บทที่ 591 ฝนพรำติดต่อจนไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะจากไป
ลมฤดูใบไม้ผลิเรียกฝนฤดูใบไม้ผลิให้มาเยือน
ภายใต้ชายคา เฉินผิงอันที่นั่งอ่านบทประพันธ์ของปัญญาชนคนหนึ่งอยู่บนเก้าอี้ลุกขึ้นยืน เดินเอามือไปรองรับน้ำฝน
ตอนนั้นก่อนจะกลับมาที่จวนหนิงในนคร เฉินชิงตูถามคำถามเขาข้อหนึ่งว่า จะทิ้งตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่งไว้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากตายอยู่ใน สงครามใหญ่ทางทิศใต้ครั้งถัดไป แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะเสียหาย แต่จะดีจะชั่ว ก็มีชีวิตเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง นี่ก็คือขั้นตอนแรกในการคัดลอกดวงวิญญาณ ค่อนข้างจะทรมาน ผู้ฝึกตนทั่วไปแบกรับความทรมานนี้ไม่ไหว สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ ของใต้หล้าไพศาลที่คิดจะลงโทษภูตผีวัตถุหยินใต้บังคับบัญชา การจุดตะเกียงน้ำตะเกียงไฟที่มีดวงวิญญาณเป็นไส้ตะเกียง ความร้ายกาจของมันจะดำรงอยู่ อย่างยาวนาน หากพูดถึงแค่ความเจ็บปวดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็อยู่ไกลเกินกว่า จะเทียบเวทคาถาการคัดลอกนี้ได้ติด
ขั้นที่สองก็คือการจุดตะเกียงอยู่ในศาลบรรพจารย์ของตัวเอง เมื่อผ่านก้าวแรกไปได้ ข้อด้อยที่ใหญ่ที่สุดของตะเกียงแห่งชะตาชีวิตนี้ก็คือเผาผลาญเงินทอง ไส้ตะเกียง จะถูกสร้างขึ้นด้วยวิชาลับของตระกูลเซียน สิ่งที่เผาผลาญไปก็คือเงินเทพเซียน คือการทุ่มเงินในทุกๆ วัน เป็นเหตุให้ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตนี้ เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลจึงมักจะมีเพียงตระกูลเซียนตัวอักษรจงที่มีรากฐานลึกล้ำเท่านั้นที่จะจุดตะเกียงให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่สำคัญที่สุดในศาลบรรพจารย์ จะฝึกวิชาบทนี้เป็นหรือไม่ คือ ธรณีประตูขั้นแรก การสร้างตะเกียงแห่งชะตาชีวิตก็คือธรณีประตูขั้นที่สอง เงินเทพเซียนที่ต้องเผาผลาญหลังจากนี้ก็มักจะเป็นรายจ่ายที่สำคัญของ ศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่ง เพราะหากจุดไปแล้วก็ไม่อาจมอดดับ หากไฟของตะเกียง ดับลง กลับกลายเป็นว่าจะหันไปทำร้ายวิญญาณดั้งเดิมของผู้ฝึกตน และขอบเขตถดถอยก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้
ขั้นที่สามก็คืออาศัยตะเกียงแห่งชะตาชีวิตมาสร้างดวงวิญญาณจิตหยินและร่างจริงจิตหยาง อีกทั้งยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้สำเร็จ ต่อให้ทำสำเร็จแล้ว วันหน้าผลสำเร็จบนมหามรรคาก็จะถูกลดทอนไปมาก
เป็นเหตุให้เรื่องของการสร้างตะเกียงแห่งชะตาชีวิตคือการกระทำที่จำใจ คือวิธีการชวนจนใจที่ผู้ฝึกตนของสำนักบนภูเขาใช้รับมือกับ ‘หมื่นหนึ่ง’ ในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดีกว่าผู้ฝึกตนที่ลาจากโลกนี้ไป จิตวิญญาณแหลกสลาย ได้แต่ ฝากความหวังไว้ที่การกลับมาจุติใหม่ ค้นหาอย่างยากลำบากไปทั่วสารทิศกว่าจะถูกคนพากลับเข้าสำนักไปสืบทอดควันธูปต่อ ทว่าผู้ฝึกตนที่เป็นเช่นนี้ สามจิต เจ็ดวิญญาณของชาติก่อนมักจะไม่ครบถ้วน จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูที่ชะตาฟ้าลิขิต ดังนั้นสติปัญญาจะเปิดโล่งได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับชะตากรรม หลังจากสติปัญญาเปิดโล่งแล้ว ควรจะคิดคำนวณชาติก่อนชาตินี้อย่างไรก็ยังบอก ได้ยาก
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา เก็บความคิดทั้งหมดลงไป หันกลับไปมองก็เห็นว่า เป็นพวกเจ้าอ้วนเยี่ยน เตี๋ยจ้างก็อยู่ด้วยอย่างที่หาได้ยาก ร้านเหล้ากลัววันที่ฝนตกมากที่สุด จึงได้แต่ปิดร้าน ทว่าโต๊ะกับม้านั่งจะไม่มีการเคลื่อนย้าย วางไว้นอกร้าน อยู่อย่างนั้น ตามวิธีการที่เฉินผิงอันบอกแก่นาง ทุกครั้งที่เจอกับวันฝนตกหิมะตก ร้านจะไม่เปิดกิจการ แต่บนโต๊ะทุกตัวจะวางเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ถูกที่สุดเอาไว้ และวางชามเหล้าไว้อีกสองสามใบ เหล้าไหนี้จะไม่คิดเงิน ผู้ที่มาพบสามารถดื่มได้เลย แต่ทุกคนดื่มได้แค่คนละชามเท่านั้น
หนิงเหยายังตั้งใจฝึกตนอยู่ที่หน้าผาสังหารมังกร คราวก่อนหลังจากเดินกลับกันมา ถึงจวนหนิง ป๋ายหมัวมัวกับน่าหลันเย่สิงต่างก็สังเกตเห็นว่าคุณหนูของตนแปลกไป หันมาจริงจังกับเรื่องของการฝึกตนมากขึ้น
เจ้าอ้วนเยี่ยนมาคุยเรื่องที่จะให้เฉินผิงอันกับเตี๋ยจ้างเข้าร่วมร้านขายผ้าแพรต่วน เฉินซานชิวกับต่งฮว่าฝูแค่มาร่วมวงเรื่องสนุกเท่านั้น แต่ละคนกางร่ม พอเดินเข้ามา ใต้ชายคาแล้วก็หุบร่มเอาวางพิงไว้ตรงมุมกำแพง เฉินผิงอันมือหนึ่งถือหนังสือ มือหนึ่งหิ้วเก้าอี้เดินเข้าไปในห้อง เจ้าอ้วนเยี่ยนมองห้องที่สะอาดจนเกินพอดีแล้ว ก็ให้เจ็บปวดใจ พี่น้องคนดีของข้าเยี่ยนจั๋ว ลูกเขยคนดีของจวนหนิง เหตุใดถึงได้มา พักอยู่ในสถานที่เล็กๆ แร้นแค้นเช่นนี้ เฉินซานชิวหยิบชุดชงชาออกมาจากวัตถุฟางชุ่น ว่ากันว่าเป็นของที่เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ใหญ่บางแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใช้กัน เฉินซานชิวเริ่มต้มชา เขาก็อยากจะชวนเฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่เหมือนกัน แต่เขาจะกล้าหรือ? วันหน้ายังอยากจะมาเป็นแขกที่จวนหนิงอีกหรือไม่?
