บทที่ 588 เฉินชิงตูเจ้าไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าหน่อย
เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองเถ้าแก่ใหญ่ที่ง่วนทำงานแล้วก็รู้สึกว่ามโนธรรมในใจมิอาจสงบลงได้ จึงแกว่งกาเหล้า ยังเหลืออีกประมาณสองชาม ชามขาวใบใหญ่ของที่ร้าน อันที่จริงไม่ถือว่าใหญ่นัก
เฉินผิงอันจึงกวักมือเรียกเตี๋ยจ้างให้มาดื่มเหล้าด้วยกัน หลังจากเตี๋ยจ้างนั่นลงแล้ว เฉินผิงอันก็ช่วยรินเหล้าให้หนึ่งชาม ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยได้มาที่ร้านบ่อยๆ วันนี้อาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยเรื่องบางอย่างกับเจ้าสักหน่อย ฟ่านต้าเช่อเป็นเพียงแค่เพื่อนของเพื่อน อีกทั้งสิ่งที่เขาซึ่งนั่งบนโต๊ะเหล้าวันนี้อยากได้ยินอย่างแท้จริง อันที่จริงก็ไม่ใช่หลักการเหตุผลอะไร เพียงแค่ในใจมีความอัดอั้นมากเกินไป จึงต้องหาทางระบายออก แล้วก็เพราะว่าพวกเฉินซานชิวคือเพื่อนของฟ่านต้าเช่อ จึงกลับกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร สุราบางอย่าง เก็บฝังไว้นานแล้ว อยู่ดีๆ เอามาเปิดออก กลิ่นเหล้าหมักเก่าแก่อาจทำให้คนเมามายตายได้ การเข่นฆ่าทางทิศใต้ในครั้งถัดไป โอกาสที่ฟ่านต้าเช่อจะตายมีสูงมาก คงเพราะรู้สึกว่ามีเพียง ทำเช่นนี้ถึงจะมีชีวิตอยู่ในหัวใจของนางได้ตลอดไป แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ การคาดเดาของข้า ข้ามักจะคิดไปในทางเลวร้ายเสมอ แต่อยู่ดีๆ ต้องมาโดน ฟ่านต้าเช่อด่าเช่นนี้ แล้วยังขว้างชามของร้านแตกไปใบหนึ่ง บัญชีนี้เดี๋ยวข้าค่อยไป คิดเอาจากเฉินซานชิว เตี๋ยจ้าง เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนหนิงเหยา ยังเป็นเพื่อนของข้าด้วย ดังนั้นคำพูดของข้าต่อจากนี้ ก็จะพูดตรงๆ โดยไม่กังวลถึง สิ่งใดให้มากนัก”
เตี๋ยจ้างเอ่ยหยอกล้อ “วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ฟ่านต้าเช่อ ไม่มีทางเมาแล้วอาละวาดขว้างชามเหล้าอะไรหรอก ตัดใจขว้างทิ้งไม่ลงจริงๆ”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นทันที “เจ้ามีความรู้สึกอย่างไรต่อเซียนกระบี่? เห็นพวกเขาออกกระบี่อยู่ไกลๆ หรือยามที่พวกเขามาดื่มเหล้าที่นี่ใกล้ๆ เป็นความรู้สึกแบบใด?”
เตี๋ยจ้างคิดแล้วก็ตอบว่า “เคารพ”
เตี๋ยจ้างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “อันที่จริงคือกลัว ตอนเด็กๆ เคยเจอกับความยากลำบากจากพวกผู้ฝึกกระบี่ชั้นล่าง สรุปก็คืออนาถอย่างมาก ตอนนั้น ในสายตาของข้า พวกเขาก็คือบุคลที่เป็นดั่งเทพเซียนแล้ว เล่าไปแล้วก็ไม่กลัวว่า เจ้าจะหัวเราะเยาะหรอก ตอนเด็กทุกครั้งที่เจอกับพวกเขาบนถนน ข้าก็จะตัวสั่น หน้าซีดขาวอย่างห้ามไม่ได้ พอได้รู้จักกับอาเหลียงถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย แน่นอนว่า ข้าอยากเป็นเซียนกระบี่ แต่หากต้องตายอยู่บนเส้นทางของการได้เป็นเซียนกระบี่ ข้าก็ไม่เสียใจภายหลัง เจ้าวางใจเถอะ เป็นก่อกำเนิด แล้วค่อยเป็นเซียนกระบี่ ทุกขอบเขตข้าล้วนมีเรื่องที่ต้องทำซึ่งคิดเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องที่อย่างน้อยก็ซื้อเรือนหลังใหญ่ได้หลังหนึ่ง