมา ตนย่อม ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนอย่างแน่นอน
ถานหลิงส่งจดหมายลับสองฉบับให้ทุกคนอ่าน รอจนจดหมายลับกลับมาถึงมือ ก็เก็บใส่ในชายแขนเสื้อเบาๆ แล้วเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าได้ส่งกระบี่บินไปยังภูเขา มู่อีสำนักพีหมาเพื่อสอบถามประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้แล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ ทุกท่าน เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสวนน้ำค้างวสันต์ของพวกเราควรจะรับมืออย่างไร มีใครมีกลยุทธที่ดีบ้างหรือไม่?
พวกเราไม่สามารถฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่สำนักพีหมาได้ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับภูเขามู่อี อีกอย่างก็คือ ข้าเดาว่าท่านเฉินก็คือ ผู้ฝึกกระบี่ที่เมื่อปีก่อนร่วมเซ่นกระบี่กับเซียนกระบี่หลิวสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ แถบแคว้นฝูฉวี”
ในห้องโถงศาลบรรพจารย์เงียบสงัด หากเข็มหล่นก็คงได้ยินกันทั่ว
สวนน้ำค้างวสันต์ก็ถือว่าเป็นภูเขาระดับบนสุดของกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนระดับสองของอุตรกุรุทวีป คล้ายคลึงกับเรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์และ ยอดเขาสิงโตที่ต่างก็มีชื่อเสียง มีมิตรสหายกว้างขวาง อีกทั้งรากฐานยังลึกล้ำ อยู่ห่างจากอักษรตัวจงก็เพียงแค่ว่าขาดผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบที่จะกลายมาเป็นเสาหลักได้เท่านั้น สถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของสวนน้ำค้างวสันต์ก็อยู่ที่ว่าชีวิตนี้ถานหลิงไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดได้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ความหวังจะกลายเป็นห้าขอบเขตบน
ตอนนี้พอเผชิญหน้ากับอาจารย์และศิษย์คู่นั้นจึงตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด
ถานหลิงถามอีกว่า “ถังสี่ เจ้าคิดว่าอาจารย์…เฉินคนนั้นมีนิสัยเป็นอย่างไร?”
คำเรียกขานนี้ทำให้สีหน้าของถานหลิงดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก
ถังสี่ที่นั่งอยู่ติดกับประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์เอาฝ่ามือลูบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ตบะสูงหรือต่ำ มองออกได้ไม่ชัดเจน ประวัติความเป็นมาก็ยิ่งเหมือนมีเมฆหมอกบดบัง แต่หากพูดถึงแค่เรื่องของการทำการค้า ท่านเฉินก็พิถีพิถันในเรื่องของความยุติธรรมอย่างมาก”
การปรึกษาหารือกันในศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์วันนี้ เป็นครั้งแรก ที่ถานหลิงสอบถามความเห็นของถังสี่อย่างจริงจัง
หญิงชรายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คุณชายเฉินปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีมารยาท เป็นคนหนุ่ม ที่เคารพกฎเกณฑ์อย่างถึงที่สุด บางทีพวกเจ้าอาจไม่เคยไปมาหาสู่กับเขาจึงไม่รู้ เอาเป็นว่าหญิงแก่อย่างข้าชื่นชอบเขามาก สองครั้งที่คุณชายเฉินมาเยี่ยมเยือนข้า ด้วยตัวเอง หญิงแก่อย่างข้าก็ได้รับวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งกับก้อนชากำแพงดำน้อยจาก คนเขามาเปล่าๆ ถึงสองครั้ง ตอนนี้ก็ยังกลัดกลุ้มอยู่ว่าครั้งหน้าที่คุณชายเฉินมาเยือน ควรจะเอาของขวัญอะไรตอบแทนเขาดี จะให้คนเขาที่มาเยือนสามครั้งต้องกลับไป มือเปล่าเสียทุกครั้งก็คงไม่ได้ คุณชายเฉินเองก็บอกแล้วว่า ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม สะสมเอาไว้’ น่าเสียดายที่หญิงแก่อย่างข้ากำลังทรัพย์น้อย ถึงเวลานั้นยังไม่รู้ว่า จะเดือดร้อนมาถึงสวนน้ำค้างวสันต์หรือไม่ หากของขวัญที่มอบกลับคืนแร้นแค้นเกินไป ก็อาจทำให้สวนน้ำค้างวสันต์เป็นที่ขบขันของผู้คนเอาได้”
คำพูดประโยคนี้ของหญิงชรามีความนัยแอบแฝง ทุกถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยความลี้ลับ
บนใบหน้าของถานหลิงมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “ศิษย์น้องหลิน ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ วันนี้ศิษย์น้องหลินสามารถเลือกของขวัญชิ้นหนึ่งไปจากศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ได้เลย”
หญิงชราคลี่ยิ้มไม่จริงใจ “ศิษย์พี่ถาน นี่ไม่เท่ากับว่าทำให้สวนน้ำค้างวสันต์ของเราสิ้นเปลืองหรอกหรือ? ไม่ค่อยเหมาะกระมัง? อันที่จริงหากหญิงแก่อย่างข้ายอม ทุบหม้อขายเหล็ก แล้วไปยืมเงินเทพเซียนอีกส่วนหนึ่งมาจากลูกศิษย์ที่ไม่ได้ความอย่างซ่งหลันเฉียว ก็ยังพอจะรวบรวมเงินซื้อสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งได้”
ถานหลิงยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ไม่ต้องรบกวนซ่งหลันเฉียว ตลอดหลายปีมานี้ซ่งหลันเฉียวทำการค้าดูแลเรือข้ามฟากแทนสวนน้ำค้างวสันต์อย่างระมัดระวังรอบคอบก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”
หญิงชราแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง “ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิด ความจำดีกว่าศิษย์น้องโอสถทองที่ไม่ได้ความอย่างข้ามาก หญิงแก่อย่างข้าเกือบลืมไปแล้วว่าที่แท้ตัวเองก็ยังมีลูกศิษย์โอสถทองที่คอยวิ่งวุ่นอยู่ด้านนอกตลอดทั้งปี อย่างซ่งหลันเฉียวอยู่ด้วย”
พวกจิ้งจอกเฒ่าในศาลบรรพจารย์ทั้งหลายเริ่มกระปรี้กระเปร่ากันขึ้นมาแล้ว ฟังจากน้ำเสียงนี้ หญิงชราผู้นี้คิดจะดึงลูกศิษย์ของตนเข้ามาในศาลบรรพจารย์?