ตอนที่เฉินซานชิวชงชา เขายิ้มเอ่ยว่า “เรื่องของฟ่านต้าเช่อ ขอบใจมาก”
เฉินผิงอันโบกมือ ‘รวมบทร่มเงาพฤกษาบุปผชาติ’ ที่วางอยู่บนโต๊ะเล่มนั้นก็คือตำราหายากที่เฉินซานชิวช่วยซื้อมาให้จากหอมายา และยังมีหนังสือประวัติศาสตร์ อีกหลายเล่ม น่าจะจ่ายเงินเทพเซียนไปไม่น้อย เพียงแต่ว่าพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กับคุณชายลำดับต้นๆ อย่างเฉินซานชิว ก็เหมือนการตบหน้าเขา
ส่วนต่งถ่านดำที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่ลำดับต้นๆ เหมือนกันนั้น ก็ช่างเถิด ความสามารถในการประหยัดเงินของเจ้าหมอนี่เข้าขั้นชำนาญกว่าเฉินผิงอันเสียอีก ตั้งแต่เล็กจนโต ว่ากันว่าเขาไม่เคยควักเงินออกจากกระเป๋าแม้แต่เหรียญ เกล็ดหิมะเดียว เฉินผิงอันยังนึกอยากจะหาคนให้มาเป็นเจ้ามือให้ จะได้ลงเดิมพันว่าต่งฮว่าฝูจะเป็นฝ่ายควักเงินตอนไหน จากนั้นเขากับต่งฮว่าฝูที่คบคิดกันก็จะแอบแบ่งกำไรกันก้อนใหญ่
เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีโอกาสจะหาเงินได้จึงพูดเรื่องนี้กับต่งฮว่าฝู
ต่งฮว่าฝูกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช้เงิน แล้วจะหาเงินมาทำไม ที่บ้านข้าก็ไม่ได้ขาดเงินสักหน่อย”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้ง
ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผล?
เตี๋ยจ้างหัวเราะเบิกบานที่สุด เพียงแต่ว่าหัวเราะได้ครู่หนึ่งก็ได้ยินเฉินผิงอันเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้เจ้าจ่ายเงิน ข้าจะปรึกษากับคนที่มาเป็นเจ้ามือให้แบ่งการเดิมพันออก เป็นว่าเจ้าจะใช้เงินภายในสิบวัน ใช้เงินภายในหนึ่งเดือน และในหนึ่งเดือนจะยังคงไม่ใช่เงินต่อไป ส่วนรายละเอียดว่าจะใช้เงินเท่าไรก็ให้มีการเดิมพันเช่นกัน เดิมพันว่าเป็นเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญหรือหลายเหรียญ หรือว่าจะเป็นเงินร้อนน้อย จากนั้น ก็ให้เขาแสร้งปล่อยข่าวลือไปว่า ข้าเฉินผิงอันลงเดิมพันก้อนใหญ่ว่าเจ้าจะใช้เงิน ในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ แต่ให้ตายก็ไม่ยอมบอกว่าสรุปแล้วเป็นภายในสิบวันหรือว่า หนึ่งเดือนกันแน่ แต่ในความเป็นจริงแล้วข้ากลับลงเดิมพันว่าเจ้าจะไม่ใช้เงินเลย ตลอดทั้งเดือน เห็นไหม เจ้าเองก็ไม่ต้องใช้เงิน ได้ดื่มเหล้าเหมือนเดิม แล้วยังได้เงิน มาเปล่าๆ อีก”
เตี๋ยจ้างรู้สึกว่าเถ้าแก่รองตรงหน้าผู้นี้ ยามที่คิดจะเป็นเจ้ามือขึ้นมาก็หน้าเลือด ยิ่งกว่าอาเหลียงเสียอีก
เฉินซานชิวเริ่มนึกอยากดื่มเหล้าเสียแล้ว
เยี่ยนจั๋วทำท่าคันไม้คันมืออยากลองเต็มที่ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะได้กำไรมาเปล่าๆ เหมือนกัน เดิมพันว่าต่งถ่านดำไม่มีทางใช้เงิน!”
เฉินผิงอันเหล่ตามอง “แน่นอนว่าเจ้าต้องคอยช่วยเจ้ามือที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างมา ผู้นั้นทำสถานการณ์ให้มั่นคงอยู่แล้ว ในขณะที่พวกคนเจ้าเล่ห์ยังโลเลตัดสินใจไม่ได้ เจ้าก็ต้อง ‘ไม่ทันระวัง’ บอกให้ข้ารับใช้คนสนิทเอาเงินไปจ่าย คิดไม่ถึงว่าจะเป็น การเปิดเผยเบาะแส ทำให้คนเล่าลือกันไปปากต่อปาก เมื่อรู้ว่านายน้อยเยี่ยนอย่างเจ้าแอบทุ่มเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ลงเดิมพันเวลาภายในสิบวัน ก็จะทำให้คนมั่นใจ ในข่าวลือเล็กๆ ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าข้าลงเดิมพันว่าต่งถ่านดำจะใช้เงิน
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนักพนันเจ้าเล่ห์พวกนั้น มีความเป็นไปได้มากกว่า จะไม่ติดเบ็ด ก่อนหน้านี้นายน้อยเยี่ยนอย่างเจ้าทุ่มเงินไปกี่มากน้อย เงินเหล่านั้น แค่มาวนอยู่ในกระเป๋าข้ารอบหนึ่งแล้วก็ต้องหวนคืนสู่กระเป๋าเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? หลังจบเรื่องเจ้าค่อยมาปรึกษาเรื่องส่วนแบ่งกับข้าและต่งถ่านดำ”
เยี่ยนจั๋วใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ยอดเยี่ยมนัก!”
เตี๋ยจ้างกับเฉินซานชิวหันมามองหน้ากันเอง
เตี๋ยจ้างกำลังจะขอเข้าร่วมด้วย ไม่มาก เอาแค่เงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญเท่านั้น เงินที่ผิดต่อมโนธรรมในใจเช่นนี้ ได้มานิดหน่อยก็พอ หากได้มามากเกินไป ในใจ เตี๋ยจ้างย่อมรู้สึกผิด
คิดไม่ถึงว่าเฉินซานชิวจะส่ายหน้า “อย่าลากข้าลงน้ำด้วย มโนธรรมในใจของข้าไม่สงบ”
เตี๋ยจ้างจึงเริ่มลังเล
เฉินผิงอันทำสีหน้ารังเกียจ “เดิมทีกระบวนท่าหนึ่งก็ไม่ควรเอามาใช้สะเปะสะปะ ใช้มากไปกลับจะทำให้คนสงสัย”
เฉินซานชิวกุมมือเป็นหมัดแล้วเขย่าเบาๆ “ข้าต้องขอบคุณเจ้านะเนี่ย”
ต่งฮว่าฝูกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าต้องการห้าส่วน ส่วนที่เหลือพวกเจ้าสองคน ก็ไปแบ่งกันเอาเอง”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า “ถ่านดำเอ๋ย ข้าได้ยินมาว่าคนทั้งนครล้วนรู้เรื่องที่หนึ่งฝ่ามือของหนิงเหยาตบข้าเฉินผิงอันได้ร้อยคนกันหมดแล้ว ข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก เจ้าดูอย่างฟ่านต้าเช่อนั่นสิ ด่าข้าในถิ่นของข้า
ข้าก็ไม่ว่าอะไร แล้วยังจะขว้างชามข้าแตก แต่ข้าเคยอาฆาตแค้นไหม? ข้าไม่เคยอาฆาตแค้นเขาเลยสักนิด ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่หากไม่ตีก็ไม่รู้จักกัน เพียงคลี่ยิ้มก็ลืมความแค้นกันไปแล้ว”
ต่งฮว่าฝูพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เมื่อครู่นี้ข้าบอกว่าเป็นเจ้าที่ได้ส่วนแบ่งคนเดียวห้าส่วน ข้ากับเจ้าอ้วนเยี่ยนจะแบ่งส่วนที่เหลือกันเอง”