สามารถทำสำเร็จล่วงหน้าได้หลายปี ก็ต้องดื่มคารวะเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มกันไป จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “ตกลง ข้าคิดว่าปัญหาไม่ใหญ่นัก เคารพเลื่อมใสผู้ที่แข็งแกร่ง และยังใจกว้างกับผู้อ่อนแอ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเจ้าเดินอยู่บนทางสายกลาง ไม่เพียงแต่ข้ากับหนิงเหยา อันที่จริงพวกเฉินซานชิวก็เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน ในศึกใหญ่แต่ละครั้งเจ้าทุ่มสุดชีวิตเกินไป ไม่เสียดายชีวิตเกินไป ในอดีตเจ้าอ้วนเยี่ยนเคยมีเรื่องผิดใจกับเจ้า ก็เลยไม่กล้าพูดมาก ส่วนคนอื่นๆ ก็กลัวว่าจะพูดมากเกินไป ในข้อนี้ก็เหมือนสถานการณ์ระหว่างเฉินซานชิวกับฟ่านต้าเช่อนั่นแหละ แต่บอกตามตรง อย่าได้ดูเบาความเป็นความตายมากนัก หากไม่ต้องตายได้ ก็อย่าตายเด็ดขาด ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้ไม่อาจกำหนดได้ด้วยตัวเอง ตัวข้าเองก็เคยผ่านมาก่อน จึงไม่มีคุณสมบัติให้พูดอะไรมากนัก ถึงอย่างไรคราวหน้าที่ออกไปจากหัวกำแพง ข้าก็จะทำเหมือนพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนที่จะพยายามจ้องมองท้ายทอยของเจ้าให้มาก มา มาดื่มคารวะให้กับท้ายทอยของเถ้าแก่ใหญ่ เราหน่อย”
เตี๋ยจ้างยกชามเหล้ามาชนกระทบกับชามของเฉินผิงอันเบาๆ แล้วก็กระดกเหล้าขึ้นดื่ม
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำถามต่อไปนี้อาจจะค่อนข้างกวนโอ้ยไปสักหน่อย ตกลงกันไว้ก่อน เจ้าต้องรับปากกับข้ามาก่อนว่า หลังจากข้าพูดจบแล้ว ข้าจะยังได้เป็น เถ้าแก่รองของร้าน พวกเราจะยังเป็นเพื่อนกัน”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ลองพูดมาก่อน รับปากอะไรกัน ไม่มีประโยชน์หรอก ยามที่สตรีเปลี่ยนใจ เร็วได้ยิ่งกว่ายามที่บุรุษอย่างพวกเจ้าดื่มเหล้าเสียอีก”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ถามว่า “วิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนที่เอากระบี่ยาว ฮ่าวหรันชี่ไป เจ้าชอบแค่ที่นิสัยใจคอของเขา หรือชอบตัวตนนักปราชญ์ของเขา ในเวลานั้น? เคยคิดหรือไม่ว่าสักวันหนึ่งเขาจะพาตนออกไปจากกำแพงเมือง ปราณกระบี่ ไปยังภูเขาห้อยหัวและใต้หล้าไพศาล?”
เตี๋ยจ้างหน้าแดงเล็กน้อย กดเสียงต่ำพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “ทั้งสองอย่าง ข้าชอบนิสัยใจคอ ชอบบุคลิกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายตำราบนร่างของเขา ข้าชอบมากเป็นพิเศษ นักปราชญ์ของสำนักศึกษา! ร้ายกาจจะตายไป ตอนนี้ยังได้เป็นวิญญูชนแล้วด้วย แน่นอนว่าข้าต้องสนใจมากเป็นพิเศษ! อีกอย่างหลังจากที่ข้าได้รู้จักอาเหลียงแหละหนิงเหยา ก็อยากจะลองไปเยือนใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว หากได้ไปพร้อมกับเขา นั่นก็ย่อมดีที่สุด!”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “คนเขาชอบหรือไม่ชอบเจ้าก็ยังบอกได้ยาก เจ้ากลับคิดไปไกลขนาดนี้แล้ว?”
