Skip to content

Sword of Coming 574

บทที่ 574 เขาเฉินผิงอันนี่แหละที่น่ารำคาญที่สุด

เฉินผิงอันออกจากศาลามาเงียบๆ เดินลงแท่นสังหารมังกรมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชราท่านนั้น

หญิงชรายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คารวะคุณชายเฉิน ข้าหญิงชราแซ่ป๋าย นามเลี่ยนซวง คุณชายเฉินสามารถเรียกข้าว่าป๋ายหมัวมัวตามคุณหนูได้”

เฉินผิงอันเรียกป๋ายหมัวมัวหนึ่งคำ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

หญิงชราขยับเท้าก้าวเดินนำไปก่อนอย่างเงียบเชียบ ลมปราณทั่วร่างถูกเก็บซ่อนไว้ด้านในจนมองดูเหมือนบ่อน้ำโบราณที่นิ่งสนิท เฉินผิงอันเดินตามหญิงชราไป

หญิงชราเงียบงันไปชั่วขณะ หลังจากเดินออกมาได้ร้อยกว่าก้าวแล้วถึงได้ยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าหลายปีมานี้ที่คุณชายเฉินท่องไปสี่ทิศในใต้หล้าไพศาล คงไม่ได้ผ่อนคลายนัก”

ตอนนี้นางมีตบะแค่ขอบเขตยอดเขา เพียงแต่ว่าสายตากลับยังคงเป็นสายตาของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอยู่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่เป็นเด็กรุ่นหลัง ต่อให้ จะพยายามปกปิดอย่างสุดกำลังแค่ไหน แต่เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของหญิงชรา ก็ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่แบกของหนักเดินข้ามแม่น้ำ อีกฝ่ายมีพละกำลังมากเท่าไร นางย่อมรู้ชัดเจนดี ทว่าขอบเขตหกผู้ฝึกยุทธของคนหนุ่มที่อยู่ข้างกายนี้กลับปกปิด ได้อย่างแนบเนียน นี่หมายความว่าคนหนุ่มไม่ใช่แค่เกิดความคิดชั่วคราว จึงจงใจ กดขอบเขตให้ต่ำเฉพาะแค่ตอนที่มาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แต่ทำมา นานมากแล้วจนกลายเป็นธรรมชาติ ถึงได้สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่เช่นนี้

เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “ไม่ได้ราบรื่นมากนัก แต่ก็เดินผ่านมาได้แล้ว”

หญิงชราหยุดเดิน ยิ้มถามว่า “ในบรรดาศัตรูทั้งหลาย ขอบเขตสูงสุดของ ผู้ฝึกลมปราณคือเท่าไร แล้วขอบเขตของผู้ฝึกยุทธคือเท่าไร?”

เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แต่ฝ่ายแรกเป็นศัตรูคู่อาฆาต แน่นอนว่าข้าไม่ได้ผ่านมาได้โดยอาศัยตัวเองทั้งหมด จุดจบอเนจอนาถอย่างมาก แต่ฝ่ายหลังกลับเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่จงใจชี้แนะ วิชาหมัดให้แก่ข้าด้วยการกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตเก้า แล้วออกหมัดใส่ข้าสามหมัด”

ต่อให้เป็นหญิงชราที่เกิดและเติบโตมาในสถานที่อย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขนาดนี้แล้วคุณชายเฉิน ยังไม่ตายอีกหรือ?”

แล้วหญิงชราก็หัวเราะกับตัวเองพลางเอ่ยว่า “เสียมารยาทแล้ว หวังว่าคุณชายเฉิน จะให้อภัย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โชคไม่เลว”

หญิงชราส่ายหน้า “พูดแบบนี้ไม่ถูก กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรากลัว คำกล่าวว่าโชคดีมากที่สุด มองดูเหมือนโชคดี แต่ส่วนใหญ่มักจะต้องตายเร็ว เรื่องของโชคชะตานั้นจะให้ดีเกินไปไม่ได้ จะต้องสะสมไปทีละนิดถึงจะมีชีวิต ได้ยาวนานหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว วันหน้าเวลาพูดจะระวังให้มาก”

หญิงชราโบกมือ “คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้ อยู่ที่นี่ พูดง่ายเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็พูดง่ายแค่ในนี้เท่านั้นแหละ ออกไปข้างนอก ข้าอาจจะไม่พูดอะไรเลยก็ได้”

