Skip to content

Sword of Coming 571

บทที่ 571 อาจารย์อาน้อยเยือกเย็นเป็นที่สุด

บนหัวเรือมังกร มีหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กยืนอยู่ด้วยกัน

ชุดเขียว สะพายกระบี่

ส่วนคนตัวเล็กนั่น ตรงเอวห้อยดาบกับกระบี่คู่กัน ถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ สวมงอบไม้ไผ่สานใบเล็ก

มีทรัพย์สมบัติมาก ก็คือความกลัดกลุ้มเล็กๆ ท่ามกลางความเบิกบานที่ยิ่งใหญ่

หลิวจ้งรุ่นยืนอยู่ชั้นบนสุดของเรือมังกร หลุบตาลงมองระเบียงเรือชั้นหนึ่ง เรือมังกรจำเป็นต้องมีคนบังคับ นางจึงได้คุยเรื่องการค้าอย่างใหม่กับภูเขาลั่วพั่ว

หลิวจ้งรุ่นหาลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สองสามคนที่ติดตามตนย้ายมาฝึกตนบนภูเขาหลังอ๋าวมา แล้วถ่ายทอดวิชาบังคับเรือมังกรให้แก่พวกนาง นี่ไม่ใช่แผนการระยะยาว แต่กลับสามารถทำให้ผู้ฝึกตนของเกาะจูไชสามารถกลมกลืนเข้ากับ กลุ่มภูเขาของถ้ำสวรรค์หลีจูได้เร็วขึ้น

นี่ก็คือการเลือกหลังจากที่หลิวจ้งรุ่นได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งในขณะที่เดินเล่น กลางลานบ้านค่ำคืนนั้น

หลิวจ้งรุ่นคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว แทนที่จะทำให้ผู้ฝึกตนเกาะจูไชต้องเดือดร้อนตกอยู่ในสภาวะพิพักพิพ่วนเพียงเพราะความตะขิดตะขวงใจของตน ก็ไม่สู้เลียนแบบ จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วที่ทำตัวหน้าไม่อายไปเสียเลย

เฉินผิงอันกำลังเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองพบเจอมาระหว่างเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีป พูดถึงผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของที่นั่นที่แค่เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบเจอตัวจริง อีกฝ่ายมีนามว่าหลินซู่ อยู่ในตำแหน่งผู้นำของสิบคนรุ่นเยาว์แห่งอุตรกุรุทวีป ได้ยินมาว่าขอแค่เขาลงมือนั่นก็หมายความว่าเขาชนะแล้ว

เผยเฉียนได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าไอ้หมอนั่นพอจะมีดีอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ครั้งนี้อาจารย์ไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปนานขนาดนั้น แต่ไอ้หมอนั่นก็ยังไม่โชคดีพอจะได้พบหน้าอาจารย์ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของหลินซู่ผู้นั้นเสียจริง คาดว่าเวลานี้คงเสียใจจนไส้ขมวดกันเป็นปมแล้วกระมัง ก็ไม่โทษที่ซู่หลินผู้นั้นตา ไม่มีแวว เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมาพบหน้าก็ได้

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าในหัวน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยแป้งเปียกของเผยเฉียนนั้นกำลังคิดเหลวไหลอะไรอยู่

คนหนุ่มสาวสิบคนของอุตรกุรุทวีป ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา เพราะอย่างฉีจิ่งหลงก็เป็นเพื่อน ทั้งยังเป็นเพื่อนประเภทที่ดีที่สุดและสนิทที่สุดด้วย

ตอนอยู่บนภูเขากระจกวิเศษของหุบเขาผีร้ายก็เคยเจอกับหยางหนิงเจินที่ปิดบังตัวตนมาก่อน กับ ‘บัณฑิต’ หยางหนิงซิ่งก็เคยพูดคุยสมาคมกัน วางแผนปัดแข้ง ปัดขากันมาตลอดทาง

ตอนชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ผ่านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่นครเหนือเมฆ ก็เคยเห็นการจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตนอิสระหวงซีกับผู้ฝึกยุทธหญิงซิ่วเหนียง

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ตอนที่เพิ่งจะพาเจ้าออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว อาจารย์ไม่ชอบเจ้า ไม่ใช่ความผิดของเจ้าทั้งหมด เพราะก็มีสาเหตุที่ตอนนั้นอาจารย์ไม่ชอบตัวเองแฝงอยู่ด้วย เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดกับเจ้าอย่างชัดเจน”

เผยเฉียนยิ้มกว้าง “ข้าเองก็ไม่ชอบตัวเองเวลานั้นเหมือนกัน”

เฉินผิงอันถาม “ยังจำครั้งแรกที่พวกเราเจอกันได้ไหม?”

เผยเฉียนรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ตอนที่ข้าไปเยือน เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ได้ไปหาแม่นางน้อยที่ปีนั้นมักจะเอาของกินมามอบให้ข้าบ่อยๆ แล้ว ข้าไปขอบคุณนางจากใจจริง แล้วยังเอ่ยขออภัยนางด้วย ข้ายังเคยฝากฝังเฉาฉิงหล่างว่า หากในอนาคตครอบครัวของแม่นางน้อยคนนั้นเกิดเรื่อง ก็ขอให้เขาช่วยเหลือสักหน่อย แน่นอนว่าหากนางหรือคนในครอบครัวนางเป็นฝ่ายที่ทำผิด เฉาฉิงหล่างก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะฉะนั้นอาจารย์ห้ามพลิกบัญชีเก่าขึ้นมาเปิดนะ”

เฉินผิงอันกดหัวเผยเฉียนเบาๆ “เรื่องเก่าเก็บนานปีทุกเรื่องที่สามารถพลิกกลับมาพูดใหม่ได้อีกครั้ง นั่นต่างหากถึงจะเป็นการคลายปมในใจที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อก่อนเจ้าทำผิดมหันต์ แต่ภายหลังหันมาทำความดี อาจารย์จึงปลื้มใจอย่างมาก แต่ความผิดบางอย่างที่อาจจะมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ก็ควรทำให้เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่พวกนั้นที่ต้องเอาออกมาตากแดด เอามามองแสงจันทร์บ่อยๆ เพื่อช่วยให้เจ้าได้ทบทวนตัวเอง”

เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกลของเรือข้ามฟาก เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุด ดูท่าหิมะคงใกล้จะตกแล้ว

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ลัทธิเต๋าเลื่อมใสในความเป็นธรรมชาติ ก็ยังคงต้องเป็นตามประโยคนั้น ไม่ฝึกวิถีแห่งคน ก็ยากจะเข้าใกล้วิถีแห่งสวรรค์”

เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังว่า “คำพูดทุกคำของอาจารย์ดุจหยก ดุจทองคำ ทำเอาข้านึกอยากจะเอามีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่ชุดหนึ่งออกมาได้เหมือนอาจารย์ จะได้เอาไว้บันทึกคำสั่งสอนของอาจารย์โดยเฉพาะ”

เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน พูดยิ้มๆ ปนฉุนว่า “นิสัยประจบสอพลอของคนบน ภูเขาลั่วพั่ว พวกชุยตงซาน จูเหลี่ยน เฉินหลิงจวินรวมกันแล้วยังสู้เจ้าไม่ได้เลย!”