เตี๋ยจ้างดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก พูดด้วยสีหน้าแช่มชื้นว่า “แค่คิดก็ผิดด้วยหรือไง?!”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “จะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ฟังจากคนอื่นเล่ามา แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน เจ้าคิดเสียว่าฟังนักเล่านิทานคนหนึ่งเล่าเรื่องให้ฟังก็ได้
ฟังไปแล้ว อย่างน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง ส่วนเรื่องที่เหลือ มีประโยชน์ไม่มาก ไม่เหมาะจะเอามาใช้กับเจ้าและวิญญูชนผู้นั้น”
นั่นคือเรื่องเล่าภูเขาสายน้ำเกี่ยวกับบัณฑิตผู้ลุ่มหลงในรักและผีสาวผู้สวมชุดเจ้าสาว
คนที่มีความรักลึกซึ้ง มักจะตามมาด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเสมอ และคำว่าลุ่มหลงในรักก็มักจะมาพร้อมกับคำว่าทรยศหักหลังเสมอ
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่หวังให้เตี๋ยจ้างกับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นมีจุดจบเช่นนี้ เฉินผิงอันหวังว่าคนมีรักในใต้หล้าทุกคนจะได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า
เพียงแต่ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต้องมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ห้ามตาบอดหาคนผิดเด็ดขาด คำว่าตาบอดนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายมีค่าพอให้ชอบหรือไม่ ในความเป็นจริงแล้วถือว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวเองมากกว่า คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือถึงท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองชอบอย่างสุดจิตสุดใจ เหตุใดตอนแรกถึงชอบตน แล้วสุดท้ายเพราะอะไรถึงไม่ชอบตนอีกแล้ว
ก็เหมือนถามคำถามแรกสุดที่เฉินผิงอันถามฟ่านต้าเช่อ ความนัยในถ้อยคำนั้น ก็หนีไม่พ้นว่า อวี๋เชี่ยรู้หรือไม่ว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อยอมที่จะบากหน้าไปยืมเงินจากเพื่อน แต่ก็ต้องซื้อของที่นางถูกใจให้ได้ ความคิดเช่นนี้ของสตรี เจ้าฟ่านต้าเช่อมองเห็นหรือไม่ เห็นชัดเจนหรือไม่ แล้วก็ยังคงรับได้อยู่เช่นเดิม? หากรับได้ อีกทั้งยังสามารถรับมือกับกิ่งก้านสาขาที่จะแตกงอกออกไปจากเส้นสายนี้ได้เป็นอย่างดี นั่นก็ถือว่า เป็นความสามารถของเจ้าฟ่านต้าเช่อ
หากไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เลอะๆ เลือนๆ มาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เห็นได้ชัดว่าฟ่านต้าเช่อจะไม่อับอายจนพานเป็นความโกรธเช่นนั้น ไม่ว่าฟ่านต้าเช่อจะรู้ดีมา ตั้งแต่แรก หรือเพิ่งจะมารู้ตัวเอาภายหลัง ก็ล้วนชัดเจนอยู่แล้วว่า อวี๋เชี่ยรู้ว่าเขาต้องมายืมเงินจากเฉินซานชิว แต่อวี๋เชี่ยก็ยังเลือกจะให้ฟ่านต้าเช่อทุ่มเทเช่นนี้ นางเลือก ที่จะรีดไถจากเจ้าต่อไป สรุปแล้วว่าฟ่านต้าเช่อรู้หรือไม่
แล้วข้อนี้ หมายความว่าอะไร? ไม่เลย ฟ่านต้าเช่อไม่รู้อะไรเลย บางทีฟ่านต้าเช่ออาจจะแค่รู้สึกได้ว่านางทำแบบนี้ไม่ถูก ไม่ได้ดีนัก แต่กลับไม่เคยรู้ว่าควรจะเผชิญหน้าหรือแก้ไขอย่างไร
ฟ่านต้าเช่อรู้แค่ว่า หลังจากแยกทางกัน ทั้งสองฝ่ายก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายิ่งเดินก็จะยิ่งห่างกันไปไกล เขาดื่มเหล้าไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตนเองแทบจะควักหัวใจออกมาให้สตรีผู้นั้นเห็นความจริงใจของตัวเองได้อยู่แล้ว
หากจะบอกว่าการที่ฟ่านต้าเช่อชื่นชอบผู้หญิงสักคนหนึ่งโดยที่ไม่เผื่อใจไว้เลยแบบนี้ มีอะไรผิด? แน่นอนว่าไม่ผิด บุรุษที่ควักใจให้สตรี พยายามทำทุกอย่าง สุดความสามารถเพื่อนาง ยังจะผิดอีกหรือ? แต่หากสืบสาวลึกลงไป จะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร ชอบคนคนหนึ่งมากมายขนาดนี้ หรือไม่ควรรู้เลยว่าสรุปแล้ว ตัวเองกำลังชอบใครอยู่กันแน่?