หญิงชราหัวเราะปากกว้าง “พูดจาถูกหูนัก แต่ว่าตอนนี้มีปัญหาเล็กๆ อยู่ข้อหนึ่ง หญิงแก่อย่างข้าหูตาฟ้าฟาง ชีวิตนี้ได้แต่เตร่ไปเตร่มาอยู่ในตระกูลเหยากับจวนหนิงเท่านั้น สถานที่อื่นๆ ไปเยือนไม่บ่อย ขนาดภูเขาห้อยหัวยังไม่เคยไปสักครั้ง บนหัวกำแพงเมืองและทางทิศใต้ก็ยิ่งไปน้อยครั้ง ตอนนี้คุณชายเฉินเข้ามาในจวน นอกจวนมีคนที่จับตามองพวกเราอยู่มากมาย หญิงแก่อย่างข้าไม่เคยพูดจาอ้อมค้อม ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนคุณชายเฉิน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ อายุน้อยขนาดนี้ ก็มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธขนาดนี้แล้ว ร้ายกาจอย่างมาก ข้ากับเจ้าคนแซ่ น่าหลันผู้นั้นต่างก็ชื่นชมปลาบปลื้ม หญิงชราอย่างข้ายังดีหน่อย เพราะใจดำมากกว่า ทว่าตาแก่หนังเหนียวนั่นกลับแอบวิ่งไปจุดธูปแล้ว คาดว่าคงหลั่งน้ำตาไปไม่น้อย อายุปูนนี้แล้วไม่รู้จักอายเสียบ้าง”

เฉินผิงอันกล่าว “ป๋ายหมัวมัวเชิญออกหมัดได้ตามสบาย หากรับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะยอมอยู่ในจวนแห่งนี้แต่โดยดี”

หญิงชราซอยเท้าขยับตรงไปเบื้องหน้า มองไม่เห็นคลื่นลมปราณใดๆ ไหลวนเวียน แต่หมัดหนึ่งกลับพุ่งออกมา เฉินผิงอันใช้มือซ้ายและศอกซ้ายกดหมัดนั้นไว้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยหมัดขวาใส่หน้าหญิงชรา เพียงแต่ว่าเก็บปณิธานหมัดกลับคืน ในชั่วพริบตายั้งหมัดนี้เอาไว้

แต่หญิงชรากลับไม่มีท่าทีว่าจะเก็บหมัด ต่อให้จะถูกข้อศอกของเฉินผิงอัน กดหมัดลงมาได้ชุ่นกว่าๆ แต่หมัดนั้นก็ยังต่อยเปรี้ยงลงบนร่างของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันไถลถอยกรูดออกไปบนระเบียงหลายจั้ง ใช้กระบวนท่าหมัดชั้นสูงประคองรากฐานของปณิธานหมัดเอาไว้ เรือนกายที่โก่งงอเหมือนวานรพลัน ขยายปณิธานหมัด สันหลังเหมือนกระดูกมังกรใหญ่ พริบตานั้นร่างก็พลันหยุดชะงัก ยืนนิ่งได้อย่างมั่นคง หากไม่เป็นเพราะนี่เป็นแค่การประลองที่ต่างฝ่ายต่างหยุด เมื่อพอสมควร บวกกับที่หญิงชราแค่ปล่อยหมัดของขอบเขตเดินทางไกล ไม่อย่างนั้นอันที่จริงเฉินผิงอันก็สามารถสวนทวนกระแส หรือถึงขั้นต้านรับหมัดนี้ไว้ได้โดยที่ ไม่ถอยร่นแม้แต่ครึ่งก้าว

หญิงชรายิ้มพลางพยักหน้ารับ “ถือเสียว่ารับของขวัญพบหน้าจากคุณชายเฉินแล้ว ถ้าอย่างนั้นหญิงแก่เช่นข้าก็คงไม่ถ่วงเวลาการชมจันทร์ของคุณชายเฉินแล้ว”

ผู้ดูแลเฒ่าคนนั้นมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชรา เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นินทาข้าทำไม?”

