บทที่ 592 หนิงเหยาออกกระบี่จะเป็นอย่างไร
ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลุ่มนี้มีทั้งสิ้นห้าคน
นอกจากเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าที่ถือว่ายังสุขุมอยู่มากแล้ว คนที่เหลืออีกสามคน ล้วนก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เตรียมพร้อมที่จะเรียกกระบี่บินออกมาทุกเมื่อ คนหนึ่งในนั้นอายุยี่สิบต้นๆ มีสีหน้าเฉยเมย ไม่ว่าจะเป็นการถอยหนีหรือชักนำปราณวิญาณในการเตรียมออกกระบี่ก็ล้วนช้ากว่าสหายไปครึ่งก้าว และยังมีเด็กสาวคนหนึ่ง ที่เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะอง สวมเสื้อสาบคู่คอปกสีสันสดใส ด้านนอก สวมกระโปรงผ้าโปร่งคลุมทับ บนเนื้อผ้าประดับด้วยลายปักร้อยบุปผา คือ การแต่งกายที่ผู้ฝึกตนหญิงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางค่อนข้างชื่นชอบ นางคือ คนแรกสุดที่ยื่นมือไปจับกระบี่ยาวที่ห้อยไว้ตรงเอว
ส่วนคนสุดท้าย แน่นอนว่าต้องเป็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ถูกเฉินผิงอันยกจน ตัวลอยอยู่กลางอากาศ พอถูกเฉินผิงอันกักตัว พายุปณิธานหมัดข่มทับเอาไว้ ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณสำคัญหลายแห่งของฝ่ายหลังจึงออกมาไม่ได้ พยายามจะฝ่าด่านทะลุประตูออกไป แต่กลับถูกโจมตีให้ล่าถอยกลับครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นไม่อาจกระดุกกระดิก ไปๆ มาๆ หน้าจึงแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้วกลายเป็นสีม่วง ราวกับปลาตายที่ถูกแขวนตากแดดไว้บนผนัง คาดว่า ความอับอายในใจตอนนี้คงไม่น้อยกว่าจิตสังหารเลย
เฉินผิงอันถาม “เขาไม่เต็มใจพูด เจ้าพูดแทนเขาไหม?”
เด็กหนุ่มที่หิ้วกาเหล้าคนนั้นยิ้มกว้างสดใส “เมื่อครู่นี้เขาพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัดเลย”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “สายของหย่าเซิ่งหูไม่ดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
เด็กสาวคนนั้นเอ่ยอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าปล่อยตัวเจี่ยงกวนเฉิงเดี๋ยวนี้นะ! อย่านึกว่าพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะทำตัวกำเริบเสิบสานอย่างไรก็ได้! แค่พูดจาไม่เข้าหูคำเดียว เจ้าก็คิดจะฆ่าคนเชียวหรือ?! ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งแต่ละคนนิสัยดีๆ กันทั้งนั้นเลยสินะ! ทีแรกก็เป็นชุยฉาน ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ภายหลังก็มีจั่วโย่วที่ทำลายตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปมากมาย! อาจารย์ลุงของข้าคนนั้น… แล้วยังมีเจ้า เฉินผิงอัน! เป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ลูกศิษย์คนสำคัญของเหวินเซิ่ง แต่กลับมาทำการค้าชั้นต่ำ ขายเหล้าด้วยตัวเองอยู่ที่นี่! อารยธรรมหายสิ้นหมดแล้ว!”
พอพูดถึงอาจารย์ลุง เด็กสาวก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในดวงตาถึงกับมีน้ำตามาเอ่อคลอ กระทั่งกลับมาพูดถึงเฉินผิงอันอีกครั้ง สีหน้าของนางจึงกลับมาเป็นปกติในทันที แล้วยังเดือดดาลคลั่งแค้นมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
การถูกชี้หน้าด่าประณามต่อหน้าแบบนี้ เขากลับไม่ค่อยถือสาเท่าไรจริงๆ อีกอย่างก็ไม่ได้ด่าอาจารย์เสียหน่อย แค่ด่าลูกศิษย์ของอาจารย์ ด่าพวกศิษย์พี่ของตนเท่านั้น เขาคือลูกศิษย์คนเล็กของสายอาจารย์ ยังจำเป็นต้องให้ศิษย์น้องเล็กอย่างเขาพูดจาทวงความเป็นธรรมให้แก่พวกศิษย์พี่ด้วยหรือ?
