Skip to content

Sword of Coming 590

บทที่ 590 เด็กคนนั้นที่อยู่ในมุม

นางถอนหายใจ “เหตุใดจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น”

เรื่องของการฝึกวรยุทธนั้น ชุยเฉิงส่งอิทธิพลต่อเฉินผิงอันอย่างใหญ่หลวงแบบที่ มิอาจจินตนาการได้

เห็นได้ชัดว่าประโยคนั้นเอ่ยมาแค่ครึ่งเดียว เฉินผิงอันกำลังให้คำสัญญาต่อชุยเฉิงที่จากโลกนี้ไปแล้ว เป็นตายมีความต่าง แต่กระนั้นก็ยังขานรับกันได้อยู่ไกลๆ

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าเดินบนเส้นทางย่อมมีห่วงให้พะวงหา ข้าจึงต้องให้คนบางคนที่ข้าเคารพนับถือมีชีวิตอยู่ในใจได้ตลอดไป โลกมนุษย์จำไม่ได้ ข้าก็จะจดจำด้วยตัวเอง หากมีโอกาส ข้ายังจะทำให้คนอื่นกลับมาจำได้อีกครั้งด้วย”

นางจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด นึกถึงเรื่องบางเรื่องที่ผ่านมานานแสนนาน

หลังจากเดินมาได้ระยะทางหนึ่ง เฉินผิงอันก็หมุนตัวเดินย้อนกลับไปทางเดิม

นางก็เดินตามเขาไปด้วย

นี่ก็คือการไร้ข้อผิดพลาดที่เฉินผิงอันแสวงหา หลีกเลี่ยงไม่ให้ขอบเขตในการ เดินท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลาของวิญญาณกระบี่กว้างใหญ่เกินไปแล้วจะเกิดหมื่นหนึ่ง ที่ไม่คาดฝันขึ้น

เรื่องไม่คาดฝันบนโลกมีมากเกินไป เมื่อไม่มีเรี่ยวแรงให้ต้านทาน อะไรจะเกิด ก็ต้องให้มันเกิด

แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อเกิดกับเขาเฉินผิงอันก็จะต้องไม่มีปัญหาแทรกซ้อน เพิ่มเข้ามาเพียงเพราะความประมาทของตัวเขาเอง

ผู้ที่รู้จักข้าดีที่สุด ฉีจิ้งชุน ตายเพราะข้า

พวกเขาไปนั่งอยู่บนหัวกำแพงเหมือนในปีนั้นที่นั่งอยู่บนสะพานโค้งสีทอง

เฉินผิงอันถาม “จะไปแล้วหรือ?”

นางเอ่ย “ไม่ไปก็ได้ แต่ซิ่วไฉเฒ่าที่รออยู่ในภูเขาห้อยหัวอาจจะต้องไปขอรับโทษจากศาลบุ๋น”

เฉินผิงอันเอ่ย “การจากลากันชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แต่อย่าได้จากไปแล้วไม่หวนคืนมาเด็ดขาด ข้าอาจจะยังแบกรับได้ไหว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงรู้สึกเสียใจ เสียใจแต่กลับไม่อาจพูดอะไรได้ แบบนั้นก็จะยิ่งเจ็บปวด มากกว่าเดิม”

นางยิ้มกล่าว “ข้ากับนายท่านร่วมเป็นร่วมตายกันยาวนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ยื่นฝ่ามือออกมา

นางยกมือขึ้น ไม่ได้ตีมือกับเขา แต่จับมือของเฉินผิงอันเอาไว้แล้วโยกเบาๆ “นี่เป็นสัญญาข้อที่สองแล้วนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พูดได้ก็จะต้องทำได้”

นางดึงมือกลับ สองมือตีลงบนหัวเข่าเบาๆ ทอดสายตามองใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ที่ผืนดินแห้งแล้งทุรกันดาร ยิ้มหยันเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่ายังมีคนรู้จักที่หนังเหนียว ตายยากอีกหลายคน”

เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะระวังให้มาก”

นางเอ่ย “หากข้าเผยกาย สิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนี้ย่อมไม่กล้าฆ่าท่าน อย่างมากสุดก็แค่ทำให้สะพานแห่งความเป็นอมตะของท่านขาดสะบั้น ต้องสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง บีบให้ข้ากับนายท่านเดินไปบนเส้นทางเดิม”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ว่าวันหน้าข้าจะคิดอย่างไร จะเปลี่ยนใจหรือไม่ พูดถึงแค่ตอนนี้ ให้ตายข้าก็ไม่ไปไหน”

นางยิ้มกล่าว “รู้แล้วน่า”

เฉินผิงอันพลันยิ้มถามว่า “รู้หรือไม่ว่าจุดที่ร้ายกาจที่สุดของข้าคืออะไร?”

นางคิดแล้วก็เอ่ยว่า “กล้าตัดสินใจว่าจะเลือกหรือสละสิ่งใด”

ก็เหมือนปีนั้นที่หลังจากซิ่วไฉเฒ่าส่งกระบี่หนึ่งออกไปยังภูเขาสุ้ยซานในม้วนภาพขุนเขาสายน้ำ ระหว่างนางกับหนิงเหยา เฉินผิงอันก็ได้ทำการเลือกและสละเช่นกัน หากเลือกผิดไป อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องในภายหลังเกิดขึ้นแล้ว

คนที่ชอบประจบสอพลอผู้แข็งแกร่งและคาดหวังในอำนาจไม่คู่ควรให้นาง ส่งกระบี่แก่ฟ้าดินเลยแม้แต่น้อย