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า เอียงหัวร้องโอ้ยๆ

หลิวจ้งรุ่นที่อยู่ชั้นบนมองเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนราวระเบียง

ยามที่ชุยตงซานอยู่กับเขา มักจะชอบพูดถึงสำนักศึกษาซานหยา

ในช่วงเวลาเช่นนี้ หลี่เป่าผิงต้องยังสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสดอยู่เหมือนเดิมแน่นอน นางคือนักเรียนที่ประหลาดที่สุดของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย ถึงขั้นที่ว่า มีเพียงนางคนเดียว ไม่มีคำว่าหนึ่งใน ความประหลาดของเมื่อก่อนก็คือชอบโดดเรียน ชอบถามคำถาม คัดตัวอักษรกองทับกันราวขุนเขา ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไปมา ดุจสายลม ความประหลาดของทุกวันนี้ก็คือ ได้ยินมาว่าหลี่เป่าผิงกลายเป็นคนสงบนิ่ง เงียบขรึมพูดน้อย คำถามก็ไม่ค่อยถามแล้ว เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ยังคงชอบโดดเรียนอยู่เหมือนเดิม ไปเดินเล่นตามตรอกน้อยใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุยเพียงลำพัง เรื่องหนึ่งที่ทำให้นางมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ มีอาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักศึกษา ขอลาป่วย แล้วบอกให้หลี่เป่าผิงมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แทน ยี่สิบวันผ่านไป อาจารย์ผู้เฒ่ากลับมาสอนอีกครั้ง ผลกลับพบว่าชื่อเสียงและบารมีผู้เป็นอาจารย์ของตนไม่มากพอ สายตาที่เหล่าลูกศิษย์มองมา ทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าบาดเจ็บได้เล็กน้อย ขณะเดียวกันยามที่มองไปยังหลี่เป่าผิงที่นั่งอยู่ในมุมห้อง เขากลับมีสีหน้าภาคภูมิใจ

ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

แต่ชุยตงซานกลับหัวเราะร่าเสียงดัง บอกว่าเป่าผิงน้อยช่วยถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้ผู้อื่น ไม่ได้เสนอความคิดใหม่ที่แปลกแหวกแนว ไม่เคยล้ำเส้นกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย

หลินโส่วอี คือหยกงามด้านการฝึกตนที่แท้จริง อาศัย ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ แค่เล่มเดียวก็เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนได้ไกลเป็นพันลี้ในวันเดียว อีกทั้งทาง สำนักศึกษายังมีวิสุทธิจารย์คนหนึ่งมาถ่ายทอดความรู้ให้ เขาถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้กับหลินโส่วอีอย่างไม่มีกั๊กไว้ แต่คนทั้งสองกลับไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กัน ในนาม ได้ยินมาว่าตอนนี้หลินโส่วอีมีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งบนภูเขาและวงการขุนนางของต้าสุยแล้ว และในความเป็นจริงแล้ว

ซือหลางทั้งหลายที่มีอำนาจสูงส่งในหน่วยจานกานของกรมอาญาที่ช่วย ราชสำนักต้าหลีตามหาตัวอ่อนในการฝึกตนโดยเฉพาะ ก็ได้ติดต่อไปหาบิดาของ หลินโส่วอีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าบิดาของหลิวโส่วอีกลับปฏิเสธมาโดยตลอด บอกแค่ว่าตนจะถือว่าตัวเองไม่เคยให้กำเนิดบุตรชายผู้นี้

อวี๋ลู่ หลายปีมานี้ทำการขัดเกลาขอบเขตร่างทองของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลายปีก่อนฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ถึงอย่างไรอวี๋ลู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าคล้อยตามกระแสมาโดยตลอดก็มีปณิธานบางอย่างอยู่จริงๆ

ชอบตกปลา ข้องจับปลาก็มี แต่พอจับปลาได้ก็ปล่อยไป เห็นได้ชัดว่ามีความสุขกับขั้นตอนของการตกปลามากกว่า จะได้ปลาตัวเล็กหรือตัวใหญ่ อวี๋ลู่ไม่ได้เรียกร้องอะไร

เซี่ยเซี่ย คอยเฝ้าอยู่ในเรือนที่ชุยตงซานทิ้งไว้ตลอดเวลา มานะตั้งใจฝึกตน เมื่อตะปูกักมังกรถูกถอนออกไปหมดแล้ว เส้นทางของการฝึกตนของนางก็เรียกได้ว่าบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ เพียงแต่อำพรางไว้ได้ดี เก็บตัวอย่างสันโดษ น้อยครั้ง ที่จะออกมาข้างนอก และเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาก็ช่วยปิดบังเรื่องนี้ไว้ให้ด้วย

หลี่ไหวกับเพื่อนสนิทร่วมห้องสองคนอย่างหลิวกวาน หม่าเหลียน ชีวิตการเล่าเรียนของคนทั้งสามตลอดหลายปีมานี้ไม่ได้มีเรื่องแผลงๆ อะไรเกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นหลิวกวานที่เป็นฝ่ายยอมเป็นแพะรับบาป หม่าเหลียนช่วยเก็บกวาด เรื่องเละเทะ ไม่ใช่ว่าหลี่ไหวไม่อยากช่วยออกแรง แต่หลังจากหลี่ไหวช่วยให้เสียเรื่องอยู่หลายครั้ง ตีให้ตายหลิวกวานกับหม่าเหลียนก็ไม่ยอมให้หลี่ไหวทำตัวเป็นวีรบุรุษ ผู้องอาจอะไรอีก

ด้านการศึกษาหาความรู้ หลี่เป่าผิงคือคนที่ทำได้ดีที่สุด เป็นอันดับหนึ่งอย่างสมชื่อ

เพียงแต่หากพูดถึงด้านการฝึกตน อันที่จริงเซี่ยเซี่ยกลับเดินนำไปด้านหน้าสุดแล้ว

คนที่ทำได้ดีทั้งฝึกตนและศึกษาหาความรู้ กลับเป็นหลินโส่วอี

ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รับมือได้อย่างผ่อนคลาย ฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจตน ชีวิตนี้ไม่เคยมีเรื่องใหญ่ใดๆ อันที่จริงคือจุดแข็งของอวี๋ลู่มาโดยตลอด ตอนนี้อวี๋ลู่กำลังบำรุงปณิธานหมัดด้วยความอบอุ่น ขยับไปทีละขั้นทีละตอน ค่อยๆ หล่อหลอมรากฐานเรือนกายขอบเขตร่างทองไปทีละนิด

ส่วนหลี่ไหว

ชุยตงซานบอกว่าเจ้าเด็กนี่เดินไปไหนก็มีโชคดีขี้หมาให้เหยียบอยู่เสมอ ปีนั้นนอกจากจะได้กวางขาวที่มีสติปัญญามาตัวหนึ่งแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เพียงแต่ตัวหลี่ไหวเองที่อยู่ท่ามกลางโชคไม่รู้ว่ามีโชคก็เท่านั้น เขาคอยเติมสมบัติในบ้านตัวเองอยู่ตลอด บ้างก็เก็บตกของโบราณล้ำค่ามาได้ หรือบางครั้งไปเป็นแขกที่บ้านหม่าเหลียน หม่าเหลียนก็มอบ ‘ของผุๆ ’ ให้เขามาชิ้นหนึ่ง สมบัติเต็มแน่นอยู่ในหีบไม้ไผ่ล้วนถูกวางเอาไว้ให้กินฝุ่นอยู่ตรงนั้น ย่ำยีวัตถุสวรรค์โดยแท้

เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ว่า “อาจารย์ ทำไมถึงไม่ห้อยกาเหล้าแล้วล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชีวิตคนเหล้าก็คือเหล้าข้นๆ กาหนึ่ง คิดถึงคนบางคนหรือเรื่องบางเรื่องก็ค่อยดื่มเหล้า”

เผยเฉียนเก็บคำพูดไว้ในใจอย่างอัดอั้น

เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “อยากพูดก็พูดเถอะ”

เผยเฉียนถึงได้พูดรัวเร็วราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “อาจารย์คงจะเสียดายเงินค่าเหล้าสินะ อาจารย์ท่านดูสิ ที่ข้ามีเงิน เงินเหรียญทองแดง เศษเม็ดเงิน ทองก้อนเล็กๆ เงินเกล็ดหิมะหลายเหรียญ แล้วยังมีเงินร้อนน้อยอีกหนึ่งเหรียญด้วย! ไม่ว่าอะไรก็มีหมด อาจารย์เอาไปใช้เถอะ!”