ก็เหมือนคนนอกอย่างเฉินผิงอันที่แค่เคยเห็นอวี๋เชี่ยอยู่ไกลๆ สองครั้ง แต่มองปราดเดียวเขาก็มองออกถึงจิตใจทะเยอทะยานของสตรีผู้นั้น และการแอบแบ่งชนชั้นเพื่อนของฟ่านต้าเช่อไว้อย่างลับๆ ของนาง ความทะเยอทะยานและปณิธานอันเปี่ยมล้นเช่นนั้นของนาง ไม่ใช่แค่ว่าฟ่านต้าเช่อเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ รับรองได้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่มีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้วจะเพียงพอสำหรับนาง นางหวังว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองจะสามารถอาศัยแค่ชื่ออวี๋เชี่ยของตนนี้ ทำให้คนมา เชื้อเชิญให้ไปนั่งร่ำสุราร่วมโต๊ะที่มีเซียนกระบี่นั่งกันอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยังไม่ได้นั่ง ในตำแหน่งท้ายๆ ด้วย หลังจากนั่งลงไปแล้วก็จะต้องมีคนเป็นฝ่ายดื่มคารวะ นางอวี๋เชี่ย! นางอวี๋เชี่ยจะนั่งหลังตรงเอวตั้ง รอให้คนอื่นๆ มาดื่มคารวะ
เฉินผิงอันไม่ชอบสตรีเช่นนี้ แต่ไม่ได้ถึงขั้นรังเกียจ ก็แค่เข้าใจ สามารถเข้าใจได้ อีกทั้งยังเคารพการเลือกที่มากมายในเส้นทางชีวิตคนที่เป็นเช่นนี้
ฟ่านต้าเช่อเข้าใจหรือไม่? ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
วันนี้พลาดไปแล้ว ในอนาคตหากดวงดีก็อาจได้เจอกับคนที่ใช่ กลายมาเป็น คู่รักเทพเซียนที่วาสนาผูกพันต้องกัน แต่หากโชคไม่ดีก็ได้แต่ต้องคลาดกันไปอีกครั้ง
เตี๋ยจ้างฟังจุดจบของเรื่องเล่าแล้วก็ให้เดือดดาล นางถามว่า “บัณฑิตผู้นั้นอยากเป็นนักปราชญ์เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูก็แค่ให้เพื่อสามารถยกเกี้ยวแปดคนถามมาสู่ขอผีสาวสวมชุดเจ้าสาวตนนั้นได้อย่างถูกต้องเปิดเผยเท่านั้นเองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนใจ ดังนั้นบัณฑิต ถึงได้ถูกบีบให้ต้องกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เพียงแต่ว่าผีสาวสวมชุดแต่งงานเข้าใจมา โดยตลอดว่าอีกฝ่ายทรยศต่อความรักอันลึกซึ้งของตัวเอง”
เตี๋ยจ้างถึงกับดวงตาแดงก่ำ “เหตุใดจุดจบถึงได้เป็นเช่นนี้ล่ะ บัณฑิตที่เรียนอยู่ร่วมสำนักศึกษาของเขาก็ล้วนเป็นบัณฑิตเหมือนกันนี่นา แต่ทำไมถึงได้ใจดำอำมหิตเช่นนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “บัณฑิตทำร้ายคนไม่เคยต้องใช้มีด การที่ข้าเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง ก็เพราะต้องการให้เจ้าไตร่ตรองดูให้มาก เจ้าคิดดูนะ ใต้หล้าไพศาลใหญ่ขนาดนั้น มีบัณฑิตอยู่มากมายขนาดนั้น แต่ทุกคนจะเป็นดีที่ไม่ผิดต่อตำราอริยะปราชญ์ได้หรือ หากเป็นเช่นนี้จริง กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีสภาพอย่างทุกวันนี้ไหม?”