หมื่นปีที่ผ่านมา ในโลกมนุษย์มีคนกี่มากน้อยที่เข่าอ่อน สันหลังโค้งงอ? มากมายจนนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้ควรจะลองมองดูเหล่าปราชญ์ของเผ่ามนุษย์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเป็นตัวอย่างว่าพวกเขาฝ่าฟันขวากหนาม สะพายกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง หวังเพียงว่าความตายของตนจะช่วยบุกเบิกเส้นทางสายใหม่ให้แก่คนรุ่นหลังด้วยความยากลำบากอย่างไร

เพียงแต่ว่าสุดท้ายหลังจากที่คนกลุ่มนี้กระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญ แสงสว่างอันรุ่งโรจน์ของสันดานมนุษย์ที่แตกต่างไปจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือควรจะพูดว่าถูกกลบทับ ปีนั้นเหล่าทวยเทพสร้างพวกมดตัวน้อย หุ่นเชิดขึ้นมา

การที่เรียกให้เป็นมดก็เพราะพวกเขามีข้อด้อยติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เผ่ามนุษย์มีอายุขัยสั้นเท่านั้น แล้วก็เพราะสาเหตุนี้ ปีนั้นถึงได้ถูกพวก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงบนฟากฟ้ามองเป็นมดใต้ฝ่าเท้าที่หมื่นปีก็ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ได้แต่คอยถวายควันธูปให้แก่พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุดพัก ต้องถูก ฉกฉวยช่วงชิงไปตลอด นอกจากนี้แล้วชีวิตของพวกเขาก็ไร้ค่าไม่ต่างจากพืชหญ้า ช่วงเวลานั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองทั้งหลายที่หลุบตาลงต่ำมองพื้นดิน อันที่จริง ก็มีบางส่วนที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์ เพียงแต่ว่าการอาศัยควันธูปในโลกมนุษย์มาหล่อหลอมร่างทองได้เกี่ยวพันกับรากฐานความเป็นอมตะของพวก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังได้รับผลประโยชน์สูงจนมิอาจจินตนาการได้ถึง เรียกได้ว่า เป็นต้นกำเนิดของน้ำพุที่ตักตวงได้ไม่มีวันหมด เป็นเหตุให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางส่วน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น บางส่วนก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ ไม่คิดว่าการบดขยี้มดฝูงหนึ่ง ให้ตายนั้นจะต้องสิ้นเปลืองกำลังสักเท่าไร

แต่สุดท้ายจุดจบกลับกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ แน่นอนว่ายังมีความแน่นอนที่บังเอิญหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นการช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟ

ตัวอย่างที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าก็คืออดีตเจ้านายของนาง รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆ อีกหลายท่านที่ยินดีมองคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันอย่างแท้จริง

นั่นคือจุดเริ่มต้นของเวทกระบี่และหมื่นอาคมในโลกมนุษย์

เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ใจข้ามีอิสระเสรี”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่า “คำพูดประเภทนี้ เมื่อก่อนไม่เคยพูดกับใครมาก่อน เพราะแม้แต่คิดก็ยังไม่เคย”

นางพึมพำสี่คำนั้นซ้ำเบาๆ

“ใจข้ามีอิสระเสรี”

เฉินผิงอันถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนกลับเข้าไปในนครอีกครั้ง น่าหลันเย่สิงมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว คนทั้งสองเดินเข้าไปในจวนหนิงด้วยกัน น่าหลันเย่สิงถามเสียงเบาว่า “ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เป็นคนพาตัวไปหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

อันที่จริงน่าหลันเย่สิงก็ไม่ได้กังวลใจเท่าไรอยู่แล้ว และยิ่งพอรู้ว่าเป็นฝีมือของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยิ่งวางใจได้มากกว่าเดิม

แต่เฉินผิงอันกลับใช้เสียงในใจพูดกับเขาว่า “ท่านปู่น่าหลันช่วยบอกกับป๋ายหมัวมัวสักคำว่ามีเรื่องจะปรึกษา ไปคุยกันที่ฟ้าดินเล็กเมล็ดงา”

สีหน้าของน่าหลันเย่สิงเคร่งเครียด “คุยพร้อมกับคุณหนูด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

คนทั้งสี่มารวมตัวกันที่ลานประลองยุทธ

เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องของวิญญาณกระบี่คร่าวๆ บอกแค่สถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่เกี่ยวพันกับประวัติความเป็นมาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น

ผู้เฒ่าสองคนอย่างน่าหลันเย่สิงและป๋ายเลี่ยนซวงรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์ หันมามองหน้ากันอย่างมึนงง

จิตวิญญาณแท้จริงที่กระบี่เซียนฟูมฟักออกมา?

คือหนึ่งในกระบี่เซียนสี่เล่มในตำนาน เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนก็ถือเป็นกระบี่เล่มที่มีพลังพิฆาตสูงที่สุดแล้ว? ถือว่าเป็นเพื่อนเก่าของเฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วย?

หนิงเหยายังดี เพราะสีหน้ายังคงเป็นปกติ

จากนั้นฟ้าดินเล็กเมล็ดงาซึ่งเป็นลานประลองยุทธแห่งนี้ก็มีสตรีร่างสูงใหญ่ สวมชุดขาวหิมะคนหนึ่งเดินออกมา มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายจึงมองมาที่หนิงเหยา

หนิงเหยาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น

วิญญาณกระบี่ยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปแล้ว”

หนิงเหยาเอ่ยว่า “ต่อให้เจ้าไม่ไป แล้วจะอย่างไร?”

วิญญาณกระบี่จ้องมองไปตรงหว่างคิ้วของหนิงเหยา แล้วจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ค่อนข้างน่าสนใจ คู่ควรกับนายท่านของข้า”

เฉินผิงอันรู้ดีว่าแย่แล้ว แล้วก็จริงดังคาด เพราะหนิงเหยาเอ่ยเสียงหยันขึ้นมาว่า “ไม่มีแล้วจะไม่คู่ควรงั้นหรือ? คู่ควรหรือไม่คู่ควร เจ้าเป็นคนตัดสินใจหรือไร?”