เฉินผิงอันหันหน้ามามองเผยเฉียนที่ชูถุงเงินขึ้นสูง แล้วเขาก็หัวเราะ กดศีรษะเล็กๆ โยกไปมา “เอาเก็บไว้ใช้เองเถอะ ใช่ว่าอาจารย์ไม่มีเงินจริงๆ เสียหน่อย”

เผยเฉียนทอดถอนใจหนึ่งที เก็บถุงเงินที่น้ากุ้ยมอบให้นางถุงนั้นใส่กลับเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง มองทะเลเมฆไปพร้อมกับอาจารย์ เหมือนขนมสายไหมก้อนใหญ่เลย

อาจารย์และศิษย์สองคนมาถึงเมืองหลวงต้าสุย ตามตรอกเล็กถนนใหญ่เต็มไปด้วยหิมะทับถมหนาชั้น

เผยเฉียนจงใจเลือกเดินย่ำไปบนกองหิมะข้างทางที่ไม่มีสตรีมากวาดออก ทำให้เกิดเสียงดังสวบสาบ ทิ้งรอยเท้าเอาไว้รอยแล้วรอยเล่า

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูของสำนักศึกษาซานหยาจำเฉินผิงอันได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ไปที่ไหนมาบ้างแล้วเล่า?”

เฉินผิงอันคารวะอีกฝ่าย เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างรีบขยับหีบไม้ไผ่ใบเล็กให้เข้าที่แล้วทำตามทันที เขาหยิบเอกสารผ่านด่านในชายแขนเสื้อส่งไปให้ ผู้เฒ่ารับไปดูแล้ว ก็หัวเราะทันใด “ดีนักนะ คราวก่อนใบถงทวีป คราวนี้อุตรกุรุทวีป ครั้งหน้าเป็นที่ไหน ควรถึงคราวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วกระมัง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีโอกาสสงบใจอ่านตำรา ก็ได้แต่อาศัยการเดินทางให้มากๆ แล้ว”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ หันหน้ามามองเผยเฉียน “เหตุใดแม่หนูน้อยไม่ดำเป็นถ่านเหมือนเดิมแล้วเล่า? ตัวก็สูงขึ้นแล้ว เป็นเพราะได้เรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนของ บ้านเกิดหรือ?”

เผยเฉียนยิ้มหน้าบาน พยักหน้ารับอย่างแรง “ท่านผู้เฒ่าช่างมีความรู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ว่ามองใครก็ล้วนแม่นยำไปหมด เจ้าขุนเขาเหมาควรจะให้ท่านผู้เฒ่าไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน วันหน้าสำนักศึกษาซานหยาจะยังธรรมดาได้หรือ จะไม่ใช่ว่าวันนี้มีนักปราชญ์ พรุ่งนี้มีวิญญูชนเลยหรือไร?”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง ถามว่า “เรียนรู้มาจากเฉินผิงอันงั้นหรือ?”

เผยเฉียนบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้ คำถามข้อนี้ตอบยากจริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางเขกมะเหงกใส่หัวเผยเฉียนหนึ่งที

เผยเฉียนรู้สึกว่าวันหน้าหากมาเยือนสำนักศึกษาซานหยาอีก ควรพูดกับผู้เฒ่า คนเฝ้าประตูให้น้อยจึงจะดี

ผู้เฒ่ามองดูเหมือนว่าจะอายุมากแล้ว แต่พูดจาหรือทำอะไรกลับไม่มี ความชำนาญเอาเสียเลย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตที่ไม่เคยท่องยุทธภพมาก่อน

เข้ามาในสำนักศึกษาอย่างคุ้นเคย คนทั้งสองไปเข้าพักในหอพักแขกก่อน ผลคือเฉินผิงอันเอาของมาน้อย ไม่ได้มีของอะไรให้เก็บไว้ในห้อง ส่วนเผยเฉียนก็ไม่อยากวางของสิ่งใดทิ้งไว้ เพราะหีบไม้ไผ่ใบเล็กต้องให้สำนักศึกษาซานหยาได้เห็น ไม้เท้าเดินป่าก็ต้องให้พี่หญิงเป่าผิงได้เห็น ส่วนเตาเจี้ยนชว่อที่ผูกเอวไว้ แน่นอนว่าก็ต้องให้ลูกสมุนในยุทธภพทั้งสามคนได้เปิดหูเปิดตา จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้เลย

เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนไปที่หอพักของหลี่เป่าผิงก่อน ส่วนตัวเองไปหา เหมาเสี่ยวตง

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ห้อยไม้บรรทัดเล่มหนึ่งไว้ตรงเอวยืนอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มถามว่า “เป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือนี่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกที่ยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป”

เหมาเสี่ยวตงรู้สึกมีความสุขในความทุกข์ของอีกฝ่าย “บิดาของหลี่ไหวออกแรง ไม่น้อยเลยกระมัง?”

เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “ก็พอสมควร”

ไปถึงห้องหนังสือ คนทั้งสองก็พากันนั่งลง เหมาเสี่ยวตงพูดเข้าประเด็นทันที “หลายปีมานี้อ่านตำราเล่มใดบ้าง ข้าจะทดสอบเจ้าสักหน่อย ดูสิว่าเอาแต่ฝึกตน จนไม่สนใจความรู้ในการอบรมบ่มเพาะตนหรือไม่”

เฉินผิงอันหยิบตำราปึกหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ วางทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็ร่ายชื่อตำรายาวเหยียด หนังสือที่เขาเอาออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือหนังสือที่ตอนนั้นชุยตงซานยืมไปจากสำนักศึกษาซานหยา พออ่านจบแล้ว แน่นอนว่าต้องคืนให้กับสำนักศึกษา เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่วได้อิงตามชื่อของตำราเหล่านี้ซื้อตามมาเก็บไว้แล้วสองชุด ชุดหนึ่งเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อีกชุดหนึ่งเฉินผิงอันจะขีดเส้นวาดวงกลม เขียนคำอธิบายไว้ตรงพื้นที่ว่างด้านข้าง แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่

เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “หลากหลายขนาดนี้เชียว?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ด่านในใจยากจะผ่านไปได้ บางครั้งทักษะอย่างหนึ่งที่ฝึกปรือจนชำนาญซึ่งในอดีตเอามาใช้ได้อย่างสบายใจทุกครั้ง กลับดูเหมือนว่า จะไม่อาจช่วยให้ผ่านด่านไปได้ สุดท้ายถึงค้นพบว่าไม่ใช่ความรู้ที่ติดกายไม่ดีพอ ไม่พอใช้ แต่เป็นเพราะตนเรียนรู้มาอย่างตื้นเขินเกินไป”

หัวคิ้วของเหมาเสี่ยวตงค่อยๆ คลายออก “ดีมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบแล้ว”

เฉินผิงอันถามถึงเรื่องการเรียนช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ของพวกหลี่เป่าผิง เหมาเสี่ยวตงเล่าอย่างกระชับเรียบง่าย แต่เฉินผิงอันก็ฟังออกว่าโดยภาพรวมแล้วเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างจะพึงพอใจ แต่เฉินผิงอันก็ฟังออกถึงคำบ่นเล็กๆ เหมือนผู้ใหญ่ในครอบครัวที่มีต่อเด็กรุ่นหลังของตน รวมไปถึงความนัยนอกเหนือจากคำพูดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นนิสัยของหลี่เป่าผิงต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้น จะอัดอั้นแย่ ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กแล้ว การฝึกตนของหลินโส่วอีราบรื่นเกินไป กลัวก็แต่ว่าวันใดจะละทิ้งตำราไปเป็นเทพเซียนบนภูเขาเอาได้ อวี๋ลู่อ่านบทความอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ทว่าแท้จริงแล้วส่วนลึกในใจกลับไม่ได้รู้สึกยอมรับและเลื่อมใสลัทธิขงจื๊ออย่างที่เขามีต่อสำนักนิติธรรม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร ในด้านความรู้ เซี่ยเซี่ยไม่เคยมีความปรารถนาใดๆ นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว เอาแต่สนใจเรื่องการฝ่าทะลุคอขวดของการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ฝึกตนทั้งวันทั้งคืนไม่เคยเกียจคร้าน ตอนอยู่ในห้องเรียน ความคิดจิตใจก็ยังอยู่กับการฝึกตน ราวกับว่าจะชดเชยเอาวันเวลาของเมื่อหลายปีก่อนที่ตัวเองคิดว่าใช้ไปอย่างสิ้นเชิงกลับคืนมาให้ได้ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรหากยิ่งรีบก็จะยิ่งช้า ง่ายที่จะสะสมภัยแฝงมากมายเอาไว้ การฝึกตนในวันนี้หากเน้นย้ำในด้านความเร็วเพียงอย่างเดียว ก็มีแต่จะกลายเป็นปมของปัญหาที่ทำให้การฝึกตนในอนาคตหยุดชะงักไม่เดินหน้า