เตี๋ยจ้างเงยหน้าขึ้น ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวเสียบปิ่นปักผมด้วย สีหน้าปั้นยาก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าแค่พยายามจะทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ได้มากที่สุด ทุกเรื่องจะต้องคิดต้องไตร่ตรองให้มาก มองให้มาก คิดให้มาก ใคร่ครวญให้มาก ไม่ใช่ว่าเพื่อให้กลายเป็นอย่างพวกเขา ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพื่ออย่าให้ชีวิตนี้ต้องกลายไปเป็นคนอย่างพวกเขาต่างหาก”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “หากมีวันใดที่เจ้าและวิญญูชนผู้นั้นต่างฝ่ายต่างชอบกันขึ้นมาจริงๆ และตอนนั้นแม่นางเตี๋ยจ้างก็เป็นเซียนกระบี่แล้ว หากต้องการจะไปเยือนใต้หล้าไพศาลดูสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเรียกข้ากับหนิงเหยาไปด้วยนะ ข้าจะช่วยป้องกันบัณฑิตบางคนที่เอาความรู้ในตำราไปใช้บนตัวสุนัขหมด ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมชั้นเรียน ผู้อาวุโสในตระกูล หรืออาจารย์ของสำนักศึกษาสถานศึกษาที่อยู่ข้างกายวิญญูชนผู้นั้น หากพูดคุยได้ง่ายก็ย่อมดีที่สุด ข้าเองก็เชื่อว่าข้างกายเขาจะมีคนดีอยู่มากกว่า ก็คนแบบเดียวกันมักจะคบคนแบบเดียวกันนี่นะ เพียงแต่ว่าคงต้องมีปลาที่เล็ดรอดตาข่ายออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่คนพวกนี้ ขยับก้นข้าก็รู้แล้วว่าพวกเขาจะถ่ายหลักการอริยะปราชญ์ข้อไหนออกมาให้คนสะอิดสะเอียนเล่น เรื่องทะเลาะกับคนอื่นนี้ จะดีจะชั่วข้าก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ที่แท้จริงมาบ้าง เพื่อนคืออะไร ก็คือถ้อยคำที่ไม่น่าฟัง ถ้อยคำที่เป็นดั่งการสาดน้ำเย็นใส่หน้า อะไรที่ควรพูดก็ต้องพูด แต่เรื่องบางอย่างที่ทำได้ยากก็ยังต้องทำ ประโยคสุดท้ายนี่ข้าชมตัวเอง มา ชนแก้ว!”
เตี๋ยจ้างยิ้มกว้างอย่างที่หาได้ยาก มือหนึ่งของนางถือชามเตรียมจะดื่ม แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าก็พลันหม่นหมอง ชำเลืองตามองไหล่ข้างหนึ่งของตน
เฉินผิงอันกล่าว “หากชอบจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ไม่ชอบ ต่อให้เจ้ามีแขนเพิ่มมาอีกสองข้างก็ไม่มีประโยชน์”
เตี๋ยจ้างหัวเราะอย่างฉุนๆ “คนคนหนึ่งมีแขนเพิ่มมาแขนหนึ่งเป็นเรื่องดีงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ ข้าคนนี้ ข้อเสียก็คือไม่ค่อยถนัดเรื่องการใช้เหตุผลนี่แหละ”
อารมณ์ของเตี๋ยจ้างกลับมาดีดังเดิม กำลังจะชนถ้วยกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอัน กลับเอ่ยประโยคที่เป็นการทำลายบรรยากาศว่า
“แต่ว่าตอนนี้เจ้ากับวิญญูชนของเจ้าคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยสักนิด อย่าคิดเร็วไปแล้วก็คิดในแง่ดีเกินไป ไม่อย่างนั้นอนาคตเจ้าต้องเสียใจแน่นอน ถึงเวลานั้นร้านเล็กๆ นี่จะได้เงินค่าเหล้าจากเจ้ามากสุด เถ้าแก่รองพ่วงสหายอย่างข้าคงรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
เตี๋ยจ้างหน้าดำทะมึน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “คำพูดซื่อสัตย์ไม่น่าฟัง ยากจะเป็นเพื่อนกันได้”
เตี๋ยจ้างพลันยิ้มกล่าวว่า “เรื่องที่ดีที่สุดและเรื่องที่เลวร้ายที่สุด เจ้าล้วนพูดหมดแล้ว ขอบใจนะ”
เตี๋ยจ้างหยิบไหเหล้าขึ้น แต่กลับค้นพบว่าเหลือเหล้าพอแค่ชามเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าไม่ดื่มแล้ว หนิงเหยาควบคุมค่อนข้างเข้มงวด”
เตี๋ยจ้างเองก็ไม่เกรงใจ รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชามแล้วเริ่มดื่มช้าๆ
หากมีลูกค้าตะโกนบอกให้เติมเหล้า เตี๋ยจ้างก็จะให้พวกเขาหยิบเหล้าและจานกับแกล้มด้วยตัวเอง พวกลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็ดีอย่างนี้ ไปๆ มาๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจกันมากเกินไปนัก
แรกเริ่มเตี๋ยจ้างยังกังวลว่าตัวเองจะรับรองแขกได้ไม่ดีพอ ทุกเรื่องจึงต้องลงมือลงแรงทำด้วยตัวเอง และมีครั้งหนึ่งที่เห็นว่าเฉินผิงอันทำเช่นนี้ เขาหยอกเย้าด่ากับลูกค้าขำๆ ยังถึงขั้นบอกให้ลูกค้าช่วยหยิบจานกับแกล้มให้ ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครรู้สึกว่า ไม่เหมาะสมเลยสักนิด เตี๋ยจ้างถึงได้ลองทำเลียนแบบเขาดูบ้าง