หน้าผากของน่าหลันเย่สิงเริ่มมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว

ป๋ายเลี่ยนซวงก็ยิ่งร่างขึงเกร็ง ตึงเครียดอย่างถึงที่สุด

วิญญาณกระบี่ยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ๆ พอใจแล้วหรือยัง”

หนิงเหยาหัวเราะร่า

เฉินผิงอันก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองใจ มีฝีมือมากล้นแต่กลับไร้ที่ให้เอาออกมาใช้ เวลานี้พูดคำไหนก็ผิดทั้งนั้น

วิญญาณกระบี่อ้าปากหาว “ไปล่ะๆ”

เรือนกายที่เดิมทีก็ล่องลอยไม่หยุดนิ่งค่อยๆ สลายหายไป สุดท้ายภายใต้การคุ้มกันของเฉินชิงตูก็แหวกม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปถึงใต้หล้าไพศาล จากนั้น ก็ได้ซิ่วไฉเฒ่าคอยช่วยปกปิดร่องรอยให้ แล้วจึงเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีปด้วยกัน

ระหว่างที่เดินทางไกล ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

วิญญาณกระบี่เอ่ย “ก็ไม่ถือว่าเป็นสตรีที่สวยสักเท่าไร”

ซิ่วไฉเฒ่าถูมือเบาๆ สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ถามเรื่องนี้เสียที่ไหนเล่า”

วิญญาณกระบี่ร้องอ้อหนึ่งที “เจ้าหมายถึงเฉินชิงตูหรือ จากกันหมื่นปี ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจอกันอีกครั้ง คุยกันได้ถูกคอนักล่ะ”

ซิ่วไฉเฒ่ายู่หน้า รู้สึกว่าเวลานี้คงไม่เหมาะ ไม่ควรถามอะไรมาก

วิญญาณกระบี่ก้มมองภูเขาห้อยหัวแวบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยชวนคุยว่า “เฉินชิงตูรับปากว่าจะยอมปล่อยคนมาเพิ่มหนึ่งคน รวมกันแล้วเป็นสามคน เจ้าก็มีคำอธิบาย ให้ทางศาลบุ๋นแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล “ว่าไงนะ? หน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าของผู้อาวุโส มีค่าแค่คนคนเดียวเองหรือ?! เฉินชิงตูผู้นี้คิดจะก่อกบฏหรือไร?! มีอย่างที่ไหนกัน ช่างบังอาจยิ่งนัก!”

วิญญาณกระบี่เอ่ย “ข้าสามารถบอกให้เฉินชิงตูไม่ต้องปล่อยใครมาเลยสักคนก็ได้ ทั้งไปทั้งกลับแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นหน้าตาข้าก็ถือว่ามีค่าเท่าคนสี่คนแล้วหรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวน่าเคารพ “จะปล่อยให้ผู้อาวุโสต้องไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกรอบได้อย่างไร! สามคนก็สามคนสิ เฉินชิงตูไร้คุณธรรม แต่บัณฑิตอย่างข้ามีจิตใจแห่งความซื่อตรงยิ่งใหญ่อยู่เต็มร่าง ต้องมีทั้งความถูกต้อง ยุติธรรม ศีลธรรมและเกียรติยศ”

วิญญาณกระบี่ก้มหน้าลงอีกครั้ง ยามนี้มาถึงร่องเจียวหลงแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก้มลงมองตาม แล้วกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “เหลือแค่กุ้งหอยปูปลาตัวเล็กตัวน้อยแล้ว ข้าว่าปล่อยพวกมันไปเถิด”

อยู่ระหว่างเส้นแบ่งของภูเขาห้อยหัว ร่องเจียวหลงและแจกันสมบัติทวีป รุ้งยาวกับควันเขียวพุ่งวาบผ่านไป เพียงชั่วพริบตาก็ห่างไปไกลร้อยลี้พันลี้

อย่าว่าแต่เซียนกระบี่ควบคุมกระบี่เลย ต่อให้เป็นกระบี่บินส่งข่าวข้ามทวีปก็ยัง ไม่มีความเร็วที่น่าตะลึงเช่นนี้

วิญญาณกระบี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น นิ้วมือขยับเล็กน้อย

ซิ่วไฉเฒ่ายื่นคอไปมองด้วยความกระวนกระวาย ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ทำอะไรอยู่หรือ?”

วิญญาณกระบี่เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ลงบัญชี”

ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างระมัดระวัง “ลงบัญชี? ลงบัญชีใคร ลู่เฉิน? หรือว่านักพรตจมูกโคหน้าเหม็นของอารามกวานเต๋าผู้นั้น?”

วิญญาณกระบี่ยิ้มบางๆ ตอบว่า “ลงบัญชีไว้ว่าเจ้าเรียกผู้อาวุโสกี่คำ”

ซิ่วไฉเฒ่าพูดอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ “ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ลองคิดดูสิว่าข้าเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง แต่กลับต้องมาถูกพวกตาแก่เรียกคำแล้วคำเล่าว่าซิ่วไฉเฒ่า มีครั้งไหนที่ข้าถือสาพวกเขาบ้าง? ผู้อาวุโสคือคำเรียกอย่างให้ความเคารพ ซิ่วไฉเฒ่ากับซิ่วไฉยากจนล้วนเป็นคำเรียกอย่างหยอกเย้า มีสักกี่คนที่เรียกข้าว่านายท่าน เหวินเซิ่งอย่างนอบน้อม ความกลัดกลุ้ม ความร้อนใจเช่นนี้ ข้าจะไประบายเอากับใคร…”

วิญญาณกระบี่เก็บมือลง มองสำนักบนทะเลที่ตั้งทั้งรูปปั้นเทพพิรุณและแม่ทัพเทพ ผู้เฝ้าประตูทางทิศใต้ของสวรรค์ไว้พร้อมกันซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ถามว่า “ป๋ายเจ๋อเลือกอย่างไร?”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “เลือกทางเลือกที่ดี ต้องรอดูไปอีกสักหน่อย”

