Skip to content

Sword of Coming 579

บทที่ 579 ศิษย์พี่ศิษย์น้องสายเหวินเซิ่ง

ผังหยวนจี้เดินออกมาช้าๆ บนร่างนอกจากฝุ่นผงที่ไม่ได้ตั้งใจปัดออกแล้ว ก็มองความผิดปกติอย่างอื่นไม่ออกอีก

เฉินผิงอันสบตากับเขา ผังหยวนจี้พยักหน้าให้ แล้วเดินผ่านสวนไหล่เฉินผิงอันมา เดินไปทางร้านเหล้าที่มานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ผังหยวนจี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ตะโกนเสียงดังว่า “คนที่ลงเดิมพันว่าข้าจะชนะ ขอโทษที วันนี้ค่าเหล้าของทุกท่าน…”

ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแม้แต่นิดเดียว อะไรที่ควรจ่ายก็จ่าย อะไรที่เชื่อได้ก็เชื่อไว้ก่อน อาศัยความสามารถของตัวเองกันไป”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผังหยวนจี้ก็ยกมืออุดปาก พอแบมือออกแล้วก็สะบัดมือ ในมือมีแต่เลือดสด

พอมาถึงร้านเหล้า เกาขุยเซียนกระบี่ในพื้นที่ก็ยื่นเหล้าถ้วยหนึ่งส่งมาให้ หยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษิณาตยทวีปเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

ผังหยวนจี้กล่าวอย่างจนใจ “ทำให้เซียนกระบี่ทั้งสองท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว”

เกาขุยเอ่ย “ก็แค่แพ้เท่านั้น ไม่ตายก็พอ”

หยวนชิงสู่พยักหน้ารับ “ดีกว่าฉีโซ่วเยอะเลย”

ผังหยวนจี้หันหน้าไปมอง คนกลุ่มนั้นเดินห่างไปไกลแล้ว เยี่ยนจั๋วเรียกเมล็ดลูกท้อแกะสลักลูกหนึ่งออกมา มันพลันแปรเปลี่ยนเป็นรถม้าหรูหราหนึ่งคันที่นำพา พวกเพื่อนๆ ของเขาไปจากถนนใหญ่

ในห้องโถยสารอันกว้างขวาง เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง

เจี้ยนเซียนมีจิตเชื่อมโยงอยู่กับเขาจึงแหวกอากาศกลับไปที่จวนหนิงด้วยตัวเองแล้ว

เยี่ยนจั๋วต้องใช้พื้นที่มาก จึงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเฉินซานชิว ต่งถ่านดำและเตี๋ยจ้างสามคน

บรรยากาศค่อนข้างจะเงียบงัน

เฉินผิงอันเปิดปากถาม “จวนหนิงมียาวิเศษที่ช่วยให้เนื้องอกบนกระดูกหรือไม่?”

หนิงเหยาพยักหน้า

เยี่ยนจั๋วชำเลืองตามองแขนข้างนั้นของเฉินผิงอัน ถามว่า “ไม่เจ็บสักนิดเลยหรือ?”

อาการบาดเจ็บล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในห้องโดยสาร ลำพังแค่เตี๋ยจ้างก็เคยถูกเผ่าปีศาจตัดแขนไปข้างหนึ่งแล้ว

แต่ไม่ขมวดคิ้วสักครั้งตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเฉินผิงอันนี่ กลับมีให้เห็นไม่บ่อยนัก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังพอไหว เพียงแต่เรื่องที่ต้องจัดการกับปราณกระบี่ ที่หลงเหลืออยู่จากกระบี่บินกวงอินของผังหยวนจี้และกระบี่บินเที่ยวจูของฉีโซ่ว นี่แหละที่ค่อนข้างยุ่งยาก”

หนิงเหยาเอ่ย “พูดให้น้อยหน่อย”

เฉินผิงอันจึงเริ่มหลับตาพักผ่อน

มาถึงจวนหนิง ป๋ายหมัวมัวกับน่าหลันเย่สิงมารออยู่ที่หน้าประตูก่อนแล้ว เห็นสภาพของเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นป๋ายเลี่ยนซวงที่เป็นผู้ฝึกยุทธบนยอดเขาซึ่งคุ้นเคยกับการขัดเกลาร่างกายด้วยความยากลำบากเป็นอย่างดี ก็ยังอดเวทนาเขาไม่ได้ น่าหลันเย่สิงเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่จากกระบี่บินของคนทั้งสองที่หลงเหลืออยู่ เขาจะไม่ช่วยดึงออกให้ เหลือไว้ให้คุณชายเฉิน สาวเส้นไหมสืบเสาะเอาเอง นี่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ไม่เล็กเช่นกัน เฉินผิงอัน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่พอดี

หญิงชราพาเฉินผิงอันไปที่คลังยาของจวนหนิงเพื่อหายามารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา

หนิงเหยากับเพื่อนอีกสี่คนนั่งอยู่ในศาลาของหน้าผาสังหารมังกร

พวกเยี่ยนจั๋วสี่คน นอกจากถ่งต่านดำที่ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงแค่นั่งเหม่ออยู่ กับที่แล้ว คนที่เหลืออีกสามคนต่างก็เบิกตากว้างมองหน้ากันไปมา ถ้อยคำนับพัน นับหมื่นมารออยู่ตรงปาก แต่กลับเปิดปากพูดไม่ออก

หนิงเหยาเอ่ยเนิบช้าว่า “แค่ตัดสินแพ้ชนะ หากฉีโซ่วไม่ประมาท ไม่ต้องชนะให้งดงามนัก เลือกที่จะทุ่มฝีมือเต็มที่เรียกกระบี่บินทั้งสามออกมาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งใจควบคุมค่ายกลกระบี่เที่ยวจูให้มากกว่าเดิม ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้เข้าประชิดตัว บวกกับซินเสียนที่สามารถติดตามจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ได้ เฉินผิงอัน ก็ต้องแพ้ ผู้ฝึกยุทธกับผู้ฝึกกระบี่ หากแข่งกันในเรื่องความทอดยาวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่ง กับความมากน้อยของปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณแล้วล่ะก็ ต้องเป็นฉีโซ่วที่ได้เปรียบอย่างแน่นอน”