ช่วยพูดทวงความเป็นธรรมแทนชุยฉาน? หรือเป็นเดือดเป็นร้อนแทนศิษย์พี่จั่วโย่ว? จำเป็นหรือ? เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่จำเป็น คนหนึ่งต้องการใช้หนึ่งแคว้นหนึ่งทวีป มาขัดขวางการเดินทางขึ้นเหนือของเผ่าปีศาจ ขัดขวางไม่ให้เผ่าปีศาจฮุบกลืน อาณาเขตของสามทวีปอย่างใบถง แจกันสมบัติและอุตรกรุทวีปได้ในรวดเดียว อีกคนหนึ่งต้องการกลายเป็นผู้ที่มีเวทกระบี่สูงที่สุดในทุกใต้หล้านอกเหนือจาก ใต้หล้าไพศาล อันที่จริงต่างก็ยุ่งกันมาก ส่วนเขาเฉินผิงอันก็ยุ่งมากเหมือนกัน
ฝึกวรยุทธ ฝึกกระบี่ หลอมลมปราณ อ่านหนังสือ และกำลังจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่ นอกจากนี้ยังต้องหาเงิน เป็นเจ้ามือ แกะสลักตราประทับ จะไม่ยุ่ง ได้หรือ?
แต่ที่สำคัญที่สุดยังเป็นเพราะคำพูดของแม่นางน้อยคนนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือ ไร้เหตุผล เหตุผลใหญ่พอหรือไม่ แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังไม่ได้มีจิตใจคิดร้าย เป็นอันตรายกับผู้อื่น
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็สามารถเข้าใจ และรับได้
“จูเหมย พูดกับท่านเฉินแบบนั้นได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มดุเด็กสาวไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยกับเฉินผิงอันต่อว่า “ท่านเฉินเป็นผู้มีวัยวุฒิสูง ผู้น้อยควรรับฟังคำสั่งสอน ไม่ว่าท่านเฉินพูดอะไร หากผู้น้อยมีความผิดก็ควรแก้ไข หากไม่มีก็ควรนำมาใช้เตือนตัวเองว่าอย่าทำผิดทำนองเดียวกันนี้ อีกอย่างนะ เจี่ยงกวนเฉิงในมือของท่านเฉินผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยของพวกเรา แล้วเซียนกระบี่ขู่เซี่ยยังเป็นศิษย์หลาน ของหนึ่งในสิบท่านที่บ้านเกิดพวกเรา นี่ยุ่งยากอย่างมาก แน่นอนว่าศิษย์พี่ของ ท่านเฉินอย่างเซียนกระบี่ใหญ่จั่ว ผู้น้อยก็เลื่อมใสมานานมากแล้ว ตอนนี้ เซียนกระบี่ใหญ่จั่วก็ฝึกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คิดดูแล้วคงไม่ต้อง เป็นกังวลมากนัก แต่เซียนกระบี่ในใต้หล้านี้ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน หากทำลายความปรองดองคงไม่ดีนัก”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทร? คนแรกที่จะต่อสู้?”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ยิ้มบางๆ ย้อนถามว่า “ท่านเฉินคือคนของแจกันสมบัติทวีป คงจะไม่มาช่วยเฝ้าด่านให้ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรอกกระมัง?”
ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มกับเฉินผิงอัน คนหนึ่งใช้ภาษากลางที่ใช้กันทั้งใต้หล้าไพศาล อีกคนหนึ่งใช้ภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันผลักออกไปเบาๆ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้นก็ลอยไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วจึงได้ยินเขาพูดบ่นว่า “ตัวสูงอะไรขนาดนี้ ทำเอาข้าต้องเขย่งเท้าอยู่ตั้งนาน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองเด็กหนุ่มน่าสนใจที่หิ้วกาเหล้าผู้นี้ “อายุน้อยๆ ก็มีขอบเขตสูงขนาดนี้แล้ว มาเดินเล่นอยู่ที่นี่แล้วพูดจาส่งเดชไปทั่วแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้พวกขี้ขลาด พวกขอบเขตต่ำอย่างพวกเราตกใจตายจริงๆ หรือ?”
เฉินซานชิวใช้ภาษาถิ่นอธิบายบทสนทนาของคนทั้งสองให้พวกนักดื่มที่อยู่รอบๆ ฟัง
เสียงผิวปากดังระงมมาจากทางร้านเหล้า โดยเฉพาะพวกผีขี้เหล้าและเหล่าชายโสด ที่นั่งพื้นดื่มเหล้าที่ให้ความร่วมมือกับเถ้าแก่รองดีมาก มารดามันเถอะ เมื่อก่อน แค่รู้สึกถึงความขี้เหนียวของเถ้าแก่รอง คิดไม่ถึงว่าเมื่อเทียบกับเจ้าลูกกระต่ายของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเหล่านี้แล้ว เถ้าแก่รองของพวกเขากลับหล่อเหลาสง่างามยิ่งนัก เมื่อก่อนนี้เข้าใจเถ้าแก่รองผิดไปจริงๆ วันหน้ามาดื่มเหล้าที่นี่ ควรจะหยิบ ผักดองมากินแกล้มให้น้อยลงหน่อยดีไหม? แล้วนับประสาอะไรกับที่อาศัยการเอาเปรียบเถ้าแก่รองเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งได้มาอย่างยากลำบากในเรื่องของการกินผักดองนี้ หลังกินไปแล้วก็มักจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะกินมากเข้าก็ง่ายที่จะ ดื่มเหล้ามากตามไปด้วย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางร้าน ยิ้มถามว่า “ไม่สู้ข้าใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่มาเฝ้าด่านแรกดีไหม? หากพวกเจ้าลงเดิมพันว่าข้าต้องแพ้ ข้าก็จะเป็นเจ้ามือการเดิมพันครั้งนี้”
พวกนักดื่มพากันยกนิ้วกลาง สบถด่าขำๆ กันไม่หยุด ไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย และยังมีคนที่ถึงกับให้กำลังใจผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นกลุ่มนั้นโดยตรง บอกว่า เถ้าแก่รองของพวกเรานอกจากขายเหล้าและเขียนคำโคลงคู่แล้ว อันที่จริง ก็ไม่มีความสามารถอะไรอีก หากตีกันขึ้นมาจริงๆ สองสามหมัดก็ล้มคว่ำแล้ว จะกลัวอะไร ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ควรจะเอาความ กล้าหาญออกมาเสียหน่อย เฉินผิงอันผู้นี้มาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปเองนะ เริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่วและผังหยวนจี้ เจ้าสี่คนนี้จับมือกันมาเป็นเจ้ามือ จงใจแพ้ ให้เจ้าตะพาบอย่างเฉินผิงอัน ขอแค่พวกเจ้าไม่ใช่คนโง่ก็อย่าไปเชื่อเขาเด็ดขาด
เด็กสาวที่ชื่อจูเหมยผู้นั้นหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นแค่ผีขี้เหล้าที่ขายเหล้า ยังเป็นนักพนันด้วย อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตาบอดจริงๆ ถึงได้รับคนอย่างเจ้ามาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดื่มเหล้า พนันขันต่อ สังหารปีศาจ ไม่มีค่าพอ ให้พูดถึงจริงๆ ล้วนเป็นเรื่องชั้นต่ำในสายตาของผู้ฝึกตนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างพวกเจ้า”
ประโยคนี้หลุดปากออกไป ทางฝั่งของเฉินซานชิวก็มีเสียงไชโยโห่ร้อง ตบโต๊ะเคาะตะเกียบดังเกรียวกราว
จูเหมยสะอึกอึ้งพูดไม่ออก
อีกทั้งส่วนลึกในใจยังเริ่มหวาดกลัว ราวกับว่าอยู่ดีๆ ตัวเองก็ตกไปอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง
เพราะถึงแม้เฉินผิงอันจะอยู่ห่างจากผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านั้นมาไกล แต่ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนเล็กของเหวินเซิ่งที่ไม่สมตำแหน่งผู้นี้ จะมีการขานรับกับพวกผู้ฝึกกระบี่ด้านหลังเขาอยู่ไกลๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รู้หรือไม่ว่าคำพูดประโยคนี้ของข้าไร้เหตุผลที่ตรงไหน? ก็ตรงที่ว่าสองเรื่องอย่างการดื่มเหล้าและเล่นพนันนี้ เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ไม่ควรเป็นการกระทำของบัณฑิตจริงๆ แต่ก็เพราะข้าจงใจดึงเอาเรื่องการสังหารปีศาจมาพูด เจ้าถึงเถียงไม่ออก เพราะเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางที่ยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง รู้สึกจากใจจริงว่าการสังหารปีศาจคือวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ นี่จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกร้อนตัวว่าตัวเองไร้เหตุผล อันที่จริงไม่ต้องรู้สึกเช่นนั้นเลย การใช้เหตุผลบนโลก ใบนี้จำเป็นต้องมีลำดับก่อนหลัง มีหนึ่งก็พูดหนึ่ง ผิดถูกน้อยใหญ่ ไม่สามารถเอามากลบทับลดทอนกันได้ ยกตัวอย่างเช่นหากเจ้าคิดว่าเรื่องการสังหารปีศาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างมาก ถูกต้องยาวนานไปหมื่นปี จากนั้นค่อยมาพูดกับข้าว่าการเป็น ผีขี้เหล้าและนักพนันล้วนไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เจ้าก็ลองมาดูว่าข้าจะยอมรับหรือไม่? เป็นอย่างไร? สายเหวินเซิ่งของข้านิสัยไม่เลว แถมยังยินดีจะใช้เหตุผลด้วย ว่าไหม?”
เด็กสาวเบิกตากว้าง ในสมองเหลวเป็นแป้งเปียก เหตุใดเจ้าผีขี้เหล้าชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้พูดจาเหลวไหล แต่กลับดูคล้ายว่าพอจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ นะ?
แต่นางข่มกลั้นไฟโทสะพลุ่งพล่านไม่ไหวนี่นา
สุดท้ายเฉินผิงอันพูดกับเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าที่ไม่เหลือรอยยิ้มผู้นั้นว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางใช้สถานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่มาเฝ้าด่านหนึ่งจริงๆ หรอก เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะข้าไม่อยากสอนเจ้าว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไร หรือควรจะพูดจาให้ดีอย่างไร แต่เป็นเพราะข้าเคารพที่พวกเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่จากแผ่นดินกลาง แต่กลับยินดีจะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะดีจะชั่วก็ยินดีที่จะมามอง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง ผู้ฝึกตนต่างถิ่นผ่านสามด่าน เป็นเรื่องส่วนรวม ทว่าระหว่างเจ้ากับข้าเป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัว วันหน้าค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันเดินกลับมาที่ร้านเหล้า
มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่จ้วงตะเกียบเร็วราวกับบินตะโกนขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง ช่างมีบารมียิ่งนัก เลี้ยงเหล้าฉลองกันสักหน่อยดีไหม?”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ข้าขอร้องเซียนกระบี่ทุกท่านว่าให้รักษาหน้าตาตัวเอง สักหน่อยเถอะ รีบเก็บเอาปราณกระบี่ของพวกเจ้าไปซะ โดยเฉพาะเจ้า เย่ชุนเจิ้น ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าหนึ่งกาก็จะต้องกินผักดองข้าสามจาน เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ รึ? ข้าผู้อาวุโสอดทนกับเจ้ามานานแล้วนะ”
ชายฉกรรจ์ใช้สองนิ้วคีบจานผักดองบนพื้นที่เหลือผักดองอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมา “คืนให้เจ้าไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้
ชายฉกรรจ์คนนั้นทำท่าลำพองใจ มารดามันเถอะ ยามใดที่ข้าผู้อาวุโสทำตัว หน้าไม่อายขึ้นมา ขนาดตัวเองยังกลัวตัวเอง ยังจะกลัวเถ้าแก่รองอย่างเจ้าอีกหรือ? อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าข้าเรียนรู้มาจากเถ้าแก่รองอย่างเจ้าหรือไร?
เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที ไม่ได้นั่งลง แต่ปรบมือ พูดเสียงดังว่า “ร้านของพวกเรามีขนาดเล็ก เดิมทีคิดว่าช่วงนี้นอกจากจะมีผักดองแล้ว เหล้าทุกกายังจะแถมบะหมี่ หยางชุนให้อีกหนึ่งชาม นี่ข้าก็ตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนแล้ว ตอนนี้มาลองคิดดู ก็รู้สึกว่าอย่าดีกว่า ถึงอย่างไรบะหมี่หยางชุนก็ไม่ถือว่าเป็นอาหารเลิศรสอะไร น้ำใสรสจืด ก็มีแค่เส้นที่เหนียวหนึบอยู่บ้าง ใส่ต้นหอมสองสามชิ้น หากเทผักดอง จานเล็กใส่ลงไป เอาตะเกียบคนๆ ให้เข้ากัน อันที่จริงรสชาติก็แค่พอถูไถเท่านั้น”
เย่ชุนเจิ้นสัมผัสได้ทันทีว่าสายตาของผีขี้เหล้ารอบด้านเหมือนกระบี่บินที่พุ่ง ตรงมาหาตน
เพราะไม่ว่าใครก็รู้ว่าหากเถียงเถ้าแก่รองโดยใช้เหตุผล ย่อมเถียงไม่ชนะแน่นอน
เย่ชุนเจิ้นจึงกัดฟัน “เถ้าแก่รอง เอาเหล้าดีๆ มากาหนึ่ง แบบราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะนะ! วันนี้ไม่ทันระวังกินผักดองเยอะไปหน่อย ค่อนข้างเค็ม ต้องดื่มเหล้าดีๆ ระงับความตกใจเสียหน่อย”
“ได้เลย พี่ใหญ่เย่รอสักครู่”
เจ้าหมอนั่นวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหยิบสุราดีในร้าน ไม่ลืมหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “อีกสองวัน ก็จะมีบะหมี่หยางชุน”
เจี่ยงกวนเฉิงเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ถูกคนประคองให้ลุกขึ้นมาแล้ว เขาใช้ปราณกระบี่สะเทือนพายุลมกรดปณิธานหมัดเหล่านั้นทิ้งไป สีหน้าจึงดีขึ้นมาก
จูเหมยถามเสียงเบา “เหยียนลวี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มหิ้วเหล้าที่ชื่อว่าเหยียนลวี่ส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะเป็นอะไรได้ หากอีกฝ่ายฉวยโอกาสนี้เฝ้าด่าน นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหา ข้าต้องถูกจวินปี้ ด่าตายแน่”
จูเหมยบ่นเบาๆ “เจ้าเองก็จริงๆ เลย ปล่อยให้เจี่ยงกวนเฉิงมาก่อกวนที่นี่ได้ จวินปี้เคยกำชับพวกเราแล้วว่าพอไปถึงจวนของเซียนกระบี่ซุนแล้วก็ห้ามออกมา ข้างนอกง่ายๆ”
เด็กหนุ่มที่สวมชุดตัวยาวสุภาพเรียบร้อยหันหน้าไปมองทางร้านเหล้าแวบหนึ่ง แต่แปบเดียวก็ดึงสายตากลับ
บรรยากาศวุ่นวายรุงรังแบบนั้น เขาไม่ชอบเลยสักนิด ถึงขั้นรังเกียจด้วยซ้ำ
เป็นผู้ฝึกตน แต่กลับไม่รู้จักวางตัวสุภาพสำรวม ไม่มีกลิ่นอายของเซียนบนภูเขาแม้แต่น้อย
เหยียนลวี่หิ้วเหล้าภูเขาชิงเสินกานั้นไว้ในมือ ยิ้มกล่าวว่า “ก็เพราะข้าอยากรู้ว่าเหล้าหมักตระกูลเซียนของที่นี่เกี่ยวข้องกับภูเขาชิงเสินจริงๆ หรือไม่ ไม่ใช่หรือไร ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ บรรพบุรุษบ้านข้าล้วนต้องเข้าร่วมตลอด”