วิญญาณกระบี่ถาม “คุณความชอบครั้งนี้?”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ไม่นับ จะนับได้อย่างไร นับเอากับใคร คนก็ไม่อยู่แล้ว”

วิญญาณกระบี่หลุดหัวเราะพรืด “ความสามารถในการคิดบัญชีของบัณฑิต ไม่น้อยเลยจริงๆ”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “ก็นั่นน่ะสิ เหนื่อยใจจริง”

วิญญาณกระบี่หันหน้ามา “ไม่ถูกสิ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีความเสี่ยงสูงมาก ข้าบอกว่าสามารถเอาชีวิตเป็นเดิมพันได้ แต่เจ้าพวกคนใจแคบในศาลบุ๋นนั่นให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมตอบตกลง ดังนั้นจึงเอาคุณความชอบส่วนของลูกศิษย์คนสุดท้าย ของข้ามาใช้แล้ว สายของหย่าเซิ่งมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ใจกว้าง แต่ละคนขี้งกกันทั้งนั้น เป็นอริยะปราชญแต่ไม่ใจกว้าง จะถือว่าเป็นอริยะปราชญ์ที่แท้จริงได้อย่างไร หากตอนนี้เทวรูปของข้ายังขึงตาถลนอยู่เป็นเพื่อนตาแก่ในศาลบุ๋น มารดามันเถอะ ป่านนี้ข้าก็คงไปร่ายเหตุผลให้พวกสายหย่าเซิ่งมันฟังนานแล้ว ก็ต้องโทษข้า ปีนั้น ตอนที่มีหน้ามีตา สถานศึกษาสามแห่งและสำนักศึกษาทุกแห่งต่างก็พยายามคิดหาวิธีเชิญให้ข้าไปอบรมวิชาความรู้ แต่ข้ากลับหน้าบาง วางมาดส่งเดช สุดท้ายก็ได้แค่อธิบายหลักการเหตุผลน้อยนิด ไม่อย่างนั้นตอนนั้นก็คงแบกจอบเล็กๆ ไปขุดสถานศึกษา สำนักศึกษาแล้ว และตอนนี้พวกบัณฑิตที่ผิงอันน้อยไม่ใช่ศิษย์พี่ ก็เหมือนศิษย์พี่ของพวกเขาก็คงมีมากเป็นกระบุงโกยแล้ว”

เกี่ยวกับเรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าใช้คุณความชอบของเจ้านายตัวเองไปโดยพลการนั้น วิญญาณกระบี่กลับไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย ราวกับว่าทำเช่นนี้จึงจะถูกใจนาง

ส่วนข้อที่ซิ่วไฉเฒ่าพูดว่าเอาชีวิตตัวเองมารับประกันอะไรนั่น นางยังรู้สึกอับอายแทนซิ่วไฉยากจนผู้นี้ด้วยซ้ำ ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรือ ตัวเองอยู่ในสภาพแบบไหน ตัวเขาเองจะยังไม่รู้ชัดเจนพออีกหรือ? ทุกวันนี้ในใต้หล้าไพศาลมีใครที่ฆ่าเจ้าได้บ้าง? ปรมาจารย์มหาปราชญ์ย่อมไม่มีทางลงมือ หลี่เซิ่งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ หย่าเซิ่งเอาแต่ช่วงชิงบนมหามรรคากับเขาเหวินเซิ่ง ไม่เกี่ยวพันกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวแม้แต่น้อย

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าอยู่กับตัวเอง “ไม่ใช้ก็เสียเปล่า ใช้ไปแต่เนิ่นๆ ก็ยิ่งดี หลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกศิษย์ของข้ารู้เข้าแล้วยิ่งรู้สึกย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ความพัวพันเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร สายของข้านี้ ไม่ใช่ว่าข้าแปะทองบนหน้าตัวเองจริงๆ นะ ทว่าแต่ละคน มีความหยิ่งทระนง มีความรู้ดี นิสัยแข็งแกร่ง ใจป้ำอย่างแท้จริง ผิงอันน้อยเคยเดินทางผ่านสามทวีป ท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ แต่กลับมีเพียงสำนักศึกษาที่เขาไม่เคย ไปเยือน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าท่าทีที่เขามีต่อศาลบุ๋น สถานศึกษาและสำนักศึกษาของ ลัทธิขงจื๊อพวกเราเป็นอย่างไร ในใจเขาอัดอั้นยิ่งนักล่ะ ข้าว่าดีมาก แบบนี้สิถึงจะถูก”

วิญญาณกระบี่ยิ้มกล่าว “ชุยฉาน?”

ซิ่วไฉเฒ่าสีหน้าเหลอหลา “ข้าเคยรับลูกศิษย์คนนี้มาด้วยหรือ? ข้าจำได้ว่า ตัวเองมีแค่ศิษย์หลานอย่างชุยตงซานเท่านั้น”

วิญญาณกระบี่กล่าว “ข้ากลับรู้สึกว่าชุยฉานมีมาดของคนในสมัยโบราณมากที่สุด”

“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ”

ซิ่วไฉเฒ่ามีสีหน้าเลื่อนลอย พึมพำว่า “ข้าเองก็ผิดเหมือนกัน น่าเสียดายที่ ไม่มีโอกาสแก้ไขความผิดแล้ว ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ รู้ผิดแล้วแก้ไขนับว่าประเสริฐยิ่ง รู้ว่าผิดแต่กลับไม่มีโอกาสได้แก้ไข คือความเสียดายอันใหญ่หลวง ความเจ็บปวด อันใหญ่หลวง”

เพียงแต่ไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็ปัดเป่าพยับเมฆในใจให้หายไปสิ้น เขาลูบหนวดคลี่ยิ้ม เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่อาจกอบกู้กลับคืน แต่สิ่งที่กำลังจะมาเยือนสามารถชดเชยได้ นี่ตนก็รับลูกศิษย์คนสุดท้ายมาแล้วไม่ใช่หรือ

ผู้อาวุโสอะไรกัน

พวกเราอายุยังน้อย แต่พวกเราสองคนคือคนรุ่นเดียวกัน

ท่ามกลางแสงสนธยา ทางฝั่งของร้านเหล้า เตี๋ยจ้างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เหตุใด เมื่อตอนกลางวันเฉินผิงอันเพิ่งจากไปได้ไม่นานก็กลับมาดื่มเหล้าอีกแล้ว?