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
“อย่าพูดถึงลูกศิษย์ที่มีชะตาต้องเหนื่อยยากของข้าคนนั้นเลย เจ้าเด็กนี่เกิดมา ก็ไม่มีชะตาจะได้เสวยสุข”
คิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว ไม่ได้พูดถึงเรื่องเพิ่มเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์สักคำเดียว หญิงชราเพียงแค่หันหน้าไปมองถังสี่แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ถวายงานถังของเราต่างหากที่ลำบากยิ่งกว่าซ่งหลันเฉียว ไม่เพียงแต่มีคุณ ความเหนื่อยยาก คุณความชอบก็ใหญ่หลวง เหตุใดถึงยังได้นั่งตำแหน่งที่ใกล้กับประตูที่สุดอีก? กิจการครึ่งหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ล้วนมีเรือนจ้าวเย่ฉ่าวเป็นผู้ดูแล หากจำไม่ผิด เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ก็เป็นเรือนจ้าวเย่ฉ่าวที่ออกเงินสร้างขึ้นมา ไม่ใช่หรือ คนแก่ๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นพวกเราควรต้องมีมโนธรรมในใจกัน บ้างนะ ตามความเห็นข้า ไม่สู้ให้ข้าเปลี่ยนตำแหน่งกับถังสี่ ย้ายเก้าอี้ของข้าไปตรงหน้าประตู จะได้ไม่ต้องทำให้ศิษย์พี่ถานและทุกคนลำบากใจ”
ถังสี่รีบลุกขึ้นยืนทันที กุมหมัดค้อมเอวเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ได้เด็ดขาด ข้าผู้แซ่ถัง เป็นคนทำการค้า พรสวรรค์ในการฝึกตนย่ำแย่เกินจะกล่าว แม้ว่ากิจการในมือ จะไม่เล็ก แต่นั่นก็ต้องอาศัยสวนน้ำค้างวสันต์ถึงจะทำสำเร็จได้ ข้าผู้แซ่ถังรู้ดีว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน การที่ได้มาปรึกษากับทุกท่านอยู่ในศาลบรรพจารย์ก็ถือว่า ยึดเอาคุณความชอบของสวรรค์มาเป็นของตนแล้ว ไหนเลยจะมีความคิดไม่สมควรเช่นนั้นได้”
หญิงชราบ่นพึมพำ “ถังสี่เจ้ามีลูกสาวอยู่แค่คนเดียว ตอนนี้นางใกล้จะออกเรือนแล้ว สกุลเว่ยจวนเถี่ยชางของราชวงศ์ต้ากวานที่จะดองเป็นญาติกับเจ้า และยังมีฮ่องเต้พระองค์นั้น ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่เจ้าถังสี่ยังมีที่มีทางอยู่ในศาลบรรพจารย์ สวนน้ำค้างวสันต์หรอกหรือ? คำซุบซิบนินทาพวกนั้น เจ้าถังสี่ใจกว้าง ให้อภัยได้ ยอมรับได้ แต่หญิงแก่ที่เป็นคนนอกอย่างข้าฟังแล้วยังรู้สึกไม่ดี รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ หญิงแก่อย่างข้าไม่มีของขวัญอวยพรอะไรจะมอบให้ ได้แต่สับเปลี่ยนตำแหน่งเก้าอี้กับเจ้าถังสี่เท่านั้น นี่ก็ถือว่าได้ทุ่มเทสุดกำลังน้อยนิดที่มีแล้ว”
อันที่จริงสวนน้ำค้างวสันต์มีบรรพจารย์ที่ดูแลการเงินอยู่ แต่ถังสี่กลับเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันของสวนน้ำค้างวสันต์ เมื่อเทียบกับชื่อเสียงของฝ่ายแรกแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะบนล่างหรือในนอกสวนน้ำค้างวสันต์ ถังสี่ก็ล้วนได้ใจผู้คนมากกว่า
หญิงชราเรียกคำก็ถังสี่ สองคำก็ถังสี่
นี่ไม่ใช่ความไม่เคารพอะไร แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ดูแลคลังสมบัติของศาลบรรพจารย์หน้าเขียว หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “พวกเรากำลังปรึกษาแผนการรับมือที่เหมาะสมกันอยู่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงคุยไปถึงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวผู้ถวายงานถังเสียได้? หากวันหน้าศาลบรรพจารย์ที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้เหมือนคนเหยียบเปลือกแตงโมที่ลื่นไถลไปได้ถึงตรงไหนก็ไปถึงตรงนั้น ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราไม่ลองมาคุยถึงเรื่องชาอินเฉินของชายหาด โครงกระดูกว่าอร่อยหรือไม่ไปด้วยเล่า? ศาลบรรพจารย์จะต้องเตรียมไว้หลายๆ จิน คราวหน้าพวกเราก็ดื่มชาพลางพูดคุยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งไปด้วย คุยนานๆ สัก เจ็ดแปดชั่วยามเลยเป็นไง?”