ส่วนหลี่ไหว กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่เหมาเสี่ยวตงรู้สึกวางใจมากที่สุด บอกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เลว

เฉินผิงอันยื่นมือมาวางทับบนตำราเบาๆ แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “การอบรม สั่งสอนผู้คนของอาจารย์เหมา มีมาดของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง”

เหมาเสี่ยวตงโบกมือ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ห่างไกลจนเทียบไม่ติดเลยล่ะ”

เฉินผิงอันยิ้มพลางหอบตำราลุกขึ้นยืน เตรียมจะวางตำราแล้วจากไป เหมาเสี่ยวตงเองก็ลุกขึ้น แต่กลับไม่ได้รับตำราเหล่านั้นเอาไว้ “เจ้าเก็บไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะควักเงินซื้อหนังสือไปชดเชยให้กับหอเก็บตำราของสำนักศึกษาเอง ตำราเหล่านี้ถือเป็นของขวัญร่วมพิธีที่ข้ามอบให้ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วที่ก่อสร้างสำเร็จก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ ครั้นจึงเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

หลังจากที่เฉินผิงอันเดินจากไป เหมาเสี่ยวตงก็พยายามกดมุมปากของตัวเองลงไม่ให้รอยยิ้มของตนฉีกกว้างเกินไป

ฤดูหนาวที่เหน็บหนาวนี้ คำพูดบางอย่างชวนให้อบอุ่นใจมากเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันเดินไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงหอพักของหลี่เป่าผิง แล้วจึงเห็นว่า เผยเฉียนกำลังแหงนหน้าคุยกับหลี่เป่าผิงอย่างเบิกบาน

แม่นางที่ใช้คำว่าน้อยไม่ได้แล้วสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่เดิมทีมีแต่จะทำให้พวกสตรีรู้สึกถึงความบ้านนอกคอกนา ทว่าเมื่ออยู่บนร่างของนางกลับไม่มีกลิ่นอายความบ้านๆ แบบนั้นอยู่เลย

เรือนกายของนางสูงเพรียว คางแหลมเล็ก สีหน้าสงบนิ่งไม่ยินดียินร้าย เพียงแต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงคุ้นตาดังเดิม ดวงตาที่ยังคงงดงามคู่นั้น นอกจากจะพูดได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะซุกซ่อนเรื่องราวเอาไว้ด้วย

พอเห็นเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงก็ก้าวเร็วๆ เข้ามาหา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ทำไมไม่เรียกอาจารย์อาน้อยแล้วล่ะ”

เหตุใดแม่นางน้อยที่หน้ากลมตาโตในปีนั้นถึงได้โตเร็วขนาดนี้นะ?

หลี่เป่าผิงพลันยิ้มกว้าง ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์อาน้อย!”

ในที่สุดก็กลับมาเป็นแม่นางน้อยของปีนั้นเสียที

เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องคิดมาก ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลว่า จะสร้างปัญหาให้กับอาจารย์อาน้อย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”

สีหน้าของหลี่เป่าผิงสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา

เฉินผิงอันจึงเสนอให้ทุกคนไปนั่งเล่นที่หอพักแขก เผยเฉียนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เหตุใดอาจารย์ถึงสละสิ่งที่อยู่ใกล้ เรียกร้องสิ่งที่อยู่ห่างไกล หอพักของพี่หญิงเป่าผิง ก็อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หรือ?

หลี่เป่าผิงกลับไม่ได้พูดอะไร นางเอื้อมสองมือไปไพล่หลัง สิบนิ้วสอดผสาน เข้าด้วยกัน เดินถอยหลังอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “อาจารย์อาน้อย รู้หรือไม่ว่าพวกเราไม่ได้เจอกันมากี่วันแล้ว?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “หลายปีมากแล้ว”

เผยเฉียนตะโกนบอกตัวเลขที่ชัดเจนออกมาเสียงดัง

นี่เป็นเรื่องที่นางถนัดที่สุด

ท่องตำรา จำเส้นทาง จดจำเรื่องราว

พอไปถึงหอพักแขก เผยเฉียนก็บอกว่าจะไปเรียกหลี่ไหวมา เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แต่กลับบอกให้เผยเฉียนพาหลี่ไหวไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ยได้เลย

ที่นั่นสถานที่กว้างขวาง

เผยเฉียนวิ่งตะบึงไปตลอดทางเพื่อไปรายงานข่าว

หลี่เป่าผิงถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย มีเหล้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “เจ้าจะดื่มหรือ?”

หลี่เป่าผิงยิ้มจนตาหยี พยักหน้ารับเบาๆ “อยากลองแอบดื่มสักเล็กน้อย”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาเหล้าหมักข้าวเหนียวที่ต่งสุ่ยจิ่งเป็นคนหมักออกมากาหนึ่ง รินใส่ชามเล็กๆ สองใบ “ใช่ว่าจะดื่มเหล้าไม่ได้ แต่ต้องดื่มให้ น้อยหน่อย”

หลี่เป่าผิงยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบคำเล็กๆ “เป็นรสชาติของบ้านเกิด”

เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็ก เล่าให้หลี่เป่าผิงฟังว่าเขาได้ไปพบกับพี่ชายใหญ่ของนางที่แคว้นชิงเฮาของอุตรกุรุทวีป

หลี่เป่าผิงฟังจบแล้วก็ใช้สองมือประคองถ้วยขาว พยักหน้าเอ่ยว่า “เขียนจดหมายหาพี่ชายใหญ่ยุ่งยากจริงๆ นั่นแหละ หากข้าเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ ก็ยังต้องให้ทางสำนักศึกษาส่งไปที่บ้านก่อน แล้วค่อยให้ท่านปู่ช่วยส่งข้ามทวีปไปยังภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แล้วค่อยส่งไปถึงถนนถ้ำเซียนของแคว้นชิงเฮาแห่งนั้น”

เฉินผิงอันถาม “เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา ไม่มีความสุขหรือ?”