จูเหมยกลอกตามองบน “ก็มีแต่เจ้าเหยียนลวี่นี่แหละที่ชอบพลิกผังวงศ์ตระกูลและปฏิทินเหลืองมากที่สุด กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของเจ้าร่ำรวยกว้างขวางแค่ไหน ตระกูลและการสืบทอดทางสำนักของตระกูลเจี่ยงกวนเฉิงก็ไม่ได้แย่กว่าเจ้าสักหน่อย เจ้าเคยเห็นเขาคุยโวว่าอาจารย์ลุงของตัวเองคือใครไหม? แต่ว่าสมองเขา ไม่ค่อยดีเท่าไร ได้ยินลมก็คิดว่าเป็นฝน ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนไม่ใช้สมอง ถูกคนยุแยง แค่ไม่กี่คำก็โมโหขนตั้งแล้ว คิดว่าที่นี่เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางบ้านเกิดของ พวกเราจริงๆ หรือไร เดินทางมากำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ บรรพบุรุษบ้านข้ากำชับข้ามาหลายเรื่อง ห้ามไม่ให้ข้ามาวางมาดอยู่ที่นี่ ทำตัวเป็นคนใบ้คนหูหนวก แต่โดยดีก็พอแล้ว เฮ้อ ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์จะมาพูดเรื่องพวกนี้ เมื่อครู่นี้ข้าเอง ก็พูดไปไม่น้อย ตกลงกันไว้ก่อนว่า เจ้าห้ามเล่าให้จวินปี้ฟังทุกเรื่อง บอกไปว่าข้าไม่ได้เอ่ยอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ จวินปี้น่ะเพิ่งจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร แต่ยามที่เขาโกรธขึ้นมากลับน่ากลัวมาก ข้ายังพอได้ เพราะถึงอย่างไรขอบเขตก็ไม่สูง แต่พวกเจ้าน่ะสิ ถึงเวลาแต่ละคนก็ยังต้องเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาวเลียนแบบข้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของเหยียนลวี่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไร
หากไม่เป็นเพราะตอนนี้บรรพจารย์อาคนหนึ่งในตระกูลของนางเป็นเจ้าสำนักศึกษาของหลิวเสียทวีป อีกทั้งว่ากันว่านับตั้งแต่เด็กมาจูเหมยก็มีโชควาสนาอย่างลึกล้ำ เคยลงนามทำสัญญาภูเขาที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งกับสตรีผู้เป็นซานจวินของขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่งในราชวงศ์พวกเขา หากไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นหนาสองชั้นนี้ เหยียนลวี่ก็นึกอยากจะตบบ้องหูนางจริงๆ ให้นางได้จดจำเสียบ้างว่าควรพูดจา ภาษาคน และคำพูดคำจาแต่ละคำก็ไม่ควรทิ่มแทงใจคนทุกคำทุกประโยคเช่นนี้
ทางฝั่งของร้านเหล้า
เตี๋ยจ้างเองก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องที่ทางร้านจะแถมบะหมี่หยางชุนให้หนึ่งชาม รอจนเฉินผิงอันนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ทั้งต้องทำบะหมี่หยางชุน ทั้งต้องดูแลกิจการ ข้ากลัวว่าคนเดียวจะทำไม่ทัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าพ่อของเจ้าเด็กน้อยเล่อคังผู้นั้นมีฝีมือทำอาหารไม่เลว แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์ หลายปีมานี้ไม่มีงานที่มั่นคงให้ทำ วันหน้าเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดเคล็ดลับในการทำบะหมี่หยางชุนแก่เขา ให้เขามาเป็นลูกจ้างระยะยาวที่ร้านเรา ยามที่จางเจียเจินมีเวลาว่างก็สามารถมาทำงานระยะสั้นที่ร้านของพวกเราได้ ให้เขาช่วยทำงานจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เถ้าแก่ใหญ่เองก็จะได้มีเวลาหยุดพักบ้าง ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายพวกนี้ ปีๆ หนึ่งรวมกันแล้วก็ไม่ถึงค่าเหล้าชามหนึ่งด้วยซ้ำ”
เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ ไม่น้อยไปกว่า ยามที่หาเงินมาได้เลย