“หากตัดสินด้วยความเป็นความตาย ทั้งเฉินผิงอันและผังหยวนจี้ต่างก็ต้องตาย”

ต่อมาหนิงเหยาก็เอ่ยเสริมอีกว่า “แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ชนะในศึกยากลำบากทั้งสองศึกนี้มาได้ ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันโชคดี แต่เป็นเพราะสมองของเขาดีกว่าฉีโซ่วและผังหยวนจี้ ในด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีบนสนามรบนั้น เขาคิดมากกว่า คิดได้รอบคอบรัดกุมกว่า ถ้าอย่างนั้นขอแค่เฉินผิงอันออกหมัด ออกกระบี่ได้เร็วมากพอ ก็จะสามารถชนะได้ ทว่าก่อนจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ยังมีเงื่อนไข ที่ใหญ่มากข้อหนึ่ง นั่นคือเฉินผิงอันต้องรับกระบี่บินของคนทั้งสองได้เสียก่อน พวกเจ้าล้วนทำไม่ได้ รากฐานผู้ฝึกกระบี่ของพวกเจ้าห่างชั้นจากผังหยวนจี้และฉีโซ่วไกลโขนัก เพราะฉะนั้นยามที่พวกเจ้าต่อสู้กับคนทั้งสอง จะไม่ใช่การเข่นฆ่า มีแต่ จะเป็นการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย พวกเจ้ากล้ากระโจนเข้าหาความตาย สังหารปีศาจบนสนามรบทางทิศใต้ ไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ตายก็ตาย

เป็นเหตุให้ตบะสิบส่วนสามารถมีปณิธานกระบี่ได้ถึงสิบสองส่วน ออกกระบี่ได้อย่างไม่ติดขัด แบบนี้ดีมาก น่าเสียดายก็แต่หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไปจับคู่ต่อสู้กับผังหยวนจี้หรือฉีโซ่ว พวกเจ้าก็ต้องกลัดกลุ้มแล้ว เพราอะไร? ผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์ มีคำกล่าวถึงจิตบู๊ หากพูดตามนี้ก็คือจิตบู๊ของพวกเจ้าแย่เกินไป”

หนิงเหยาเอ่ยต่อไปว่า “ตอนที่ต่อสู้กับฉีโซ่ว ช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การรบเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็คือวินาทีที่ฉีโซ่วเรียกซินเสียนออกมา ตอนนั้นเฉินผิงอันมอบความรู้สึกลวงตาให้แก่ฉีโซ่ว นั่นก็คือเขารับมือกับซินเสียนอย่างฉุกละหุก และความเร็วของร่างกายเฉินผิงอันก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น ดังนั้นหลังจากที่ฉีโซ่ว โดนหมัดเขาไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟยเยวียนยังอยู่ห่างเสี้ยวหนึ่งตลอดเวลา ไม่อาจทำร้ายเฉินผิงอันได้สักที เขาก็เข้าใจแล้วว่า ต่อให้เฟยเยวียนเร็วกว่านี้อีก เสี้ยวหนึ่ง อันที่จริงก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ใครเป็นคนจูงใครเป็นหมา แค่มอง ปราดเดียวก็รู้แล้ว เพียงแต่ว่าภายนอกมองดูเหมือนฉีโซ่วรับมือกับคู่ต่อสู้ได้อย่าง สง่างาม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับค่อยๆ เผาผลาญข้อได้เปรียบของตัวเองไป ทีละนิด แต่เฉินผิงอันกลับเก็บซ่อนอำพรางได้ดีมากกว่า วางแผนเชื่อมโยงต่อกัน เป็นทอดๆ ก็เพื่อหมัดที่สองที่เปิดทางด้วยหมัดแรก ชื่อหมัดคือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า คือวิชาหมัดชนิดหนึ่งที่ข้าเอาอาการบาดเจ็บของข้าไปแลกกับชีวิตของเจ้า แล้วก็เป็นกระบวนท่าหมัดที่เฉินผิงอันเชี่ยวชาญที่สุด”

ตอนที่หนิงเหยาเอ่ย

พวกเยี่ยนจั๋วถึงขั้นไม่เอ่ยถามอะไร เพียงแค่รับฟังเงียบๆ เท่านั้น

หนิงเหยาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนี้พวกเจ้าคงจะรู้แล้วว่า ศึกกับฉีโซ่ว ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มสุดก็คือการปูพื้นฐานที่เฉินผิงอันเตรียมรอไว้สำหรับการต่อสู้กับ ผังหยวนจี้ เยี่ยนจั๋ว เจ้าเคยเห็นยันต์ฟางชุ่นของเฉินผิงอันมาก่อน แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดการเข่นฆ่าสองครั้งบนถนนใหญ่ เฉินผิงอันใช้ยันต์ฟางชุ่นทั้งหมด สี่ครั้ง แต่เหตุใดการรับมือกับคนสองคน อานุภาพของยันต์ฟางชุ่นถึงได้ต่างกันราว ฟ้ากับเหว?