หลี่เป่าผิงส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้ามึนงง “ไม่ใช่ไม่มีความสุขสักหน่อย อาจารย์อาน้อย เจ้าขุนเขาเหมาพูดอะไรกับท่านหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าขุนเขาเหมารู้สึกว่าตอนอยู่ในสำนักศึกษาเจ้าไม่ค่อยชอบพูดคุย ก็เลยเป็นกังวลเล็กน้อย”

หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างกังขา “ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็ชอบเล่นคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเป็นตอนอยู่สำนักศึกษาเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าคุย ก็เลยไม่ได้พูดคุยอะไร”

ลงน้ำไปจับปูเพียงลำพัง วิ่งไปดูเทพทวารบาลตามตรอกเล็กใหญ่อยู่เพียงลำพัง กระโดดช่องสี่เหลี่ยมบนพื้นหินเขียวของถนนฝูลวี่เพียงลำพัง รอให้ดอกท้อผลิบานอยู่ในตรอกเถาเย่เพียงลำพัง ไปเลือกเศษแผ่นกระเบื้องที่ภูเขากระเบื้องเพียงคนเดียว ก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอดนี่นา

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ

หลี่เป่าผิงยิ้มตาม “อาจารย์อาน้อยยิ้มอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึงครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกัน เห็นเจ้าที่ตัวเล็กแค่นั้นแบกกิ่งต้นไหววิ่งไปวิ่งกลับจนเหงื่อแตกท่วมเต็มหัว ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ก็รู้สึกนับถือเจ้าจริงๆ”

หลี่เป่าผิงมีสีหน้าลำบากใจอย่างที่หาได้ยาก นางยกถ้วยเหล้าขึ้นปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งและดวงตาของตัวเองไว้ แต่กลับปกปิดรอยยิ้มไม่มิด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไปกันเถอะ ไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ยกัน”

คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป ล้วนเป็นหลี่เป่าผิงที่เอ่ยถาม เป็นเฉินผิงอันที่ตอบไปทีละข้อ

ไปเจอกับพวกเผยเฉียนกลางทาง นอกจากหลี่ไหวที่ดีอกดีใจแล้ว หลินโส่วอีกับอวี๋ลู่ก็อยู่ด้วย

เซี่ยเซี่ยสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านนอกจึงเปิดประตูออกมา พอเห็นกลุ่มคนที่พากันเดินมาเป็นขบวน ใบหน้าก็มีรอยยิ้มน้อยๆ

เรือนหลังนี้ที่ชุยตงซานทิ้งไว้ให้นาง นอกจากหลินโส่วอีที่จะมาฝึกหลอมลมปราณเป็นบางครั้งแล้ว ก็แทบจะไม่มีแขกคนใดอีก

เผยเฉียนกับหลี่ไหวที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเหมือนกัน พอเข้าไปนั่งในลานบ้าน ก็เริ่มประลองวิชากันทันที

เฉินผิงอันยืนคุยกับหลินโส่วอีและอวี๋ลู่ หลี่เป่าผิงกับเซี่ยเซี่ยนั่งอยู่บนขั้นบันได

สุดท้ายเฉินผิงอันปรบมือเบาๆ ทุกคนพากันหันมามองที่เขา เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “มีเรื่องบางอย่างที่จำเป็นต้องบอกกล่าวแก่พวกเจ้าเสียหน่อย นั่นก็คือที่ภูเขาลั่วพั่วของข้าได้มีศาลบรรพจารย์เป็นของตัวเองแล้ว ที่ไม่ได้เชิญให้พวกเจ้าไปร่วมงานพิธี ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่เป็นเพราะเวลานี้ยังไม่เหมาะ วันหน้าพวกเจ้าสามารถไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วได้ทุกเมื่อ นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้วยังมภูเขาที่ว่างอยู่อีกไม่น้อย

หากพวกเจ้าชอบก็ไปเลือกเอาเองได้เลย ข้าสามารถช่วยสร้างเรือนไว้สำหรับ อ่านหนังสือให้กับพวกเจ้าได้ ส่วนข้อเรียกร้องอื่นๆ ก็สามารถบอกกับเผยเฉียนได้ ตามตรง ไม่ต้องเกรงใจ”

หลี่เป่าผิงรู้เรื่องนี้จากเผยเฉียนแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไร

แต่เซี่ยเซี่ยกลับเป็นคนที่ตกตะลึงมากที่สุด

นางเคยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาตระกูลเซียนลำดับสูงสุดของราชวงศ์สกุลหลู ดังนั้นจึงรู้ชัดเจนดีว่าการปรากฏขึ้นของศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่งหมายถึงอะไร

อวี๋ลู่เอ่ยแสดงความยินดี

หลินโส่วอีเองก็ยิ้มเอ่ยคำอวยพร

เฉินผิงอันยิ้มกล่าวกับหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยว่า “พวกเจ้าเป็นเทพเซียนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาแล้ว ปราณวิญญาณของภูเขาในเขตการปกครองหลงเฉวียนนับว่า เปี่ยมล้น ดังนั้นพวกเจ้าสองคนอย่าได้หน้าบางเด็ดขาด ได้ภูเขามาเปล่าๆ มีสถานที่ ฝึกตนเพิ่มเติมมา ไม่เอาก็เสียเปล่า”

จากนั้นก็หันไปพูดกับอวี๋ลู่ว่า “ภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธอยู่มากมาย อวี๋ลู่ เจ้าสามารถไปหาคนที่ชื่อจูเหลี่ยนได้ ตอนนี้เขาคือขอบเขตเดินทางไกล พวกเจ้าลองประลองฝีมือกัน ให้เขาช่วยเจ้าป้อนหมัด จูเหลี่ยนเขาออกหมัดรู้จักหนักเบาดี”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเฉินผิงอันจริงใจอย่างยิ่ง

อวี๋ลู่ไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ แต่กล่าวว่า “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ นะ”

หลี่ไหวกำลังง่วนอยู่กับการอาศัยขุนพลใหญ่ใต้บังคับบัญชามากมายมา ‘ประลองบุ๋น’ กับเผยเฉียนบนโต๊ะ พอได้ยินก็คำรามอย่างเดือดดาลว่า “เฉินผิงอัน! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกพวกเป่าผิงก็ช่างเถิด ขนาดข้าเจ้าก็ยังปิดบังด้วยหรือ? เสียแรงที่พวกเราเป็นพี่น้องต่างแซ่ที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองกัน…เป็นเพราะดูแคลนข้าหลี่ไหวใช่หรือไม่ บอกมา ภูเขาลั่วพั่วขาดผู้ถวายงานลำดับหนึ่งหรือไม่ หากขาดล่ะก็ อยู่ไกลสุดขอบฟ้าใกล้แค่ตรงหน้า ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีก เจ้าเฉินผิงอันก็คงได้แต่เชื้อเชิญข้าออกจากภูเขาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไปเล่นที่อื่นเลยไป”

หลี่ไหวมองสิ่งของเต็มแน่นที่ตัวเองกับเผยเฉียนจัดวางไว้บนโต๊ะ แล้วพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร สีหน้าเศร้าโศกปานจะขาดใจ “ไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรแล้ว ฟ้าหนาวดินเยียบเย็น แต่หัวใจกลับหนาวเหน็บยิ่งกว่า…ไม่ได้เป็นน้องเขยก็พอทำเนา ตอนนี้แม้แต่พี่น้องร่วมสาบานก็ยังเป็นไม่ได้ ชีวิตช่างไร้รสชาติ ต่อให้ข้าหลี่ไหวได้ครอบครองกองกำลังทหารที่มากที่สุดในใต้หล้า มีขุนพลผู้แกล้วกล้ามากมาย ดุจก้อนเมฆ แล้วจะมีความหมายอะไร? ไม่มีความหมายเลย…”

เผยเฉียนตบโต๊ะ ข้าวของทั้งหลายที่วางอยู่บนโต๊ะหินพากันสะเทือน นางคำรามเดือดว่า “หลี่ไหว! เจ้าไปตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมกับอาจารย์ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้านับลำดับศักดิ์ของเจ้าอย่างไร?!”

หลี่ไหวหดคอ “ก็แค่พูดเล่น ตอนเด็กเคยเล่นดึงหญ้ากับเฉินผิงอัน ก็เลยคิดว่าเป็นการตัดหัวไก่แล้ว จะคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”

อวี๋ลู่ที่มองเห็นภาพนี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

อดไม่ไหวต้องมองเผยเฉียนอยู่หลายที

อวี๋ลู่รู้สึกเพียงความเหลือเชื่อ จำได้ว่าครั้งแรกที่พบหน้ากัน แม่นางน้อยตัวดำ เป็นถ่านยังไม่ได้เริ่มฝึกวรยุทธอย่างจริงจังเลยไม่ใช่หรือ?

นี่เพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง?