กิจการของร้านเหล้าไม่เลว อย่าว่าแต่ไม่มีโต๊ะว่างเลย แม้แต่พื้นที่ว่างๆ ก็ยังไม่มี นี่ทำให้ตอนที่เฉินผิงอันมาซื้อเหล้า อารมณ์จึงดีขึ้นได้ไม่น้อย

เตี๋ยจ้างยื่นเหล้าราคาถูกที่สุดไปให้หนึ่งกา ถามว่า “นี่คือ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เกิดเรื่องบางอย่าง หนิงเหยาบอกข้าว่าไม่โกรธ พูดแบบน่าเชื่อถือว่านางไม่โกรธจริงๆ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่นางพูดเลย”

เตี๋ยจ้างไม่ได้ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น นางเอ่ยปลอบใจว่า “หนิงเหยาไม่เคยพูดจาวกวนอ้อมค้อม นางบอกว่าไม่โกรธก็แสดงว่าไม่โกรธจริงๆ เจ้าคิดมากไปแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันตอบกลับอย่างอัดอั้นว่า “เถ้าแก่ใหญ่ ไหนเจ้าลองมาสิว่าเป็นข้า ที่มองคนได้แม่นยำ หรือเป็นเจ้าที่มองคนได้แม่นยำกันแน่?”

ตอนนี้เตี๋ยจ้างรู้สึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเถ้าแก่รองก็ดื่มเหล้าหลายๆ กาหน่อย เหล้าในร้านของพวกเรามีมากพอ กฎเดิม คนคุ้นหน้า คุ้นตากันดี นอกจากคนที่เพิ่งฝ่าทะลุขอบเขตแล้วล้วนห้ามลงบัญชีเชื่อค่าเหล้าเหมือนกันทั้งหมด”

เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้า หยิบตะเกียบและจานกับแกล้มมานั่งอยู่ข้างทาง ด้านข้างคือ ผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าที่มักจะมาอุดหนุนที่ร้านบ่อยๆ คือคนประเภทที่ว่าหากอยู่ ห่างเหล้าวันหนึ่งก็จะตายให้ได้ ขอบเขตประตูมังกร นามว่าหานหรง เหมือนกับ เฉินผิงอันที่ทุกครั้งจะดื่มแค่เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ตอนแรกๆ เฉินผิงอันบอกกับเตี๋ยจ้างว่า ลูกค้าที่เป็นเช่นนี้ควรจะยิ้มแย้มสานสัมพันธ์บ่อยๆ ตอนนั้นเตี๋ยจ้างอึ้งตะลึงไป เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายอย่างอดทนว่า เพื่อนของผีขี้เหล้าล้วนเป็นผีขี้เหล้า อีกทั้งยังเป็นพวกที่สุมหัวกันดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย เมื่อเทียบกับพวกคนที่สามวันห้าวันจะมาดื่มเหล้าดีๆ เพียงลำพังสักหนึ่งกาแล้ว ฝ่ายแรกคือลูกค้าที่ดีที่เพิ่งจะลุกเดินออกจากโต๊ะไปได้ไม่กี่ก้าวก็นึกอยากจะกลับมา นั่งลงใหม่อีกครั้ง การค้าทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่ทำครั้งเดียวจบล้วนไม่ใช่การค้าที่ดี

ตอนนั้นเตี๋ยจ้างยังถึงขั้นเห็นเป็นจริงเป็นจังว่าคำพูดพวกนี้ล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำ จึงจดแต่ละประโยคลงสมุดบันทึกเอาไว้ ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ด้านข้างกลุ้มใจแทบตาย เถ้าแก่ใหญ่ของเราคนนี้ทำการค้าไม่เป็นจริงๆ ไม่รู้เลยว่าสิบกว่าปีมานี้ เปิดร้านมาได้อย่างไร? ตนเพิ่งจะเป็นร้านผ้าห่อบุญมาแค่ไม่กี่ปีเอง? หรือว่าตนพอจะมีพรสวรรค์ในการทำค้าอยู่บ้างจริงๆ ?

หานหรงยิ้มถาม “เถ้าแก่รอง มาดื่มเหล้าแก้กลุ้มหรือ? ทำไม โดนไล่ออกมาหรือ? ไม่เป็นไร พี่ใหญ่หานอย่างข้าคือผู้มีประสบการณ์ด้านความรักอย่างโชกโชน จะถ่ายทอดแผนการอันแยบยลให้เจ้า ส่วนเจ้าก็จ่ายค่าเหล้าแทนข้า เป็นอย่างไร การค้านี้ คุ้มค่า!”