ง่ายมาก ยันต์ชนิดเดียวกันในใต้หล้านี้ ยังแบ่งออกเป็นวัสดุกระดาษยันต์ที่ระดับขั้นแตกต่าง แสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์ที่มีจิตวิญญาณไม่เหมือนกัน เหตุผลนั้นง่ายมาก เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ผังหยวนจี้โง่หรือ? ไม่โง่เลยสักนิด ผังหยวนจี้ฉลาด แค่ไหนกันแน่ คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรู้ดี ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทาง มีฉายาว่า ‘ผังร้อยสำนัก’ ได้ แต่เหตุใดถึงยังถูกเฉินผิงอันวางแผนเล่นงาน อาศัยยันต์ฟางชุ่นมาพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ กลายเป็นฝ่ายที่กุมชัยชนะได้? เพราะศึกระหว่างเฉินผิงอันกับฉีโซ่ว ยันต์ย่อพื้นที่วัสดุธรรมดาสองแผ่นนั้น เฉินผิงอันจงใจใช้มันให้ผังหยวนจี้เห็น จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าในการต่อสู้ครั้งแรก ยันต์ฟางชุ่นปรากฎตัวแล้ว แต่กลับไม่ได้มีประโยชน์ต่อการตัดสินแพ้ชนะมากนัก พวกเราทุกคนล้วนมีแนวโน้มว่าจะเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น ผังหยวนจี้จึงประมาท โดยไม่รู้ตัว หากมีเพียงแค่เท่านี้ แค่การงัดข้อกัน แข่งกันใช้สมองในเรื่องของ ยันต์ฟางชุ่น อันที่จริงผังหยวนจี้จะยิ่งต้องระมัดระวังมากกว่านี้ แต่เฉินผิงอันยังมี เวทอำพรางตามากกว่านั้น เขาจงใจให้ผังหยวนจี้เห็นเรื่องสองเรื่องที่เขาเฉินผิงอัน จงใจไม่ให้คนอื่นได้เห็น เมื่อเทียบกับเรื่องยันต์ฟางชุ่นแล้ว นั่นถึงจะเรียกว่าเรื่องใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นผังหยวนจี้สังเกตเห็นว่ามือซ้ายของเฉินผิงอันยังไม่เคยได้ออกหมัดอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันจะซ่อนกระบี่บินเล่มที่สี่ไว้หรือไม่”

เยี่ยนจั๋วและเฉินซานชิวมองหน้ากันเองแล้วยิ้มจืดเจื่อน

เตี๋ยจ้างฟังแล้วก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางพยายามจะทำใจให้สงบรวบรวมสมาธิไปทบทวนรายละเอียดทั้งหมดในศึกใหญ่บนถนนอย่างละเอียด นางก็ถึงเพิ่งค้นพบว่า ที่แท้การเข่นฆ่าสองครั้งนั้น เฉินผิงอันต้องสิ้นเปลืองความคิดไปมากแค่ไหน วางหลุมพรางไว้มากเท่าไร ที่แท้ทุกหมัดที่ปล่อยออกไปก็ล้วนมี ความตั้งใจที่แตกต่างกันทั้งสิ้น เตี๋ยจ้างพลันตระหนักเรื่องหนึ่งได้ แรกเริ่ม ตอนที่พวกเขาทั้งสี่ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะอยู่รอจนถึงสงครามใหญ่ครั้งถัดไปของ หัวกำแพงเมือง อันที่จริงนางเป็นกังวลอย่างมาก กังวลว่าในกลุ่มคนที่รู้ใจกัน อย่างถึงที่สุดนี้

เมื่อมีเฉินผิงอันมาเพิ่มคนหนึ่ง จะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ กลับกันจะทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าทำอะไรไม่สะดวก ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว เป็นนางที่มองเฉินผิงอันเรียบง่ายเกินไป

ต่งฮว่าฝูยังดีหน่อย เพราะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้กำลังกลุ้มอยู่ว่า กลับไปถึงตระกูลต่งแล้วจะรับมือกับพี่สาวและมารดาอย่างไร

หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนมองไปยังเพื่อนทั้งสี่แล้วยิ้มกล่าวว่า “อันที่จริง เฉินผิงอันก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าการประมือของต่งถ่านดำกับเตี๋ยจ้าง และการท้าทายของเจ้าอ้วนเยี่ยนนั้น มีไปเพื่ออะไร เขารู้ว่าพวกเจ้าเป็นห่วงเขา เพียงแต่ว่าตอนนั้นพวกเจ้าต่างก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเอาชนะได้ทั้งสามครั้ง เขาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก แต่ข้ารู้ดีว่า ในใจของเขารับน้ำใจเอาไว้แล้ว เขาเป็นคนแบบนี้มาโดยตลอด”

หนิงเหยายิ้มถาม “นอกจากความวางใจแล้ว แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจยังรู้สึกว่า เฉินผิงอันน่ากลัวมากด้วยใช่ไหม? คนวัยเดียวกันที่มีอุบายลึกล้ำแยบยลขนาดนี้ หากคิดจะเล่นงานตนให้ตายก็ดูเหมือนว่าตัวเองมีแต่จะถูกปั่นหัวเท่านั้น? จะถูกเขาหลอกแล้วยังต้องช่วยเขานับเงินหรือไม่?”

เฉินซานชิวพยักหน้ารับ “ก็คิดอยู่บ้างจริงๆ”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่จำเป็นเลย เฉินผิงอันคบหากับใครล้วนมีเส้นบรรทัดฐานอยู่หนึ่งเส้นเสมอ นั่นก็คือความเคารพ เจ้าคือเซียนกระบี่ที่ควรค่าแก่การเคารพ คือ ผู้แข็งแกร่ง เฉินผิงอันก็จะเคารพเจ้าจากใจจริง เจ้าคือผู้อ่อนแอที่ตบะไม่ได้เรื่อง ชาติกำเนิดไม่ดี เฉินผิงอันก็จะคบหากับเจ้าด้วยจิตใจที่เป็นกลาง เผชิญหน้ากับ ป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน ในสายตาของเฉินผิงอัน สถานะที่สำคัญที่สุดของ ผู้อาวุโสทั้งสองไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอะไร แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต เซียนเหรินในอดีตอะไร แต่เป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของข้าหนิงเหยา คือญาติ ที่คอยปกป้องดูแลจนข้าเติบใหญ่ นี่ก็คือลำดับก่อนหลังที่เฉินผิงอันให้ความสำคัญที่สุด จะผิดพลาดไม่ได้ นี่หมายความว่าอะไร?