ในเรือนแห่งนี้มีอุปกรณ์เล่นหมากล้อมที่ชุยตงซานทิ้งไว้ เฉินผิงอันจึงหาเรื่อง น่าอายใส่ตัวด้วยการเป็นฝ่ายขอเล่นหมากล้อมกับอวี๋ลู่หนึ่งตา หลี่เป่าผิงกับ เผยเฉียนนั่งขนาบฝั่งซ้ายขวาของเฉินผิงอัน หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยจึงได้แต่นั่งอยู่ข้าง อวี๋ลู่ หลี่ไหวโมโหหนัก เหตุใดเขาถึงกลายเป็นส่วนเกินไปได้ เขานั่งอยู่ข้างหนึ่งของกระดานหมาก เตรียมจะถอดรองเท้า ผลกลับถูกเซี่ยเซี่ยชำเลืองตามามอง หลี่ไหวจึงยื่นมือมาลูบพื้นไม้ไผ่เขียวแล้วเอ่ยว่า ก็ข้ากลัวว่าจะทำให้เรือนของเจ้าสกปรกไม่ใช่หรือไงล่ะ

ไม่มีข้อพิถีพิถันที่ว่า ผู้ที่ชมการเล่นหมากล้อมอย่างสงบคือวิญญูชนที่แท้จริงอะไร

ผลคือถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยและหลินโส่วอีสามคนร่วมแรงร่วมใจกันคุมเชิงอยู่กับหลี่เป่าผิงเพียงคนเดียว เนื่องจากฝีมือการเล่นหมากล้อมของคนทั้งสามต่างก็ไม่เลว การวางหมากจึงไม่ถือว่าช้า

หลี่เป่าผิงวางหมากเร็วราวกับบินอยู่เสมอ เพียงแค่เหลือบตามองสถานการณ์ บนกระดานหมากแวบหนึ่งเท่านั้น

เผยเฉียนรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองต้องชนะอย่างแน่นอน ลำพังเพียงแค่มาดของนักเล่นระดับแคว้นของพี่หญิงเป่าผิงนี้ก็สังหารสามคนของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว

แต่ท้ายที่สุดกลับยังคงเป็นพวกอวี๋ลู่สามคนที่เอาชนะไปได้ เนื่องจากหลี่เป่าผิงวางหมากเร็วเกินไป ดังนั้นอีกฝ่ายชนะได้อย่างรวดเร็วฉับไว นางเองก็แพ้อย่างไม่ อืดอาดชักช้าเลยแม้แต่น้อย

เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ จากนั้นก็ปลอบใจพี่หญิงเป่าผิงของนางว่าไม่ต้อง หมดอาลัยตายอยาก

เฉินผิงอันพอจะมองบางอย่างออก

หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “อาจารย์อาน้อย ขอโทษนะ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ผ่านไปอีกสองสามปี พวกเราอยากจะแพ้ก็ยากแล้ว”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง

หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยสบตากัน ต่างก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย เพราะว่าสิ่งที่เฉินผิงอันพูดก็คือเรื่องจริงที่จริงแท้แน่นอน

คิดไม่ถึงว่าอวี๋ลู่จะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อยากจะชนะหรือ? ก็ต้องดูว่าพวกเราสามคนยินดีจะเล่นหมากล้อมกับพวกเจ้าหรือไม่”

อวี๋ลู่เอามือปิดโถเก็บเม็ดหมาก มองหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยที่อยู่ด้านข้าง “เอาอย่างนี้แล้วกัน นับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราสามคนมาผนึกหมาก (ในการแข่งขันหมากล้อมระดับสูงมักใช้เวลานาน อาจต้องแบ่งเวลาแข่งเป็นสองวันหรือนานกว่านั้น หากวันแรกการแข่งขันจบลงแล้วยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ฝ่ายที่ถึงคราวต้องเดินหมากก็จะจดก้าวถัดไปของตัวหมากที่ตนเองจะเดินลงบนกระดาษ ใส่ซองแล้วให้กรรมการเป็นผู้เก็บ กรรมการจะผนึกซองแล้วเขียนชื่อหรือสัญลักษณ์ของผู้เล่นลงไป แล้วเก็บซองในสถานที่ที่เป็นความลับซึ่งพวกกรรมการรู้กัน ขั้นตอนนี้เรียกว่าการผนึกหมากหรือเฟิงฉี 封棋) อย่างเป็นทางการกัน ก็เท่ากับว่าพวกเรารักษา ผลชนะในกระดานหมากที่เล่นกับเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนได้อย่างสมบูรณ์”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “เห็นด้วย”

เซี่ยเซี่ยยิ้มบางๆ “เอาตามนี้”

เผยเฉียนร้อนใจขึ้นมาครามครัน

หลี่ไหวปากไวกว่าเผยเฉียนเสียอีก เขาพูดผดุงความเป็นธรรมว่า “พวกเจ้าสามคนหน้าไม่อายขนาดนี้เชียวหรือ? หา? เลียนแบบอาเหลียงหรืออย่างไร? ต่อให้พวกเจ้า จะเลียนแบบเขา แต่ได้รับคำอนุญาตจากข้าแล้วหรือยัง? ไม่รู้หรือว่าข้ากับอาเหลียงเป็นอะไรกัน? เรื่องมากมายที่อาเหลียงทำ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียนหนังสือ หรือกินข้าว ล้วนได้รับคำชี้แนะจากข้าหลี่ไหวไปมากเท่าไร? ในใจพวกเจ้าไม่รู้เลยหรือ?”

เผยเฉียนปลาบปลื้มใจเล็กน้อย จึงใช้สายตาเมตตาปราณีมองหลี่ไหว “ถือว่าเจ้าทำความดีชดใช้ความผิดแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องถูกข้าถอดสถานะที่สูงส่งนั้นออก วันหน้าเวลาเจ้าอยู่กับพวกหลิวกวานและหม่าเหลียนก็ไม่อาจยืดเอวตรงได้อีก”

หลี่ไหวกล่าวอย่างกังขา “แต่เจ้าประมุขแห่งยุทธภพคือหลี่เป่าผิงนะ ตำแหน่งของเจ้าสูงกว่าข้าแค่ไหนกันเชียว เจ้ามีสิทธิ์อะไร?”

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “หลี่ไหวเอ๋ย ด้วยสมองที่ ไร้ปัญญานี้ของเจ้า วันหน้ายังจะกล้าคาดฝันว่าจะได้ออกท่องยุทธภพร่วมกันกับข้า ไปเป็นตัวภาระให้แก่ข้าอีกหรือ? ข้ากับพี่หญิงเป่าผิงเป็นอะไรกัน เจ้าที่เป็นแค่ ผู้นำสาขาย่อยคนหนึ่ง จะเทียบได้รึ?”

หลี่เป่าผิงกำลังเก็บเม็ดหมาก ตอนเล่นนางวางหมากอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลานี้กลับเคลื่อนไหวเชื่องช้า นางยิ้มกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง ให้เผยเฉียนเป็นเจ้าประมุขแห่งยุทธภพแทนแล้ว”

เผยเฉียนเลิกคิ้ว ชำเลืองตามองหลี่ไหวที่เหมือนถูกฟ้าผ่า แล้วเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เป็นไง อึ้งไปเลยล่ะสิ คราวนี้ทำอะไรไม่ถูกเลยใช่ไหม?”

หลี่ไหวไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ ออกท่องยุทธภพเป็นเรื่องใหญ่ที่จิตใจของ หลี่ไหวพะวงถึงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงพูดอย่างร้อนใจว่า “หลี่เป่าผิง! มีใครเขาทำตัวเหลวไหลอย่างเจ้าบ้าง บอกว่าจะไม่เป็นก็ไม่เป็นแล้ว? ไม่เป็นก็ไม่เป็น แต่เจ้าอาศัยอะไรถึงยกตำแหน่งให้เผยเฉียนง่ายๆ ว่ากันด้วยเรื่องประสบการณ์

ใครที่อาวุโสกว่ากัน? ข้ากระมัง? พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว! หากพูดถึง ความจงรักภักดี คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า ก็ยังเป็นข้ากระมัง? ปีนั้นพวกเราออกเดินทางไกลด้วยกันสองครั้ง ข้าต้องนอนกลางดินกินกลางทรายไปตลอดทาง แต่ก็ไม่เคยบ่นสักครึ่งคำไม่ใช่หรือ?”