หญิงชรายิ้มบางๆ “หากมาอยู่กับศิษย์พี่เกาที่กุมอำนาจสำคัญอยู่ในมือ การแต่งงานของบุตรีโทนของถังสี่ และมิตรภาพส่วนตัวระหว่างสวนน้ำค้างวสันต์กับราชวงศ์ต้ากวาน แน่นอนว่าต้องเป็นแค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอยู่แล้ว”
บรรพจารย์ผู้ดูแลเงินทองของสวนน้ำค้างวสันต์ตบลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้หนักๆ พูดอย่างเดือดดาลว่า “คนแซ่หลิว หยุดพูดจาเหลวไหลชวนให้คนเข้าใจผิดเสียที! เจ้าดีดลูกคิดรางเล็กของตัวเองดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนั้น คิดว่าพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่หูหนวกตาบอดกันจริงๆ หรือไร?!”
หญิงชราร้องโอ้ยหนึ่งที แล้วพูดเย้ยหยันว่า “ที่แท้ก็ไม่ใช่หรอกหรือ”
ถังสี่ยิ้มจืดเจื่อน แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ พันธมิตรใหม่คนนี้นิสัยหุนหันพลันแล่นไปสักหน่อย เวลานี้หากเขายังราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอีกก็จะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ไม่สู้อยู่เงียบๆ รอดูการเปลี่ยนแปลงจะดีกว่า
ถานหลิงโบกมือเบาๆ “แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องเล็ก รอให้พวกเราจัดการเรื่องด่วนที่เป็นดั่งไฟไหม้ขนคิ้วนี่ได้ก่อน ย่อมต้องคุยกัน อีกทั้งยังจะคุยกันวันนี้ด้วย อันดับแรกพวกเรามาลองยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าทั้งสองคนนั้นจะจากไปวันไหน อันดับที่สอง ช่วงเวลาระหว่างนี้จะจัดการปัญหาให้ราบรื่นได้อย่างไร ส่วนข้อที่ว่า จะผูกสัมพันธ์ควันธูปครั้งนี้ได้หรือไม่ ข้าถานหลิงก็ดี สวนน้ำค้างวสันต์ก็ช่าง ไม่คาดหวัง ไม่ฝืนชะตา สุดท้ายใครจะเป็นคนออกหน้า ทุกคนลองปรึกษากันดู แล้วเสนอตัวเลือกมา จะเป็นซ่งหลันเฉียวหรือใครก็ได้ คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูด กันก่อน ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จะดีหรือร้าย สวนน้ำค้างวสันต์ก็ควรบันทึกคุณความชอบให้กับคนผู้นี้ หากผลลัพธ์ไม่สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ และ ถ้าหลังจบเรื่องมีใครกล้าเอาไปวิจารณ์ในทางลบ พลิกบัญชีเก่าออกมาเปิด พูดจาเหน็บแนมเสียดสี ก็อย่าโทษหากข้าถานหลิงจะเอากฎบรรพจารย์ออกมาใช้”
กล่าวมาถึงตรงนี้ถานหลิงก็คลี่ยิ้ม “หากรู้สึกว่าต้องให้ข้าถานหลิงออกหน้าไปพูดคุยด้วยตัวเอง ขอแค่เป็นผลลัพธ์อย่างที่ศาลบรรพจารย์ปรึกษากันออกมาได้ ข้าถานหลิงก็จะถือว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของข้า แต่หากข้าทำได้ไม่ดี ทุกท่าน อยากตำหนิ ต่อให้นับจากวันนี้ไปจะยังกล่าวโทษข้าอยู่ในศาลบรรพจารย์ ข้าถานหลิงในฐานะที่เป็นเจ้าขุนเขาก็ขอน้อมรับไว้ด้วยความจริงใจ”
หนึ่งก้านธูปต่อมา ถังสี่ก็ออกไปจากศาลบรรพจารย์ก่อน
คนที่เหลือที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ต่างก็รอฟังข่าวอยู่เงียบๆ
หญิงชรายิ้มพูดกับตัวเองว่า “ใครทำงานเป็น ใครดีแต่ขี้ขลาด แค่มองก็รู้แล้ว”
ประโยคนี้ของนาง
ทำให้ถานหลิงขมวดคิ้ว
ผู้เฒ่าคนนั้นพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หลินชว่อเอ๋อร์ เจ้าพูดอีกครั้งสิ?!”
หญิงชราย้อนถาม “หูหนวกรึ?”
ถานหลิงพูดเสียงหนัก “เกาซง หลินชว่อเอ๋อร์ พวกเจ้าหุบปากทั้งคู่!”
