Skip to content

Sword of Coming 569

บทที่ 569 ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว

ชุยตงซานนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็กด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว ยื่นมือสองข้างออกมา ข้างหนึ่งอ้อมข้ามศีรษะ อีกมือหนึ่งวางไว้ตรงหัวเข่า “ฉีจิ้งชุนใช้สิ่งนี้มาปกป้องมรรคา แล้วอย่างไร? ตอนนี้อาจารย์ก็ยังอยู่ในจุดต่ำ ระหว่างความต่ำสูงนี้มีเรื่องไม่คาดฝันห้อมล้อมมากมาย ตู้เม่าก็คือตัวอย่างหนึ่งในนั้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหมือนชุยตงซานจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ จึงเบ้ปากพูดว่า “เอาเถอะ ไม่นับตู้เม่า ฉีจิ้งชุนก็ยังถือว่าพอจะมีกลยุทธในการรับมืออยู่บ้าง แต่หากขยับลงไปอีกหน่อย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่ต่ำกว่าขอบเขตบินทะยานอย่างขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหริน หรือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด หากอาจารย์ต้อง เข่นฆ่ากับพวกเขา จะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา ยิ้มกล่าวว่า “นี่มันคำพูดไร้แก่นสารอะไรกัน บนเส้นทางของการเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกตนใต้หล้านี้ต่างก็ต้องรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันและหมื่นหนึ่งอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? หลักการเหตุผลที่สุดโต่งไม่ถือว่าเป็นหลักการเหตุผล ข้อนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ? นิสัยแย่ๆ ที่แพ้แล้วพาลไม่ยอมแพ้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนได้แล้ว”

ชุยตงซานกล่าว “ในใจยอมรับว่าแพ้ แต่ปากไม่ยอมรับ แค่นี้ก็ไม่ได้หรือ?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยต่อคำ

ชุยตงซานเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนมา เอ่ยว่า “รู้เร็วขนาดนี้ ไม่ดี”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้”

ชุยตงซานยกสองมือเกาหัว พูดอย่างอัดอั้นว่า “นับแต่โบราณมาคนคำนวณ ล้วนไม่สู้ฟ้าลิขิต คำพูดประโยคนี้สามารถข่มขู่ให้คนบนยอดเขาตกใจกลัวได้มากที่สุด ใช้ความไม่ตั้งใจเล่นงานคนตั้งใจ นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาสชนะ อาจารย์ไม่รู้หรือว่า ในอดีตที่ท่านสามารถเอาชนะลู่เฉินมาได้ ถือเป็นความโชคดีที่บังเอิญมากแค่ไหน? ตอนนี้หากลู่เฉินคิดจะเล่นงานอาจารย์อีกครั้ง แค่แบ่งสมาธิมาหน่อย ยอมทำตัวหน้าไม่อาย วางแผนที่รอบคอบรัดกุมเล่นงานอาจารย์ อาจารย์ก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ชุยตงซานหยุดมือที่เกาหัวยิกๆ ของตัวเอง เพิ่มน้ำหนักเสียงพูดว่า “แพ้อย่าง ไม่ต้องสงสัย!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็คงใช่กระมัง”

ชุยตงซานถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน

ทุกครั้งที่เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ก็ล้วนถือเป็นการสร้างศัตรูให้ตัวเองทั้งสิ้น

จะเรียกว่าทำตัวเป็นศัตรูกับโลกก็ยังได้

ต้นหญ้าบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ กลับกลายเป็นว่าต้านรับแรงลมไม่หักโค่นงอ ได้มากกว่าต้นไม้สูง

เฉินผิงอันกลับมานั่งลงบนม้านั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ คนเราจะเอาแต่หาเรื่องมาขู่ให้ตัวเองตกใจกลัวไม่ได้ ตลอดหลายปีในตรอกหนีผิง ข้าก็ยังเดินผ่านมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ยิ่งเดินแล้วยิ่งขี้ขลาด วิชาหมัดไม่อาจฝึก อย่างเสียเปล่า คนเราก็ไม่ควรมีชีวิตอย่างเสียเปล่าเช่นกัน”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อาจารย์คิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เดินก้าวหนึ่งก็คิดกันไปก้าวหนึ่ง แล้วก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก เจ้ายอมให้ข้าสิบสองเม็ดก็ยังกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงไปอีกสิบปีให้หลัง? แล้วหากข้ามีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีเล่า?”

ชุยตงซานพูดเสียงแผ่ว “หากกระดานหมากยังมีสิบเก้าช่อง ศิษย์ไม่กล้าพูดว่า อีกหลายสิบปีให้หลังจะยังสามารถยอมให้อาจารย์สิบสองเม็ด แต่หากกระดานหมากใหญ่ขึ้นอีกนิด…”

สายตาของเฉินผิงอันจ้องมองไปเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หุบปาก!”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ยามที่อาจารย์ไร้เหตุผลนั้นมีมาดองอาจเป็นที่สุด!”

เขาที่เป็นลูกศิษย์จะคอยตั้งตารอดู

คอยดูด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันบอกว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้สนใจชุยตงซานอีก

ชุยตงซานจึงนั่งต่ออยู่ในบ้านบรรพบุรุษหลังนี้ จ้องมองวงกลมเล็กใหญ่สองวงบนพื้น ไม่ได้พยายามใคร่ครวญหาความหมายที่ลึกซึ้งของพวกมัน แต่เป็นเพราะความเบื่อล้วนๆ

หากพูดถึงแค่ความรู้นับพันนับหมื่นบนโลก ความรู้ที่สามารถทำให้ชุยตงซานครุ่นคิดถึงจุดที่เล็กละเอียดยิบย่อยของพวกมันได้ มีอยู่ไม่เยอะ

เฉินผิงอันไปที่หลุมฝังศพของพ่อแม่ เขาเผากระดาษจำนวนมาก กระดานส่วนหนึ่ง ในนั้นก็คือกระดาษที่ซื้อมาจากถ้ำสวรรค์วังมังกร จากนั้นก็นั่งลงเติมดิน

ชุยตงซานเขย่งปลายเท้าพาดตัวไปบนหัวกำแพง มองไปยังด้านในของเรือนที่อยู่ติดกัน ลมและน้ำของตรอกเส้นนี้ช่างดีจริงๆ

ซ่งจี๋ซินกลายเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี ส่วนจื้อกุยผู้นั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าล้วนเป็นบ้านของนาง ตระกูลฝูก็คือบ่าวไพร่ที่เฝ้าบ้านให้นาง

ชุยตงซานปีนขึ้นไปบนหัวกำแพง กระโดดอยู่สองที เศษฝุ่นก็ร่วงลงมาระนาว

เฉาซีเซียนกระบี่ได้ออกจากอุตรกุรุทวีปกลับไปยังทักษิณาตยทวีปแล้ว เพราะถึงอย่างไรหอพิทักษ์เมืองแห่งนั้นก็จำเป็นต้องมีคนคอยควบคุมสถานการณ์ จึงทิ้งเฉาจวิ้นที่พบเจออุปสรรคเล็กๆ บนเส้นทางการฝึกตนผู้นั้นให้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองทัพต้าหลีเอาเอง

เกี่ยวกับเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงาน อันที่จริงไม่ใช่ว่าอาจารย์จะไม่มีคำตอบให้

ก็แค่เขาชุยตงซานแสร้งพูดให้เรื่องราวฟังดูซับซ้อน นี่ก็เพื่อหวังยืนยันเรื่องหนึ่ง ให้แน่ใจว่าตอนนี้อาจารย์โน้มเอียงเข้าหาความรู้ประเภทไหนกันแน่

ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ต่างจากการยกหินทุ่มเท้าตัวเอง ตอนนี้ชุยตงซานจึงรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่มาก

ชุยตงซานยื่นมือสองข้างออกมา กางนิ้วทั้งสิบ สะบัดข้อมือ

หากไม่มีเรื่องนี้ อันที่จริงชุยตงซานยังอยากจะคุย ‘เรื่องเล็ก’ อีกเรื่องหนึ่งกับอาจารย์ ความรู้ที่จำเป็นต้องใช้เส้นใยเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอขึ้นมา

แน่นอนว่าชุยตงซานย่อมไม่มีทางถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดของตัวเองไปให้กับผู้อื่น แต่จะเลือกแค่บาง ‘ช่วงตอน’ ที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนเท่านั้น