ต่อจากนั้นก็เริ่มคุยเรื่องเป็นการเป็นงานต่อกัน ร้านผ้าแพรต่วนที่อยู่ในชื่อของเยี่ยนจั๋วนั้น เฉินผิงอันกับเตี๋ยจ้างคิดจะเข้าร่วมด้วย ทั้งสองคนได้ส่วนแบ่งกัน คนละหนึ่งส่วน
เฉินผิงอันพาพวกเขาเดินมายังห้องฝั่งตรงข้าม เปิดประตูออก บนโต๊ะมี ตราประทับน้อยใหญ่สูงต่ำหลากหลายสีสันกองเอาไว้จนเต็ม มีไม่ต่ำกว่าร้อยอัน แล้วยังมีตำราตราประทับที่เฉินผิงอันเขียนขึ้นมาเองอีกหนึ่งฉบับ มีชื่อว่า ‘ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่’ เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตราประทับพวกนี้ แกะสลักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ล้วนเป็นถ้อยคำมงคลที่ความหมายดี เป็นนิมิตหมายที่ดี สตรีมอบให้สตรี สตรีมอบให้บุรุษ บุรุษมอบให้สตรี ล้วนเหมาะสมดีเยี่ยม หากซื้อแค่ผ้าแพรต่วนของที่ร้านจะไม่มอบให้ มีเพียงวางเงินมัดจำล่วงหน้ากับร้านพวกเราไว้ก่อนก้อนหนึ่ง ราคาเริ่มต้นคือหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ถึงจะมอบตราประทับให้ หนึ่งชิ้น คนที่จ่ายเงินก่อนได้เลือกตราประทับก่อน เพียงแต่ว่าตรงขอบของ ตราประทับยังไม่สลักตัวอักษร หากต้องการสลักตัวอักษรเพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการให้ลงชื่อของข้าเฉินผิงอันก็ต้องควักเงินเพิ่ม นอกจากจะได้ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนมาจากทางร้าน ข้ายังต้องได้ส่วนต่างเพิ่มอีก สตรีเอาเงินมาช่วยสำรองให้ การซื้อผ้าตัดชุดหลังจากนั้น ทางร้านก็สามารถลดราคาให้ได้ แค่ทำให้พอเป็นพิธีก็พอ หากมีสตรีควักเงินฝนธัญพืชออกมาตบหน้านายน้อยเยี่ยนของพวกเราโดยตรง จะลดให้มากหน่อยก็ไม่มีปัญหา”
เยี่ยนจั๋วหยิบตราประทับขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ด้านบนสลักอักษรคำว่า ‘ห้องแห่งความคิดถึง’ แล้วจึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “แม้จะบอกว่าที่นี่ของพวกเรามีสตรีตระกูลใหญ่ที่พอจะรู้บทกวีอยู่บ้าง แต่อันที่จริงความรู้ของพวกนางล้วนธรรมดาอย่างมาก จะชอบของพวกนี้หรือ? อีกอย่างวัสดุของตราประทับพวกนี้ก็ธรรมดาไปหน่อยหรือเปล่า”
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หากวัสดุของตราประทับดีเกินไป ไยจะต้องนำมาเป็น ของรางวัลที่ร้านผ้าเล่า การค้าที่ขาดทุน ทำไปก็ไร้ความหมาย อันที่จริงของพวกนี้ เป็นแค่ของที่เอาไว้ให้คนถือเล่นในมือ แค่ชื่นชมก็พอแล้ว อีกอย่างอันที่จริงใต้หล้านี้ ก็ไม่มีคนที่ไม่ชอบถ้อยคำดีๆ และตัวอักษรสวยๆ หรอก เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเห็นก็เท่านั้น”
เฉินซานชิวหยิบๆ พลิกๆ สุดท้ายไปถูกใจตราประทับขนาดจิ๋วอันหนึ่งที่สลักอักษร คำว่า ‘ในใจซ่อนคนบางคน ชวนให้คิดถึงคำนึงหา’ จึงโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่ง ไปให้เจ้าอ้วนเยี่ยน ยิ้มเอ่ยว่า “ถือเสียว่าเป็นเงินฝนธัญพืชที่มอบให้ร้านของเจ้า ดังนั้นตราประทับชิ้นนี้จึงเป็นของข้าแล้ว”
เยี่ยนจั๋วรู้ว่าเรื่องพวกนี้เฉินซานชิวมีความรู้กว้างขวางกว่าตน เพียงแต่ว่าก็ยัง ไม่ค่อยแน่ใจนัก จึงเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เรื่องเป็นหุ้นส่วนนั้นไม่มีปัญหา เจ้ากับเตี๋ยจ้างได้ส่วนแบ่งไปคนละส่วน เพียงแต่ว่าตราประทับพวกนี้ ข้ากังวลว่าจะมีเพียง เฉินซานชิวที่ชื่นชอบ ถึงอย่างไรคนที่นี่ที่เป็นคนกินอิ่มว่างงานเลยชอบอ่านหนังสืออย่างเฉินซานชิวก็มีอยู่น้อยมาก หากถึงเวลานั้นคิดจะมอบให้เปล่าๆ ก็ยังไม่มีใครเอา คิดจะขายยิ่งไม่มีทางขายออก ข้าก็ไม่เท่าไรหรอก เพราะเดิมทีกิจการของร้าน ก็ธรรมดามากอยู่แล้ว แต่หากเจ้าต้องขายหน้าก็อย่ามาโทษว่าฮวงจุ้ยของร้านข้าไม่ดีเด็ดขาด อีกอย่างต้องควักเงินก่อนถึงจะได้ของ จะมีสตรีคนใดยอมถูกหลอกแบบนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันหยิบสมุดเล็กเล่มหนึ่งมาจากมุมอื่น ยื่นส่งให้เยี่ยนจั๋วแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเอาไปอ่านดูสักบทสองบท แล้วแค่ทำตามก็พอแล้ว ถึงอย่างไรกิจการของร้าน ก็ไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอก”
ต่งฮว่าฝูพลันเอ่ยว่า “ข้าต้องการตราประทับชิ้นนี้”
เฉินผิงอันชำเลืองตามอง ตราประทับของตัวเอง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นชิ้นไหน ตัวอักษรสีชาดบนตราประทับชิ้นนั้นคือคำว่า ‘เจ็บใจที่ขุนเขาไม่ยาวไกล ออกกระบี่พาดสายรุ้งยาว’
เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “นี่จะควักเงินแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นยังจะมีเจ้ามืออีก ได้อย่างไร?”
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “เดิมทีแบ่งกันสี่กับหนึ่ง ตอนนี้เป็นข้าสามเจ้าสองแล้ว”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ตกลง!”
เตี๋ยจ้างเองก็พลิกอ่านตราประทับพวกนั้น
มีประโยค ‘แสงจันทร์ใสกระจ่าง’
และยังมี ‘เด็กหนุ่มฝันเก่า ลมพัดฝนหวาน’
‘หนึ่งชีวิตก้มหัวกราบเซียนกระบี่’ ‘ทิศเหนืออยู่เบื้องหลัง ดวงเนตรงดงาม’
‘กวางส่งเสียงร้อง เสียงนกกังวานใส พาให้อาลัยอาวรณ์’
“ที่แห่งนี้ปราณกระบี่ยาวสุดในใต้หล้า’
‘มิกล้าพกกระบี่ขึ้นหัวกำแพงเมือง ด้วยกลัวขับไล่จันทร์สามดวงให้ถอยหนี’
ตอนที่เตี๋ยจ้างพลิกตราประทับชิ้นสุดท้ายนี้ เยี่ยนจั๋วพลันตาแดงก่ำ พูดกับเฉินผิงอันเสียงสั่นว่า “หากข้าต้องการตราประทับชิ้นนี้จะคิดเงินกันอย่างไร?”