ผู้เฒ่าและหญิงชรา คนหนึ่งโมโห คนหนึ่งยิ้มร่า แต่สุดท้ายก็ยอมหยุดต่อปากต่อคำกัน
ถานหลิงถอนหายใจอยู่ในใจ ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักที่เกือบจะได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียนคู่นี้ บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขาแถลงไม่กระจ่าง ตัดไม่ขาดแล้วยังพัวพันกันวุ่นวาย
เค่อชิงคนหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าขุนเขาถาน จะใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือไปตรวจสอบเหตุการณ์ที่หน้าผาอวี้อิ๋งหรือไม่? หากถังสี่ทำเสียเรื่อง พวกเราก็จะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อน”
หญิงชรายิ้มกล่าว “คนหูหนวกมี คราวนี้ก็มีคนตาบอดมาเพิ่มอีก”
ถานหลิงและเค่อชิงผู้นั้นต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหน็บแนมของหลินชว่อเอ๋อร์ ถานหลิงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ทำแบบนั้นไม่เหมาะ อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็มีคนหนึ่ง ที่เป็นก่อกำเนิด และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้อาวุโสขอบเขตหยกดิบ คนหนึ่ง ก่อกำเนิดยังนับว่าดีหน่อย แต่หากเป็นขอบเขตหยกดิบ ต่อให้ข้าจะระวัง แค่ไหนก็ยังจะต้องถูกคนผู้นี้สาวเบาะแสมาจนเจออยู่ดี ถ้าอย่างนั้นการที่ถังสี่ไปเยือนหน้าผาอวี้อิ๋งครั้งนี้ก็จะมีอันตรายรายล้อมแล้ว”
หญิงชราพูดเสียงแปร่งระคายหู “ถังสี่เป็นคนนอกของสวนน้ำค้างวสันต์มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? คนที่ละโมบอยากได้กิจการของเขา ในศาลบรรพจารย์แห่งนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย หากถังสี่ตายไปอย่างอยุติธรรม ใช้กิจการของถังสี่มาเป็นการจ่ายเงิน ฟาดเคราะห์ ไม่เพียงแต่คลี่คลายความไม่สบอารมณ์ของคุณชายเฉินกับลูกศิษย์ ของเขา ไม่แน่ว่าสวนน้ำค้างวสันต์อาจจะยังได้กำไรอีกด้วย”
เค่อชิงผู้นั้นได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ถานหลิงโมโหสุดขีด นางลุกขึ้นยืน ถลึงตาจ้องมองหญิงชราที่ทุกถ้อยคำอำมหิตดุจมีดบาดใจอย่างเดือดดาล “หลินชว่อเอ๋อร์! เจ้ายังอยากจะช่วยให้ซ่งหลันเฉียวมีพื้นที่อยู่ในศาลบรรพจารย์อยู่อีกหรือไม่?!”
หญิงชราหัวเราะหึหึ “ไม่พูดแล้วๆ ก็เมื่อก่อนหญิงชราอย่างข้าไม่มีสิทธิ์ได้พูด วันนี้อยู่ดีๆ พระอาทิตย์ก็ขึ้นทางทิศตะวันตก ข้าก็แค่อดไม่ไหวพูดมากนิดหน่อยไม่ใช่หรือ ขอแค่ลูกศิษย์คนนั้นของข้าได้เข้ามาอยู่ในศาลบรรพจารย์ ต่อให้ซ่งหลันเฉียว จะได้แค่ยืนถือม้านั่งตัวเล็กพิงอยู่ตรงกรอบประตู ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลที่คอยดูต้นทาง ข้าหลินชว่อเอ๋อร์ก็กล้ารับประกันตรงนี้เลยว่า เมื่อก่อนข้าทำตัวเป็นคนใบ้อย่างไร วันหน้าก็จะยังคงทำอย่างนั้น”
หญิงชราพูดประโยคเหล่านี้จบก็มองไปทางนอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์
เดิมทีถานหลิงคิดจะตวาดสั่งสอนอย่างเดือดดาลอีกสักสองสามคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าหลินชว่อเอ๋อร์ได้คืบแล้วจะเอาศอก แต่พอเห็นใบหน้าแห้งตอบของ หญิงชรา นางก็ตัดใจดุด่าไม่ลง
แล้วนับประสาอะไรกับที่สวนน้ำค้างวสันต์ก็ควรจะมีคนที่ยินดีลงมือทำงานอย่างจริงจังปรากฏตัวได้แล้ว
ถังสี่แห่งเรือนจ้าวเย่ฉ่าว ซ่งหลันเฉียวที่ดูแลเรือข้ามฟากมานานหลายปี บวกกับหลินชว่อเอ๋อร์ที่วันนี้ได้เอ่ยคำสัญญาไปแล้ว สามฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน การปรากฏตัวของภูเขาเล็กลูกนี้ในสวนน้ำค้างวสันต์ ถานหลิงคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด
ถังสี่ไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่โดยสารเรือยันต์ลำหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์มายังหน้าผาอวี้อิ๋ง
ก่อนจะเก็บเรือยันต์ ถังสี่ก็สังเกตเห็นแต่ไกลแล้วว่าเซียนกระบี่หนุ่มชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นกำลังเก็บหินในลำธารกันอยู่ ช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์กัน เสียจริง
เฉินผิงอันได้ยินว่าเรือข้ามฟากของซ่งหลันเฉียวจะมาถึงท่าเรือฝูสุ่ยวันพรุ่งนี้ ก็บอกกับชุยตงซานว่าถ้าอย่างนั้นก็รอกันต่อไป จากนั้นก็กลับมาที่ลำธารเลือกเฟ้นหาก้อนหินต่ออีกครั้ง พลางรับฟังชุยตงซานเล่าถึงประสบการณ์จากการเดินทางไกล ข้ามทวีปของตัวเองในครั้งนี้ไปด้วย
พอพูดถึงชายหาดโครงกระดูกและนครจิงกวาน เฉินผิงอันก็ถามคำถามข้อหนึ่ง เมืองเล็กที่จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาปักหลักพิทักษ์อยู่ ด้วยตบะของเกาเฉิงและ กองกำลังในนครจิงกวานกับกลุ่มอิทธิพลใต้บังคับบัญชา จะสามารถถอนตะปูที่ตำตาดอกนี้ได้ในรวดเดียวหรือไม่