การสร้างคนกระเบื้อง

เศษกระเบื้องแตกพังหนึ่งกองจะเอามาประกอบกันเป็นคนที่แท้จริงคนหนึ่ง ได้อย่างไร สามจิตหกวิญญาณ เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ได้อย่างไร

รากฐานของความรู้นี้กำลังถักทออยู่

ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าการกระทำนี้ต้องใช้ต้นทุนสูงเกินไป ความรู้ลึกล้ำเกินไป ธรณีประตูสูงเกินไป แม้แต่ชุยตงซานเองก็ยังหาวิธีที่จะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปไม่ได้

หากทำสำเร็จ ความกังวลซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาล การยกทัพบุกเข้ามารุกรานของเผ่าปีศาจ รวมถึงศัตรูคู่แค้นที่ใต้หล้ามืดสลัวจำเป็นต้องสร้างป๋ายอวี้จิงขึ้นมาต้านทาน ล้วนยากที่จะหนีพ้นจุดจบของการดับสูญอย่างสิ้นเชิงไปได้

หากว่ากันตามความหมายบางประการ การปรากฏตัวของมนุษย์ ก็คือ ‘คนกระเบื้อง’ ในช่วงแรกเริ่มสุดนั่นเอง ก็แค่วัสดุต่างกันเท่านั้น

และชุยตงซานเองก็หวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง ในช่วงเวลาที่งานใหญ่ของเขากำลังจะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำให้ตนเชื่อและศรัทธาได้อย่างสุดจิตสุดใจ จะสามารถบอกกับเขาได้ว่าการเลือกของเขาผิดหรือถูกกันแน่ ไม่เพียงเท่านี้ ยังต้องอธิบายอย่างชัดเจนว่าถูกที่ตรงไหน หรือผิดที่ตรงใด จากนั้นเขาชุยตงซานก็จะสามารถทุ่มเททำงานได้อย่างเต็มที่ แม้จะตายก็ไม่เสียดายอีกแล้ว

ไม่เหมือนกับซิ่วไฉเฒ่าที่ในปีนั้นบอกเพียงแค่ผลลัพธ์ ไม่บอกว่าเพราะอะไร

……

เรือข้ามฟากของกองทัพต้าหลีลำหนึ่งจอดลงที่ท่าเรือของภูเขาหนิวเจี่ยวช้าๆ ที่เดินทางมาพร้อมกันนั้นก็คือเรือมังกรลำมโหฬารที่ถูกเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือและจิ้นชิงองค์เทพขุนเขากลาง สองซานจวินใหญ่ทยอยกันร่ายเวทอำพรางตา

หลิวจ้งรุ่น หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนสามคนเดินลงจากเรือมังกร

แม่ทัพบู๊หลิวสวินเหม่ยและผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้นไม่ได้ลงจากเรือ ปกป้องคุ้มกันเรือมังกรมาส่งถึงที่นี่ก็ถือว่างานใหญ่สำเร็จลุล่วงแล้ว หลิวสวินเหม่ยยังต้องไปรายงานผลกับเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราด้วย

หลิวสวินเหม่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “คนหนุ่มสวมชุดเขียวผู้นั้นก็คือเฉินผิงอัน เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว? มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงเหมือนกับบรรพบุรุษ ของเจ้า?”

เฉาจวิ้นที่นั่งอยู่บนราวระเบียงพยักหน้ารับ “เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่น่าสนใจมาก ในสายตาของข้า เขาน่าสนใจยิ่งกว่าหม่าขู่เสวียนเสียอีก”

หลิวสวินเหม่ยยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันยังเป็นสหายของกวนอี้หรานเพื่อนสนิทข้าด้วย เมื่อปลายปีก่อนพูดคุยถึงเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วคนนี้ที่ถนนฉือเอ๋อร์ กวนอี้หราน เป็นคนนิสัยสุขุม พูดน้อยมาตั้งแต่เด็ก แต่ข้ามองออกว่ากวนอี้หรานให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มาก”

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉาจวิ้นได้ยินเรื่องนี้ แต่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย

หลิวสวินเหม่ยเอ่ยระลึกความทรงจำว่า “ฟู่อวี้ที่มีชาติกำเนิดจากตรอกอี้ฉือผู้นั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไปเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่เขตการปกครองเป่าซี ก็ถือว่าได้ดิบได้ดีแล้วเหมือนกัน แต่ข้ากับฟู่อวี้ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แค่จำได้ว่าตอนเด็กๆ ฟู่อวี้มักจะชอบมาเดินตามก้นพวกเราต้อยๆ ทุกวัน ตอนนั้นคนวัยเดียวกันของถนนฉือเอ๋อร์ อย่างพวกเราไม่ค่อยชอบเล่นกับเด็กของตรอกอี้ฉือสักเท่าไร เด็กสองกลุ่มเข้ากัน ไม่ค่อยได้นัก แถมทุกปีทั้งสองฝ่ายจะต้องนัดต่อสู้กัน เล่นปาหิมะใส่กันแรงๆ อยู่หลายครั้ง พวกเราแพ้น้อยชนะมาก ฟู่อวี้ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนสักหน่อย เพราะไม่รู้จะไปอยู่กับฝ่ายไหนดี ทุกครั้งที่หิมะตก เขาก็จะไม่ออกจากบ้านเสียเลย เกี่ยวกับใต้เท้าเจ้าเมืองที่ข้ามีความทรงจำอันพร่าเลือนต่อเขาผู้นี้ ข้าก็จดจำได้ เพียงเท่านี้

แต่อันที่จริงทั้งตรอกอี้ฉือและตรอกฉือเอ๋อร์ต่างก็มีภูเขาน้อยใหญ่เป็นของตัวเอง ครึกครื้นมากนักล่ะ แต่พอโตขึ้นกลับไม่รู้สึกสนุกอีกต่อไป บางครั้งที่เจอหน้ากัน เห็นใครก็แค่ยิ้มให้”

เฉาจวิ้นยิ้มกล่าว “ผ่านไปอีกสักร้อยสองร้อยปี ยามที่นึกถึงแม่ทัพหลิวอีกครั้ง คาดว่าข้าก็คงรู้สึกแบบเดียวกันนี้”

หลิวสวินเหม่ยกล่าวอย่างระอาใจ “เป็นคนไม่รู้จักพูดคุยจริงๆ เสียด้วย”

เฉาจวิ้นเอ่ย “หากข้าคุยเก่ง ป่านนี้ก็ได้เลื่อนขั้นรวยไปนานแล้ว”

หลิวสวินเหม่ยกล่าว “หากไม่มีคุณความชอบทางการทหารที่เป็นรูปธรรม คนคุยไม่เก่งอย่างเจ้า ข้ายังจะอยากคุยด้วยอีกหรือ?”

เฉาจวิ้นหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าคุยเก่งนักหรือไง?”

หลิวสวินเหม่ยฟุบตัวลงบนราวระเบียง “ไม่ว่าข้าจะตายในสนามรบ หรือแก่ตายอยู่บนเตียง วันหน้าหากเจ้าเดินทางผ่านแจกันสมบัติทวีปมา จำไว้ว่าต้องมาเยี่ยมข้าที่หลุมฝังศพด้วย”

เฉาจวิ้นมองไปยังทิศไกล “ใครบอกว่าผู้ฝึกตนจะต้องมีชีวิตยืนยาวเสมอไป? ระหว่างเจ้ากับข้า ใครจะดื่มเหล้าหน้าหลุมศพของใคร ก็ยังไม่แน่”

หลิวสวินเหม่ยยิ้มเฝื่อน “ช่วยพูดเรื่องที่มันชวนเบิกบานสักหน่อยได้ไหม?”

เฉาจวิ้นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ขออวยพรให้แม่ทัพหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นทูตรผู้ตรวจตราในเร็ววัน?”

หลิวสวินเหม่ยพยักหน้ารับ “อันนี้ดี!”

หลิวสวินเหม่ยยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขออวยพรให้เซียนกระบี่เฉาเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนในเร็ววัน?”