หมายความว่าต่อให้ป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันเป็นเพียงแค่คนแก่อายุมากทั่วไป เขาเฉินผิงอันก็จะยังให้ความเคารพและซาบซึ้งบุญคุณอยู่ดี กับพวกเจ้า พวกเจ้าก็คือสหายร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายของข้าหนิงเหยา คือเพื่อนที่ดีที่สุด ต่อมาถึงจะเป็นว่า เจ้าเยี่ยนจั๋วคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเยี่ยน เจ้าเฉินซานชิวคือทายาทสายตรงของตระกูลเฉิน เตี๋ยจ้างคือแม่นางที่ดีที่เปิดร้าน หาเงินด้วยตัวเอง ต่งฮว่าฝูคือต่งถ่านดำที่ไม่ชอบพูดจาเหลวไหล”

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรอีก

ห่างไปไกลคือเฉินผิงอันที่กำลังเดินตรงมา

เขาเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวสะอาดเอี่ยมตัวใหม่ คือชุดคลุมอาคมตัวเก่า ของจวนหนิงที่ป๋ายหมัวมัวไปค้นมาให้ สองมือของเฉินผิงอันซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เดินขึ้นมาบนหน้าผาแท่นสังหารมังกร สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่ไม่มีท่าทางอ่อนเพลียสักนิด เขานั่งลงข้างกายหนิงเหยา ยิ้มถามว่า “คงไม่ได้กำลังพูดถึงข้าอยู่กระมัง?”

ต่งฮว่าฝูพยักหน้า กำลังจะเปิดปากพูด หนิงเหยากลับชิงพูดขึ้นมาก่อน “เพิ่งจะพูดอยู่ว่าเจ้าไม่พูดจาเหลวไหลไม่ใช่รึ?”

ต่งฮว่าฝูจึงหุบปากอย่างรู้ความ

เฉินผิงอันยกมือซ้ายขึ้น คีบยันต์ย่อพื้นที่ออกมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษ สีเหลือง อีกแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษสีทอง

เยี่ยนจั๋วเบิกตากว้าง แต่กลับไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของยันต์ แต่เป็นเพราะมือซ้ายของเฉินผิงอันสามารถยกขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไหนเลยจะยังมีสภาพน่าสังเวช ที่ห้อยร่องแร่งเหมือนตอนอยู่บนถนนใหญ่ก่อนหน้านี้

เฉินผิงอันเก็บยันต์สองแผ่นลงไป ยิ้มเอ่ยอย่างจริงใจว่า “หมัดสุดท้ายข้าไม่ได้ลงแรงเต็มที่ เพราะฉะนั้นแขนซ้ายจึงบาดเจ็บไม่มาก ผังหยวนจี้เองก็ตระหนักได้ ถึงได้จงใจอยู่ใต้หลุมใหญ่นานหน่อย กว่าจะเดินออกมา พวกเราสองฝ่าย ทั้งเป็นเพราะต้องการแสดงให้คนอื่นดู แล้วก็เป็นเพราะข้าเองก็ไม่คิดจะสู้เอาเป็นเอาตายกับผังหยวนจี้จริงๆ เพราะข้าแน่ใจเลยว่า ผังหยวนจี้เองก็มีวิชาที่เป็นสมบัติก้นกรุที่ยังไม่ได้เอาออกมา อยู่เหมือนกัน ดังนั้นข้าได้เปรียบไปแล้ว ผังหยวนจี้ก็ยังยินดีรับความพ่ายแพ้ ถือว่า เขาเป็นคนมีคุณธรรมมากคนหนึ่ง การต่อสู้ทั้งสองครั้ง ไม่ใช่ว่าข้าสามารถอาศัย แค่ตบะก็เอาชนะฉีโซ่วและผังหยวนจี้มาได้ แต่เป็นเพราะอาศัยกฎเกณฑ์ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเจ้า รวมไปถึงการคาดเดานิสัยใจคอพวกเขาคร่าวๆ หลายสิ่งหลายอย่างรวมเข้าด้วยกันถึงได้โชคดีเอาชนะมาได้ เซียนกระบี่ทั้งหลายที่ ชมศึกอยู่ทั้งใกล้และไกลก็ล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ มองความสามารถที่แท้จริงของพวกเราสามคนออก เพราะฉะนั้นผังหยวนจี้และฉีโซ่วแพ้ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียชื่อเสียง ของตระกูลฉีและใต้เท้าอิ่นกวาน นี่ก็คือทางถอยของข้า”

ออกหมัดต้องเร็ว ปล่อยหมัดต้องแม่นยำ เก็บหมัดต้องมั่นคง

หากเป็นการออกกระบี่ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “เรื่องบางอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความลับกับ พวกเราก็ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ ก่อนจะออกจากจวนไปต่อสู้ ต่อให้ข้าพูดมากแค่ไหน อย่างมากพวกเจ้าก็คงรู้สึกว่าข้าโอ้อวดตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ไม่รู้จักหนักเบา ตัวข้ายังดี เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากนัก แต่พวกเจ้า ย่อมเกิดความกังขาในสายตาของหนิงเหยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าก็เลยเลือกที่จะเงียบ ส่วนเหตุใดถึงได้ยินดีอธิบายเรื่องที่เดิมทีควรปิดบังไว้พวกนี้ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก เพราะพวกเจ้าคือเพื่อนของหนิงเหยา ข้าเชื่อใจหนิงเหยา เพราะฉะนั้นถึงได้เชื่อใจพวกเจ้า คำพูดนี้อาจไม่ค่อยน่าฟัง แต่เป็นความจริงจากข้า”