ชุยตงซานตอบอย่างไม่ลังเลว่าง่ายมาก หากจู๋เฉวียนยินดี แน่นอนว่าสามารถจากไป ย้อนกลับไปอยู่ที่ภูเขามู่อีอีกครั้งได้ แต่ด้วยนิสัยของจู๋เฉวียนแล้ว ย่อมต้องเลือกที่จะรบตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย ยอมทุ่มสุดชีวิตของตัวเองและละทิ้งค่ายกลของเมืองชิงหลูได้ แต่ก็ต้องให้นครจิงกวานเสียหายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก เพื่อให้คนรุ่นถัดไปของภูเขามู่อีสามารถเติบโตได้ ยกตัวอย่างเช่นตู้เหวินซือผู้ฝึกตนคอขวดโอสถทองที่เฝ้าพิทักษ์เมืองชิงหลูมานานหลายปี หรือผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์อย่าง เด็กหนุ่มผังหลันซี
แต่ชุยตงซานเองก็บอกแล้วว่า เกาเฉิงค่อนข้างจะชื่นชมจู๋เฉวียน จึงไม่ยินดี จะฉีกหน้าให้แตกหักกัน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าเพิ่งจะไปอยู่ชายหาดโครงกระดูกได้นานเท่าไรเอง กลับรู้เรื่องมากขนาดนี้แล้วหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เห็นเพียงน้อยนิดก็เข้าใจไปไกล ก็คือความสามารถที่มี ไม่มากของศิษย์”
จากนั้นชุยตงซานก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ประวัติความเป็นมาตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่ ศิษย์เดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ก็พอจะได้ผลเก็บเกี่ยวมาบ้าง บวกกับการ ลงแรงของสำนักพีหมา ตอนนี้อักษรยามเกิดแปดตัวที่แน่ชัดของเกาเฉิง สำมะโนครัวบ้านเกิด ฮวงจุ้ยสุสานล้วนมาอยู่ในมือของศิษย์หมดแล้ว เดิมทีสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินของอุตรกุรุทวีปก็ยัง ไม่สามารถอาศัยเรื่องพวกนี้มาสร้างความลำบากใจให้นครจิงกวานได้ อย่างมากสุด ก็แค่ทำให้เขาเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น น่าเสียดายที่เกาเฉิงมาเจอลูกศิษย์อย่างข้า เขาก็ จนปัญญาแล้ว”
เฉินผิงอันหยิบหินไข่ห่านสีขาวหิมะก้อนหนึ่งขึ้นมาวางใส่ไว้ในห่อผ้าที่ม้วนขึ้นจากเสื้อสีเขียวของตัวเอง แล้วเอ่ยว่า “เล่นตุกติกบนร่างของโจวหมี่ลี่ เรื่องนี้เกาเฉิงไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ไม่สมควรเป็นคนเลย”
แล้วชุยตงซานก็พูดต่อทันทีว่า “เดิมทีพี่น้องเกาก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองชุยตงซาน
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้พี่เกามีน้องเกาอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่ การเดินทางมาเยือนทิศเหนือของศิษย์ในครั้งนี้ไม่ได้พาเขามาอยู่ข้างกายด้วย วันหน้าอาจารย์มีโอกาสก็จะได้พบกับน้องเกาคนนั้น เจ้าเด็กน้อยนั่นนับว่าหน้าตาหล่อเหลา แค่ทึ่มทื่อไปหน่อย สติปัญญายังไม่เปิดกว้าง”
เฉินผิงอันถาม “พอๆ กับเด็กหนุ่มรับใช้ที่อยู่ข้างกายอาจารย์หลี่หรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “คนหนึ่งเอามาฝึกปรือฝีมือ อีกคนหนึ่งแกะสลักขึ้นด้วยความตั้งใจ ไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “หากเป็นไปได้ ทางที่ดีที่สุดสักวันหนึ่งพวกเราควรจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนจริงๆ แต่การชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียระหว่างนี้ยังคงต้องให้เจ้าคิดพิจารณาเอาเอง ข้าแค่บอกความคิดบางอย่างของตัว ข้าเองเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะต้องทำตาม”
สายตาของชุยตงซานฉายประกายเจิดจ้า ดูเป็นเด็กหนุ่มยิ่งกว่าเด็กหนุ่มเสียอีก เขายิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่ออาจารย์บอกว่าทำได้ แล้วจะมีอะไรที่ศิษย์ทำไม่ได้”
คนทั้งสองทยอยกันสัมผัสได้ถึงถังสี่และเรือยันต์ จึงไม่คุยอะไรกันอีก
ถังสี่เดินมาที่ริมลำธารช้าๆ แล้วประสานมือคารวะ “ถังสี่แห่งเรือนจ้าวเย่ฉ่าวคารวะท่านเฉิน”
เฉินผิงอันเดินขึ้นฝั่งโดยเอามือหนึ่งอุ้มประคองหินไข่ห่านที่อยู่ในม้วนผ้า ยิ้มเอ่ยทักทายกับถังสี่