เฉาจวิ้นใช้สองมือขยี้ซีกแก้มตัวเองอย่างแรง “อันนี้ยาก”

เฉินผิงอันเพียงแค่พาเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่มา ‘รับเสด็จ’ ที่นี่เท่านั้น สำหรับ เฉาจวิ้นที่สวมชุดคลุมสีดำ ตรงเอวพกกระบี่สั้นยาวซึ่งสะดุดตาผู้นั้น เขามองเห็น อย่างชัดเจน ก็แค่แสร้งทำเป็นไม่เห็นเท่านั้น

เว่ยเซี่ยนผงกศีรษะทักทายเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยิ้มตอบรับ

มีเพียงได้พบเผยเฉียนเท่านั้น เว่ยเซี่ยนถึงจะมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก

เจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้ตัวสูงเร็วจริงๆ

เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเว่ยเซี่ยน แล้วเดินอาดๆ วนรอบกายเว่ยเซี่ยนเป็นวงใหญ่ “โอ้โห ดำเป็นถ่านยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”

เว่ยเซี่ยนตีหน้าเคร่ง “บังอาจ”

เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “ทำไม! จะวางมาดใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม? หลอกผีน่ะสิ เจ้าที่บ้านเจ้ามีไม้คานสีทองกะผายลมน่ะสิ”

เว่ยเซี่ยนเอ่ย “ตอนนี้ข้าเป็นอู่ซวนหลางของต้าหลี แล้วยังเป็นขุนนางใหญ่อีกด้วย”

เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนมีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมในชนบท แต่มามีชื่อเสียงได้ดิบได้ดีในกองทัพบนสนามรบ

เผยเฉียนยกนิ้วโป้งชี้ไปยังโจวหมี่ลี่ที่แบกไม้เท้าเดินป่าสองอันยืนอยู่ด้านข้าง “ใหญ่แค่ไหน? ใหญ่เท่านางไหม?”

เว่ยเซี่ยนไม่รู้ว่าเผยเฉียนอมพะนำเรื่องอะไรอยู่ “มีเรื่องเล่ารึ?”

เผยเฉียนตะโกนเรียก “โจวหมี่ลี่!”

แม่นางน้อยชุดดำกระทืบเท้า ยืดอกตั้ง “อยู่นี่!”

เผยเฉียนแค่นเสียงเย็นในลำคอ “บอกมา เจ้าชื่ออะไร!”

โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วแน่น เขย่งปลายเท้ากระซิบเสียงเบาอยู่ข้างหูเผยเฉียน “เมื่อครู่นี้ เจ้าเรียกชื่อของข้าไปแล้ว ข้าควรจะเรียกตัวเองว่าภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้หรือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วดีล่ะ?”

เผยเฉียนถอนหายใจ เจ้าฟักน้อยนี่อย่างอื่นล้วนดีหมด เพียงแค่โง่ไปหน่อยเท่านั้น

เว่ยเซี่ยนยิ้มพลางยื่นมือออกมาหมายจะลูบหัวของแม่นางน้อยถ่านดำ คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะก้มหัวค้อมตัวขยับหนึ่งก้าวหลบพ้นมาได้อย่างง่ายๆ เผยเฉียนจุ๊ปากพูด “เหล่าเว่ยเอ๋ย เจ้าแก่แล้วนะ หนวดเคราเต็มหน้าแบบนี้จะหาเมียได้อย่างไร ยังเป็นโสดอยู่สินะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียใจไป ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราในทุกวันนี้ อย่างอื่นมีไม่มาก แต่คนที่หาเมียไม่ได้อย่างเจ้านี่แหละที่มีมากที่สุด เว่ยป้อที่เป็น เพื่อนบ้านเอย พ่อครัวเฒ่าจูเอย เจิ้งต้าเฟิงที่ตีนเขาเอย เสี่ยวป๋ายที่ต้องพลัดที่นาคา ที่อยู่เอย เหล่าซ่งบนยอดเขาเอย หยวนไหลเอย แต่ละคนน่าสงสารนัก”

เว่ยเซี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็ยังไม่มีอาจารย์แม่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก หัวเราะเฮอะๆๆ ติดกันสามที

โจวหมี่ลี่ก็เฮอะๆๆ ตามไปด้วย

เฉินผิงอันที่เพิ่งทักทายหลูป๋ายเซี่ยงและหลิวจ้งรุ่นเสร็จหันมาเขกมะเหงกใส่ สองศีรษะน้อยๆ ไปคนละที

เผยเฉียนเคยชินเสียแล้ว แต่โจวหมี่ลี่ที่เคยยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่เขกมะเหงกให้เฉินผิงอันกินจนอิ่มกลับเตรียมจะอ้าปากกัดเฉินผิงอัน ผลกลับถูกเฉินผิงอันกดหัวเอาไว้ แล้วโจวหมี่ลี่เตรียมจะแสดงอำนาจบารมีก็ได้ยินเผยเฉียนกระแอมหนักๆ หนึ่งที นางพลันหยุดนิ่งไม่ขยับทันที

หลิวจ้งรุ่นมียันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างอยู่แผ่นหนึ่ง จึงทะยานลมจากไปโดยตรง

ตำหนักวารีสมบัติหนักที่ถูกเซียนหลอมกลางมาแล้ว ตอนนี้ยังถูกซ่อนไว้บนเรือมังกร วันหน้าหลูป๋ายเซี่ยงจะขอให้ซานจวินเว่ยป้อร่ายวิชาอภินิหารส่งตรงไปที่ ภูเขาหลังอ๋าว ไม่อย่างนั้นตำหนักวารีที่ใหญ่เหมือนรถม้าคันหนึ่ง อีกทั้งนางเองก็ไม่มีวัตถุจื่อชื่อในตำนานติดกาย ไม่ใช่ว่าไม่สามารถร่ายวิชาน้ำเคลื่อนย้ายตำหนักวารีได้ แต่จะสะดุดตาเกินไป ท่าเรือมีคนมากมายสายตาก็มากตามไปด้วย หลิวจ้งรุ่น ทำอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน นางไม่อยากให้มีปัญหาแทรกซ้อนจริงๆ

ส่วนเรือมังกรที่มีชื่อว่า ‘ฟานโม่’ (หมึกที่หกพลิกคว่ำหรือเมฆดำที่ทับซ้อนกันหนาชั้น) ลำนั้น แน่นอนว่าต้องกลายเป็นทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาหนิวเจี่ยวทั้งลูกมีเฉินผิงอันและเว่ยป้อเป็นผู้ร่วมครอบครอง การมาจอดที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว

หลูป๋ายเซี่ยงนำทางพาเฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนวัตถุใหญ่มโหฬารอย่างเรือมังกร เรือลำนี้สูงสามชั้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ขนาดของมันใหญ่อย่างถึงที่สุด มีขนาดใหญ่ถึงครึ่งหนึ่งของเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมา สามารถบรรจุคนได้พันกว่าคน แต่หากบรรทุกสิ่งของสินค้าเต็มลำเรือกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ภูเขาลั่วพั่วได้เรือข้ามฟาก บรรพกาลที่มีขนาดใหญ่และทนทานผิดปกติเช่นนี้มา เรื่องที่สามารถทำได้จึงมีมากขึ้น เฉินผิงอันอดไม่ได้กระทืบเท้าเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ปกปิดไม่มิด

เมื่อครู่นี้พอเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ได้ยินว่านับตั้งแต่วันนี้ไป เรือข้ามฟากตระกูลเซียน ลำใหญ่ขนาดนี้ก็คือของในบ้านของภูเขาลั่วพั่ว ต่างก็พากันเบิกตากว้าง เผยเฉียน หยิกแก้มของโจวหมี่ลี่แล้วบิดแรงๆ หนึ่งที แม่นางน้อยร้องโอ้ยด้วยความเจ็บ เผยเฉียนจึงอืมหนึ่งที ดูท่าจะไม่ได้ฝันไปจริงๆ โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง บอกว่าไม่ใช่ๆ เผยเฉียนจึงตบหัวโจวหมี่ลี่ พูดว่าหมี่ลี่เอ๋ย เจ้าเป็นดาวนำโชคตัวน้อยจริงๆ ข้าหยิกเจ้าเจ็บหรือไม่? โจวหมี่ลี่ยิ้มกว้าง บอกว่าเจ็บอะไรกัน เผยเฉียนเอามือ อุดปากนาง กำชับเสียงเบาว่า เหตุใดถึงได้ลืมอีกแล้ว ออกมาอยู่ข้างนอก ห้ามให้ คนอื่นรู้ว่าตนเป็นภูตน้ำใหญ่ตนหนึ่งง่ายๆ มันน่าตกใจเกินไป สรปุก็คือจะกลายเป็นพวกเราที่ไม่มีเหตุผล ทำเอาแม่นางน้อยชุดดำที่ฟังแล้วทั้งกลัดกลุ้มทั้งชอบใจ