เตี๋ยจ้างตะลึงงันไปเล็กน้อย ต่งฮว่าฝูก็ตกใจเช่นกัน
แต่เฉินซานชิวกลับมีสีหน้าเศร้าโศก
หลังจากที่บิดาของเยี่ยนจั๋วไม่มีแขนสองข้างแล้ว นอกจากครั้งที่แบกเจ้าอ้วนเยี่ยน ที่บาดเจ็บสาหัสออกมาจากหัวกำแพงเมืองแล้ว เขาก็ไม่เคยขึ้นไปชมทัศนียภาพ ทิศไกลบนหัวกำแพงอีกเลย
เฉินผิงอันรับตราประทับมาจากมือของเตี๋ยจ้างเบาๆ แล้วยื่นส่งให้เยี่ยนจั๋ว “ทำการค้า พิถีพิถันในเรื่องการคิดบัญชีให้ชัดเจนแม้กระทั่งกับพี่น้องแท้ๆ ตราประทับชิ้นนี้ข้ามอบให้เจ้า ไม่ได้คิดจะขายเสียหน่อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงิน”
ตอนที่หนิงเหยามาถึงที่นี่ก็เห็นว่าพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนเดินถือร่มอยู่หน้าประตูกำลังจะกลับกันพอดี หลังจากที่หนิงเหยาเดินเข้าไปในลานบ้านพร้อมกับเฉินผิงอันก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันอธิบายให้ฟังคร่าวๆ หนิงเหยาจึงไปที่ห้องเก็บตราประทับ นั่งลงด้านข้าง หยิบตราประทับชิ้นหนึ่งขึ้นมา “หลายวันมานี้เจ้ามัวยุ่งกับเรื่องพวกนี้หรือ? คงไม่ได้แค่เพื่อหาเงินอย่างเดียวกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่เพื่อหาเงินจริงๆ นั่นแหละ”
หนิงเหยาเอ่ย “เมื่อครู่ป๋ายหมัวมัวบอกแล้วว่า วัตถุดิบวิเศษฟ้าดินที่ช่วย หล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่แอบรวบรวมได้ครบถ้วนแล้ว วางใจเถอะ วัตถุทั้งหลายที่อยู่นอกคลังของจวนหนิง ท่านปู่น่าหลันเป็นคนดูแลด้วยตัวเอง ไม่มีใครเล่นตุกติกได้แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะพยายามให้มากขึ้นแล้วจริงๆ วันๆ อยู่รวมกับกลุ่มของผู้อาวุโสโอสถทอง ต้องคอยระมัดระวังรอบคอบ ทำเอาข้าไม่กล้าพูดจาเสียงดังเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเส้นเอ็นหลิวที่ยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป ตอนนี้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ปราณกระดูก ผู้ฝึกตนลัทธิขงจื๊อที่อยู่ในขอบเขตนี้จะมีข้อได้เปรียบด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ความสามารถในการหล่อเลี้ยงลมปราณโดดเด่นที่สุด ส่วนขอบเขตที่ห้าของผู้ฝึกลมปราณอย่างขอบเขต สร้างกระท่อมที่ ‘มนุษย์มีชีวิตอยู่ในฟ้าดิน เรือนกายคือเตาหลอม’ นั้น ผู้ฝึกลมปราณของสองลัทธิอย่างเต๋าและพุทธกลับมีข้อได้เปรียบมากกว่า การที่สามลัทธิอยู่เหนือเมธีร้อยสำนัก สองขอบเขตนี้ต่างก็ถือเป็นข้อได้เปรียบที่เด่นชัดอย่างถึงที่สุด แล้วก็เป็นสาเหตุที่สำคัญมากข้อหนึ่ง ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่แม้ว่าจะขอบเขตต่ำ แต่กลับถูกขนานนามให้เป็นห้าขอบเขตขึ้นเขา คือรากฐานของมหามรรคา
หลังจากนี้จะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลางได้หรือไม่ก็สำคัญ อย่างถึงที่สุดเหมือนกับว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะสามารถฝ่าด่านแห่งความเป็นตาย ด่านที่สามนี้ไปได้หรือไม่
หนิงเหยาฟุบตัวลงบนโต๊ะ พลิกดูตราประทับทีละชิ้นพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ประตูจวนเปิดอ้ารับลมปราณ ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์มีทะเลมปราณแตกแยกออกไปเป็นร้อยสาย นี่ก็คือขอบเขตถ้ำสถิต นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกตน จึงจะสามารถหลอมปราณวิญญาณฟ้าดินได้อย่างเป็นขั้นตอนอย่างแท้จริง ช่องโพรงลมปราณสามร้อยห้าสิบหกแห่งก็เหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติสามร้อยห้าสิบหกแห่งที่กำลังรอให้ผู้ฝึกตนเดินขึ้นเขามาสร้าง กระท่อมฝึกตน เหมือนอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรานี้จะสามารถฟูมฟักตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดได้หรือไม่ ก็คือเส้นแบ่งระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับคนธรรมดาทั่วไป หลักการเดียวกัน ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เผ่าปีศาจจะสามารถจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์โดยเร็ว หันมาฝึกตนหลอมลมปราณด้วยร่างของมนุษย์ได้หรือไม่
นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน ในชั้นของถ้ำสถิตนี้ ผู้ฝึกตนชาย หากช่องโพรง เปิดออกเก้าแห่งก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทร แต่สตรีจะยากลำบากกว่าเล็กน้อย จำเป็นต้องเปิดช่องโพรงสิบห้าแห่ง ดังนั้นจำนวนของผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตจึงมีเยอะกว่าผู้ชายมากนัก เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนหญิงขอบเขต ชมมหาสมุทรกลับมีพลังการรบสู้ผู้ชายไม่ได้”
“เจ้าค่อนข้างพิเศษเพราะมีช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสามแห่ง แล้วก็มีช่องโพรง อีกสามแห่งที่ถูกปราณกระบี่อาบย้อมมานานหลายปี บวกกับที่การไปกลับของ ปราณกระบี่สิบแปดหยุด และยังมีชูอีกับสืออู่เฝ้าพิทักษ์ช่องโพรงสองแห่งในนั้น จึงถือว่ามีห้าช่องโพรงครึ่งแล้ว รอจนเจ้าหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เหลืออีกสองชิ้น พอจะรวบรวมครบห้าธาตุได้ นั่นก็เท่ากับว่าเปิดถ้ำได้เจ็ดแห่งครึ่งแล้ว ขอแค่เจ้า เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต ก็ไม่แน่ว่าอาจสามารถฝ่าทะลุขอบเขตกลายเป็นขอบเขต ชมมหาสมุทรได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีขอบเขตถ้ำสถิตก็พูดถึงการที่ประตูใหญ่ของจวนเปิดออกกว้างต้อนรับผู้มาเยือนจากแปดทิศ ผู้ฝึกตนทั่วไปจะต้องเจอกับ ความยากลำบากอย่างยิ่งในขอบเขตนี้ เพราะไม่อาจแบกรับความทรมานจาก ปราณวิญญาณที่กรอกเทเข้ามาราวกับกระแสน้ำขึ้นได้ ถูกมองว่าเป็นอุทกภัย อย่างหนึ่ง หากเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณไม่มั่นคง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนก็มักจะเดินสามก้าวถอยสองก้าว ยากที่จะ ก้าวเดินไปเบื้องหน้าได้ เจ้าไม่กลัวเรื่องนี้มากที่สุด ขอบเขตชมมหาสมุทรต่อจากนี้ สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ใช่ด่านใหญ่อะไร ขณะเดียวกันเจ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ลมปราณที่แท้จริงหมุนเวียนอย่างดุดัน เดิมทีผู้ฝึกตนควรจะสั่งสมปราณวิญญาณ ทีละนิด แล้วจึงค่อยๆ บุกเบิกขยับขยายเส้นทาง สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ใช่ปัญหายากใดๆ มีเพียงไปถึงขอบเขตประตูมังกร เจ้าถึงจะต้องเจอกับความยุ่งยากอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