ชุยตงซานที่อยู่ด้านหลังเก็บหินไข่ห่านใส่ห่อผ้าตัวเองได้มากกว่าและก้อนใหญ่กว่า เขาใช้สองมือโอบประคองเอาไว้จึงมองดูน่าขันอย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันยืนเคียงบ่าอยู่กับถังสี่ ฝ่ายหลังพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านเฉิน ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์เป็นกังวลกันเล็กน้อย ข้าก็เลยบังอาจขอมาสร้างคุณความชอบ เป็นฝ่ายมารบกวนความสงบของท่านเฉินถึงที่นี่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถังเซียนซือ ท่านบอกให้ถานฮูหยินวางใจได้เลย อีกไม่นานข้ากับลูกศิษย์ก็จะโดยสารเรือข้ามฟากของผู้อาวุโสซ่งจากไป เพราะรีบไปเยือนชายหาดโครงกระดูก พวกเราสองคนไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับสวนน้ำค้างวสันต์ อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น นับตั้งแต่ หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งนี้ ไปจนถึงร้านผีฝูถนนเหล่าไหว แล้วก็มาถึงถังเซียนซือกับ ผู้อาวุโสหลิน พวกเราได้รับน้ำใจมากมายจากสวนน้ำค้างวสันต์ เมื่อไปถึงภูเขามู่อีของสำนักพีหมา ข้าจะพยายามพูดถึงสวนน้ำค้างวสันต์ในแง่ดีกับคนสนิทของที่นั่น แล้วก็หวังว่าการค้าของสำนักพีหมากับสวนน้ำค้างวสันต์ที่เดิมทีก็มีมิตรภาพต่อกันอยู่แล้วจะสามารถพัฒนาไปอีกขั้น เพียงแต่ว่าข้าเป็นคนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก คำพูดของข้าจะมีประโยชน์หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ารับรอง หากคำพูดไพเราะเหล่านี้ของข้า เป็นดั่งก้อนหินกระดอนน้ำที่หายไปอย่างเงียบเชียบ ก็หวังว่าวันหน้าได้มาเยี่ยมเยือนสวนน้ำค้างวสันต์อีกครั้ง ประตูใหญ่เรือนจ้าวเย่ฉ่าวของถังเซียนซือจะไม่ปิดใส่ จะดีจะชั่วก็ให้ข้าได้เข้าไปดื่มน้ำชาสักถ้วย”
ถังซี่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก และยังรู้สึกซาบซึ้งจากใจจริงอยู่อีกหลายส่วน เขาประสานมือคารวะอีกครั้ง “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านเฉิน ถังสี่จดจำไว้ขึ้นใจ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ที่ร้านผีฝู เถ้าแก่หวังถิงฟางดูแลจัดการได้เหมาะสมยิ่ง วันหน้าถังเซียนซือก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจมากแล้ว ไม่อย่างนั้น หากข้าได้ยินก็คงละอายใจ เถ้าแก่หวังเองก็คงอดเคร่งเครียดไม่ได้”
ถังสี่พยักหน้ารับ “ในเมื่อท่านเฉินพูดแล้ว ข้าก็จะปล่อยให้หวังถิงฟางจัดการเอาเอง แต่ท่านเฉินก็วางใจได้เลย สวนน้ำค้างวสันต์จะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็เล็ก หากมีช่องโหว่เกิดขึ้นจริงๆ แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ข้าก็จะคอยตบคอยตี เจ้าเด็กหวังถิงฟางให้เข้ารูปเข้ารอยเอง หาเงินสบายขนาดนี้ หากยังกล้าเกียจคร้านอีกก็แสดงว่ามโนธรรมในใจมีปัญหาจริงๆ แล้ว เป็นเรือนจ้าวเย่ฉ่าวของพวกเราที่อบรมสั่งสอนได้ไม่ดีพอ ถึงได้ทำผิดต่อน้ำใจของท่านเฉิน หากเป็นเช่นนี้จริง คราวหน้าที่ท่านเฉินมาดื่มชาที่เรือนจ้าวเย่ฉ่าวของข้า ข้าถังสี่จะดื่มเหล้าลงโทษตัวเองก่อน สามจอก แล้วถึงจะกล้าร่วมดื่มชากับท่านเฉิน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ถังสี่ทำอะไรรวดเร็วฉับไวปานสายฟ้าฟาด เขาขอตัวลาจากไป โดยบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองต้องกลับไปรายงานผลที่ศาลบรรพจารย์
คราวนี้เขาไม่ได้โดยสารเรือยันต์ที่เชื่องช้า แต่ทะยานลมจากไปโดยตรง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันหันหน้ามามองชุยตงซาน “มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าถึงได้ทำตัวเป็นจิ้งจอก แอบอ้างบารมีเสือกับเขาสักครั้ง”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ด่าลูกศิษย์ เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ตามหลักฟ้าดิน”
เฉินผิงอันด่าขำๆ “นี่มันเรื่องอะไรกับอะไรของเจ้ากัน”
คนทั้งสองเดินมาที่ศาลา เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได ชุยตงซานนั่งอยู่ด้านข้างโดยต่ำกว่าหนึ่งขั้นคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา
คนทั้งสองเอาหินไข่ห่านที่ ‘กินไม่หมดต้องห่อกลับบ้าน’ (เปรียบเปรยว่า ทำอะไรแล้วต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา) วางกองรวมกันไว้ด้านข้าง
ชุยตงซานเท้าข้อศอกทั้งสองข้างไว้บนขั้นบันไดที่สูงกว่า เอนตัวนอนหงาย มองขุนเขาและสายน้ำที่ห่างออกไปไกล เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่แมกไม้ยังคงเขียวขจีหนาครึ้ม ทว่าสีสันบนโลกมนุษย์ไม่ได้เขียวขจีทั้งสี่ฤดูกาลเหมือนที่นี่
เฉินผิงอันลูบชายแขนเสื้อและชายขากางเกงให้เรียบ เขาเปลือยเท้าอยู่ตลอดเวลา รองเท้าถูกถอดวางไว้ในศาลาด้านหลัง หันปลายแหลมของรองเท้าเข้าหาม้านั่งยาว
ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นของชุยตงซานวางพิงเสาศาลาไว้เอียงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ก็เห็นแต่ดินโคลน คิดแค่ว่าเหมาะจะนำมาเผาเป็นเครื่องกระเบื้องหรือไม่ พอเป็น ร้านผ้าห่อบุญ เดินไปที่ไหนก็อยากแต่จะหาเงิน ดูว่าจะสะสมเป็นกำลังทรัพย์ ได้หรือไม่”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจเล็กน้อย “ปั้นดินจื่อจิน (ดินม่วงทองคือ ดินชนิดหนึ่งที่มีแร่เหล็กเจือปน เนื่องจากสิ่งเจือปนไม่เหมือนกัน ปริมาณที่แตกต่างทำให้สีของดินต่างกันไป อาจเป็นสีเหลือง แดง เป็นต้น) คือเรื่องใหญ่ การเปิดเตาเผาเครื่องกระเบื้องก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องใหญ่อีกที การขึ้นรูปและการเคลือบสีก่อนหน้านี้ ต่อให้จะมองดูแล้วสวยงามแค่ไหน แต่หากภายหลังเกิดข้อผิดพลาดในการเผาก็ถือว่าจบเห่ แค่เกิดช่องโหว่แม้เพียงเล็กน้อย ทุกอย่างที่ทำมาก็สูญเปล่า คนหลาย สิบคน ความยากลำบากที่อย่างน้อยก็นานถึงครึ่งปีล้วนกลายเป็นว่าต้องเหนื่อยเปล่า ดังนั้นการเปิดเตาจึงเป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าเหยาต้องจับตามองด้วยตัวเองมาโดยตลอด ต่อให้จะเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจอย่างหลิวเสี้ยนหยางก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน ผู้เฒ่าเหยาจะนั่งอยู่บนม้านั่ง คอยเฝ้าไฟในเตาด้วยตัวเองทั้งคืน แต่ผู้เฒ่าเหยาก็มัก จะบ่นอยู่เป็นประจำว่า เครื่องปั้นเข้าเตาไปแล้ว จะสำเร็จหรือไม่ จะดีหรือไม่ดี ดีหรือดียิ่งกว่าที่คิดไว้ ต่อให้จะจับตามองไฟอยู่ยังไง สุดท้ายก็ยังต้องขึ้นอยู่กับ ชะตาฟ้าลิขิตอยู่ดี และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ส่วนใหญ่ล้วนกลายมาเป็นเศษซากของภูเขากระเบื้อง
ตอนนั้นได้ยินว่าเป็นเพราะสิ่งของเครื่องใช้ของฮ่องเต้ยอมให้ขาดแคลนดีกว่า ด้อยคุณภาพ หากขาดความหมายแม้แต่น้อยก็จะต้องทุบทิ้งทันที เวลานั้นรู้สึกว่าถ้อยคำโบร่ำโบราณของบ้านเกิดที่บอกว่าฟ้าสูงจักรพรรดิอยู่ห่างไกลอะไรนั่น ช่างตรงใจจริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “แต่ว่าเวลานั้น รู้สึกว่ายอดบนสุดของต้นไหวโบราณอยู่สูงมาก ปลายยอดของภูเขาเครื่องกระเบื้องก็สูงเหมือนกัน ส่วนไกลหรือไม่ไกล คาดว่าต้องไปตัดไม้เผาถ่านบนภูเขาเท่านั้นถึงจะไกล อย่างน้อยที่สุดก็ไกลกว่าตอนเป็นเด็กที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอยู่มากนัก”
ชุยตงซานเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา
ฟังมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็พูดเสียงเบาว่า “ตอนเด็กถูกขังให้อ่านหนังสืออยู่ใน หอเรือน สูงหรือไม่ ไม่รู้สึก ได้แต่มองผ่านหน้าต่างเล็กๆ ไปยังทิศไกล ตอนนั้น สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือตำรา ข้าความทรงจำดี อ่านอะไรผ่านตาก็ล้วนไม่เคยลืม และ อันที่จริงก็จำได้หมดแล้ว ตอนนั้นเลยสาบานว่าวันหน้าหากไปกราบไหว้อาจารย์ ขอศึกษาต่อจะต้องหาอาจารย์ที่ความรู้ตื้นเขิน สะสมตำราไว้น้อย ไม่เจ้ากี้เจ้าการควบคุมผู้อื่น ภายหลังก็ได้เจอกับซิ่วไฉเฒ่าที่หิวโหยอยู่ในตรอก แรกเริ่มก็ไม่รู้สึกว่าความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างไร ภายหลังถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ตัวเองหาอาจารย์ อย่างส่งเดช เพราะแท้จริงแล้วความรู้ของเขาค่อนข้างสูง ต่อจากนั้นมาก็ถูกซิ่วไฉเฒ่าที่ยังไม่ร่ำรวยมีชื่อเสียงพาท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอยู่หลายครั้ง แล้วก็ได้เจอกับบัณฑิตที่แท้จริงอยู่มากมาย รอจนกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าจะเขียนตำราเล่มหนึ่ง ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองได้ออกเดินทางไปไกลมากๆ ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าพูดจาน่าเชื่อถือว่า หากตำราเล่มนี้ถูกจัดพิมพ์เมื่อไหร่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถขายได้หนึ่งพันเล่ม! จะต้องขายออกไปถึงเมืองอื่นอย่างแน่นอน ตอนที่โหวกเหวกเอ่ยคำพูดเหล่านี้ ซิ่วไฉเฒ่าพูดเสียงดัง ข้าก็รู้แล้วว่าเขากำลังใจฝ่ออยู่”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “นางเลือกข้า ก็เพราะอาจารย์ฉี แรกเริ่มนั้นแทบไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้าเฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร เจ้าดึงดันทำหน้าหนาขอให้ข้าเป็นอาจารย์ ของเจ้า อันที่จริงก็เหมือนกัน เป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่บีบให้เจ้ากราบไหว้อาจารย์ แรกเริ่มสุดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับตัวของข้าเฉินผิงอันสักเท่าไร”
ชุยตงซานทำท่าจะพูด