ไล่เดินไปทีละชั้นของเรือ บางครั้งก็ผลักประตูห้องที่แม้จะจมอยู่ในน้ำหลายร้อยปีก็ยังมีกลิ่นหอมของไม้โชยมาออกเป็นระยะ เนื่องจากเครื่องประดับในตัวเรือ ถูกเคลื่อนย้ายออกไปนานแล้ว และถูกแทนที่มาด้วยของจำเป็นที่ใช้ในการทำสงครามของแคว้น จึงเป็นเหตุให้ห้องน้อยใหญ่ในตอนนี้มีสภาพการณ์ที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเดินไปถึงชั้นบนสุดของหอเรือน ยืนอยู่ในห้องที่ใหญ่ที่สุด หากไม่ผิดไปจากที่คาด นี่ก็คือห้องอักษรตัวเทียนของ เรือข้ามฟาก ‘ฟานโม่’ ลำนี้ในวันหน้าแล้ว เฉินผิงอันพลันดึงสีหน้าทุกอย่างกลับคืน เดินไปยังหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง

เรื่องที่เรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงในราชวงศ์จูอิ๋งเป็นดั่งการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง

ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากล้วนเป็นเม็ดหมาก เพียงแต่ว่าบางคนก็รอดชีวิต บางคนก็ตายไปแล้ว ส่วนเจี้ยนเวิงเซียนเซิงที่ลงมือโจมตีให้เรือข้ามฟากร่วงลงมา สรุปแล้วว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ เป็นบุญคุณความแค้นแบบใดถึงทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญเลย

เฉินผิงอันกำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง ตอนนี้ตบะของตนต่ำ กำลังทรัพย์บางเบา หากพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกก็คือการเอาไข่ไปกระทบหิน ดังนั้นจึงสามารถอดทนไว้ก่อนชั่วขณะได้

แต่หากตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาของสำนักอักษรจง และตนก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิด หรืออาจเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว ก็คงสามารถพูดเพื่อระบายความอัดอั้นในใจของตัวเอง เพื่อสภาพการณ์ที่ชุนสุ่ยชิวสือต้องพบเจอ สามารถพูดได้ แต่กลับจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นตนกับ ราชสำนักต้าหลีจะต้องแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง ต้องผูกปมแค้นกับเทียนจวินเซี่ยสือ คนสี่คนในภาพวาดพากันรบตาย ลมและฝนของภูเขาลั่วพั่วสั่นคลอน ทุกคนที่อยู่ บนภูเขาต่างก็กลายเป็นหนูที่วิ่งข้ามถนนของแจกันสมบัติทวีป เฉินหลิงจวินไป อุตรกุรุทวีปก็คือการไปตาย เฉินหรูชูไม่อาจไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนได้อีก นักรบเดนตายต้าหลีที่อยู่ในร้านตรอกฉีหลงเปลี่ยนจากผู้ที่ให้การพิทักษ์อย่างลับๆ เป็นผู้ที่มาลอบฆ่า ความเป็นความตายของคนบนภูเขาลั่วพั่วไม่แน่นอน อยู่ๆ นึกจะตายก็ตาย และหากภูเขาลั่วพั่วต้องเสียใครไปอีก ถึงเวลานั้นความถูกและความผิด จะตกเป็นของใคร?

เขาเฉินผิงอันควรจะเลือกอย่างไร?

หากตอนนี้เฉินผิงอันเป็นเซียนกระบี่สมชื่อแล้ว ก็สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากไปได้มาก

หนึ่งไหล่แบก หนึ่งกระบี่หาม

แต่กลายเป็นเซียนกระบี่นั้นยากแค่ไหน อยู่ห่างไกลจนแทบมองไม่เห็น ความหวังเลือนรางเต็มที

นอกเหนือจากความเป็นความตาย ก็ยังมีหายนะและความลำบากมากมายรายล้อม

เฉินผิงอันเองก็เลียนแบบเป่าผิงน้อย เผยเฉียนและหลี่ไหว ที่พอได้อ่านนิยายในยุทธภพทั้งหลายก็รู้สึกชื่นชอบเลื่อมใสพวกจอมยุทธพเนจร พวกวีรบุรุษที่มีมาดองอาจบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ มีความเด็ดเดี่ยวแกร่งกล้า มองความเป็น ความตายเป็นเรื่องนอกตัว ยอมสละชีพเพื่อคุณธรรมได้อย่างไม่ลังเล

วิถีทางโลกนี้ไม่เพียงแต่ต้องการเรื่องราวในหนังสือที่เป็นเช่นนี้ นอกตำราก็ยังต้องการคนมากมายที่เป็นเช่นเดียวกัน เรื่องที่ทำอาจมีความต่างด้านความเล็กใหญ่ แต่ก็ต้องแบ่งแยกความดีเลวอย่างชัดเจน

เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเผยเฉียนที่เลือกบทเร้าใจที่จอมยุทธใหญ่ ชำระแค้นอย่างสาแก่ใจมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งผู้อาวุโสในยุทธภพที่มีวรยุทธ เลิศล้ำได้เจอกับสหายที่น่าสนใจ แล้วร่วมกันผดุงคุณธรรมสังหารปีศาจใหญ่ทั้งหลาย…และนางยังชอบกระโดดข้ามบทที่เป็นการขัดเกลาวิชาอย่างยากลำบากแล้ว เฉินผิงอันกลับจะหยุดอ่านในช่วงเริ่มต้นเสมอ เพราะคนที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้ครอบครองโชควาสนาและโอกาสมากมายนั้น ส่วนใหญ่แรกเริ่มจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย แบกหนี้แค้นลึกล้ำดั่งมหาสมุทรเลือดเอาไว้ จากนั้นในนิยาย อยู่ดีๆ พวกเขาก็เติบใหญ่ขึ้นมา

เฉินผิงอันรู้สึกไม่ชินสักเท่าไร

บางทีเรื่องราวในยุทธภพที่ตื่นตาตื่นใจเหล่านั้นอาจจะดึงดูดคนได้มากก็จริง ทำเอาเผยเฉียนและหลี่ไหวที่อ่านหน้าชื่นตาบาน แต่เฉินผิงอันกลับยากที่จะมีความรู้สึกร่วมด้วย

คงเป็นเพราะชีวิตคนที่แท้จริงไม่ใช่ตัวอักษรดำบนกระดาษขาวที่เขียนบอกไว้อย่างชัดเจนพวกนั้น

เผยเฉียนที่อยู่ในห้องเอ่ยถาม “อาจารย์ เป็นอะไรไป?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่คิดถึงเรื่องบางอย่างในอดีต”

หลูป๋ายเซี่ยงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า ยินดีด้วย”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าเองก็รีบหน่อยล่ะ”

หลูป๋ายเซี่ยงมีสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย “กำลังลังเลว่าควรจะหาโอกาสต่อสู้กับ จูเหลี่ยนสักครั้งดีหรือไม่”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าคิดว่าทำได้ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดง”

หลูป๋ายเซี่ยงหันมามองเฉินผิงอัน “ตอนอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ถูกซ้อมมาไม่น้อยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสองคนทยอยกันช่วยป้อนหมัด ทำเอาข้าอยู่ไม่สู้ตาย อิจฉาหรือไม่?”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ “พูดอย่างนี้ ข้าก็อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย”

เฉินผิงอันกล่าว “อย่าลืมล่ะว่า ดาบแคบหยุดหิมะเล่มนี้แค่ให้เจ้ายืมเท่านั้น”

หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยหยอกเย้า “ข้าก็ไม่ได้ช่วยภูเขาลั่วพั่วหาต้นกล้าดีๆ มาสองต้นหรอกหรือ? ยังไม่พอกับดาบหนึ่งเล่มอีกหรือไร?”

เฉินผิงอันไม่ต่อคำ เพียงเอ่ยว่า “หยวนเป่าหยวนไหล เป็นชื่อที่ไม่เลว”

หลูป๋ายเซี่ยงถาม “เคยเจอแล้ว?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “พอข้าเห็นหน้าพวกเขาก็เอ่ยชมว่าชื่อพวกเขาเพราะทันที ผลกลับกลายเป็นว่าสายตาที่แม่นางน้อยคนนั้นมองข้า ระแวดระวังราวกับข้า เป็นขโมยเหมือนเฉินยวนจีตอนแรกๆ ไม่มีผิดเพี้ยน ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ออกท่อง ยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ ดันมีแค่ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วบ้านตัวเองเท่านั้น ที่ถูกคนเข้าใจผิด”

หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่!”