เจ้าอ้วนเยี่ยนเอ่ย “น่าฟัง จะไม่น่าฟังได้อย่างไร คำพูดนี้ของพี่น้องเฉินทำเอาในใจข้าตอนนี้อบอุ่นยิ่งนัก ราวกับได้ดื่มเหล้าในวันที่อากาศหนาวเหน็บอย่างไรอย่างนั้น”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ช่วงนี้ข้าดื่มเหล้าไม่ได้จริงๆ บาดเจ็บไม่น้อยเลย คาดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องสักสิบวันครึ่งเดือนที่ต้องรักษาบาดแผลให้ดีๆ”

หนิงเหยาชำเลืองตามอง “ดูจากสภาพเจ้าตอนนี้ ยังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ แถมยังพูดมาก คงคิดจะสู้กับเกาเหย่โหวอีกคนใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เกาเหย่โหว ข้าไม่ได้โม้หรอกนะ ต่อให้ตอนนั้นข้าไม่ออกมาจากถนน ขอแค่เกาเหย่โหวกล้าเผยตัว ข้าก็สามารถรับมือกับเขาได้จริงๆ เพราะเขาคือคนที่รับมือได้ง่ายที่สุดในสามคนนี้ ต่อสู้กับเขาเกาเหย่โหว ตัดสินแพ้ชนะ หรือ แบ่งกันด้วยความเป็นความตายก็ล้วนไม่มีปัญหา ในความเป็นจริงแล้ว ฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ เกาเหย่โหว ลำดับนี้ก็คือลำดับก่อนหลังที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นภายนอก หรือภายในอะไร ถึงอย่างไรก็สามารถทำให้ข้าชนะสามครั้งติดได้อยู่ดี แต่ข้าก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เกาเหย่โหวคงไม่เข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ดีขนาดนั้น”

เจ้าอ้วนเยี่ยนรู้สึกเข่าอ่อนเล็กน้อย

เฉินซานชิวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ต่งฮว่าฝูรู้สึกว่าบุรุษแบบนี้จึงจะคู่ควรกับพี่หญิงหนิง

เตี๋ยจ้างเองก็รู้สึกดีใจแทนหนิงเหยา

หนิงเหยาเหยียบลงบนหลังเท้าของเฉินผิงอันแล้วบิดปลายเท้าขยี้หนึ่งที

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ายอมแพ้ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะหุบปาก”

เจ้าเยี่ยนอ้วนรู้สึกว่าพี่น้องคนดีท่านนี้คือยอดฝีมือโดยแท้

เฉินซานชิวยิ้มเอ่ย “เอาล่ะๆ ให้เฉินผิงอันพักรักษาตัวดีๆ เถอะ ใช่แล้ว เฉินผิงอัน มีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่บ้านข้าสิ”

ต่งฮว่าฝูเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “บ้านข้าอย่าไปเลย หากไปจริงๆ พี่สาวและท่านแม่ข้าต้องทำให้เจ้ารำคาญตายแน่ ข้ารับรองว่าเหนื่อยใจไม่ไปน้อยกว่าตอนที่เจ้ารับมือกับผังหยวนจี้แน่นอน”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

คนทั้งสี่เพิ่งจะออกมาจากศาลาบนยอดเขา ป๋ายหมัวมัวที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อครู่แม่หนูลวี่ตวนมาที่หน้าประตูใหญ่ บอกว่าจะกราบคุณชายเฉินเป็นอาจารย์ ขอเล่าเรียนวิชา ต้องเรียนรู้เอาวิชาหมัดอันเลิศล้ำของคุณชายเฉินไปให้ได้ นางถึงจะยอมเลิกรา ไม่อย่างนั้นนางก็จะนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูจนกว่าคุณชายเฉินจะตอบตกลง ดูจากท่าทางแล้วมีความจริงใจอย่างมาก ระหว่างที่เดินทางมา ยังซื้อขนมมาด้วยหลายถุง ยังดีที่ถูกแม่นางต่งลากตัวไปแล้ว แต่ว่าด้วยความคิด ในหัวสมองน้อยๆ ของแม่หนูลวี่ตวนนั่น คาดว่าวันหน้าจวนหนิงของพวกเราคงไม่ สงบสุขแล้ว”

เยี่ยนจั๋วและเฉินซานชิวต่างก็ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

นังหนูนั่นพวกเขาล้วนรู้จักดี นางก็คือผีขี้ตอแยที่ขึ้นชื่อนักล่ะ

หนิงเหยาเอ่ย “ลากเข้ามาซ้อมสักรอบก็ว่าง่ายขึ้นแล้ว”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไร

หลังจากพวกเฉินซานชิวออกจากประตูใหญ่ของจวนหนิงไปแล้วก็ไม่ได้แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน แต่ไปดื่มเหล้าที่ร้านตามความเคยชิน

ในศาลาจึงเหลือแค่เฉินผิงอันและหนิงเหยา

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองก็วางใจได้แล้ว”

หนิงเหยาแค่นเสียงหึในลำคอ

เฉินผิงอันเอนหลังพิงราวรั้ว แหงนหน้าขึ้น “ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ นะ”

หนิงเหยายื่นสองนิ้วมาคีบชายแขนเสื้อข้างซ้ายของเฉินผิงอันขึ้นเบาๆ แล้วเหลือบตามามอง “วันหน้าอย่าอวดเก่งอีก คนเราคำนวณหมื่นครั้ง แต่ก็ยังไม่สู้ ฟ้าลิขิตครั้งเดียว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นล่ะ?”