เรื่องยิบย่อยพวกนี้นางต้องไปถามมาจากน่าหลันเย่สิงอย่างแน่นอน
เพราะเดิมทีการฝึกตนของหนิงเหยาก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้
หนิงเหยาหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งขึ้นมากำไว้ในฝ่ามือแล้วแกว่งเบาๆ เอ่ยชวนคุยว่า “เจ้าน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ชัดเจนดียิ่งกว่าข้า ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ วางคางบนแขนอีกที สายตามองตราประทับเหล่านั้น
ด้านนอกฝนตกไม่หยุด หนึ่งเดือนมานี้ฝนตกค่อนข้างบ่อย
ฝนพรำติดต่อกัน ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไปโดยไม่รู้ตัว
เฉินผิงอันเบี่ยงหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ที่บ้านเกิด เคยมีครั้งหนึ่งที่เผยเฉียน ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนั่งอยู่กับอาจารย์ของนางบนบันไดขึ้นเขา เผยเฉียน มองสายลมที่พัดต้นสนต้นป่าย เงาต้นไม้ไหวพะเยิบพะยาบ นางแอบบอกกับอาจารย์ตัวเองว่า ขอแค่นางตั้งใจมอง ไม่ว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ จะเป็นสายน้ำไหลหรือว่า การเดินของคน ล้วนช้ามากๆ มากจนนางร้อนใจแทนพวกมัน
และเผยเฉียนก็มักจะฟุบตัวบนราวระเบียงของชั้นสองเรือนไม้ไผ่ มองดูฝนตกหรือไม่ก็หิมะตกกับหน่วนซู่และหมี่ลี่ มองแท่งน้ำแข็งที่ห้อยย้อยอยู่ใต้ชายคา ในมือ ถือไม้เท้าเดินป่ายกขึ้นฟาดพวกมันจนแตกกระจาย จากนั้นก็ถามสหายว่าเวทกระบี่ของตนเป็นอย่างไร บางครั้งที่หมี่ลี่ถูกรังแกอย่างหนักก็จะพาลโมโหใส่เผยเฉียน ตะเบ็งเสียงดังลั่นบอกเผยเฉียนว่าวันหน้าข้าจะไม่เล่นกับเจ้าแล้ว เสียงนั้นคาดว่าแม้แต่เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงตีนเขาก็น่าจะยังได้ยิน จากนั้นหน่วนซู่ก็จะทำหน้าที่เป็น ผู้ไกล่เกลี่ย เผยเฉียนก็จะมอบทางลงให้กับหมี่ลี่ เพียงไม่นานก็กลับมาพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนานได้อีก แต่ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนย่อมไม่กล้าเอา ผ้าปูที่นอนมาทำเป็นเสื้อคลุมแล้วพาหมี่ลี่วิ่งเล่นไปทั่วอย่างแน่นอน
พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ อันที่จริงหากตั้งใจมองก็จะเห็น ความน่ารักร่าเริงไม่แบบนี้ก็แบบนั้น
ยกตัวอย่างเช่นบางครั้งที่เฉินผิงอันไปฝึกกระบี่บนหัวกำแพงจะจงใจบังคับเรือยันต์ ให้จอดลงในจุดที่ค่อนข้างห่างไปไกล จะได้เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งยืนเรียงกันฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง ขยับก้นดุกดิก ชี้ไม้ชี้มือใส่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้พลางเล่าเรื่องหลากหลาย บ้างก็ง่วนอยู่กับการจัดอันดับสูงต่ำให้แก่เหล่าเซียนกระบี่ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ลำพังเพียงแค่เรื่องที่ว่าในกลุ่มของเซียนกระบี่ผู้เฒ่า ทั้งสามท่านอย่างต่งซานเกิง เฉินซีและฉีถิงจี้ ใครกันแน่ที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากัน พวกเด็กๆ ก็เถียงกันจนหน้าแดงคอขึ้นเอ็นแล้ว หากรวมเซียนกระบี่ทุกคนในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้าไปด้วย นั่นก็ยิ่งต้องมีลงไม้ลงมือกันบ้าง
ได้ยินว่ากวอจู๋จิ่วที่อยู่ในบ้านก็ฝึกหมัดอยู่เป็นประจำ ก่อนฝึกหมัดนางจะเป่าลมใส่ฝ่ามือหนึ่งที แล้วบังคับปราณวิญญาณตะโกนประโยคหนึ่งว่านี่คือฝ่ามือเปลวเพลิงของข้า แล้วก็ร้องฮื่อฮ่าปล่อยกระบวนท่าหมัดนี้ตั้งแต่หน้าประตูใหญ่ของบ้านไปจนถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง พอไปถึงสวนดอกไม้ก็จะต้องทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน ยืนท่าไก่ทองขาเดียว ตามด้วยท่าเท้าพายุหมุนตัวสิบแปดรอบ ต้องห้ามขาดห้ามเกินแม้แต่รอบเดียว น่าสงสารดอกไม้ลำค่าที่เซียนกระบี่กวอเจี้ยอุตส่าห์ตั้งใจฟูมฟัก ทะนุถนอมเหล่านั้น หมัดและเท้าไร้ตา พืชพรรณที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย จึงมีมากมาย จนถึงท้ายที่สุดตลอดทั้งจวนกวอก็ไก่บินหมากระโดดอลหม่านวุ่นวาย ทุกคนต่างก็กังวลว่าแม่หนูนี่จะธาตุไฟเข้าแทรก ไม่แน่ว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ย อาจเสียใจภายหลังแล้วที่กักบริเวณบุตรสาวคนนี้ไว้ในบ้าน
ทุกวันนี้เมื่อเฉินผิงอันไปนั่งที่มุมหัวเลี้ยวของตรอกร้านเหล้าอีกครั้ง บางครั้ง จางเจียเจินก็จะแวะมา ส่วนเด็กตัวเท่าก้นที่กอดไหเงินอยากเรียนวิชาหมัดก่อนใคร ผู้นั้นก็จะเป็นคนที่ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างกายเขาก่อนใคร ดังนั้นเมื่อเทียบกับคน วัยเดียวกันแล้ว เขาจึงได้ฟังเรื่องเล่าอัศจรรย์พันลึกระหว่างขุนเขาสายน้ำมากกว่า ได้ยินว่าอาศัยเรื่องราวที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหล่านี้ ทำให้ตอนนี้เขาสนิทกับแม่นางน้อยหน้าตางดงามในตรอกติดกันอยู่มาก มีครั้งหนึ่งเล่นพ่อแม่ลูกกัน ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเป็นแค่สารถี คนแบกเกี้ยว หรือคนงานอะไรอีกแล้ว
ในที่สุดเขาก็ได้เป็นสามีภรรยากับแม่นางน้อยคนนั้น ภายหลังตอนที่มานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เด็กชายก็หัวเราะอย่างโง่งมอยู่เป็นนาน
ในห้องเงียบสงัดไร้เสียงใด เป็นความเงียบที่ดังชัดยิ่งกว่ามีเสียง
ภายหลังเฉินผิงอันก็ไปที่หัวกำแพงเมืองมาอีกรอบ ยังคงไม่อาจเดินเข้าใกล้ในระยะสามสิบก้าวได้ ดังนั้นศิษย์น้องเล็กจึงยังเป็นศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่
ฝึกกระบี่เสร็จ จั่วโย่วก็ถามเจ้าคนน่าสงสารที่หยิบขวดยาออกมาทาว่ามีคำพูดอะไรจะฝากไปบอกอาจารย์หรือไม่
การฝึกกระบี่สองครั้งล่าสุดนี้ จั่วโย่วค่อนข้างรู้หนักรู้เบา
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