หญิงชรายิ้มกล่าว “ทำไม รู้สึกว่าขายหน้าว่าที่ท่านเขยหรือ? เจ้าน่าหลันเย่สิง ยังจะมีหน้าตากะผายลมอะไรอีก”

ผู้ดูแลเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที

เฉินผิงอันกลับมาที่ศาลา หนิงเหยาลุกขึ้นมานั่งแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “ทำไมไม่นอนหลับให้นานอีกหน่อย”

หนิงเหยาหัวเราะเสียงเย็น “มิกล้า”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างน้อยใจ “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าไม่ใช่คนประเภทนั้น”

เผยเฉียนเรียนรู้มาจากใครมากที่สุด หากเฉินผิงอันไม่ได้เป็นเงามืดใต้โคมไฟ ก็คงแกล้งโง่

หนิงเหยาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มือหนึ่งถือหนังสือเล่มนั้น สองนิ้วคีบเปิดหน้าหนังสือ เปิดไปที่หน้านักพรตหญิงของพื้นที่มงคลดอกบัว แล้วก็คีบอีกหน้า คือ สุยโย่วเปียนสตรีในม้วนภาพ ผ่านไปอีกไม่กี่หน้าก็มาเจอกับเหยาจิ้นจือแห่งราชวงศ์ ต้าเฉวียนคนนั้น

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นคอยืดยาว มองหนิงเหยาที่เปิดตำราหน้าแล้วหน้าเล่า หนังสือเล่มนี้เขาเป็นคนเขียนเอง ประมาณหน้าไหนเขียนประสบการณ์แห่งภูเขาสายน้ำเรื่องใด ในใจเขาย่อมรู้ดี เวลานี้จึงพลันรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม แม่นางหนิงเจ้าจะอ่านหนังสือแบบนี้ไม่ได้นะ มีเรื่องราวแปลกประหลาด

มีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามที่เขียนไว้ยาวเหยียดอยู่หลายบทขนาดนั้น ตนบันทึก แต่ละคำแต่ละประโยคไว้ด้วยความตั้งใจ จะพลาดไปได้อย่างไร เจ้าเอาแต่ไปอ่าน เรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย ตัดเอาเฉพาะส่วน ผิดต่อหลักการอ่านตำราแบบนี้ได้อย่างไร

หนิงเหยาปรายตามองเฉินผิงอัน “ข้าได้ยินมาว่าเวลาที่บัณฑิตเขียนบทความ มักจะชอบทิ้งส่วนให้ขบคิดเอาไว้เสมอ ยิ่งเป็นถ้อยคำที่กระชับเรียบง่ายก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ ซ่อนความคิดเอาไว้ มีความหมายลึกล้ำ”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่รู้เลย ถึงอย่างไรข้าก็ ไม่ใช่บัณฑิตที่มีนิสัยอ้อมค้อมวกวนไปมา มีหนึ่งก็พูดหนึ่ง มีสองเขียนสอง มีสามคิดสาม ล้วนเขียนไว้บนตำราอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว”

หนิงเหยาก้มหน้าอ่านตำราต่อ ถามว่า “มีสตรีที่ไม่ได้ปรากฏในตำราบ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบอย่างหนักแน่น “ไม่มี!”

หนิงเหยาเงยหน้า ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นรู้สึกว่าข้ากำลังทำตัวงี่เง่า คิดบัญชีย้อนหลัง ระแวงส่งเดชหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า

หนิงเหยาพยักหน้ารับ ในที่สุดก็ยอมปิดตำราลง พูดอย่างให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ตอนที่จัดการกับเทพธิดากู้ชิงของดินแดนเซียนเป่าต้งในศาลเทพวารีของอุตรกุรุทวีป ทำได้ว่องไวหมดจดดีมาก วันหน้าก็พยายามให้มากขึ้นอีก”

เฉินผิงอันกล่าว “โอกาสแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว”

หนิงเหยาเลิกคิ้ว “เฉินผิงอัน เดี๋ยวนี้เจ้าพูดเก่ง เข้าใจพูดขนาดนี้ สรุปแล้ว ไปเรียนมาจากใครกันแน่?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเลว่า “หากเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี ก็ต้องเป็นเพราะเรียนรู้มาจากจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงแห่งภูเขาลั่วพั่วแน่”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “จูเหลี่ยนนั้นบอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยเจอมาก่อน แต่เจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น ดูท่าแล้วก็ไม่ใช่คนมีแก่นสารอะไรจริงๆ”

แต่หนิงเหยาก็เอ่ยอีกว่า “แต่ศึกในนครมังกรเฒ่า เจิ้งต้าเฟิงทำให้คนต้องมองเขาเสียใหม่ ก็แค่มองดูเหมือนไม่จริงจัง แต่กลับเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมากที่สุด เส้นทางการเป็นผู้ฝึกยุทธของเจิ้งต้าเฟิงขาดสะบั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ เขาช่วยเจ้าเฝ้าประตูใหญ่ให้กับภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็ห้ามละเลยเขาเด็ดขาด ส่วนบุรุษ บางคน มองภายนอกดูเหมือนเป็นคนจริงจัง แต่แท้จริงแล้วในท้องมีแต่ความคิด บิดเบี้ยว จิตใจโลเล”

เฉินผิงอันมองหนิงเหยา หนิงเหยามองเขา

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “คงไม่ได้หมายถึงข้าใช่ไหม?”