เฉินผิงอันเคี้ยวกับแกล้ม จิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ฟังแผนเจ้าต่างหากที่จะทำให้เสียเรื่อง และข้าก็แค่ออกมาจิบเหล้าเท่านั้น อีกอย่างใครต้องเป็น ผู้ถ่ายทอดแผนการแยบยลให้แก่ใครก็ยังไม่แน่? ป้ายสงบสุขที่แขวนไว้บนกำแพงร้าน พี่ใหญ่หานเขียนอะไรไว้ ดื่มเหล้าก็เลยลืมไปหมดแล้วหรือ? ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ในร้านมีป้ายสงบสุขมากมายขนาดนั้น กลับมีอยู่แผ่นเดียวที่หันเอาฝั่งที่เขียนชื่อ แนบติดผนัง

ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่หานเจ้าเห็นร้านพวกเราเป็นสถานที่บอกรักหรืออย่างไร? แม่นางคนนั้นยังจะกล้ามาดื่มเหล้าที่ร้านข้าอีกไหม? ค่าเหล้าวันนี้เจ้าจ่าย สองส่วนเลย”

“ไม่เอาน่า พี่น้องกันคุยเรื่องเงินจะทำลายมิตรภาพเอานะ”

ห้านิ้วของหานหรงยกชามเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ หนึ่งอึก จากนั้นก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ที่นี่ของพวกเรามีชายโสดอยู่มากมาย แต่คนที่รักเดียวใจเดียวอย่างข้ากลับหาได้ ยากยิ่ง วันหน้าหากข้าได้โอบกอดสาวงามกลับบ้านจริงๆ ข้าก็จะถือว่าร้านของเจ้าศักดิ์สิทธิ์ รับรองว่าวันหน้าจะมาแก้บนแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะสั่งเหล้าราคาเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญมาสองกาเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ถึงเวลานั้นข้าจะแถมให้เจ้าอีกกา”

หานหรงถาม “จริงรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แต่เป็นแบบราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะนะ”

หานหรงกล่าวอย่างผิดหวัง “ไม่มีความพิถีพิถันเอาเสียเลย เถ้าแก่รองผู้ยิ่งใหญ่ อายุยังน้อยแต่มีความสามารถ โดดเด่นเกินฝูงชน คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นดั่งหงส์และมังกรในหมู่คน…”

เฉินผิงอันด่าขำๆ “หยุดเลยๆ พี่ใหญ่หาน หากข้าพ่นเหล้าออกมา เจ้าชดใช้ให้ข้าเลยนะ?”

เตี๋ยจ้างที่อยู่ห่างไปไกลมองคนสองคนที่คุยกันอย่างถูกคอก็ให้รู้สึกนับถือ เถ้าแก่รองผู้นี้คุยเก่งจริงๆ

เฉินผิงอันเคยบอกว่าเขาชอบดื่มเหล้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เพราะบนโต๊ะเหล้าของใต้หล้าไพศาล เป็นเหล้าเหมือนกัน แต่คนที่กุมอำนาจใหญ่จอกเหล้าลึก คนไร้อำนาจกลับจอกเหล้าตื้น

หานหรงหัวเราะหึหึ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยว่า “เถ้าแก่รอง เจ้าอ่านตำรามามาก ช่วยข้าคิดหาบทกลอนที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนสักบทได้ไหม มาตรฐานไม่ต้องสูงเกินไปนัก เอาแบบประโยค ‘เคยฝันว่าชิงเสินมารินเหล้าให้’ น่ะ แม่นางที่ข้าชอบคนนั้นดันชอบอะไรทำนองนี้ หากเจ้าช่วยพี่ใหญ่สักครั้ง ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ เดี๋ยววันหน้าข้าจะช่วยลากพวกผีขี้เหล้ากลุ่มใหญ่ให้มาอุดหนุนร้านเจ้า หากดื่มไม่ถึงสิบไห วันหน้าข้าจะเปลี่ยนแซ่ตามเจ้าเลย”

“เจ้าคิดว่าการแสร้งทำตัวเป็นคนสุภาพมีความรู้ก็เหมือนการดื่มเหล้า แค่มีเงิน ก็ยกมาวางบนโต๊ะได้ชามแล้วชามเล่าอย่างนั้นหรือ ไม่มีเรื่องดีแบบนี้หรอก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อีกอย่างข้าผู้อาวุโสก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่รับใครเป็นลูก”

หานหรงยกชามเหล้าขึ้น “พวกเราสองพี่น้องมีมิตรภาพอันลึกซึ้ง จะดีจะชั่วก็ลองแต่งให้พี่ใหญ่สักบทเถอะ ต่อให้มีแค่ประโยคสองประโยคก็ยังดี ไม่เป็นลูกชาย แต่เป็นหลานของเจ้าแทนได้ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันชูชามเหล้าขึ้น “ขอข้ากลับไปคิดดูก่อนได้ไหม? แต่พูดประโยคที่มีจิตสำนึกสักหน่อย อารมณ์ศิลปินจะบังเกิดหรือก็ไม่ยังต้องดูว่าดื่มเหล้าได้ถึงระดับหรือไม่”

หานหรงหันหน้าไปตะโกนเสียงดังให้เตี๋ยจ้าง “เถ้าแก่ใหญ่ เหล้าไหนี้ของเถ้าแก่รอง ข้าจ่ายให้เอง!”

เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับ ในใจคิดว่าขอแค่เฉินผิงอันยินดีขายเหล้าไปเรื่อยๆ คาดว่า ใช้เวลาไม่กี่ปีก็คงไปเปิดร้านที่หัวกำแพงเมืองได้แล้วกระมัง

สตรีร่างสูงเพรียวคนหนึ่งเดินนวยนาดมาถึง มาหยุดอยู่ตรงหน้าเถ้าแก่รองที่กำลังอธิบายให้พี่ใหญ่หานฟังว่าอะไรคือ ‘แสงบิน’ นางยิ้มกล่าวว่า “ขอรบกวนเวลาคุณชายเฉินสักครู่ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนหันหน้าไปพูดกับหานหรงว่า “เจ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร แค่นางเข้าใจก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปบนถนนใหญ่พร้อมกับสตรีผู้นั้น เขายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางอวี๋มีใจแล้ว”

ผู้ที่มาก็คืออวี๋เชี่ย สตรีที่ทำให้ฟ่านต้าเช่อเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ

สีหน้าของอวี๋เชี่ยไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไร เพียงแต่ว่าครู่เดียวนางก็เอ่ย เนิบช้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องคืนนั้น ข้าได้ยินมาแล้ว แม้ข้ากับฟ่านต้าเช่อ จะไม่อาจเดินด้วยกันไปจนถึงท้ายที่สุด แต่ข้าก็ยังอยากจะมาขอโทษคุณชายเฉิน ด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็เกิดจากข้า เดือดร้อนให้คุณชายเฉินต้องมาเป็นที่รองรับโทสะเปล่าๆ บางทีพูดอย่างนี้อาจไม่ค่อยเหมาะนัก หรืออาจถึงขั้นทำให้คุณชายเฉินรู้สึกว่าข้าเสแสร้งแกล้งพูดจาไปตามมารยาท ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ยัง หวังว่าคุณชายเฉินจะให้อภัยฟ่านต้าเช่อ เขาเป็นคนดีมากจริงๆ เป็นข้าที่ผิดต่อเขา”

“หากฟ่านต้าเช่อไม่ใช่คนดี ข้าก็คงไม่ยอมรับคำด่าจากเขาหรอก”

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ใครบ้างที่ไม่เคยดื่มเหล้าจนเมามาย บุรุษดื่มสุรา พร่ำเอ่ยชื่อของสตรีออกมา ต้องเป็นเพราะชื่นชอบนางมากจริงๆ ส่วนด่าคนเพราะความเมา กลับไม่ควรคิดเป็นจริงเป็นจังได้เลย”

“ขอบคุณคุณชายเฉินมาก”

อวี๋เชี่ยยอบตัวคารวะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนการดื่มสุราของคุณชายเฉิน กับสหายแล้ว”

พออวี๋เชี่ยจากไป เฉินผิงอันก็ย้อนกลับไปที่ร้าน ไปนั่งดื่มเหล้าต่อ หานหรงกลับไปแล้ว แน่นอนว่ายังไม่ลืมจ่ายค่าเหล้าให้เขาด้วย

เตี๋ยจ้างขยับเข้ามากระซิบถาม “เรื่องอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เรื่องของฟ่านต้าเช่อนั่นแหละ อวี๋เชี่ยมาขอโทษแทนเขา”

เตี๋ยจ้างกระตุกมุมปาก “ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้เฉินซานชิวโมโหหรอกหรือ ในบรรดาภูเขาคุณชายน้อยใหญ่รอบตัวฟ่านต้าเช่อ เฉินซานชิวคือคนที่นั่งอยู่ใน อันดับหนึ่งเชียวนะ หากเฉินซานชิวพูดแรงๆ สักคำ วันหน้าอวี๋เชี่ยก็อย่าได้หวังว่า จะอยู่ร่วมกับคนทางแถบนั้นได้เลย”

เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร

เรียบง่ายแค่นี้เสียที่ไหน

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “พวกเรามาเดิมพันกันว่าฟ่านต้าเช่อจะโผล่มาหรือไม่ดีไหม?”

เตี๋ยจ้างพยักหน้า “ข้าเดิมพันว่าเขาต้องมาแน่นอน”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม กำลังจะพยักหน้ารับ

เตี๋ยจ้างกลับเปลี่ยนคำพูด “ไม่เดิมพันแล้ว”

เฉินผิงอันมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย เตี๋ยจ้างจึงรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่เดิมพันกับอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ถึงครึ่งก้านธูป ฟ่านต้าเช่อก็มาแล้ว

เตี๋ยจ้างกลอกตามองบน

ฟ่านต้าเช่อมาถึงที่ร้าน ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็สั่งเหล้าหนึ่งกามานั่งข้างกายเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แม่นางอวี๋บอกแล้วว่าเป็นนางที่ผิดต่อเจ้า”

ฟ่านต้าเช่อก้มหน้าลง ใบหน้าพลันนองไปด้วยน้ำตา แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่ถือชามเหล้าค้างไว้อย่างนั้น

เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ชนกับชามขาวในมือฟ่านต้าเช่อเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “อย่าคิดสั้นอย่างนึกอยากให้เกิดสงครามเสียตั้งแต่พรุ่งนี้ แล้วจะพาตัวเองไปตาย อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป”

ฟ่านต้าเช่อดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “เดาเอา”

ฟ่านต้าเช่อกล่าวว่า “อย่าให้เป็นเพราะข้าที่ทำให้เจ้ากับเฉินซานชิวไม่อาจเป็นเพื่อนกัน หรือไม่พวกเจ้าก็ยังเป็นเพื่อนกัน แต่ในใจกลับมีหนามทิ่มตำให้ยอกแสลง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ “แบบนั้นก็ดี”

เฉินผิงอันเอ่ย “หากวันนี้เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาเจ้าอยู่ดี”

ฟ่านต้าเช่อยิ้มกล่าว “น้ำใจรับไว้แล้ว แต่ไม่มีประโยชน์หรอก”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าในเวลานี้ต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างแน่นอน เสียงแมลงวันเสียงยุงดังหึ่งๆ ก็เหมือนเสียงฟ้าร้อง มดเดินผ่านถนนรู้สึกเหมือนข้ามภูเขาทั้งลูก ข้าพอจะมีวิธีอยู่บ้าง เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”

ฟ่านต้าเช่อถามอย่างสงสัย “วิธีอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อยตีสักรอบ เจ็บตัวก็เหมือนเจ็บใจ จะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง”

ฟ่านต้าเช่อเอ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “เจ้าคงจะไม่ได้หาโอกาสซ้อมข้าหรอกกระมัง? ขว้างชามเหล้าร้านเจ้าแตกไปหนึ่งใบ เจ้าต้องอาฆาตแค้นขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า”

แต่สุดท้ายฟ่านต้าเช่อก็ยังเดินไปยังมุมเลี้ยวของตรอกกับเฉินผิงอัน ไม่รอให้ฟ่านต้าเช่อตั้งกระบวนท่าก็ถูกหมัดหนึ่งต่อยให้ล้มคว่ำ พอล้มหลายครั้งเข้า สุดท้ายใบหน้าของฟ่านต้าเช่อก็เต็มไปด้วยคราบเลือด เขาโงนเงนลุกขึ้นยืน เดินโซซัดโซเซ อยู่บนถนน เฉินผิงอันปล่อยหมัดเสร็จก็หยุดมือ ยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายอยู่ดังเดิม เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านข้าง หันหน้ามายิ้มถามว่า “เป็นอย่างไร?”