เตี๋ยจ้างมองเฉินผิงอัน พบว่าเขากำลังมองไปยังมุมเลี้ยวของตรอก เมื่อก่อนทุกครั้ง เฉินผิงอันจะไปนั่งเป็นนักเล่านิทานอยู่ตรงนั้นนานมาก มีเพียงวันนี้และครั้งนี้เท่านั้น ที่พวกเด็กๆ ไม่มานั่งล้อมวงอยู่รอบม้านั่งตัวเล็กอีกแล้ว
เตี๋ยจ้างรู้ดีว่า แท้จริงแล้วในใจเฉินผิงอันรู้สึกผิดหวัง
เพียงแต่เตี๋ยจ้างก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้นัก หรือว่าเป็นเพราะเขาคือคนที่เดินออกมาจากตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็ก ในสถานที่ที่เรียกว่าถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นเทพเซียนในสายตาของคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกคนที่เกิดและเติบโตมาในตรอก อยู่ดี? ทว่าผู้ฝึกกระบี่แต่ละยุคสมัยในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่เกิดและเติบโตมาในตรอก ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แม้แต่ตัวนางเตี๋ยจ้างเอง ขนาดยามที่ฝัน ก็ยังอยากจะไปเป็นเพื่อนบ้านของพวกแซ่ตระกูลใหญ่ๆ ไม่ต้องกลับมาอยู่ในสถานที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงไก่ขันหมาเห่าอีกแล้ว
บอกว่าตัวเองจะไม่ดื่มเหล้าแล้ว แต่พอเห็นเตี๋ยจ้างดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ เฉินผิงอันก็ชำเลืองตามองเหล้าไหที่กะว่าจะเอาไปมอบให้ผู้อาวุโสน่าหลัน ความคิดในหัวตีกันอยู่พักหนึ่ง เตี๋ยจ้างก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น อย่าว่าแต่พวกลูกค้าที่คิดว่า การเอาเปรียบเถ้าแก่รองอย่างเขาเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องยากเลย นางที่เป็น เถ้าแก่ใหญ่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
และในขณะที่เตี๋ยจ้างคิดว่าวันนี้เฉินผิงอันต้องควักเงินจ่ายค่าเหล้าอย่างแน่นอนนั้นเอง เฉินผิงอันก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาได้ เขาลุกขึ้น หยิบถ้วยเหล้า เดินตุปัดตุเป๋ไปยังโต๊ะเหล้าแห่งอื่น ทักทายปราศรัยกับผู้ฝึกกระบี่โต๊ะนั้น ไม่เพียงแต่ได้เหล้าถ้วยหนึ่งมาดื่มเปล่าๆ ตอนที่กลับมานั่งข้างกายเตี๋ยจ้าง ในชามเหล้ายังมีเหล้าเพิ่มมาอีกเกิน ครึ่งชาม ตอนที่นั่งลง เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “กระตือรือร้นเกินไปแล้ว ขวางไม่อยู่ คิดจะไม่ดื่มก็ยังยาก”
เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างจนใจว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้าคือลูกศิษย์สำนักการค้า ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใต้หล้านี้มีคนสัญจรไปมาขวักไขว่ ใครบ้างที่ไม่ใช่คนค้าขาย?”
เตี๋ยจ้างชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้า “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้บอกว่าหนิงเหยาควบคุมอย่างเข้มงวดหรอกหรือ?”
วันนี้เฉินผิงอันดื่มไปไม่น้อย เขาหัวเราะร่าตอบว่า “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่อย่างข้า เป็นอย่างเสียเปล่างั้นหรือ? แค่สะบัดปราณวิญญาณทีเดียว กลิ่นเหล้าก็กระจายหายไปทั่วทิศ สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน”
เตี๋ยจ้างเองก็หัวเราะร่า แต่ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องหนิงเหยา
เฉินผิงอันมองไปยังถนนใหญ่เส้นนั้น กิจการของร้านเหล้าน้อยใหญ่ไม่รุ่งเรืองเท่าไรเลยจริงๆ
ตอนนั้นแต่ละคนที่มาร่วมวงดูเรื่องสนุกของตนแผดเสียงโห่ตะโกนกันสุดฤทธิ์ ทีนี้ คงหยุดได้แล้วสินะ? ร้านผ้าห่อบุญอย่างตนยังไม่ได้แสดงฝีมือเต็มสิบส่วนเลยด้วยซ้ำ
เตี๋ยจ้างดื่มเหล้าไปแล้วก็ไปทักทายรับรองลูกค้า ถึงอย่างไรหนังหน้าของนางก็ยังไม่หนาเท่าเถ้าแก่รอง
เหล้าเกินครึ่งของชามใบใหญ่นั้น เฉินผิงอันดื่มช้ามากเป็นพิเศษ
เตี๋ยจ้างจึงหยิบตะเกียบหนึ่งคู่และผักดองหนึ่งจานมาให้เขาเสียเลย
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ รับมือกับเหล้าและกับแกล้มนั้นช้าๆ
ลูกค้าทยอยเข้าร้านมาเรื่อยๆ เฉินผิงอันจึงยกโต๊ะให้ ตัวเองไปนั่งยองอยู่ข้างทาง แน่นอนว่ายังไม่ลืมว่าไม่ควรเปิดผนึกดินเหล้าไหนั้น
เตี๋ยจ้างชำเลืองตามองชามที่เหล้าเหลือติดแค่ก้นถ้วย แต่เฉินผิงอันก็ยังดื่มไม่หมดเสียทีแล้วยิ้มเอ่ยอย่างฉุนๆ ว่า “อยากให้ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้าก็พูดมาตรงๆ ได้ไหม?”