หลี่เป่าผิงอืมรับหนึ่งที “ไม่เคยบ่น ‘ครึ่งคำ’ จริงๆ นั่นแหละ แต่เป็นคำแล้วคำเล่า คือคำบ่นที่สะสมไว้เป็นกระบุงโกย”

หลี่ไหวที่ถูกแฉความคิดเจ้าเล่ห์ๆ เล็กนั้นจึงได้แต่เปลี่ยนวิธีใหม่ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า “หากพวกเจ้าสองคนยังร่วมมือกันรังแกคนซื่อแบบนี้ ข้าคงต้องพาหลิวกวานและหม่าเหลียนออกจากพรรคไปก่อตั้งภูเขาของตัวเองแล้ว”

เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าฝันอยู่หรือไร ด้วยเจ้าทึ่มหลิวกวานกับเจ้าหนอนหนังสือหม่าเหลียนนั่นน่ะหรือ หากไม่มีข้าเผยเฉียนคอยวางแผนการให้ พวกเจ้าที่ออกท่องยุทธภพจะสร้างชื่อเสียงอะไรได้? บ้านก็มีกฎของบ้าน พรรคมีกฎของพรรค คำพูดไม่น่าฟังข้าจะเอามาพูดไว้ก่อน พวกเจ้าออกจากพรรคนั้นง่าย แต่หากวันหน้า ร่ำร้องอยากจะกลับเข้ามาในพรรคอีกก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์แล้ว! ข้าคือใคร คือนักฆ่าที่ลอบสังหารเจ้าห่านขาวใหญ่ได้สำเร็จ ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์เป็นที่สุด หน้าเนื้อใจเสือ…”

คงเพราะรู้สึกว่าหากตัวเองยังพูดจาเลื่อนเปื้อนแบบนี้ต่อไปอาจได้กินมะเหงก เผยเฉียนจึงหุบปากฉับ เอาแค่พอประมาณก็พอ เพราะถึงอย่างไรตนก็ยังพูดสะกิด หลี่ไหวตอนอยู่กันเพียงลำพังได้อีก ไอ้หมอนี่ห่างชั้นจากโจวหมี่ลี่ไกลนัก อันที่จริง หมี่ลี่น้อยไม่ค่อยชอบลำพองใจสักเท่าไร

หลินโส่วอีลุกขึ้น เดินไปนั่งขัดสมาธิที่ปลายระเบียง แล้วเริ่มสงบใจฝึกตน

ส่วนเซี่ยเซี่ยก็นั่งอีกฝั่ง คนทั้งสองเคยชินกับการทำเช่นนี้มานานแล้ว จึงรู้ใจกันอย่างยิ่ง

หลี่เป่าผิงเสนอให้ไปหาอะไรกินอร่อยๆ ในตรอกเล็กของเมืองหลวงนอกสำนักศึกษา

ทั้งหลี่ไหวและอวี๋ลู่ล้วนตามไปด้วย

ผลคืออาหารมื้อนี้ยังคงเป็นเผยเฉียนที่ควักกระเป๋าเงินจ่าย

หลี่เป่าผิงยิ้มตาหยีดึงแก้มเผยเฉียน เผยเฉียนยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง

กลับมาถึงสำนักศึกษา คืนนี้เผยเฉียนจะไปนอนกับหลี่เป่าผิง คนทั้งสองมีเรื่องให้ต้องคุยกันมากมาย

หลี่ไหวรีบไปปรึกษาเรื่องใหญ่กับหลิวกวานและหม่าเหลียน ไม่อย่างนั้นคงรักษาตำแหน่งในยุทธภพเอาไว้ไม่ได้

เฉินผิงอันมาตกปลาอยู่ริมทะเลสาบกับอวี๋ลู่

คนทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกัน

ได้ปลามาจำนวนมาก

น่าเสียดายก็แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวอย่างในปีนั้น ไม่อย่างนั้นแกงปลาที่ต้มเสร็จต้องทำให้คนกินจนพุงกางได้แน่นอน

ตอนที่เก็บคันเบ็ด อวี๋ลู่ถามว่า “ตอนนี้เจ้าคือขอบเขตร่างทองหรือ?”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมชายฝั่ง เปิดข้องปลาออก แล้วปล่อยปลาทะเลสาบทุกตัว ที่ตกมาได้กลับลงน้ำไป เงยหน้ายิ้มถามว่า “ฟังจากน้ำเสียงดูแล้วเหมือนจะยอมไม่ได้นะ?”

อวี๋ลู่พยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “มาฝึกฝีมือกันหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันถาม “ไม่กลัวจะถ่วงรั้งการเรียนหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้อวี๋ลู่สะอึกอึ้งพูดไม่ออก เขาเก็บคันเบ็ดและข้องจับปลา พาเฉินผิงอันไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ย

ตรงระเบียงแห่งนั้น เซี่ยเซี่ยยังคงรวบรวมสมาธิอยู่ในสภาวะนั่งลืมตน

หลินโส่วอีจากไปแล้ว

พอได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยเซี่ยก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนเดินมาเปิดประตู พอได้ยินจุดประสงค์การมาเยือนของคนทั้งสอง เซี่ยเซี่ยก็อดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “สามารถชมศึกได้ไหม?”

อวี๋ลู่ยืนอยู่ในลานบ้าน ยิ้มกล่าว “ตามใจ”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่บอกให้อวี๋ลู่รอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ม้วนชายกางเกงขึ้นมาก่อน เผยให้เห็นรองเท้าผ้าที่เผยเฉียนเย็บเองกับมือ ฝีเย็บ ไม่เท่าไร ไม่ถือว่าแน่นหนา แต่อบอุ่น เฉินผิงอันสวมแล้วสบายใจมาก

พอเฉินผิงอันลุกขึ้นยืนก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นเบาๆ เขาคลี่ยิ้มมองไปยังอวี๋ลู่ เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายฝ่ามือออก “เชิญ”

อวี๋ลู่พลันเอ่ยว่า “ไม่สู้แล้ว ข้ายอมแพ้”

เซี่ยเซี่ยไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย เรื่องแบบนี้อวี๋ลู่ทำได้ อีกทั้งยังทำได้อย่างไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย คนอื่นๆ ล้วนไม่มีนิสัยอย่างอวี๋ลู่ หรือควรจะพูดว่าหน้าไม่หนาเท่านี้

เฉินผิงอันเอ่ยโน้มน้าว “อย่าสิ ก็แค่ฝึกซ้อมมือเท่านั้น ประลองฝีมือของขอบเขตเดียวกัน แพ้ชนะล้วนเป็นเรื่องปกติ”

อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “ข้าต้องการรักษาสถิติไม่พ่ายแพ้เจ้าเอาไว้ ส่วนเรื่องการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ ค่อยเก็บไว้ทำกับผู้อาวุโสจูเหลี่ยนของภูเขาลั่วพั่วก็ได้”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างฉุนๆ “กลัวว่าจะล้มคว่ำเพราะหมัดเดียวของข้าสินะ?”