หนิงเหยาถาม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่แน่นอน”

หนิงเหยาหัวเราะ

เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้ายจริงๆ

เขาออกท่องยุทธภพด้วยปราณเที่ยงตรงทั่วร่าง ไม่เคยข้องเกี่ยวกับสตรีเลยแม้แต่น้อย

หนิงเหยาไม่มีท่าทีว่าจะคืนตำรามาให้ นางเก็บมันไว้ในวัตถุจื่อชื่อของตนแล้ว ลุกขึ้นยืน “จะพาเจ้าไปยังที่พัก จวนกว้างใหญ่ หลายปีมานี้ก็มีแค่ข้า ป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันสามคนที่อยู่อาศัย เจ้าเลือกเอาเรือนที่ถูกใจได้เลย”

เฉินผิงอันลุกขึ้นตามไปด้วย “เจ้าพักอยู่ที่ไหน?”

หนิงเหยาหยุดเดิน หันหน้ามามองเฉินผิงอัน นางยิ้มตาหยี กำมือเป็นหมัด “ไหนเจ้าลองพูดให้ดังๆ หน่อยสิ ข้าไม่ได้ยิน”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าแค่อยากเลือกเรือนที่อยู่ใกล้กับเจ้าหน่อย”

หนิงเหยาเขินอายเล็กน้อย ถลึงตาใส่เขาพลางเอ่ยว่า “อยู่ที่นี่เจ้าทำตัวให้ดีๆ หน่อย ป๋ายหมัวมัวก็คือสาวใช้ประจำกายของท่านแม่ข้า หากเจ้ากล้ามือไม้ยุกยิก ไม่รักษากฎ หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาจะป้อนให้เจ้าอิ่มจนเรอออกมา เลยเชียว”

เพียงแต่ว่าพอกล่าวมาถึงตรงนี้ หนิงเหยาก็นึกถึงบันทึกบางช่วงในตำราขึ้นมาได้ รู้สึกว่าดูเหมือนหมัดของป๋ายหมัวมัวจะยังขู่เขาไม่ได้ จึงเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “ท่านปู่น่าหลันเคยเป็นหนึ่งในเซียนกระบี่ที่เชี่ยวชาญการอำพรางตัวและลอบฆ่าที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิต ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้จิตวิญญาณของเขาทุกวันนี้โรยรา แต่พลังการต่อสู้ก็ยังเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ หากถูกเขาจับตามองอย่างลับๆ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมองท่านปู่น่าหลันเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินได้เลย”

เฉินผิงอันวางใจได้มากขึ้น เขาถามว่า “ท่านปู่น่าหลันขอบเขตถดถอยก็เพราะปกป้องเจ้าเหมือนกันหรือ?”

หากเป็นคนอื่น เฉินผิงอันไม่มีทางเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้แน่นอน แต่หนิงเหยานั้นไม่เหมือนกัน

ปีนั้นตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู วิธีการจัดการกับเรื่องราวของหนิงเหยาเคยทำให้เฉินผิงอันได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง

หนิงเหยาพยักหน้ารับ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “เหมือนกับป๋ายหมัวมัวที่ต่างก็เพื่อปกป้องข้า เพียงแต่ว่าป๋ายหมัวมัวขัดขวางนักฆ่าที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด คนหนึ่งในเมือง ส่วนท่านปู่น่าหลันอยู่บนสนามรบทางใต้ของเมือง ขัดขวางปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อรอฉวยโอกาสโจมตี หากไม่เป็นเพราะท่านปู่น่าหลัน ข้ากับพวกเตี๋ยจ้างก็คงตายกันไปหมดแล้ว”

หนิงเหยาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “ไม่ต้องรู้สึกละอายใจ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก เรื่องเดียวที่มีประโยชน์ก็คือฝ่าทะลุขอบเขตสังหารศัตรู ป๋ายหมัวมัวกับท่านปู่น่าหลันถือว่าดีแล้ว หากไม่สามารถปกป้องข้า เจ้าลองคิดดู ท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเสียใจ แค่ไหน? เรื่องราวทุกอย่างควรจะคิดในแง่ดีเข้าไว้ แต่จะคิดอย่างไร คิดหรือไม่ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ฝ่าทะลุขอบเขต ไม่ฆ่าปีศาจ ไม่กล้าตาย ก็ถือว่ามีขอบเขตเสียเปล่า และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็เป็นแค่เครื่องประดับที่ไร้ค่า อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ชีวิตของทุกคนล้วนมีมูลค่า ถ้าอย่างนั้นในชีวิตของคนคนหนึ่งก็ต้องดูที่ว่าตอนที่รบตายมีขอบเขตเท่าไร และระหว่างนี้ได้สังหารปีศาจกับมือตัวเองไปมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงปีศาจใหญ่ที่ถูกเหล่าอาจารย์กระบี่ทั้งหลายล่อให้มาติดกับแล้วซุ่มฆ่ามีเท่าไร จากนั้นก็เอามา หักกับขอบเขตของตัวเอง รวมถึงอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามที่ตายไประหว่างทาง ได้กำไรหรือขาดทุน ล้วนมองเห็นได้ในปราดเดียว”

เฉินผิงอันกล่าว “ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนเป็นเหยื่อล่อที่โยนออกไปอย่างเปิดเผย”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ พูดเสียงหนัก “ใช่! ข้า เตี๋ยจ้าง เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เสี่ยวกวอกวอที่ตายไปแล้ว แน่นอนว่ายังมีพวกคนวัยเดียวกันอีกมากมาย พวกเราทุกคนล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แต่นี่ไม่ถ่วงรั้งการทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่เพื่อสังหารศัตรูของพวกเรา ในทางส่วนตัวแล้วพวกเราทุกคนต่างก็มีสมุดบัญชีอยู่เล่มหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ขอบเขตแตกต่างกันไม่มาก

ใครเอวแข็งกว่าใคร ก็ต้องดูที่ว่าใครหาเงินได้เร็วที่สุด ศีรษะของปีศาจก็คือเงินเพียงหนึ่งเดียวในสายตาของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่!”

หนิงเหยาชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ในบ้านของเจ้าอ้วนเยี่ยน เงินเทพเซียนที่มาจาก ใต้หล้าไพศาลเยอะไหม เยอะมาก แต่ตอนที่เจ้าอ้วนเยี่ยนยังเด็ก กลับเป็นเด็ก ที่ถูกรังแกอย่างอนาถที่สุด เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนดูแคลนเขา ครั้งที่น่าสังเวชที่สุดก็คือเขาสวมชุดคลุมอาคมใหม่เอี่ยมตัวหนึ่ง คิดจะออกไปโอ้อวดนอกบ้าน แต่ผลกลับถูกคนวัยเดียวกันกลุ่มหนึ่งดักตัวไว้ในตรอก ตอนที่กลับมาถึงบ้าน เจ้าอ้วนน้อยที่ ร้องไห้โฮมีแต่กลิ่นฉี่เต็มตัว ภายหลังเยี่ยนจั๋วมาอยู่กับพวกเราถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย ตัวเจ้าอ้วนเยี่ยนเองก็ใจสู้ด้วย นอกจากครั้งแรกที่ลงสนามรบที่ถูกพวกเรารังเกียจแล้ว หลังจากนั้นมาก็มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายรังเกียจคนอื่น”

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พูดปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “เป็นสถานที่ที่ดีที่ไม่ว่า จะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่เงียบเหงา”

หนิงเหยาถาม “สรุปว่าเจ้าเลือกเรือนพักได้หรือยัง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังเลย มาคราวนี้ต้องอยู่นานหน่อย จะทำแบบขอไปทีไม่ได้ พาข้าเดินต่ออีกหน่อยสิ”

หนิงเหยาบ่น “เจ้านี่น่ารำคาญที่สุดเลย”

แม้ปากจะบอกว่ารำคาญ ทว่าฝีเท้าของแม่นางที่มีกลิ่นอายองอาจทั่วร่าง กลับไม่เร็วขึ้น

เฉินผิงอันคิดเรื่องในใจบางอย่าง

อันที่จริงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับคนทั้งสองอย่างแนบแน่น

แล้วก็ยังถามเรื่องสถานการณ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในช่วงหลายปี ที่ผ่านมานี้จากหนิงเหยาด้วย