นางไม่เข้าใจจริงๆ คนผู้หนึ่งที่ตัดใจเอาอาวุธเซียนสองชิ้นมาเป็นสินสอดได้ลง เหตุใดถึงได้ขี้เหนียวถึงขั้นนี้
แต่ตอนที่หนิงเหยาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังเป็นการส่วนตัว ดวงหน้าของนางเบิกบานชวนให้คนหลงใหล ขนาดเตี๋ยจ้างที่เป็นสตรีเหมือนกันได้เห็นแล้วก็ยังเกือบจะหวั่นไหวไปด้วย
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยว่า “เถ้าแก่ใหญ่ใส่ร้ายข้าแล้วจริงๆ”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไปขอเหล้าอีกครึ่งถ้วยมาจากลูกค้าโต๊ะหนึ่ง ยังไม่ลืมชูชามขาวในมือให้เตี๋ยจ้างเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
เตี๋ยจ้างทำงานง่วนอยู่นาน แต่ก็ยังเห็นว่าเจ้าหมอนั่นยังนั่งอยู่ที่เดิม
เตี๋ยจ้างจึงเดินไปหา อดไม่ไหวถามว่า “มีเรื่องในใจหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เพียงแต่ว่าจากนั้นก็พยักหน้าอีก เขามองไปยังทิศไกลพลางเอ่ยว่า “มีเรื่องในใจ แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องดี มักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ โดยเฉพาะได้เห็นฟ่านต้าเช่อแล้วก็ยิ่งรู้สึกเช่นนี้”
คีบผักดองขึ้นมาหนึ่งคำ เฉินผิงอันเคี้ยวกับแกล้ม ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็ยิ้มตาหยี
เตี๋ยจ้างหิ้วม้านั่งมานั่งอยู่ด้านข้าง
มีลูกค้ายิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่รอง อย่าได้คิดไม่ซื่อกับแม่นางเตี๋ยจ้างของพวกเราล่ะ แต่ต่อให้คิดจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แค่เลี้ยงเหล้าข้าหนึ่งกา เอาแบบกาล่ะห้าเหรียญ เงินเกล็ดหิมะน่ะ ถือเสียว่าเป็นค่าปิดปาก!”
เฉินผิงอันชูนิ้วกลางขึ้นสูง
เตี๋ยจ้างไม่ถือสาเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็ไม่พิถีพิถันในเรื่องนี้จริงๆ ต่อให้เตี๋ยจ้างจะเป็นคนมีความคิดละเอียดอ่อนแค่ไหนก็ไม่รู้สึกอึดอัด เพราะหากอึดอัดขัดเขินจริงๆ นั่นต่างหากถึงจะแสดงว่าในใจคิดไม่ซื่อ
นอกจากนี้ เรื่องของการรู้หนักรู้เบา เตี๋ยจ้างก็ยังไม่เคยเห็นคนวัยเดียวกันคนไหนทำได้ดีกว่าเฉินผิงอัน
ความรู้สึกที่เฉินผิงอันมีต่อหนิงเหยา ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรู ขนาดคนตาบอดก็ยังมองเห็น เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาจากใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังเป็นครั้งที่สองแล้ว และยังจะรอการเปิดฉากของสงครามใหญ่ครั้งถัดไป ต้องการออกจากหัวกำแพงเมืองไปพร้อมนาง สังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง บางทีอาจมีคนจงใจนินทาลับหลังด้วยคำพูดไม่น่าฟัง แต่ความจริงเป็นเช่นไร อันที่จริงคนส่วนใหญ่ล้วนรู้กันดี
วันนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปไม่น้อยเลยจริงๆ
“พวกเราปฏิบัติต่อคนอื่น ต่อเรื่องราว ต่อวิถีทางโลกใบนี้อย่างที่ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เข้าใจไปเองว่าทำถูกแล้ว ดังนั้นความสุขความทุกข์ การพบการพรากของทั้งตัวเองและของคนที่อยู่ข้างกาย จึงยากที่จะช่วยเหลือ ยากที่จะแก้ไข และยากที่จะปกป้องรักษาเอาไว้ได้”