จั่วโย่วจึงถามว่า “กิจการร้านเหล้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันกล่าว “ดีมาก”
จั่วโย่วหันหน้ามามอง
เฉินผิงอันจึงรีบพูดเสริมเหมือนคนวัวหายล้อมคอกทันทีว่า “แต่ว่ายังต้องรบกวนให้ศิษย์พี่ช่วยปักบุปผาลงบนผ้าแพร”
จั่วโย่วถึงได้ไม่เอาเรื่องต่อ แต่เปลี่ยนหัวข้อคุย “ถามฟ้าตอบฟ้าที่บอกเจ้า ก่อนหน้านี้ เจ้าได้อ่านหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อ่านแล้ว”
จั่วโย่วเอ่ย “เจ้ามาตอบคำถามหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามข้อ”
เฉินผิงอันตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย จั่วโย่วกลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เริ่มได้แล้ว หากมีข้อไหนที่ไม่รู้ก็ข้ามไป”
เฉินผิงอันจึงแข็งใจอธิบายไปทีละข้อ ตอบคำถามได้ประมาณครึ่งหนึ่งอย่างถูไถ
จั่วโย่วเอ่ย “คำตอบคืออย่างไรไม่สำคัญ ก่อนหน้าที่อาจารย์จะกลายเป็นอริยะ การอภิปรายครั้งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เป็นแค่การถกเถียงเรื่องสองเรื่องเท่านั้น เรื่องแรกคือ ‘จะศึกษาหาวิชาความรู้อย่างไร’ คือการลงมือไปทีละเรื่องทีละอย่าง สั่งสมไปอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ สร้างคุณความชอบ หรือจะต้องกำหนดเรื่องใหญ่ในชีวิตเอาไว้ก่อน ไม่อาจจมจ่อมอยู่กับเรื่องยิบย่อยด้วยดวงตาที่มืดบอดได้ อันที่จริง เมื่อหวนกลับมามองดู ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สำคัญไหม? อริยะปราชญ์ทั้งสองท่าน ไม่เพียงแต่เถียงกันไม่เลิก หากจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้จริงๆ อริยะปราชญ์ทั้งสองท่านจะกลายเป็นอริยะปราชญ์ได้อย่างไร? ตอนนั้นอาจารย์ก็บอกกับข้าแล้วว่า เรื่องการศึกษาหาความรู้ มีได้ทั้งความละเอียดลึกซึ้งและเรียบง่าย คนหนุ่ม เรียนหนังสือกับคนแก่ศึกษาหาความรู้คือขอบเขตสองอย่าง ตอนเป็นเด็กหนุ่มก็ควรครุ่นคิดให้มากและคิดให้ลึกซึ้ง แต่พอแก่กลับหวนสู่จุดดั้งเดิมด้วยการแสวงหา ความเรียบง่าย ส่วนจำเป็นต้องตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ไว้ก่อนหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หากตั้งปณิธานเอาไว้แต่เนิ่นๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหยัดยืนได้จริง แต่แน่นอนว่า ก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย หากไม่มี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ตอนอยู่บนเส้นทางของการ เล่าเรียนก็ไม่สู้ค่อยๆ สั่งสมไปจนกลายเป็นภูเขา เดิมทีความรู้บนโลกก็ไม่มีค่ามากที่สุดอยู่แล้ว ก็เหมือนถนนใหญ่เส้นหนึ่งที่มีบ้านหลังโตโอ่อ่าตั้งเรียงราย มีสวนดอกไม้อยู่นับไม่ถ้วน มีคนเพาะปลูก แต่กลับไม่มีคนเฝ้าดูแล ประตูเรือนเปิดอ้า สวนถูกเหยียบย่ำจนเละ ไม่ว่าใครก็สามารถมาเด็ดมาปลิดเอากลับไปพร้อมผล เก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อาจารย์มีความรู้กว้างขวาง ศิษย์พี่มีความรู้ที่แข็งแกร่ง”
จั่วโย่วอดไม่ไหวหันหน้ากลับมาถามว่า “เจ้าไม่เคยอยู่ข้างกายอาจารย์นานๆ มาก่อน ไปเรียนรู้คำพูดพวกนี้มาจากไหน?”
เฉินผิงอันพูดอย่างน้อยใจ “ก็จากในตำราน่ะสิ โดยเฉพาะผลงานของอาจารย์ ข้าอ่านจนจำได้ขึ้นใจแล้ว”
จั่วโย่วตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ดีมาก”
ในลานประลองยุทธฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงา เฉินผิงอันเรียนวิชากระบี่กับ น่าหลันเย่สิง
พูดว่าเรียนกระบี่ แต่อันที่จริงแล้วยังคงเป็นการหล่อหลอมเรือนกาย คือวิธีการอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดขึ้นมาได้เอง แรกเริ่มสุดเขาอยากให้ศิษย์พี่จั่วโย่วช่วยออกกระบี่ให้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ท่านนั้นถึงบอกว่าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ให้น่าหลันเย่สิงทำก็พอแล้ว ผลคือต่อให้เป็นเซียนกระบี่อย่างน่าหลันเย่สิงก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่จั่วถึงได้ไม่ยอมออกกระบี่
เพราะหากอิงตามคำบอกของเฉินผิงอัน ต่อให้คนที่พบเจอจะเป็นเซียนกระบี่ และเฉินผิงอันก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยง อาจมีโอกาสเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้อยู่ดี
หากไม่ทันระวัง เฉินผิงอันก็ต้องนอนล้มป่วยอยู่บนเตียงนานเป็นเดือน นี่โหดร้ายยิ่งกว่าการรอให้เนื้องอกขึ้นมาบนกระดูกขาวหลังจากฝึกเสร็จมากนัก
เฉินผิงอันหวังว่าน่าหลันเย่สิงจะออกกระบี่ตามลำดับ จากบนลงล่าง เพื่อให้สอดคล้องกับ ‘ยี่สิบสี่ช่วงสภาพอากาศ’ ช่วยขัดเกลาช่องโพรงน้อยใหญ่ของเรือนกายมนุษย์ตามกระดูกสันหลังมังกรใหญ่
เริ่มจากจิ่งฉุย ต้าฉุย เถาเต้า เซินจู้ เสินเต้า หลิงไถ จื้อหยาง จงซู เสวียนซู มิ่งกวาน เยาหยางกวาน (คือช่องโพรงลมปราณซึ่งเริ่มจากจุดจิ่งฉุยก็คือไล่ตั้งแต่ต้นคอลงมาตามกระดูกสันหลังเป็นลำดับ กระทั่งถึงเยาหยางกวานก็คือจุดโค้งแอ่นของเอว) …ช่องโพรงที่สำคัญเหล่านี้ต้องจำเป็นต้องออกกระบี่เป็นพิเศษ ใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่หล่อหลอมเส้นทางและด่านต่างๆ เหล่านี้
เพราะยังต้องร่วมกับการไหลเวียนของมังกรเพลิงที่เป็นปราณแท้จริงบริสุทธิ์กลุ่มนั้น จึงไม่มีทางที่เฉินผิงอันจะยืนนิ่งไม่ขยับ นั่นคือการฝึกแบบตายตัวจนถึงขั้นตายได้ บวกกับด้านในช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งมีปราณวิญญาณเหลืออยู่มากน้อย ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงยิ่งทดสอบระดับความแม่นยำในการออกกระบี่ของน่าหลันเย่สิง
หนิงเหยานั่งอยู่ในศาลาตรงแท่นสังหารมังกร วันนี้ต่งปู้เต๋อมาเป็นแขกที่จวนหนิงพร้อมกับต่งฮว่าฝู นางบอกว่าอยากจะขอตราประทับชิ้นหนึ่งจากเฉินผิงอัน ร้านของเจ้าอ้วนเยี่ยนนั่นใจดำเกินไป ไม่สู้มาขอซื้อจากเฉินผิงอันตรงๆ เลยดีกว่า
การฝึกกระบี่ระหว่างเฉินผิงอันและน่าหลันเย่สิงก็ไม่ได้จงใจปิดบังอะไรต่งปู้เต๋อ
การต่อสู้สี่ครั้งติดบนถนนใหญ่ของเมื่อปีก่อน รากฐานคร่าวๆ ของเฉินผิงอัน อันที่จริงตระกูลใหญ่ๆ ซึ่งมีตระกูลต่งเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็พอจะรู้กันอยู่ในใจแล้ว