ฟ่านต้าเช่อเช็ดหน้า แบฝ่ามือออกดูแล้วเงยหน้าด่าดังลั่น “รู้สึกดีกับท่านปู่เจ้าน่ะสิ! หากข้ากลับไปด้วยสภาพนี้ ไม่แน่ว่าพวกซานชิวอาจคิดว่าข้าคิดสั้นจริงๆ ก็ได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลูกผู้ชายเลือดออกนิดหน่อยจะนับเป็นอะไรได้ ไม่อย่างนั้นเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของข้าที่เจ้าดื่มเข้าไปก็เสียเปล่า จำไว้ว่าจ่ายเงินค่าเหล้าก่อน แล้วค่อยไป ส่วนชามใบนั้นก็ช่างมันเถิด ข้าไม่ใช่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย จดจำเรื่องเล็กๆ พวกนี้ไม่ได้หรอก”

เฉินผิงอันหยุดเดิน “ข้ามีธุระนิดหน่อย”

ฟ่านต้าเช่อจึงเดินไปที่ร้านเพียงลำพัง

เฉินผิงอันหันหลังกลับ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้ทำให้เจ้าตกใจกระมัง?”

คือเด็กหนุ่มจางเจียเจิน

จางเจียเจินส่ายหน้า เอ่ยว่า “อยากถามว่าตัวอักษรคำว่าเหวิ่นนั้น หากอิงตามความหมายเดิมของอาจารย์เฉิน ควรจะอธิบายอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “คำว่าเหวิ่น ยังสามารถอธิบายได้อีกอย่างหนึ่งว่า ‘คนไม่รีบร้อน’ ความหมายใกล้เคียงกับคำว่าช้า ช้าแต่ว่าไร้ข้อผิดพลาด สุดท้ายแสวงหาความเร็ว จึงกลายเป็นรีบร้อน”

จางเจียเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มอย่างเข้าใจ เงยหน้าขึ้นมองเฉินผิงอันที่เอา สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วถามว่า “อาจารย์เฉิน ข้าเรียนไม่ได้ทั้งวรยุทธและกระบี่ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อข้ามีเวลาว่างและท่านอาจารย์ก็อยู่แถวที่ร้านพอดี ข้าสามารถมาขอความรู้เรื่องการอธิบายตัวอักษรจากอาจารย์เฉินได้ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ย่อมได้อยู่แล้ว วันหน้าข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ”

จางเจียเจินขยิบตา

เฉินผิงอันหันกลับไปมอง คือหนิงเหยา

หนิงเหยาถาม “ดื่มเหล้าอีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ กลิ่นเหล้าหึ่งไปทั้งตัว หากกล้าดึงดันไม่ยอมรับ ก็ไม่ใช่ว่าต้องถูกซ้อมปางตายหรอกหรือ?

หนิงเหยาพลันเดินมาจูงมือเขา

คนทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรกัน เพียงเดินผ่านร้านเหล้า เดินขึ้นไปบนถนนใหญ่ ทั้งอย่างนี้

หนิงเหยาถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เลียนแบบคำพูดของคนบางคนว่า “เฉินผิงอันเอ๋ย ต่อให้วันหน้า เจ้าโชคดีได้แต่งภรรยา เป็นไปได้มากว่านางคงเป็นพวกสมองมีปัญหา สายตาไม่ดี”

หนิงเหยาไม่เอ่ยตอบโต้อย่างที่หาได้ยาก นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นก็เอาแต่หัวเราะอยู่กับตัวเอง นางหัวเราะจนตาหยี ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาด้านหน้า ชูนิ้วโป้งห่างจากนิ้วชี้ประมาณชุ่นกว่า พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “ชอบแค่นี้ ก็ไม่เลยหรือ?”

หนิงเหยารู้สึกสงสัยเล็กน้อยเพราะนางสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง เพียงแต่ว่ามือของคนทั้งสองยังจับกันอยู่ ดังนั้นหนิงเหยาจึงหันกลับไปมอง ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันถึงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าริมฝีปากสั่นระริก “หากมีวันหนึ่ง ข้าจากไปก่อน เจ้าจะทำอย่างไร? หากยังมีลูกของพวกเราด้วย พวกเจ้าจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานของตรอกหนีผิง ยิ่งไม่ใช่เด็กเล็ก ที่สะพายตะกร้าสมุนไพรใบใหญ่มานานแล้ว อยู่ดีๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็พลันเสียใจ เสียใจอย่างมาก

ความยากลำบากทั้งหมดที่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ ถึงท้ายที่สุด ย่อมค่อยๆ เลือนหายไปเอง มีเพียงความเจ็บปวดที่แอบซ่อนไว้เท่านั้นที่เศษเล็ก เศษน้อยของมันจะมารวมตัวกัน นานปีแล้วปีเล่า คล้ายเด็กใบ้ผู้โดดเดี่ยวที่นั่งขดตัวหลบอยู่ในมุมห้องหัวใจ เด็กคนนั้นทำเพียงแค่เงยหน้ามองสบตากับตัวเองทุกคนที่ เติบใหญ่อยู่เงียบๆ โดยไม่เอ่ยคำใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!