อยู่ดีๆ หนิงเหยาก็เหยียบหลังเท้าเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันคืนสติกลับมา บอกที่อยู่ของเรือนหลังหนึ่ง หนิงเหยาจึงบอกให้เขา เดินไปเอง ส่วนนางจากไปเพียงลำพัง

เฉินผิงอันไปถึงเรือนที่ตัวเองเลือก อยู่ห่างจากที่พักของหนิงเหยาไม่ไกล แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนบ้านกัน

ป๋ายเลี่ยนซวงหญิงชราที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับมาช่วยเปิดประตูให้ นางมอบกุญแจพวงใหญ่ให้เฉินผิงอัน บอกชื่อของเรือนทั้งหลายให้ฟัง เห็นได้ชัดว่าสถานที่เหล่านี้ เฉินผิงอันล้วนสามารถเปิดประตูเข้าไปเยือนด้วยตัวเองได้

หญิงชรามอบกุญแจให้แล้วก็เอ่ยสัพยอกว่า “กุญแจเรือนของคุณหนู ไม่ต้องมอบให้คุณชายเฉินจริงๆ หรือ”

เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบพูดว่า “ไม่ต้องๆ”

เข้ามาในเรือนสองชั้นที่เงียบสงบ เฉินผิงอันเลือกห้องห้องหนึ่งแล้วก็ปลดเจี้ยนเซียน ที่อยู่ด้านหลังลง หยิบชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะด้วยกัน

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ยื่นมือไปลูบชุดคลุมอาคมตัวนั้น

หากจะพูดว่าเจี้ยนเซียนเล่มนี้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่ด้านล่างมือชิ้นนี้กลับคืนมาเป็นระดับของอาวุธเซียนได้อย่างไร เฉินผิงอันก็รู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร แต่ละบัญชีล้วนกระจ่างแจ่มชัด

คำตอบนั้นง่ายดายมาก เพราะล้วนเป็นผลลัพธ์จากการป้อนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองทีละเหรียญทั้งสิ้น จินหลี่เคยเป็น ‘เสื้อคลุมมังกร’ ที่เจียวชั่วร้ายในร่อง เจียวหลงตัวนั้นสวมอยู่บนร่าง เพราะเทียนซือท่านหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ปิดด่านบนภูเขาเซียนนอกมหาสมุทรล้มเหลว นี่จึงเป็นของที่เขาทิ้งเอาไว้ ตอนที่มาอยู่ในมือของเฉินผิงอันมีระดับขั้นแค่สมบัติอาคม

หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไกลร่วมกันเป็นพันเป็นหมื่นลี้ กินเหรียญทองแดง แก่นทองไปไม่น้อย จึงค่อยๆ กลายมาเป็นอาวุธกึ่งเซียน ครั้งนี้ก่อนที่เฉินผิงอันจะเดินทางมายังภูเขาห้อยหัวก็ยังคงเป็นระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียน และติดค้างอยู่ อย่างนี้มานานหลายปีแล้ว เฉินผิงอันจึงใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่เหลืออยู่ชิ้นนั้นมาทำการค้ากับเว่ยป้ออย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง ซานจวินแห่งขุนเขาเหนือเพิ่งจะได้ เหรียญทองแดงแก่นทองมาจากทางราชสำนักต้าหลีหนึ่งร้อยเหรียญ จึงอาศัยความสามารถและแววตาของตัวเองมา ‘เดิมพันใหญ่’ กับเจ้าขุนเขาลั่วพั่วท่านนี้ ของเรา

เฉินผิงอันใช้ชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสเป็นค่าตอบแทน แลกมาด้วยการทำให้ ชุดคลุมอาคมจินหลี่เลื่อนขั้นเป็นระดับของอาวุธเซียน เศษร่างทองแก้วใสที่มีหวังว่าจะปรากฏได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานตายดับ เว่ยป้อต้องการวัตถุชิ้นนี้มากกว่าเหรียญทองแดงแก่นทอง สิ่งที่เว่ยป้อเดิมพันก็คือ หวังว่าตัวเองจะไม่ต้องควักทรัพย์สมบัติอย่างเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งร้อยเหรียญออกมาจนหมดก็สามารถช่วยให้ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ประวัติความเป็นมาแปลกประหลาดเลื่อนขั้น พัฒนาไปอีกก้าว สุดท้ายกลายเป็นอาวุธเซียนในตำนานได้สำเร็จ