เผยเฉียนเดินวนเตร่ไปรอบกายเว่ยเซี่ยน สองนิ้วประกบกันคอยร่ายเวทกักตัวใส่เว่ยเซี่ยนอย่างต่อเนื่อง เว่ยเซี่ยนยืนเอนพิงกรอบประตู ไม่ได้สนใจนาง

เฉินผิงอันหันหน้ามามอง ถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่าในจดหมายบอกว่าเฉินยวนจี ฝึกหมัดแล้วสะดุดล้มเอง เรื่องเป็นมายังไงกันแน่?”

เผยเฉียนเหมือนโดนเวทกักร่าง ร่างกายแข็งทื่อหยุดอยู่กับที่ เหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผาก ได้แต่หันไปส่งสายตาให้โจวหมี่ลี่

จะโกหกอาจารย์ไม่ได้เด็ดขาด แต่จะให้บอกกับอาจารย์อย่างตรงไปตรงมาก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

ไม่เสียแรงที่โจวหมี่ลี่คือแม่ทัพใหญ่ผู้รู้ใจที่นางเสนอเลื่อนขั้นให้เองกับมือ จึงเข้าใจสัญญาณที่เผยเฉียนส่งมาให้ได้ทันที นางพูดเสียงดังว่า “กลางคืนค่ำมืด ขนาดนั้น แม้แต่ผีก็ยังมองไม่เห็น พี่หญิงเฉินไม่ทันระวังก็เลยสะดุดล้มน่ะสิ”

เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที

เผยเฉียนเอาสองมืออ้อมไปด้านหลัง ยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้โจวหมี่ลี่

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “มีเรือมังกรลำนี้ กับการทำการค้าร่วมกับ สำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ ภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งมีความมั่นใจแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ภูเขาลั่วพั่วยังมีพื้นที่เหลือให้ถอยกลับได้มากขึ้น”

หลูป๋ายเซี่ยงกล่าว “การประดับตกแต่งเรือมังกรสามารถทำให้เรียบง่ายหน่อย ถึงอย่างไรก็เอาตามความต้องการของเจ้า เรือมังกรบรรทุกสินค้าเป็นหลัก แต่พวกคนที่จะช่วยประคับประคองให้เรือข้ามฟากโคจรได้ตามปกติล่ะ จะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้จูเหลี่ยนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ให้เขาปวดหัวไปเถอะ หากไม่ได้จริงๆ ชุยตงซานมีเส้นสายกว้างขวาง ก็ให้เขาช่วยภูเขาลั่วพั่วจ่ายเงินจ้างคนขึ้นเรือข้ามฟากมาทำงานก็แล้วกัน”

ครั้งนี้หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้ซ้ำเติม เขาเอ่ยว่า “ข้าเองก็จะพยายามช่วยหาคนที่เหมาะสมมาให้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือยังต้องเลือกผู้ดูแลเรือที่มีน้ำหนักมากพอมา คนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะเกิดเรื่องวุ่นวาย”

เฉินผิงอันกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงข้าพอจะมีความคิดอยู่บ้าง แต่จะสำเร็จหรือไม่ ยังต้องรอให้สร้างศาลบรรพจารย์ก่อนถึงจะได้”

ที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วถูกเลือกไว้นานแล้ว มีเว่ยป้ออยู่ นี่คือ เรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก

หลังจากที่เฉินผิงอันส่งกระบี่บินจากภูเขามู่อีมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อก็เริ่มลงมือเตรียมการเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ต้องการขนาด ที่ใหญ่โตมโหฬาร อีกอย่างก็ไม่อาจทุ่มกำลังคนและทรัพยากรได้มากนัก และ การก่อสร้างในแถบภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนตลอด หลายปีมานี้ บวกกับการก่อสร้างเขตการปกครองแห่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สะสมประสบการณ์ได้มากมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเฉินผิงอันเสนอว่า ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วไม่จำเป็นต้องจัดวางค่ายกลอะไรเป็นพิเศษ หากเอ่ยตามคำพูดของเขาก็คือ หากภูเขาลั่วพั่วถูกคนทำลายค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำ แล้วขึ้นเขามารื้อถอนศาลบรรพจารย์ได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นศาลบรรพจารย์จะมีค่ายกลปกป้องหรือไม่ อันที่จริงก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “ถ่วงเวลาธุระหลายอย่างของเจ้าเลย”

หลูป๋ายเซี่ยงคลี่ยิ้ม “ถือเสียว่าแม้ลับมีดต้องใช้เวลา แต่ไม่ถ่วงรั้งการผ่าฟืนก็แล้วกัน สำนักแห่งนั้นของข้าเป็นแค่สำนักใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว หากสร้างสำเร็จย่อมดีที่สุด แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่ถึงขั้นทำให้ภูเขาลั่วพั่วเสียหายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก การกะความหนักเบาของเรื่องนี้ ข้าย่อมจัดการให้ดี แต่เรื่องไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน มีหลายๆ เรื่องที่วิธีการของข้าอาจไม่สะอาดมากนัก แต่ก็รับรองว่าจะไม่มาก เกินกว่าเหตุ”

เฉินผิงอันกล่าว “พยายามอย่าให้ข้าได้มีโอกาสนินทาก็แล้วกัน”

หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะ

……

ในฐานะเจ้าขุนเขา หลังจากที่เฉินผิงอันจุดธูปกราบไหว้ฟ้าดินสี่ทิศด้วยตัวเองแล้ว การก่อสร้างศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ศาลบรรพจารย์ตั้งอยู่บนยอดเขาจี้เซ่อที่เป็นรองจากยอดเขาหลักของภูเขาลั่วพั่ว เพราะว่าสถานการณ์ของยอดเขาหลักที่มีเรือนไม้ไผ่แห่งนี้ค่อนข้างจะน่า กระอักกระอ่วน บนยอดของยอดเขาจี๋หลิงแห่งนี้มีศาลเทพภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งตามระบบสืบทอดดั้งเดิมของราชสำนักต้าหลีอยู่แห่งหนึ่ง

อีกทั้งอันที่จริงเฉินผิงอันเองก็รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับยอดเขาจี้เซ่อแห่งนี้อยู่มาก

วันนี้ในเรือนพักของจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงกำลังเล่นหมากล้อมกับเว่ยป้อ ชุยตงซานนั่งดูอยู่ด้านข้าง

เฉินหลิงจวินคอยให้คำชี้แนะ บอกกับเจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อว่าควรจะวางเม็ดหมากอย่างไร

สองวันมานี้เอวของเฉินหลิงจวินแข็งเป็นพิเศษ เพราะตลอดหลายปีมานี้เขาคอยไปเดินเตร็ดเตร่อยู่แถบภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกบ่อยครั้ง จึงรู้จักผู้ฝึกตนที่มาบุกเบิก เปิดจวนอยู่ที่นี่ไม่น้อย คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มาจาก ภูเขาหวงหู เมื่อก่อนทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยสนิทกันมากนัก ถึงขั้นเกลียดขี้หน้ากันด้วยซ้ำ เพราะภูเขาหวงหูมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในมีงูเหลือมยักษ์อยู่หนึ่งตัว ซึ่งทั้ง เฉินหลิงจวินและงูดำตัวนั้นต่างก็น้ำลายสอกันอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าช่วงที่ฤดูร้อนกับ ฤดูใบไม้ร่วงผลัดเปลี่ยนกันของปีนี้ อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายมาแสดงความเป็นมิตรด้วย ไปๆ มาๆ จึงได้ดื่มเหล้าด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ไม่นานขอบเขตประตูมังกรผู้เฒ่าคนนั้นพลันเปิดปากบอกว่าคิดจะขายทอดภูเขาหวงหู พูดอยู่บนโต๊ะเหล้าว่าพี่น้องเฉินมีสหายกว้างขวาง มีคนรู้จักอยู่มาก เป็นแขกผู้มีเกียรติในงานเลี้ยงเทพท่องราตรีของซานจวินใหญ่เว่ย จะช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ตามหาคนซื้อที่เหมาะสมให้ได้หรือไม่

เฉินหลิงจวินดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ตบอกรับรอง แต่พอลงมาจากภูเขาหวงหู อารมณ์กลับหนักอึ้งเล็กน้อย กังวลว่านี่จะเป็นหลุมพรางสำหรับภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้น จึงไปหาเฉินผิงอันแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง จากนั้นชุยตงซานก็บอกว่าซื้อสิ ผลประโยชน์ยื่นมาถึงมือ ไม่ซื้อจะเสียเปล่า พวกเรามีภูเขาพีอวิ๋นที่สูงขนาดนั้นเป็นที่พึ่ง จะต้องกลัวอะไร เฉินผิงอันจึงให้เฉินหลิงจวินไปใคร่ครวญรายละเอียดเอาเอง เงินเทพเซียน เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ราคาเท่าไรล้วนสามารถพูดคุยได้ หากคุยกัน ไม่สบอารมณ์ก็ลากเอาเทพภูเขาใหญ่เว่ยไปคุยด้วย

ใจของเฉินหลิงจวินเต้นรัวเหมือนตีกลอง ไปดื่มเหล้าที่ภูเขาหวงหูด้วยความมึนงง เพราะถึงอย่างไรก็เคยชินกับการดื่มเหล้าพลางคุยธุระไปด้วยแล้ว สุดท้ายกลับถูกเขาหั่นราคาจนเหลือแค่เงินฝนธัญพืชสิบเหรียญ

ตอนนั้นเฉินหลิงจวินมึนงงเล็กน้อย นายท่านอย่างข้าแค่เรียกราคาไปอย่างนั้นเอง นี่ก็เพื่อจะได้หั่นราคาต่อรองกับเจ้ากลับไปกลับมา ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเหมือนคนโง่เง่าที่นั่งบื้อไม่ขยับ ปล่อยให้ตัวเองโดนแทงเต็มๆ ไปทั้งอย่างนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

เฉินหลิงจวินขึ้นเขาไปอย่างมึนงง ลงจากเขามาด้วยความสับสนยิ่งกว่า

และทางฝ่ายเฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาหวงหูจึงทำการแลกเปลี่ยนโฉนดที่ดินและเงินเทพเซียนกัน โดยผ่านการตรวจสอบและบันทึกคดีโดยกรมผู้ว่าจังหวัดหลงโจว กรมพิธีการต้าหลีและกรมการคลัง ดังนั้นการค้าครั้งนี้จึงเสร็จสิ้นลงด้วยความรวดเร็ว

เฉินผิงอันสอบถามชุยตงซานเป็นการส่วนตัว ชุยตงซานยิ้มเอ่ยว่าเจ้าตะพาบเฒ่ายอมแสดงความใจดีอย่างที่หาได้ยาก ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นกับดักอะไรทั้งนั้น ถือว่าเฉินหลิงจวินได้ช่วยภูเขาลั่วพั่วทำเรื่องเป็นการเป็นงานได้บ้างแล้ว หลังจากที่ ศาลบรรพจารย์ก่อตั้งสำเร็จ ในสมุดบันทึกคุณความชอบของทำเนียบศาลบรรพจารย์ก็สามารถจดบันทึกคุณูปการให้กับงูน้ำน้อยตัวนี้ได้

ดังนั้นเฉินหลิงจวินในเวลานี้จึงเดินเชิดจมูกชี้ฟ้า

บวกกับที่เผยเฉียน เฉินหรูชูและโจวหมี่ลี่เด็กหญิงสามคนนี้ที่ต่างก็มองเขาในมุมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผยเฉียนยังพาโจวหมี่ลี่มาเอ่ยประจบยกยอเขาอย่างไม่ขี้เหนียว หากไม่เป็นเพราะมีครั้งหนึ่งชุยตงซานกดศีรษะเฉินหลิงจวินแล้วพูดว่าหมู่นี้ นายท่านใหญ่เฉินเดินตัวลอยไปสักหน่อย เขาถึงได้เก็บอาการได้บ้าง ไม่อย่างนั้น เฉินหลิงจวินอาจจะตัวลอยไปยิ่งกว่านี้เสียอีก

หลายวันมานี้ เฉินผิงอันง่วนอยู่กับการนับทรัพย์สมบัติของตน ส่วนใหญ่ล้วนต้องเอาเข้าไปเก็บในคลังสมบัติของศาลบรรพจารย์ ซึ่งจำเป็นต้องบันทึกลงเอกสาร อย่างละเอียด บางส่วนก็เตรียมเอาไว้ใช้ในงานพิธีการเมื่อการก่อสร้างสำเร็จ เตรียมไว้เป็นของขวัญที่เจ้าขุนเขาต้องมอบให้คนอื่น

เรื่องการป้อนหมัดให้เผยเฉียน เฉินผิงอันทำแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่ทำอีก

ต่อให้ปากจะบอกว่าใช้ขอบเขตสี่ปะทะขอบเขตสี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับยังใช้ขอบเขตห้าคุมเชิงกับเผยเฉียน ผลกลับกลายเป็นว่ายังคงประเมินเรือนกายของ เผยเฉียนต่ำเกินไป จึงปล่อยให้หมัดของเผยเฉียนต่อยเข้าหน้าตัวเองได้ แม้ว่าด้วยขอบเขตร่างทองจะทำให้เขาไม่ถึงขั้นบาดเจ็บ ยิ่งไม่ถึงขั้นมีเลือดไหล แต่ศักดิ์ศรี คนเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอันกลับไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่รอให้เฉินผิงอันขยับขอบเขต ขึ้นสูง เตรียมจะใช้ขอบเขตหกป้อนหมัด คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะไม่ยอมประลองกับอาจารย์อีก

นางไหล่ลู่คอตก พูดด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงว่าตัวเองไม่เคารพอาจารย์คือความผิดร้ายแรงถึงตาย อาจารย์ฆ่านางให้ตายเถอะ นางจะไม่เอาคืนเด็ดขาด หากนางกล้าตอบโต้ นางก็จะขับไล่ตัวเองออกจากสำนัก

แล้วยังจะต้องสอนวิชาหมัดกับผายลมอะไรอีก

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กจึงเดินเปลือยเท้ามาที่ระเบียงของชั้นสอง ฟุบตัวลงบนราวระเบียง ชมทัศนียภาพไปด้วยกัน

ตรงหน้าประตูเรือนไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังสองอาจารย์และศิษย์ มีรองเท้าสองคู่ วางไว้อย่างเป็นระเบียบ

ทางฝั่งของลานบ้าน เว่ยป้อที่สองนิ้วคีบเม็ดหมากพลันวางเม็ดหมากกลับลงไป ในโถเก็บ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เล่นแล้วๆ เรือที่จูเหลี่ยนโดยสารมาเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นหวงถิงแล้ว”

ตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเล่นหมากล้อม โดยทั่วไปแล้วพวกเผยเฉียนจะพากันไปอยู่ไกลห่างจากเขา คนที่ถอดรองเท้าแคะขี้เล็บพลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย อย่าเข้าใกล้ จะดีกว่า

เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่ถือสาที่เว่ยป้อเล่นแง่ หมากหนึ่งตาต้องเสียแค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น เป็นแค่การเดิมพันเล็กน้อยให้พอสนุก

ชุยตงซานที่ยืนอยู่ด้านข้างกางแขนสองข้างออกตลอดเวลา ปล่อยให้เผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ห้อยตัวบนแขนคนละข้างแล้วโล้เล่นเป็นชิงช้า

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เว่ยซานจวินไปรับคนเถอะ ข้าจะเล่นต่อให้เอง พี่น้องต้าเฟิง ตกลงไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองสถานการณ์บนกระดานหมาก ความได้เปรียบของ เว่ยป้อผ่านพ้นไปแล้ว เพียงแต่ว่าชุยตงซานเอ่ยเช่นนี้ เจิ้งต้าเฟิงจึงไม่ได้รีบร้อนพูดว่าได้หรือไม่ได้ แต่มองกระดานอยู่หลายที ถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ของรางวัลคืออะไร?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ต้องการของรางวัลเป็นอะไรล่ะ? ข้าไม่ขาดเงินสักหน่อย”

เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปาก “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเล่นกันต่อ”

เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ถึงได้ปล่อยมือลงยืนบนพื้น

ชุยตงซานนั่งลงบนตำแหน่งของเว่ยป้อ คีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาแล้ววางลงเบาๆ

เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเว่ยป้อที่อยู่ด้านหลังชุยตงซาน ฝ่ายหลังยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขอดูอีกสักพัก จูเหลี่ยนที่อยู่บนเรือกำลังฝอยน้ำลายแตกฟอง ช่วยหลอกคนให้ ภูเขาลั่วพั่วอยู่ อย่าไปขัดเรื่องดีๆ ของเขาจะดีกว่า”

ชุยตงซานวางเม็ดหมากรัวเร็วราวกับบิน

เจิ้งต้าเฟิงไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะเอาชนะเขาได้ ขนาดนี้แล้วจะยังกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้อีกหรือ? เขาเองก็วางหมากไม่ช้าเหมือนกัน

ต่อให้เผชิญหน้ากับคนที่เล่นหมากล้อมจนออกมาเป็น ‘ตำราเมฆหลากสี’ เจิ้งต้าเฟิง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้

สุดท้ายแน่นอนว่าเจิ้งต้าเฟิงเลียนแบบเว่ยป้อด้วยการใส่เม็ดหมากกลับลงไปในโถ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่เล่นแล้วๆ ข้าไปรับพี่น้องจูกับเว่ยป้อดีกว่า ขนาดไม่เจอกัน วันเดียวยังรู้สึกยาวนานเหมือนสามใบไม้ร่วง นี่มันตั้งกี่วันมาแล้ว คิดถึงเขาชะมัดเลย”

ชุยตงซานไม่ถือสาแม้แต่น้อย เขาเรียกเฉินหรูชูที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างเงียบๆ มา “มา พวกเรามาเล่นกันต่อ ข้าช่วยพี่น้องต้าเฟิงวางหมากล้อม เจ้าเอาหมากสีขาวไป ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรให้ลุ้นเท่าไร”

เฉินหรูชูยิ้มพลางพยักหน้ารับ

นางชอบเล่นหมากล้อม

ไม่อย่างนั้นพอมีเวลาว่างก็คงไม่มานั่งดูพวกเว่ยป้อสามคนเล่นหมากล้อม อย่างตั้งใจหรอก

ชุยตงซานไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแค่สับเปลี่ยนตำแหน่งของโถเก็บเม็ดหมาก

ชุยตงซานและเฉินหรูชูเล่นหมากกระดานนั้นด้วยกันต่อ

เว่ยป้อกับเจิ้งต้าเฟิงเดินเคียงบ่ากันออกไปจากลานบ้าน

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “น่าอายเล็กน้อย”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ก็นิดหน่อย โชคดีที่พี่น้องจูไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นเล่นกับเขา คาดว่าก็ยังต้องแพ้อยู่ดี”

ไม่รอให้พวกเขาเดินจากไปไกล

เฉินหลิงจวินก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “เป็นไปได้อย่างไร นังหนูโง่นี่ทำไมถึงชนะได้ล่ะ?”

เฉินหรูชูพูดอย่างเขินอายว่า “เป็นอาจารย์ชุยที่จงใจแพ้ให้ข้า”

ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “จะเป็นไปได้อย่างไร”

เผยเฉียนยืนอยู่ด้านหลังเฉินหรูชู สองมือกดลงบนบ่าทั้งสองของอีกฝ่ายหนักๆ พูดเสียงหนักว่า “หน่วนซู่! นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในด้าน การเล่นหมากล้อมของภูเขาลั่วพั่วเราแล้ว! วันหน้าก่อนที่พ่อครัวเฒ่า เจิ้งต้าเฟิงและ เว่ยป้อจะเล่นหมากล้อม จะต้องค้อมคำนับเจ้าก่อนหนึ่งครั้งเพื่อแสดงความเคารพ!”

บนภูเขาลั่วพั่ว หลูป๋ายเซี่ยงก็มีเรือนพักเป็นของตัวเองเช่นกัน

ชื่อเรือน กรอบป้าย กลอนคู่ ฯลฯ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในเรือน ทางภูเขาลั่วพั่วต่างก็ปล่อยว่างไว้ รอให้เจ้าของเป็นคนตัดสินและจัดการเอาเอง

แรกเริ่มเฉินหรูชูรู้สึกว่าความคิดนี้ของจูเหลี่ยนมีกลิ่นอายของน้ำใจมนุษย์อย่างมาก นางจึงเห็นด้วยอย่างยิ่ง

แต่ตัวจูเหลี่ยนก็บอกเองแล้วว่า ภูเขาลั่วพั่วขาดเงินนี่นา ให้เจ้าพวกคนใจจืดใจดำพวกนี้ควักเงินจ่ายกันเองเถอะ

เว่ยเซี่ยนมานั่งเล่นอยู่ที่เรือนของหลูป๋ายเซี่ยง กำลังจิบเหล้าคำเล็กๆ บนโต๊ะวางกับแกล้มจานเล็กที่กินคู่กับเหล้าไว้ส่วนหนึ่ง ล้วนเป็นของที่ผู้ดูแลน้อยอย่างเฉินหรูชูเตรียมไว้ให้แต่เนิ่นๆ เจ้าของเรือนที่ต่างกันในแต่ละหลัง รสชาติการกินก็แตกต่างกัน จึงมีเหล้าและกับแกล้มที่ไม่เหมือนกัน

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของหลูป๋ายเซี่ยงอย่างคู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่านั่งอยู่ด้านข้าง

หยวนเป่ามีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเว่ยเซี่ยนที่เงียบขรึมพูดน้อย เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่มีต่อจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงแล้ว ถือว่าดีกว่ามาก

ทางฝั่งของประตูภูเขา

จูเหลี่ยนถูกเว่ยป้อกระชากจากเรือข้ามฟากมาที่ภูเขาลั่วพั่วโดยตรง ผู้เฒ่าหลังค่อม ที่สะพายห่อสัมภาระพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ต้องเดินทางไกลตากแดดตากลม อย่างเหนื่อยยาก กระดูกแก่ๆ นี้ของข้าก็ใกล้จะหลุดแยกออกจากกันเต็มทีแล้ว”

“อย่ามาร้องทุกข์โอดครวญกับพวกเรา ไม่มีประโยชน์สักนิด”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรข้าก็ถูกใครบางคนซ้อมจนขากะเผลกแล้ว เมื่อหลายวันก่อนต้องให้แม่นางเฉินคอยเฝ้าประตูภูเขาแทนอยู่ตลอด ส่วนเทพภูเขา เว่ยของพวกเรา จะดีจะชั่วก็เป็นขอบเขตหยกดิบ แต่กระนั้นก็ยังถูกด่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ้าแล้ว”

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองเว่ยป้อ แล้วก็มองเจิ้งต้าเฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “หากพวกเจ้าไม่พูดจาข่มขู่ ข้ายังพอจะเชื่ออยู่บ้าง แต่พอเปิดปากพูดแบบนี้ก็เผย พิรุธแล้ว บนภูเขาล่างภูเขา ไร้ทุกข์ไร้กังวล”

เว่ยป้อยื่นมือออกมา “ข้าชนะแล้ว หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

เจิ้งต้าเฟิงตีมือเว่ยป้อ “ก่อนหน้านี้ตอนเล่นหมากล้อมเจ้าแพ้ พวกเราเสมอกันแล้วไง”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย แค่แกล้งหลอกถามก็รู้แล้ว”

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “อย่าไปเชื่อ ไอ้หมอนี่รู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเรา ก็ต้องแพ้กันอีกรอบ”

เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามอง “ยังต้องให้เจ้าบอกอีกรึ?”