ต่งปู้เต๋อนั่งตัวเอียงฟุบตัวลงบนราวอย่างเกียจคร้าน ถามว่า “หนิงเหยา เขาฝึกกระบี่แบบนี้ เจ้าไม่สงสารบ้างเลยหรือ”
หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร
การฝึกกระบี่ครั้งนี้น่าหลันเย่สิงระมัดระวังอย่างมาก ดังนั้นประสิทธิผลจึงไม่มากนัก
เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ประโยชน์ทันตาเห็นอยู่แล้ว เขาเดินออกจากสนามประลองยุทธมาพร้อมกับน่าหลันเย่สิง จากนั้นก็เดินขึ้นมาบนหน้าผา สังหารมังกรเพียงลำพัง
ต่งปู้เต๋อบอกว่านางและเพื่อนสนิทหลายคนต่างก็อยากได้ตราประทับมาไว้ใช้กันคนละหนึ่งชิ้น ตัวอักษรพวกนางไม่รู้ว่าควรจะสลักคำว่าอะไร จึงมอบอำนาจให้ เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจแทน ต่งปู้เต๋อยังเอาหยกขาวสามก้อนที่มากพอจะสลัก เป็นตราประทับมาด้วย บอกว่าตราประทับหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย วัสดุที่เหลืออจากการนำมาแกะเป็นตราประทับ ก็คือว่าเป็นค่าแรงของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่สักหน่อย มีเงินที่ไหนหาได้ง่ายแบบนี้บ้าง? ดังนั้นจึงรีบมองไปทางหนิงเหยา หนิงเหยาพยักหน้าให้ เขาถึงได้ตอบตกลง ภาพนี้ทำเอาต่งปู้เต๋อ อิจฉาแทบแย่ ส่งเสียงจุ๊ๆ แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
ต่งปู้เต๋อมาเยือนครั้งนี้ยังเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งที่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนหนิงอยู่บ้าง ช่วงนี้ที่ภูเขาห้อยหัวมีผู้ฝึกตนจากราชวงศ์ใหญ่บางแห่งในทวีป แดนเทพแผ่นดินกลางเดินทางมาฝึกประสบการณ์ โดยมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ในอดีตเคยมาสังหารปีศาจที่นี่เป็นผู้นำและคอยช่วยคุ้มกัน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งรับผิดชอบในเรื่องกิจธุระต่างๆ นำพาผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยเจ็ดแปดคนที่มาจากต่างสำนักต่างภูเขา หมายจะมาฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าคงจะอยู่นานถึงสามปีห้าปี ว่ากันว่าคนที่อายุน้อยสุดเพิ่งจะสิบสองปี อายุมากสุดก็เพิ่งจะสามสิบต้นๆ
พอมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ไปพักอยู่ในสวนดอกเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จวนส่วนตัว ที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับจวนหยวนโหรวทันที แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามีประวัติความเป็นมา ไม่ธรรมดา
คนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างพวกต่งปู้เต๋อนี้ ภูเขาใหญ่จะมีอยู่สามลูก พวกหนิงเหยาต่งถ่านดำคือกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่าตอนนี้ในกลุ่มยังมีเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
จากนั้นก็เป็นกลุ่มของพวกฉีโซ่ว แล้วจึงตามมาด้วยกลุ่มของผังหยวนจี้ เกาเหย่โหว เมื่อเทียบกับสองกลุ่มแรกจะค่อนข้างกระจัดกระจาย รวมกลุ่มกันไม่ได้แข็งแกร่ง มากนัก
ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แต่ขอแค่มีคนออกคำสั่ง ผู้ที่ยินดีมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหรือกำลังการต่อสู้ก็ล้วนมิอาจดูแคลน
ขอแค่มีคนหนุ่มสาวของใต้หล้าไพศาลมาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ตอนแรกคือเฉาสือ ภายหลังคือเฉินผิงอัน ก็ล้วนต้องผ่านสามด่าน นี่คือกฎเก่าแก่แล้ว
แต่ใครจะเป็นคนรับผิดชอบรับมือกับการต่อสู้สามครั้งนี้ก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็น ลายลักษณ์อักษรอยู่เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนต้องเป็นพวกฉีโซ่วและสหายของเขาที่ต้อง รับรองแขก
ส่วนภูเขาลูกเล็กของหนิงเหยากลับไม่ค่อยชอบเข้าร่วมเรื่องนี้มากนัก บางครั้งพวกเฉินซานชิวก็จะโผล่ไปร่วมวงความครึกครื้นบ้าง แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เฉินซานชิวเองก็เคยลงมืออยู่แค่สองครั้ง หนิงเหยายิ่งไม่เคยเข้าร่วมการต่อยตี เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกฉีโซ่วถูกเฉินผิงอันซ้อมจนหน้าม่อยคอตก อีกทั้ง ผังหยวนจี้เองก็ยังหนีหายนะนี้ไม่พ้น ดังนั้นสามด่านในครั้งนี้ ตามหลักแล้วต้องมีคนของฝ่ายหนิงเหยาออกหน้าถึงจะได้ การต่อสู้กับกลุ่มคนต่างถิ่นที่จับกลุ่มกันมาฝึกประสบการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ส่วนใหญ่แล้วแต่ละฝ่ายจะส่งคนมา ฝั่งละสามคน แน่นอนว่าหากในกลุ่มของสองฝ่ายนี้มีใครที่สามารถล้มสามคน ด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าครึกครื้น
จากคนที่ถูกมองเป็นเรื่องสนุก กลายเป็นคนที่มาชมเรื่องสนุก เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงถามว่าจะจัดสนามรบไว้บนถนนใหญ่เส้นนั้น ช่วยอุดหนุนกิจการร้านเหล้าของตนหน่อยได้หรือไม่
ต่งปู้เต๋อยิ้มกล่าว “สถานที่ในการประลอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปตามใจชอบ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน โดยทั่วไปแล้วจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคนสุดท้าย ที่จะเฝ้าด่าน หากเจ้ายินดีลงมือ อย่าว่าแต่ถนนใหญ่เส้นนั้นเลย ไปสู้กันบนโต๊ะเหล้าร้านเตี๋ยจ้างก็ยังไม่เป็นปัญหา”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากข้าถูกคนอื่นทำร้ายบาดเจ็บ เงินค่าเหล้าน้อยนิดที่ได้มาไม่พอค่ายาของข้าด้วยซ้ำ ร้านเหล้าของพวกเรามีชื่อเสียงเรื่องราคาถูก เงินที่ได้มาล้วนได้มาด้วยความยากลำบากทั้งสิ้น”
รอยยิ้มของต่งปู้เต๋อมีเลศนัย
หนังหน้าของเจ้าหมอนี่ไม่ต่างจากที่คนเขาเล่าลือกันเลยจริงๆ ใช้ได้เลย
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “ดูเหมือนว่าฟ่านต้าเช่อจะเตรียมลงสนามต่อสู้เป็นคนแรก คาดว่าซานชิวเองก็น่าจะร่วมด้วย คนที่สามอาจเป็นเกาเหย่โหว หรือก็มีความเป็นไปได้ว่า จะเป็นซือหม่าเว่ยหรัน ตอนนี้ยังบอกได้ยาก”
เฉินผิงอันถาม “ผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามมีขอบเขตอะไร?”
ส่วนซือหม่าเว่ยหรันนั้น เฉินผิงอันรู้จัก คือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับผังหยวนจี้และเกาเหย่โหวแล้วยังด้อยกว่าเล็กน้อย แค่ว่า เมื่อหลายปีก่อนนางปิดด่านฝึกตนอยู่ตลอด อีกทั้งข้อที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่ว่านางมีผู้ สืบทอดมรรคาถึงสองคน คนหนึ่งคือจู๋อานเซียนกระบี่ผู้ตรวจตราสายของอิ่นกวาน และยังมีอีกคนหนึ่งที่ประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่กว่า คือเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ที่รับหน้าที่เฝ้าคุก มีคำเล่าลือบอกว่าผู้เฒ่าที่เก็บตัวอย่างสันโดษท่านนี้มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ ไม่รู้ว่าซือหม่าเว่ยหรันที่ออกจากด่านมาแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับ เกาเหย่โหวแล้วจะกลายเป็นผู้มาทีหลังที่นำแซงหน้าไปได้หรือไม่
ต่งฮว่าฝูอึ้งตะลึงไป “ต้องรู้ด้วยหรือ?”
ต่งปู้เต๋อเอ่ยคล้อยตาม “ไม่ต้องรู้ก็ได้กระมัง”
เฉินผิงอันหันไปมองหนิงเหยา เห็นว่านางมีท่าทีไม่ต่างจากทั้งสองคนจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลุ่มนั้นเดินผ่านประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัวมาพักอยู่ในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนในนคร
ตระกูลของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนก็พอๆ กับตระกูลเยี่ยน มีการไปมาหาสู่ด้านการทำการค้ากับใต้หล้าไพศาลบ่อยๆ ดังนั้นจึงมีมิตรสหายกว้างขวาง
เพียงแต่ว่าตอนนี้ซุนจวี้เฉวียนน่าจะรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เพราะตั้งแต่วันแรก ที่คนกลุ่มนี้มาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ปล่อยคำพูดออกไปว่า พวกเขาจะส่งคนสามคน แบ่งออกเป็นสามขอบเขตมาประลองสามด่าน ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตโอสถทอง หากแพ้หนึ่งด่านก็ถือว่าพวกเขาแพ้
วันนี้เฉินผิงอันไปดื่มเหล้าที่ร้าน หนิงเหยายังคงฝึกตนอยู่เหมือนเดิม ส่วนพวกเยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิวก็อยู่ด้วย และยังมีฟ่านต้าเช่ออีกคน ดังนั้นเถ้าแก่รองจึงมีโอกาสมานั่งดื่มเหล้าที่นี่อย่างที่หาได้ยาก
กิจการของร้านรุ่งเรือง ผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทางมีถึงสิบกว่าคน แต่ละคนผรุสวาทด่าทอ บอกว่าเจ้าลูกกระต่ายที่มาจากต่างถิ่นกลุ่มนี้หน้าไม่อายกันจริงๆ มารดามันเถอะ ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก หน้าด้านไร้ยางอาย ใจคอคับแคบ…
ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนที่เอ่ยประโยคพวกนี้ พวกผีขี้เหล้าพูดจนน้ำลายแตกฟอง ท่าทางเดือดดาลเจ็บแค้น ทว่าแต่ละคนกลับมองไปยังเถ้าแก่รองที่สวมชุดเขียว ปักปิ่นขาวผู้นั้น
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “เถ้าแก่ใหญ่ เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของร้านเหล้าควรจะเพิ่มราคาบ้างได้แล้ว”
เสียงรอบด้านพลันเงียบหาย จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโอดครวญดังระงม
เตี๋ยจ้างได้รับสัญญาณจากสายตาของเถ้าแก่รองก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่เพิ่มราคา เพิ่มราคาอะไรกัน เงินจะนับเป็นอะไรได้!”
มีนักดื่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “ด้วยคำพูดมีน้ำใจนี้ของเถ้าแก่ใหญ่ เอาเหล้ามาอีกกา!”
แล้วไม่นานก็มีคนพากันตะโกนว่าจะซื้อเหล้า
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “พวกเจ้าไปหยิบเองได้เลย”
เยี่ยนจั๋วชำเลืองตามองเจ้าคนที่พูดนำว่าจะซื้อเหล้าคนนั้น แล้วค่อยมองเฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจถามว่า “หน้าม้ารึ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ ตอบว่า “ข้าจะยังจัดการเจ้าพวกตะพาบกลุ่มนี้ไม่ได้หรือไร? มีหน้าม้าอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่อยู่”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันมาพูดกับฟ่านต้าเช่อว่า “ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นกลุ่มนี้ ไม่ได้เย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ไม่ใช่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่กำลังวางแผนเล่นงาน พวกเจ้า พวกเขาได้ประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วยังได้ชื่อเสียง มาเปล่าๆ อีกด้วย หากทั้งสามศึกล้วนเป็นโอสถทอง พวกเขาก็ต้องแพ้อย่าง ไม่ต้องสงสัย ดังนั้นความมั่นใจที่แท้จริงของอีกฝ่ายจึงอยู่ที่ขอบเขตชมมหาสมุทรใน ศึกครั้งแรก ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางเหล่านั้นจะต้องมีผู้มีพรสวรรค์ คนหนึ่งที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุดแน่นอน ไม่เพียงแต่มีหวังว่าจะชนะในท้ายที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะยังชนะได้อย่างว่องไวอีกด้วย โอกาสชนะในครั้งที่สองก็มีไม่น้อย ต่อให้แพ้ก็คงไม่น่าเกลียดเกินไปนัก ถึงอย่างไรเมื่อแพ้แล้วก็ไม่มีการต่อสู้ในครั้งที่สามอยู่แล้ว พวกเจ้าจะอัดอั้นหรือไม่? ส่วนการต่อสู้ครั้งที่สาม อีกฝ่ายไม่คิดว่าจะเอาชนะเลยสักนิด ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้อีกฝ่ายชนะได้ก็ไม่มีทางคิดจะชนะ แน่นอนว่า อีกฝ่ายก็ชนะไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ฟ่านต้าเช่อ เจ้าคือขอบเขตประตูมังกร เพราะฉะนั้นข้าแนะนำเจ้าว่าทางที่ดีที่สุดอย่าได้ออกศึก แต่หากเจ้ายอมรับ ความพ่ายแพ้ได้ก็ไม่เป็นไร”
ฟ่านต้าเช่อกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “รับไม่ได้”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้ “นับถือ ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของเฉินซานชิว”
เฉินซานชิวกล่าวอย่างเอือมระอา “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
จากนั้นบนถนนใหญ่ก็มีคนรุ่นเยาว์หลายคนเดินตรงมา มีทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาว พวกเขาเดินตรงมาที่ร้านเหล้าแห่งนี้ เพียงแต่ว่าแค่มาซื้อเหล้าเท่านั้น แต่ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ซื้อเหล้าภูเขาชิงเสินกาละห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะไป เขาเดินพลาง แกะผนึกดินสูดดมกลิ่นไปด้วย แล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ ด้วยภาษาทางการของใต้หล้าไพศาลสำเนียงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง “ดูท่ากลับไปถึงใต้หล้าไพศาลข้าคงต้องไปเยือนถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ดูสักครั้ง บอกว่ามีคนขายเหล้าโดยเอาชื่อชิงเสินฮูหยินมาอ้าง ถึงขั้น ขายมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แล้ว ช่างมีความสามารถจริงๆ”
เยี่ยนจั๋วมองเฉินผิงอัน ถามว่า “ทนได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ทนได้”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่หันหน้ามามองทางโต๊ะเหล้าของร้าน ยิ้มเอ่ยว่า “สายของเหวินเซิ่ง หากไม่อดทนแล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก”
ทันใดนั้น
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่เรือนกายสูงใหญ่ผู้นี้ก็ถูกคนชุดเขียวใช้นิ้วทั้งห้าจิกศีรษะแล้วยกขึ้นสูง คนผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ผินหน้ามายิ้มถามว่า “เจ้าพูดว่า อะไรนะ พูดให้ดังหน่อยสิ”