หนิงเหยาปล่อยชายแขนเสื้อของเขาลง เอ่ยว่า “จะไม่ไปพบจั่วโย่วที่อยู่บน หัวกำแพงเมืองจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไปพบผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก่อนค่อยว่ากันเถอะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้อาวุโสจั่วจะยินดีพบหน้าข้าหรือไม่ก็ยังไม่แน่”

หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ครั้งนี้ไปพบท่านปู่เฉิน จึงจะเป็นการถามกระบี่ที่อันตรายมากที่สุด ง่ายที่จะเป็นการวาดงูเติมขา นี่เป็นเรื่องที่เจ้าต้องระวังแล้วระวังอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หนิงเหยาถาม “เมื่อไหร่ถึงจะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่รีบร้อน หากไปเร็วเกิน ผังหยวนจี้กับฉีโซ่ว โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะเสียหน้าอย่างมาก”

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “คิดมากขนาดนั้นไปทำไม เจ้าเองก็บอกแล้วว่า ที่นี่คือ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีอะไรวกวนอ้อมค้อมขนาดนั้น เสียหน้า ก็ล้วนเป็น พวกเขาที่รนหาที่เอง มีหน้ามีตา ก็เป็นสิ่งที่เจ้าช่วงชิงมาด้วยความสามารถของตัวเอง”

เฉินผิงอันเอ่ย “ชินแล้วล่ะ หากเจ้าคิดว่าไม่ดี วันหน้าข้าก็จะปรับปรุงตัวเอง นอกจากเรื่องบางเรื่อง ก็ไม่มีอะไรที่ข้าเปลี่ยนไม่ได้ เรื่องที่ไม่มีทางเปลี่ยน กับความเคยชินที่ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนได้นี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้ข้าเดินทีละก้าวจนมา ถึงที่นี่ได้”

หนิงเหยามองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของตัวเอง

เฉินผิงอันจึงรีบลุกขึ้นยืน ขยับมานั่งฝั่งขวามือของหนิงเหยาทันที

หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันกุมมือของนางไว้เบาๆ หลับตาลง เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

สามวันต่อมา

หัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่และในนครแห่งนี้ล้วนพูดคุยเรื่องของ คนหนุ่มแห่งจวนหนิงกันมาสามวันเต็มแล้ว

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ได้เห็นกระท่อมน้อยใหญ่สองหลังที่คุ้นเคยนั้น เฉินผิงอันก็เก็บเรือยันต์ใส่ไว้ใน ชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ผู้น้อยคารวะผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่”

เฉินชิงตูที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงพยักหน้าเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะปลาบปลื้ม “ไม่ละโมบในผลประโยชน์เล็กๆ จากฟ้าดิน ก็คือเงื่อนไขใหญ่ที่จะทำให้ผู้ฝึกตน เดินขึ้นสู่ที่สูงไปได้ไกลมากขึ้น แม่หนูหนิงไม่ได้มาด้วย ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะมาคุย เรื่องเป็นการเป็นงานกับข้าสินะ?”

เฉินผิงอันกำลังสองจิตสองใจว่า สองเรื่องใหญ่นี้ เขาควรจะพูดเรื่องไหนก่อนดี

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “เดินไปคุยกันไป มีอะไรก็พูดมาตามตรง”

เฉินผิงอันลังเลอยู่อีกครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส ท่านมองเห็นจุดจบนั้นแล้วใช่ไหม?”

เฉินชิงตูอืมรับหนึ่งที “กำลังคำนวณเวลา”

เฉินผิงอันถามอีก “ผู้อาวุโส ท่านเคยคิดจะพาผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดย้อนกลับไปที่ ใต้หล้าไพศาลบ้างหรือไม่?”

เฉินชิงตูยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเคย”

เฉินผิงอันสีหน้าซีดเผือด

เฉินชิงตูสืบเท้าเดินเนิบนาบ เอ่ยเนิบช้า “กาลเวลายาวนานเป็นหมื่นปี ข้าเคยเจอคนต่างถิ่น คนหนุ่มที่น่าสนใจมากมาส่วนหนึ่ง ช่วงไม่นานมานี้ก็คือจั่วโย่วที่วิชากระบี่ดีมาก เมื่อหลายปีก่อนก็คือเด็กหนุ่มเฉาสือคนนั้น ก่อนหน้านั้นอีกหน่อยก็คือ อาเหลียง ขยับไปอีกหน่อยก็คือเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีป ขยับไปอีกก็คือบัณฑิตคนหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตอนนั้นยังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และปณิธานอันฮึกเหิม ไม่มีท่าทางทอดอาลัยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านั้นก็ยังพอมี อีกส่วนหนึ่ง รวมๆ กันแล้วก็ประมาณสิบคนกระมัง ทุกครั้งที่ได้พบพวกเขา ข้าก็จะ ไม่รู้สึกผิดหวังต่อใต้หล้าไพศาลมากขนาดนั้นอีกแล้ว แต่อาศัยแค่คนหนุ่มที่ถือว่า เป็นคนต่างถิ่นมาตั้งนานแล้วพวกนี้ จะได้อย่างไร? คนและเรื่องราวที่ทำให้คนผิดหวัง มีมากมายเกินไปจริงๆ”

เฉินชิงตูยกสองมือขึ้น แบฝ่ามือออกประหนึ่งสองด้านของตาชั่ง เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ที่ใต้หล้าไพศาล บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักอาคมเคยมาพบข้า ถือเป็นการใช้เต๋าถามกระบี่ได้อยู่กระมัง คนหนุ่มนี่นะ ล้วนมีปณิธานสูงส่งยาวไกล ยินดีจะเอ่ยถ้อยคำยิ่งใหญ่ทรงพลังอยู่เสมอ”

แล้วเฉินชิงตูก็หัวเราะ “บางเรื่องเขาก็รู้สึกว่าหลักการเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสามารถกลายมาเป็นไม้ใหญ่ กลายมาเป็นรากฐานที่จะไม่ถูกวิถีทางโลก ธรรมเนียมปฏิบัติของคนบนโลกผลักดันให้สั่นคลอน แต่ในสายตาข้า อันที่จริงกลับไร้เดียงสานัก แต่คำพูด ที่ไม่ตั้งใจบางอย่างก็ถือว่าไม่เลว เมื่อวิถีทางโลกแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา น้ำหนัก ก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หยั่งรากลงในโลกมนุษย์ลึกขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าเขาในเวลานั้นยังตระหนักไม่ถึงก็เท่านั้น ก็ดีเหมือนกัน ถึงได้มีพื้นที่เหลือให้แตกกิ่งก้านสาขา ในภายหลังอย่างไรเล่า”