ส่วนถึงท้ายที่สุดแล้วเว่ยป้อต้องใช้เหรียญทองแดงแก่นทองไปมากน้อยเท่าไร เฉินผิงอันไม่ได้ถาม เว่ยป้อก็ไม่ได้บอก

ในฐานะทวยเทพแห่งขุนเขาที่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป เว่ยป้อได้รับของขวัญอวยพรจากฮ่องเต้ต้าหลี ก็ถือว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดิน

มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางที่ออกจากอาณาเขตเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ได้รับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาห้าสิบเหรียญเช่นเดียวกัน

ถ้าอย่างนั้นองค์เทพขุนเขาใหม่ทั้งสามที่เหลืออยู่ของต้าหลีก็น่าจะเริ่มต้นที่ ห้าสิบเหรียญเช่นกัน

ส่วนเว่ยป้อจะได้รับผลเก็บเกี่ยวอีกหรือไม่ กลับบอกได้ยากแล้ว เพราะถึงอย่างไรร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามศาลเถื่อนในขุนเขาสายน้ำที่ถูกกองทัพเหล็กต้าหลีสั่งห้ามบูชาและทุบทำลายทิ้งก็มีจำนวนจำกัด ทางราชสำนักต้าหลีไม่มีทางวิดน้ำให้แห้ง เพื่อจับปลา เปิดฉากสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละฝ่ายอย่างไร้เหตุผลเพียงเพื่อ ความแข็งแกร่งทนทานของร่างทองขององค์เทพห้าขุนเขา เพราะนั่นมีแต่จะชักนำให้ฟ้าพิโรธคนโกรธาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ของทุกวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลง แต่ละจุดของแจกันสมบัติทวีปล้วนมีประชาชนพลัดถิ่นของ แคว้นน้อยใหญ่ที่ล่มสลายร่วมมือกับผู้ฝึกตนบนภูเขาของสำนักที่ถูกกวาดล้างจึงต้องกลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ดินปืนลอยคลุ้งทั่วสี่ทิศ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย ไม่ถึงขั้นทำให้กองทัพม้าเหล็กที่ต้องหันหัวม้ากลับมารู้สึกเหนื่อยล้าในการรับมือ แต่นี่ก็กำหนดมาแล้วว่าจะไปพัวพันเดือดร้อนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของ แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ มีวิญญาณวีรบุรุษน้อยใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ไม่ลืมพระคุณของแคว้น ยินดีที่จะใช้ร่างทองของตนไปปะทะกับกีบเท้าของกองทัพม้าเหล็ก และบางส่วนก็อาจเป็นแค่พวกที่ติดร่างแหพลอยเดือดร้อนไปด้วย แต่ต่อจากนี้ การจัดการกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ในทุกพื้นที่ ต้าหลีจะต้องใช้การปลอบประโลมเป็นหลักอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันมีสีหน้าเคร่งเครียด

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องไปพบกับผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตู อีกทั้ง ยังต้องพูดคุยกันอย่างลับๆ ด้วย

ปีนั้นตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ได้ลงมือด้วยตัวเอง หนึ่งกระบี่ของเขาปลิดชีพผู้ทรยศห้าขอบเขตบนในนคร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็เกือบจะเปลี่ยนมาเป็นเลวร้าย เหล่าผู้กล้ามาชุมนุมกัน

เจ้าประมุขของสกุลใหญ่ทั้งหลายต่างก็ปรากฏตัว ตอนนั้นเฉินผิงอันมองดูอยู่ไกลๆ จากบนหัวกำแพงเมืองด้วยท่าทางประมาณว่า ‘ผู้น้อยอย่างข้าจะรอชม มาดเซียนกระบี่ของพวกท่านทั้งหลายเพื่อเปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น’

ทว่าอันที่จริงเขากลับสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาตั้งแต่แรกแล้ว ระหว่างเซียนกระบี่กับเซียนกระบี่ ระหว่างแซ่สกุลกับแซ่สกุล พวกเขามีอคติต่อกันอยู่ไม่น้อย

แต่เฉินผิงอันก็จำเป็นต้องอดทน ต้องหาโอกาสที่สมเหตุสมผล ถึงจะไปพบกับ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่บนหัวกำแพงเมืองได้

ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวหนึ่งมาจากหนิงเหยา บางทีนั่นอาจจะเป็นข้อมูลที่ช่วยยืนยันความคิดของเฉินผิงอัน เหล่าลูกรักแห่งสวรรค์กลุ่มที่อายุพอๆ กับหนิงเหยานี้ ท่ามกลางสงครามที่ดุเดือดโหดร้ายอย่างถึงที่สุดทั้งสองครั้ง คนที่ต้องตายไปบน สนามรบก่อนวัยอันควรมีอยู่น้อยมาก และคนหนุ่มสาวรุ่นของหนิงเหยาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นรุ่นของผู้มีพรสวรรค์ ถูกขนานนามว่าเป็นเด็กที่มีคุณสมบัติของ เซียนกระบี่ จำนวนของพวกเขามีมากถึงสามสิบกว่าคน อีกทั้งตอนนี้ยังลงสนามรบเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยมีหนิงเหยาเป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังทยอยกันเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางได้อย่างน่าตกใจแต่ไร้อันตรายอยู่เรื่อยๆ นี่ก็คือช่วงเวลาอันดีที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานเป็น หมื่นปีแล้ว

จึงไม่แน่เสมอไปว่าคนของฝั่งกำแพงเมืองจะจับเบาะแสอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงเริ่มลงมือเตรียมการแล้ว

เฉินผิงอันทั้งเป็นกังวล แล้วก็ทั้งวางใจได้

ความคิดนับร้อยประดังประเดเข้ามาพาให้อารมณ์ซับซ้อน

ก็เหมือนกับที่ต่อให้เฉินผิงอันจะเดินทางผ่านภูเขาสายน้ำอันยาวไกลจนมาถึงภูเขาห้อยหัว แต่พอได้พบกับเซียนกระบี่ผู้มีโทษติดตัวที่กอดกระบี่นั่งหลับคนนั้น เขาก็ยังยินดีจะยืนรออยู่ด้านข้างอย่างสงบ รอให้ชายฉกรรจ์ยอมเปิดปากพูดด้วยตัวเอง

ตอนที่ยังเป็นเด็ก ความชอบและความเกลียดล้วนเขียนชัดไว้บนหน้า ปากก็พูดไป บอกกับโลกใบนี้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่

แต่พอเติบโตขึ้นมา กลับยากที่จะทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาเช่นนี้อีกแล้ว

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาที่ลานบ้านแล้วฝึกหมัดเดินนิ่ง เพื่อช่วยให้จิตใจสงบ

ตอนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ที่ชวนให้คนกลัดกลุ้ม เขย่าใหญ่ทำลายแข็ง (มาจากประโยคที่ว่าคิดจะเขย่าคลอนสิ่งใหญ่โต ทุบทำลายสิ่งที่แข็งแกร่ง จะต้องค่อยๆ วางแผนและค่อยๆ ลงมืออย่างรอบคอบเพื่อทำให้สำเร็จ) กลับกลายเป็นว่าทำให้เฉินผิงอันจิตใจสงบ มือนิ่ง และอดทนได้ดีที่สุด

เพียงแต่ว่าเริ่มคิดถึงแม่นางหนิงอีกแล้ว

ส่วนแม่นางคนนั้นที่ถูกเฉินผิงอันคิดถึง เวลานี้กำลังเอาสองมือเท้าคาง นั่งอยู่ข้างโต๊ะ เปิดหนังสือหน้าหนึ่งอยู่ใต้แสงตะเกียง นางไม่ยอมพลิกเปิดไปหน้าอื่นอยู่เป็นนาน

บนหน้าหนังสือที่เขียนด้วยตัวอักษรบรรจงแบบเล็กยาวเหยียดแต่เป็นระเบียบนั้นซ่อนประโยคหนึ่งเอาไว้ เหมือนเด็กขี้อายคนหนึ่งที่หลบอยู่ในมุมเลี้ยวของตรอก ได้แต่กล้าโผล่หน้าออกมาแอบมองหนิงเหยาที่พอพลิกหน้าหนังสือมาถึงตรงนี้ ก็จะมองเห็นเด็กคนนั้น ทำให้นางรู้สึกมองเป็นร้อยรอบก็ไม่เบื่อ

ในหนังสือบอกว่า ซึ่งก็คือเฉินผิงอันบอกว่า

ตอนนั้นไม่ได้ดื่มเหล้า แต่พอมองใบหน้าด้านข้างของแม่นางหนิง เห็นขนตา ของนางสั่นระริกเบาๆ ก็รู้สึกราวกับว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านมานานเป็นหมื่นปีคล้ายจะเกิดสั่นคลอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!