อวี๋ลู่หันหน้าไปมองเซี่ยเซี่ย

นางยิ้มกล่าว “ฟ้าดินเงียบสงัด ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

อวี๋ลู่ยกนิ้วโป้งให้นาง “มีคุณธรรมมากกว่าคนบางคนเยอะเลย”

หลังจากที่คนทั้งสองที่ตีกันไม่สำเร็จจากไปแล้ว เซี่ยเซี่ยก็ทิ้งตัวนอนลงบนระเบียง หลับตาลง บางครั้งที่นี่มีความครึกครื้นบ้างก็ไม่เลวเลย

ออกมาจากเรือน คนทั้งสองเดินไปทางที่พักของอวี๋ลู่ด้วยกัน เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากฝึกหมัดโดยไม่มีความหมายนั่น ย่อมไม่ได้เด็ดขาด แต่หากอาศัยแค่ความหมายนั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน”

อวี๋ลู่เอ่ย “ข้าจะหาข้ออ้างไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วสักพักหนึ่ง”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

มีพบก็ต้องมีจากลา

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนและหลี่เป่าผิง หลี่ไหวไปเล่นปาหิมะด้วยกัน ร่วมแรงร่วมใจกันปั้นมนุษย์หิมะไว้ส่วนหนึ่งแล้วก็ออกมาจากสำนักศึกษา

หลี่เป่าผิงยืนอยู่หน้าประตูสำนักศึกษา มองส่งคนทั้งสองจากไป

เฉินผิงอันเดินถอยหลัง โบกมือบอกลา

หลี่เป่าผิงโบกมือเบาๆ

เผยเฉียนชูมือสองข้างขึ้นโบกอย่างแรง

เมื่อร่างของคนทั้งสองหายวับไปตรงมุมหัวเลี้ยว หลี่เป่าผิงก็เริ่มวิ่งตะบึงขึ้นเขาไป

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย ไม่ได้เห็นแม่นางคนนี้วิ่งตะบึงแบบนี้ มาหลายปีแล้ว ตอนนี้ได้เห็นอีกครั้ง รู้สึกคิดถึงไม่น้อย

หลี่เป่าผิงมาถึงบนยอดเขาของสำนักศึกษาแล้วก็ปีนขึ้นต้นไม้ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เหม่อลอยไร้คำพูด

เฉินผิงอันไปที่ร้านแห่งหนึ่งที่ขายหินหยก เถ้าแก่ร้านยังคงเป็นเถ้าแก่คนนั้น ปีนั้นเฉินผิงอันซื้อของขวัญจากลาให้หลี่เป่าผิงที่นี่ เถ้าแก่ก็มอบมีดแกะสลักให้เขาเล่มหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับจำเฉินผิงอันไม่ได้แล้ว

เฉินผิงอันเลือกหินหยกลวดลายสีขาวมาก้อนหนึ่ง คิดว่าจะสลักตัวอักษรลงไปด้วยตัวเอง

เผยเฉียนอยากซื้อให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ขอให้อาจารย์แกะสลักตัวอักษรให้ มอบเป็นตราประทับให้นางในวันหน้า

เฉินผิงอันจึงซื้อเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น ไม่ให้เผยเฉียนต้องจ่ายเงินอีกแล้ว ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนมีถุงเงินอยู่แค่ถุงเดียว เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

ออกมาจากร้าน ยืนอยู่บนถนนใหญ่ เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังยอดเขาภูเขาตงหัวของสำนักศึกษา ที่นั่นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เวลานี้น่าจะมีแม่นางสวมชุดผ้าฝ้าย บุนวมสีแดงที่หีบไม้ไผ่ใบเล็กขนาดไม่เหมาะกับตัวอีกต่อไปแล้วยืนอยู่

หลี่เป่าผิงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ แกว่งขาทั้งสองข้างเบาๆ เพิ่งจะจากลากันก็เริ่มคิดถึงการพบกันในครั้งหน้าแล้ว

นางไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แต่เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย

อาจารย์อาน้อยของนางเยือกเย็นเป็นที่สุด

นางเองก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เพียงแค่ด้อยกว่าอาจารย์อาน้อยเล็กน้อย จึงเป็นคนเยือกเย็นอันดับสอง

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างพูดจ้อเล่าถึงเรื่องน่าสนใจที่ได้ยินได้ฟังมาจากพี่หญิงเป่าผิงและหลี่ไหว

เฉินผิงอันยิ้มพลางฟังนางพร่ำพูด

คนทั้งสองนั่งเรือมังกรกลับไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวด้วยกัน

เฉินผิงอันคำนวณเวลาการเดินทางไปกลับระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาหนิวเจี่ยว อย่างแม่นยำ เก็บสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาที่จะเดินทางข้ามทวีปลงใต้อีกครั้งเริ่มออกเดินทางไกลไปยังทิศใต้

บนเรือข้ามฟากมีเหวยอวี่ซงผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ดูแลเรื่องเงินทองของสำนักพีหมา และยังมีเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสวนน้ำค้างวสันต์อย่างถังสี่แห่งเรือนจ้าวเย่ฉ่าว อยู่ด้วย

เว่ยป้อเองก็ปรากฏตัว

ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาพีอวิ๋น สำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์

ก่อนหน้านี้กำหนดเค้าโครงคร่าวๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เวลานี้กลุ่มอิทธิพลสี่ฝ่ายจึงมาร่วมกันปรึกษารายละเอียดยิบย่อยของการทำการค้าข้ามทวีป

หลังจากพูดคุยกันพอประมาณแล้ว เว่ยป้อก็จากไปก่อน ความหมายก็คือกิจธุระที่เหลืออยู่ของทางฝ่ายภูเขาพีอวิ๋นของเขาเว่ยป้อ เฉินผิงอันสามารถตัดสินใจแทนได้

จากนั้นที่ท่าเรือตระกูลเซียนที่ลงจอดระหว่างทางซึ่งถือว่าอยู่ใกล้กับทะเลสาบ ซูเจี่ยนมากที่สุด หลี่ฝูฉวีซึ่งเป็นตัวแทนของกองกำลังจากสำนักเจินจิ้งก็ขึ้นมาบนเรือข้ามทวีปลำนี้

นี่เป็นการพูดคุยเรื่องการงานเป็นครั้งที่สองของเฉินผิงอัน พูดถึงเรื่องกิจธุระในพื้นที่มงคลรากบัว นอกจากหลี่ฝูฉวีแล้วจึงยังมีซุนเจียซู่และฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า มาเข้าร่วมด้วย ทั้งสองฝ่ายล้วนให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ อีกทั้งยังไม่ได้เรียกร้องขอส่วนแบ่งใดๆ

เพื่อปกปิดหูตาผู้คนอย่างสุดความสามารถ ซุนเจียซู่และฟ่านเอ้อร์จึงแอบออกจากนครมังกรเฒ่า ในขณะที่เรือข้ามทวีปยังไม่เข้ามาในอาณาเขตของนครมังกรเฒ่า คนทั้งสองจึงทยอยกันขึ้นเรือจากท่าเรือที่แตกต่างกัน

เฉินผิงอันได้พบกับฟ่านเอ้อร์ เรื่องแรกที่ทำก็คือมอบเครื่องปั้นที่เขาเผาเองกับมือให้อีกฝ่าย ด้วยเรื่องนี้ตอนที่อยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนเฉินผิงอันยังแวะไปเยือนที่เตาเผามังกรซึ่งตัวเองเคยเป็นลูกศิษย์มารอบหนึ่ง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ย้อนกลับไปยังเตาเผามังกรอีกครั้ง

หลังจากที่เรือข้ามทวีปจอดลงที่ท่าเรือนอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันก็ไม่ได้เข้าไปในนครมังกรเฒ่า เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านยังไม่เดินทางกลับมาจากภูเขาห้อยหัว ทว่าเรือข้ามทวีปของตระกูลซุน เต่าทะเลภูเขาที่บรรพบุรุษตระกูลซุนจับมาได้ตัวนั้นกำลังจะออกเดินทาง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้นั่งเรือข้ามทวีปโดยไม่ต้องจ่ายเงินอีกครั้ง

ครั้งนี้ออกทะเลและเป็นการเดินทางไกลอีกครั้ง ทุกวันที่ผ่านไปก็ทำให้ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่มากขึ้นทีละนิด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!