เฉินชิงตูชี้ไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้ “ที่นั่นเคยมีบรรพบุรุษใหญ่ของเผ่าปีศาจเสนอความคิดหนึ่ง ให้ข้ามาลองพิจารณาดู เฉินผิงอัน เจ้าลองเดาดูสิ”

เฉินผิงอันเอ่ย “ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้หล้าไพศาลเป็นของพวกเขาเผ่าปีศาจ”

ดูเหมือนว่าเฉินชิงตูจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่คนหนุ่มเดาคำตอบได้ถูกต้อง เขาถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงปฏิเสธ? ต้องรู้ว่าคำสัญญาของอีกฝ่ายก็คือ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่แค่ยอมเปิดทางให้ก็พอเมื่อไปถึง ใต้หล้าไพศาลแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเขาออกกระบี่”

เฉินผิงอันตอบ “นี่ก็คือจุดที่อันตรายที่สุดของเจตนาอีกฝ่าย ในขั้นตอนที่ ยอมถอยและเปิดทางให้ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะต้อง แยกแตก จิตใจคนระส่ำระส่าย ในเวลานี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่กี่คน ที่รู้สึกเป็นศัตรูกับใต้หล้าไพศาล บนเส้นทางสายนั้นก็จะยิ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากยิ่งกว่าที่สูญเสียความเชื่อใจในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เลือกที่จะจากไป หรือไม่ก็เลือกที่จะออกกระบี่อย่างเดือดดาล ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลายเป็นปฏิปักษ์กับกำแพงเมือง ปราณกระบี่ บางทีสุดท้ายแล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจจะได้ครอบครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จริง แต่ย่อมไม่มีทางรักษาฟ้าดินอันกว้างขวางนี้ไว้ได้อย่างแน่นอน ผ่านไปร้อยปีพันปีให้หลัง เผ่าปีศาจไม่สะดุดตาที่ถูกทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนั้นก็จะลุกผงาดขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง

ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีเหตุผลใหญ่ให้กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญอีกแล้ว ก็จะค่อยๆ ถูกลดทอนปณิธานกระบี่ไปทีละนิดท่ามกลางชีวิตที่สงบสุข สุดท้ายใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังคงเป็นใต้หล้าของเผ่าปีศาจ เว้นเสียแต่ว่าผู้อาวุโสยินดีที่จะจับตามองใต้หล้าเอาไว้ ทุกครั้งที่มีเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนปรากฏตัวตนหนึ่งก็จะออกกระบี่สังหารตนหนึ่ง หากข้าเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของเผ่าปีศาจผู้นั้น จะถึงขั้นไม่ต้องให้ ลงนามสัญญาอะไรเลยด้วยซ้ำ จะยอมให้ผู้อาวุโสออกกระบี่ได้ตามสบาย ออกกระบี่ได้ตามใจชอบ ร้อยปีพันปี สักวันหนึ่งตัวผู้อาวุโสเองก็จะต้องเหนื่อยล้ากายใจ แม้เรี่ยวแรงจะยังมีเหลือ แต่การออกกระบี่กลับช้าขึ้นทุกที ถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายแล้ว วันหนึ่งท่านก็จะไม่ยินดีออกกระบี่อีกต่อไป”

เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “พูดได้ดี”

เฉินผิงอันค่อยๆ ใช้ความคิดใคร่ครวญไปช้าๆ แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “แต่นี่เป็นเพียงแค่สาเหตุเพราะท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ไม่พยักหน้าตอบตกลงเท่านั้น เพราะเมื่อ ผู้อาวุโสทอดสายตามองไป สิ่งที่ตามองเห็นล้วนเป็นเรื่องที่เห็นมาจนชินเป็นพันๆ ปี หมื่นๆ ปีแล้ว ถึงขั้นที่ว่าท่านต้องตัดขาดความสัมพันธ์กับทางตระกูล ถึงจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง แต่นอกจากผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว ทุกคนล้วนมีใจที่เห็นแก่ตัว คำว่าใจที่เห็นแก่ตัวของข้านี้ ไม่เกี่ยวข้องกับความดีหรือความเลว แต่เพราะเป็นคน จึงต้องมีอารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ อริยะสามลัทธิที่เฝ้าพิทักษ์ที่นี่ ก็มีเช่นกัน คนที่มียังมีชีวิตอยู่ในโลกของตระกูลใหญ่ทุกตระกูลที่ล้วนเคยมีเซียนกระบี่รบตายไป ก็ยิ่งมี คนที่ไปมาหาสู่กับภูเขาห้อยหัวและใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาโดยตลอด ก็ยิ่งมี”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีป ไม่ใช่ คนต่างถิ่นมากมายขนาดนั้นที่ยินดีออกจากใต้หล้าไพศาลมาร่วมสังหารศัตรูที่นี่ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็ไม่อาจควบคุมใจคนของหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ได้เช่นกัน”

เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “พูดได้ไม่ผิด”

เฉินผิงอันกล่าว “ผู้น้อยก็แค่คิดถึงเรื่องไหนก็พูดเรื่องนั้น แต่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กลับสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่จริงแท้แน่นอน อีกทั้งทำทีก็นานเป็นหมื่นปี!”

เฉินชิงตูหัวเราะ “เข้าใจพูดกว่าอาเหลียงเสียอีก”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เฉินชิงตู “เรื่องเป็นพ่อสื่อไปสู่ขอ ข้าจะออกหน้าด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้น้อยยังไม่ทันได้เปิดปากขอร้องเลยนะ…”

เฉินชิงตูหันหน้ามายิ้มถาม “ลำบากใจรึ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย มีอะไรให้ต้อง ลำบากใจกัน!”

เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉยากจนนั่น สืบทอดวิชาความรู้กันมาหมดเลย”

เฉินชิงตูโบกมือ “แม่หนูหนิงแอบตามมา ไม่ถ่วงเวลาการชมจันทร์ต่อหน้าบุปผาของพวกเจ้าสองคนแล้ว”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขวาที่พันผ้าไว้อย่างแน่นหนาออกมา กุมหมัดค้อมเอวคารวะด้วยท่าทางจริงจัง “เฉินผิงอันผู้เดียวของใต้หล้าไพศาล กล้าเอ่ยประโยคหนึ่งแทนคนทั้งใต้หล้าไพศาลว่า มิกล้าปฏิเสธของที่ผู้ใหญ่มอบให้ ยิ่งมิอาจลืม!”

เฉินชิงตูพูดกลั้วหัวเราะ “กลัวเจ้าแล้วจริงๆ”

ผู้เฒ่าโบกมือ จวนหนิงที่อยู่ในนคร เจี้ยนซียนที่เลื่อนขั้นเป็นระดับอาวุธเซียนแล้วยังคงถูกบีบให้ออกมาจากฝัก เพียงชั่วพริบตาก็แหวกพันธนาการฟ้าดินมาโผล่บน หัวกำแพงอย่างเงียบเชียบ ถูกผู้เฒ่ากุมไว้ในมือง่ายๆ มือหนึ่งของเขาถือกระบี่ อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วปาดช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฮ่าวหรันชี่กับเต้าฝ่ามักจะชอบ ตีกันอยู่อย่างนี้ เก่งกันแต่ในโปงผ้าห่มตัวเองก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอาศัยความอาวุโสและอายุที่มากกว่านี้ ช่วยเจ้าจัดการกับปัญหาเล็กๆ เรื่องหนึ่งก็แล้วกัน”

ผู้เฒ่าดันปลายกระบี่ไว้ครู่หนึ่ง พอเก็บมือมา มือที่ถือกระบี่ก็เหวี่ยงเบาๆ เจี้ยนเซียนพลันถูกโยนกลับเข้าไปสอดตัวในฝักกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะของจวนหนิง

เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง

เฉินชิงตูหมุนตัวกลับแล้ว เขาเอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยว่า “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ ใจกล้าๆ หน่อย”

บนหัวกำแพงเมืองที่ฟ้าดินเงียบสงัด หนิงเหยากับเฉินผิงอันเดินเคียงบ่ากันไป

หนิงเหยาชูแผ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นสูง ใต้แสงจันทร์ มันส่องแสงระยิบระยับแวววาว

ด้านหน้าสลักสองคำว่า ‘ผิงอัน’ เพราะฉะนั้นนี่จึงถือว่าเป็นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่สมชื่อที่สุดในใต้หล้าชิ้นหนึ่งแล้ว

นางพลิกกลับเบาๆ ด้านหลังสลักตัวอักษรสี่คำว่า จิตข้าไร้นิวรณ์

นางชูแผ่นหยกขึ้นสูง แหงนหน้าขึ้น เดินไปพลางถามชวนคุยไปด้วย “คุยกันเรื่องอะไรบ้าง?”

เฉินผิงอันที่เดินอยู่ข้างกายหนิงเหยาเอ่ยว่า “สุดท้ายผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ บอกกับข้าว่าให้ใจกล้าหน่อย ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร”

หนิงเหยากุมแผ่นหยกไว้ในมือ หยุดเดิน ใช้แผ่นหยกเคาะหน้าผากเฉินผิงอันเบาๆ พูดสั่งสอนว่า “ความซื่อความจริงใจของใครบางคนในปีนั้นหายไปไหนหมดแล้ว?”

เฉินผิงอันพลันทรุดตัวลงนั่งยอง หันหน้ากลับมา แล้วตบหลังของตัวเอง

ปีนั้นตอนที่อยู่ในสุสานเทพเซียนของถ้ำสวรรค์หลีจู หนิงเหยาเคยแบกเฉินผิงอันมาก่อน

ใบหน้าหนิงเหยาเต็มไปด้วยความดูแคลน แต่ใบหูกลับแดงก่ำ

เฉินผิงอันไม่ได้ลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้หนิงเหยาก็มีเรื่องที่ไม่กล้าเหมือนกันหรือ?”

สุดท้ายบนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันแบกหนิงเหยา ฝีเท้าเนิบช้า

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันแบกสตรีที่ตัวเองรัก ก็ราวกับแบกแสงจันทร์ทั้งหมดในใต้หล้าที่ชวนให้คนหลงใหลเอาไว้

เดินไปเดินมา หนิงเหยาพลันหน้าแดงเถือก ดึงหูเฉินผิงอันแล้วบิดอย่างแรง “เฉินผิงอัน!”

เฉินผิงอันร้องโอ้ยหนึ่งที รีบเบี่ยงหน้าหันตามหูที่ถูกดึง

หนิงเหยาเขกท้ายทอยของเจ้าหมอนี่ พูดอย่างเขินอายปนขุ่นเคือง “หากเจ้ายังทำแบบนี้ ข้าจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างน้อยใจ “ก็ได้ๆๆ”

บนหัวกำแพงเมืองพลันปรากฏร่างของผู้เฒ่าหน้าตาคร่ำเคร่งคนหนึ่ง “เจ้าวาง แม่หนูเหยาของข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”

หนิงเหยาจึงเอ่ยเบาๆ “เขาคือท่านตาของข้า”

เฉินผิงอันจึงเตรียมจะปล่อยหนิงเหยาลงอย่างขลาดๆ

“แบกไว้!”

คิดไม่ถึงว่าห่างออกไปไกลจะมีเสียงคนพูดดังขึ้นมา ประโยคหนึ่งคือพูดกับเฉินผิงอัน ส่วนประโยคถัดมานั้นพูดกับผู้เฒ่า “เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?”

สมกับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของสายเหวินเซิ่งจริงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!