“อายุน้อย สามารถเรียนรู้ได้ พุ่งชนกำแพงทำผิดไปครั้งแล้วครั้งเล่า อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องกลัว หากทำผิดก็แก้ไขให้ถูกต้อง หากทำดีก็เปลี่ยนให้ดียิ่งกว่าเดิม ต้องกลัวอะไรกัน กลัวก็แต่ว่าจะเป็นอย่างฟ่านต้าเช่อที่ถูกสวรรค์เอาไม้ฟาดลงบนหลุมหัวใจ ถูกตีจนสับสนมึนงงไปหมด จากนั้นก็เริ่มโทษฟ้าโทษคน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดฟ่านต้าเช่อถึงดึงดันจะให้ข้านั่งลงดื่มเหล้า อีกทั้งยังพูดกับข้าหลายคำ แต่ไม่ได้คิดจะพูดกับพวกเฉินซานชิว? เพราะส่วนลึกในใจของฟ่านต้าเช่อรู้ดีว่า ในอนาคตเขา ไม่จำเป็นต้องมาที่ร้านเหล้าแห่งนี้อีกก็ได้ แต่เขาไม่อาจสูญเสียเพื่อนที่แท้จริงอย่างพวกเฉินซานชิวไปได้เด็ดขาด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เตี๋ยจ้างก็ถามว่า “ความทรงจำที่เจ้ามีต่อฟ่านต้าเช่อคงย่ำแย่มากสินะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ฟ่านต้าเช่อที่ชอบสตรีคนหนึ่งได้เช่นนี้ไม่มีทางทำให้คนรังเกียจได้ แล้วก็เพราะเหตุนี้ ข้าถึงได้ยินดีเป็นคนเลว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้ากินอิ่มว่างงานก็เลยไม่รู้ควรว่าจะพูดอะไรถึงจะเหมาะกับกาลเทศะงั้นหรือ?”
“เคาะตีใจคนในจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายสักเท่าไร กลับมีแต่จะยิ่งทำให้คนไม่สบายใจมากเท่านั้น”
“แต่หากการที่แรกเริ่มไม่ผ่อนคลาย แล้วจะทำให้คนข้างกายมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม มีชีวิตที่สงบสุขมากกว่าเดิมได้ อันที่จริงสุดท้ายแล้วก็ทำให้ตัวเองผ่อนคลายได้ด้วย ดังนั้นการที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองก่อนจึงสำคัญอย่างมาก ในเรื่องนี้ ความเคารพที่มีต่อศัตรูทุกคน ก็คือความรับผิดชอบที่มีต่อตัวเองอีกอย่างหนึ่ง”
เตี๋ยจ้างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ปากกลับเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ ข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้า!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด วางตะเกียบไว้ข้างจานกับแกล้ม แล้วหิ้วไหเหล้าเดินจากมา
เฉินผิงอันเดินไปเดินมาก็พลันหันหน้าไปมองทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าความรู้สึกประหลาดนั้นเกิดขึ้นแวบเดียวก็หายไป เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
เฉินชิงตูขมวดคิ้วแน่น เดินออกมาจากกระท่อมด้วยฝีเท้าเนิบช้า แล้วกระทืบเท้าหนักๆ
พละกำลังนั้นเหนือกว่าตอนก่อนหน้านี้ที่เหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียอีก!
บนหัวกำแพงเมือง คนชุดขาวผู้หนึ่งร่างส่ายไหวไม่หยุดนิ่ง
คือสตรีผู้หนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่อย่างถึงที่สุด นางหันหลังให้ทางทิศเหนือ หันหน้าเข้าหาทิศใต้ ยื่นมือกุมด้ามกระบี่เอาไว้
เฉินชิงตูมองเรือนกายที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งของอีกฝ่าย รู้ดีว่าคงดำรงอยู่ได้ ไม่นาน จึงถอนหายใจโล่งอก
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงแห่งนี้มานานนับหมื่นปีกลับเผยสีหน้าคิดคำนึงถึงอย่างเข้มข้นออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาค่อยๆ เดินมาตรงมุมกำแพงตรงเท้าของนาง ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มาพบนายท่านของข้า”
เฉินชิงตูอึ้งตะลึงอยู่นาน “ว่าไงนะ?!”
จากนั้นนางก็เอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าไสหัวไปให้ไกลข้าหน่อย”