เฉินผิงอันกลับโบกมือ พูดต่อว่า “แต่ต่อให้จะไม่เกี่ยวกันมากนัก แต่ก็ยังพอจะเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง เพราะในบางช่วงเวลา ข้าก็คือหนึ่งนั้น หมื่นหนึ่ง หรือถึงขั้น เป็นหนึ่งในหมื่นหมื่น น้อยมาก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของหมื่นเรื่องราว เรื่องราวที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับข้า ถึงขั้นที่ว่าสำหรับข้าแล้วยังมีหนึ่งที่ ใหญ่ยิ่งกว่านั้น คือทั้งหมดของเรื่องราวหลายๆ อย่าง ยกตัวอย่างเช่นหลังจากท่านพ่อข้าจากไป ท่านแม่ข้าก็ป่วย ข้าก็คือหนึ่งของทุกอย่าง หากข้าไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ไม่เหลืออะไรเลย ประตูบ้านของกู้ช่านในปีนั้น ถ้วยข้าว บนโต๊ะอาหารบ้านเขาในปีนั้น ก็คือหนึ่งของทั้งหมด หากไม่มีการเปิดประตู บางที เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงอาจจะเปลี่ยนวิธีเอาชีวิตรอดเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เฉินผิงอันที่นั่งพูดอยู่กับเจ้าที่นี่ในวันนี้ ต้องไม่มีอยู่แล้วอย่างแน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็กุมหมัดเบาๆ ทุบที่หัวใจตัวเอง “เมื่อพวกเรามีห่วงต่อโลกใบนี้ ก็จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “แต่บังเอิญยิ่งนัก ไม่ว่าอะไรข้าก็กลัวไปหมด อย่างเดียวที่ไม่กลัวคือความลำบาก ข้าถึงขั้นรู้สึกว่ายิ่งลำบากมากเท่าไร ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองมีชีวิตอยู่บนโลกมากเท่านั้น ช่วยไม่ได้ หากไม่คิดอย่างนี้ชีวิตก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม”
เฉินผิงอันมองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาว “มีเพียงเรื่องนี้ที่เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ศิษย์เทียบอาจารย์ไม่ได้ แต่ว่าเรื่องแบบนี้อย่าเลียนแบบจะดีกว่า ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันไม่จำเป็นสำหรับเจ้า”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือหนุนกันสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดเสียงเบาว่า “จู่ๆ เผยเฉียนก็เรียนวรยุทธ คงเป็นเพราะเฉาฉิงหล่างสินะ”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที
เผยเฉียนเรียนวรยุทธแล้ว อาจารย์ของตนเดาออกมาได้เอง ส่วนเหตุใดถึงเรียนวรยุทธนั้น ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากข้าเจอนาง ก็จะบอกกับนางว่า นางสามารถคิดถึงผู้อาวุโสชุยได้ มีเพียงอย่างเดียวคือห้ามรู้สึกผิด หากเผยเฉียนตอบตกลง แต่กลับทำไม่ได้ แบบนั้นก็ยิ่งดี และข้าก็เชื่อว่านางต้องเป็นเช่นนี้ เผยเฉียน เจ้า ข้า อันที่จริงพวกเราต่างก็เหมือนกัน หลักการเหตุผลนั้นรู้ดี ก็แค่ไม่อาจข้ามผ่านด่านในใจไปได้ ก็เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเติบใหญ่ ทุกครั้งที่กลับไปถึงบ้านเกิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดถึง หรือว่ากำลังก้าวเดินอยู่ หัวใจก็ต้องเจ็บปวดเสมอ ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมองไม่ออก สำหรับเผยเฉียนแล้ว เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วก็คือหลุมในใจของนาง หลุมในใจ ที่แคว้นหนันเยวี่ยน ผู้อาวุโสชุยสามารถพานางข้ามผ่านไปได้แล้ว ผู้อาวุโสชุย จากไปแล้ว หลุมในใจหลุมใหม่นางก็อาจข้ามผ่านไปไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ข้ารู้สึกว่า หลุมในใจบางอย่างที่ติดค้างอยู่บนเส้นทางหัวใจไปตลอดชีวิต ลูบอย่างไรก็ไม่เรียบ ได้แต่แอบเดินอ้อมผ่านไป ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี”
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “กลัวที่สุดก็คือข้ารู้สึกว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย รู้สึกว่ามโนธรมในใจสงบได้แล้ว รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว แล้วก็รู้สึกแบบนั้นแบบนี้ต่อไปอีก”
ชุยตงซานหันหน้ามา อาจารย์ไม่พูดอะไรอีกแล้ว เพียงหลับตาลงราวกับว่า หลับไปแล้ว
ชุยตงซานจึงปิดปากเงียบ ความคิดล่องลอยไปไกล
มีเพียงเสียงน้ำไหลริกๆ ดุจคำว่าฉาน (瀺) ขุนเขาสูงชันอันตรายแต่ไร้คำพูด ดุจอธิบายคำว่าฉาน (巉)
จิตใจของชุยตงซานสงบลงได้บ้างแล้ว เขาจึงค่อยๆ ม่อยหลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “เห็นเป่าผิงน้อยกับเผยเฉียนเติบโตแล้ว อาจารย์ท่านเสียใจแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นฉีจิ้งชุนเห็นอาจารย์เติบใหญ่แล้ว ก็คงจะปลาบปลื้มใจมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร คล้ายกำลังหลับสนิท
ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไรอีก เขาเงียบไปนาน แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวเอ่ยเรียกหา “อาจารย์”
เฉินผิงอันตอบเสียงเบา “ข้าอยู่นี่”