จูเหลี่ยนเช็ดปาก “ออกเดินทางไกลครั้งนี้ได้เปิดหูเปิดตามากมาย วันหน้าจะให้ เว่ยป้อเอาเหล้าดีๆ มาสักสองกา แล้วข้าจะค่อยๆ เล่าให้พวกเจ้าฟังไปด้วย”

เจิ้งต้าเฟิงเกิดความสนใจขึ้นมาทันใด เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

จูเหลี่ยนตบห่อสัมภาระ

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “พวกเราสองพี่น้องคือบัณฑิตลำดับหนึ่งอย่างแท้จริง อยู่มาจนแก่ก็เรียนรู้จนแก่”

เว่ยป้อนวดคลึงขมับแรงๆ

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงชั้นสองของเรือนไม้ไผ่เพียงลำพัง เขารู้ว่าจูเหลี่ยนมาถึงแล้ว ก็แค่ไม่ได้ตั้งใจไปรอรับเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ภูเขาพีอวิ๋นได้รับจดหมายสองฉบับจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย จากฉีจิ่งหลงหนึ่งฉบับ จากป๋ายโส่วหนึ่งฉบับ ในจดหมายฉีจิ่งหลงบอกว่าใช้เงินฝนธัญพืช ร้อยเหรียญไปหมดแล้ว ซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาได้หนึ่งเล่ม รวมไปถึง เสื้อเกราะสองตัวที่ศาลซานหลางสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง ราคาล้วนไม่ถูก แต่ของทั้งสามชิ้นนี้ไม่เลวอย่างแน่นอน เพราะล้ำค่าเกินไป ดังนั้นจึงจะให้เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาส่งมาที่ภูเขาหนิวเจี่ยว ในจดหมายเขียนด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่ายตามนิสัยของฉีจิ่งหลง ช่วงท้ายของจดหมายคือคำข่มขู่บอกว่า หากการประลองกระบี่ ทั้งสามครั้งของเขาสำเร็จ แล้วสวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆยังแบกหีบไม้ไผ่ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ให้เฉินผิงอันลองชั่งน้ำหนักดูเอาเอง

ในถ้อยคำบนจดหมายของป๋ายโส่วแสดงให้เห็นถึงการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บอกว่าคนแซ่หลิวทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ทั้งๆ ที่การประลองกระบี่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่กลับยังวิ่งไปที่ภูเขาชังกระบี่กับศาลซานหลางมา ทำเอาพวก ผู้เฒ่าในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยหลายคนกลัดกลุ้มจนหนวดเคราร่วง ตอนอยู่ที่ภูเขาชังกระบี่เจอกับเทพธิดาหลูของภูเขาสุ่ยจิ่ง ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนแซ่หลิวชอบทำเป็นวางมาดให้ดูดีหรือไม่ จู่ๆ ถึงได้มีสตรีคนรู้ใจโผล่มาอีกคน ดูเหมือนว่าจะเป็นสตรีคนหนึ่งที่มีหน้ามีตาในศาลซานหลางมากอีกด้วย สรุปก็คือคอยติดตามพวกเขาสองคนอยู่ตลอดเวลา สายตานั้นสามารถกินคนได้เลย คนแซ่หลิวเลือกสมบัติหนักได้สองชิ้น ตกลงราคาเรียบร้อยก็รีบเผ่นหนีมาทันที

เฉินผิงอันเดินจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของระเบียงช้าๆ แล้วเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

คิดไม่ถึงว่าจูเหลี่ยนยังมาไม่ถึง เว่ยป้อกลับมาถึงเสียก่อน

เขาเอาจดหมายลับที่ส่งจากกระบี่บินฉบับหนึ่งมาให้ ทางภูเขาพีอวิ๋นเพิ่งจะได้รับเมื่อสักครู่นี้ คนที่เขียนจดหมายคือโจวเฝยผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันอ่านจดหมายแล้วก็ถอนหายใจ บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?

เดินไปถึงชั้นหนึ่งก็หยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งออกมา โยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งลงไป

สุยโย่วเปียนเดินออกมาจากในม้วนภาพ

เฉินผิงอันถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

สุยโย่วเปียนเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ฆ่าคนไม่สำเร็จกลับกลายเป็นถูกฆ่าเสียเอง เรื่องก็มีเท่านี้ วันหน้าข้าจะฝึกตนอยู่ที่สำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนต่อ”

ต่อให้สุยโย่วเปียนจะตายแล้วฟื้นคืนชีวิตใหม่จากม้วนภาพได้อีกครั้ง บนร่างของนาง ก็ยังมีปราณสังหารที่เข้มข้นอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าความแค้นที่นางผูกไว้กับทางฝั่งสำนักกุยหยกใบถงทวีปไม่ใช่เล็กๆ แค่ไม่รู้ว่าเป็นคนร่วมสำนักบนภูเขา หรือเป็นศัตรูที่เจอกันในขณะลงจากเขามาฝึกประสบการณ์กันแน่

เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะซักไซ้ถามให้ละเอียด เพียงยิ้มกล่าวว่า “พอดีกับที่ อีกเดี๋ยวศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วก็จะขึ้นเสาคาน จากนั้นก็จะเป็นการแขวนภาพ จุดธูปบูชาอย่างเป็นทางการแล้ว จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยน ตอนนี้ล้วนอยู่กันบนภูเขา”

สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ ก่อนกวาดตามองไปรอบด้าน “ที่นี่ก็คือภูเขาลั่วพั่วหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าลองไปเดินเล่นรอบๆ ดูได้”

สุยโย่วเปียนไม่เอ่ยอะไร เพียงเดินออกไปนอกเรือน ไปยืนอยู่ริมหน้าผา ทอดสายตามองไปยังทิศไกล

เฉินผิงอันไม่ได้เดินตามไป เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก

จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงที่ยืนรออยู่บนทางเส้นเล็กถึงได้เดินมานั่งลงด้านข้าง

เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าทัศนียภาพของที่นี่สวยงาม”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากแล้ว”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ลำบากไม่เท่านายน้อยหรอก”

เจิ้งต้าเฟิงบ่นพึมพำ “พวกเจ้าต่างก็ไม่ลำบาก ข้านี่แหละที่ลำบาก”

……

หลังจากที่ขึ้นเสาคานให้ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อเรียบร้อย

แขกบางคนก็ได้ทยอยกันมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว

หลังจากเลือกวันฤกษ์งามยามดี วันนี้เจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอันก็ได้เป็นผู้นำ กลุ่มคนแขวนภาพเหมือนจุดธูปบูชา

ครั้งนี้ภูเขาลั่วพั่วได้ก่อตั้งสำนักขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่ได้จัดงานใหญ่โตโอ่อ่า แล้วก็ไม่ได้เชิญคนบนภูเขาหลายคนที่เดิมทีสามารถเชิญมาได้อย่างเช่นตระกูลฟ่าน ตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่ามาร่วมงาน

บางคนที่ข่าวสารว่องไวหน่อยก็อยากมา เพียงแต่ไม่กล้าขึ้นเขามารบกวนโดยพลการ ยกตัวอย่างเช่นเทพวารีสองท่านของแคว้นหวงถิง

และยังมีสหายอีกหลายคนที่ไม่เหมาะจะปรากฏตัวต่อสายตาผู้อื่น จึงได้แต่เก็บความเสียดายไว้ในใจ

เป็นเหตุให้คนที่เดินทางนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดีครั้งนี้ล้วนเป็นคนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเช่นเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่

หร่วนฉงเจ้าสำนักกระบี่หลงเฉวียน และลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนอย่างต่งกู่ ผู้ฝึกตนโอสถทอง สวีเสี่ยวเฉียวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร

หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชภูเขาหลังอ๋าว

คนเหล่านี้ล้วนเป็นแขก

นอกจากนี้ก็คือคนกันเองของภูเขาลั่วพั่วที่เพิ่งทำการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ

ศาลบรรพจารย์แขวนภาพเหมือนสามภาพ

ซิ่วไฉเฒ่าท่านหนึ่ง ภาพของเขาถูกแขวนไว้ตำแหน่งตรงกลาง

ฉีจิ้งชุน

ชุยเฉิง

บนป้ายควันธูปของภาพเหมือนทั้งสามเขียนเพียงแค่ชื่อแซ่ ไม่เขียนตัวอักษรอื่นใด

เจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน

ลูกศิษย์ใหญ่เผยเฉียน

ลูกศิษย์ชุยตงซาน

ลูกศิษย์เฉาฉิงหล่าง

จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน

เฉินหลิงจวิน เฉินหรูชู สือโหรว

เฉินยวนจี หยวนเป่า หยวนไหล

ผู้ถวายงานพิทักษ์ขุนเขาลั่วพั่ว โจวหมี่ลี่

ผู้ถวายงานอย่างเป็นทางการ เจิ้งต้าเฟิง

จ้งชิว

โจวเฝย ‘ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ’

ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ นักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง จ้าวเติงเกา เถียนจิ่วเอ๋อร์

ตู้เหวินซือผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาอุตรกุรุทวีป

เจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ใกล้กับภาพเหมือนทั้งสามมากที่สุดยืนอยู่ด้านหน้าสุดเพียงลำพัง

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผอมแห้งใบหน้าดำเป็นถ่าน สวมรองเท้าสานคนนั้นอีกแล้ว

แต่เป็นคนหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดเขียว ปักปิ่นหยกบนมวยผมที่ยืนถือธูปด้วยสองมือ หันหลังให้กับทุกคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!