พวกเฉินซานชิวเจ้าอ้วนเยี่ยนชินกันเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันย่อมนึกจะทำ
แต่ฟ่านต้าเช่อกลับไม่เข้าใจเท่าไร เขาพูดหยอกล้อว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รำคาญว่า จะยุ่งยากจริงๆ หรือ? เจ้ามีตบะอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไรกันแน่? หล่นลงมาจากฟ้า หรือไร?”
เฉินผิงอันตะโกนเรียก “ต้าเช่อ”
ฟ่านต้าเช่อตื่นตระหนกเล็กน้อย “ทำไม?”
เฉินผิงอันพูดล่อลวงไปทีละลำดับ “เจ้าดูสิมีผู้อาวุโสโอสถทองมากมายขนาดนี้ ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกัน โต๊ะเล็กๆ แค่นี้ก็มีทั้งซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยน ถ่านดำและเตี๋ยจ้างแล้ว ช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก แต่กลับดื่มเหล้าราคาถูกที่สุด ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยนะ”
ฟ่านต้าเช่อไม่ค่อยเต็มใจจะเป็นคนที่ถูกหลอกให้เสียเงิน เพราะบนโต๊ะยังมี ผู้ฝึกลมปราณอยู่อีกตั้งสี่คน
เฉินผิงอันพูดเสียงเบาว่า “เด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าคนนั้น หากข้ามองไม่ผิดและ เดาไม่ผิดก็น่าจะรับผิดชอบเป็นคนลงสนามประลองที่สอง เป็นขอบเขตประตูมังกรเหมือนกับเจ้า คนเขาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง หากเจ้าแพ้ให้เขาต้องเสียหน้ามากแน่ๆ”
ฟ่านต้าเช่อจึงสั่งเหล้าดีกาหนึ่งมาจากเตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ เพียงแต่อดไม่ไหวถามว่า “เจ้ามั่นใจขนาดนี้เลยหรือว่าต้องมีการประลองครั้งที่สองแน่ๆ ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็อธิบายว่า “หากลวี่ตวนไม่ถูกเซียนกระบี่กวอกักตัวอยู่ในบ้านก็คงบอกได้ยาก แต่ว่าตอนนี้ ต้องมีการประลองครั้งที่สองแน่นอน”
“เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ผู้ฝึกตนแผ่นดินกลางรักหน้าตาเป็นที่สุด หากไม่ผิด ไปจากที่คาด คนเฝ้าด่านขอบเขตชมมหาสมุทรของฝั่งพวกเราก็คือน้องสาวของ เกาเหย่โหว เกาโย่วชิง ถูกไหม? นางเคยขึ้นหัวกำแพงเมืองแค่ครั้งเดียว ยังไม่เคยไปเยือนสนามรบทางทิศใต้มาก่อน แน่นอนว่าคุณสมบัติของเกาโย่วชิงย่อมดีมาก แต่ในด้านประสบการณ์การสังหารและพลังพิฆาตของกระบี่บิน เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกันของใต้หล้าไพศาลแล้ว ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของกำแพงเมือง ปราณกระบี่สามารถทิ้งระยะห่างจากฝ่ายตรงข้ามไปได้หลายถนน แต่หากต่ำกว่าโอสถทองลงมา แน่นอนว่าข้อได้เปรียบก็มีไม่น้อย แต่กลับไม่ได้มากอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการเอาไว้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางยังมากไปด้วย ผู้มีพรสวรรค์ เจี่ยงกวนเฉิงผู้นั้นคือศิษย์หลานของหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง อาจารย์ก็คือขู่เซี่ยซึ่งคือเซียนกระบี่เหมือนกัน ทว่าอยู่ในกลุ่มนี้กลับไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจในการพูดอะไร นี่แสดงให้เห็นว่าเกาโย่วชิงต้องแพ้อย่างแน่นอน ส่วนเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าคนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนตัดสินใจของภูเขาลูกนี้ ก่อนหน้านี้พอข้าลงมือไปแล้วก็เห็นแค่ว่าสหายคนอื่นๆ ของเขามีท่าทางตึงเครียด คิดจะลงมือช่วยเหลือตามจิตใต้สำนึก แต่กลับไม่มีใครหันไปมองเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าคนนั้น นี่จึงวิเคราะห์ได้ว่าเด็กหนุ่มถือกาเหล้ายังไม่อาจสยบผู้คนได้ ไม่ใช่หัวใจหลักของกลุ่มอะไร ในเมื่อไม่ใช่หัวใจหลักของกลุ่ม
ไหนเลยจะกล้าดึงเอาผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยทั้งหมดมาเดิมพันหน้าตาศักดิ์ศรีของผู้ฝึกกระบี่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยการลงสนามต่อสู้สามครั้งนั้น? ในจวนของเซียนกระบี่ซุนจะต้องยังมีคนอื่น คนที่ทำให้พวกเขายอมรับว่าเป็นหัวหน้าได้ อย่างแน่นอน ข้าคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่อายุน้อยขอบเขตต่ำ แต่กลับมีพลังการต่อสู้โดดเด่นอย่างถึงที่สุด ร้ายกาจแค่ไหน? ก็ร้ายกาจจนสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตเหนือกว่าเขาหนึ่งถึงสองขอบเขตล้วนยินดีเชื่อฟังคำสั่งจากเขา ดังนั้นกฎเกณฑ์ของสามด่านครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นฝีมือของคนผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็เคยมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน เขาไม่น่าจะว่างงานขนาดนี้ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็ยิ่งไม่กล้าทำเช่นนี้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย คุณชายและคุณหนูกลุ่มนี้ แค่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด คนเดียวก็สามารถคุ้มครองได้แล้ว นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาของ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ในทางอ้อม ถึงขั้นสามารถทำให้เซียนกระบี่ท่านหนึ่งและผู้อาวุโสก่อกำเนิดฟังคำสั่งจากเขาได้”
ฟ่านต้าเช่อฟังด้วยความตกตะลึง “เฉินผิงอัน เจ้ารู้ประวัติความเป็นมาของคนกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? หรือจะบอกว่าทางภูเขาห้อยหัวส่งข่าวมาที่จวนหนิง?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ย “เจ้าเดาดูสิ”
เตี๋ยจ้างเหลือกตามองบน อยากจะเตือนฟ่านต้าเช่ออย่างมากว่าอย่าได้เดาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยใจมาก
เยี่ยนจั๋วถาม “ตอนนี้มีคนไม่น้อยเป็นตั้งตัวเจ้ามือเดิมพันเรื่องนี้ แล้วพวกเรา?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดิมพันว่าคนของตัวเองจะต้องแพ้ ได้เงินเทพเซียนมา ก็ไม่สบายใจอยู่ดี”
ฟ่านต้าเช่อส่งชามเหล้าไปให้ “อาศัยประโยคนี้ เหล้ากานี้ของข้า ซื้อมาก็ไม่ขาดทุนแล้ว”
เฉินซานชิวเอ่ยเสริมหนึ่งประโยค “ถึงอย่างไรก็เป็นเงินที่ยืมไปจากข้าอยู่ดี”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยชื่นชมว่า “ฟ่านต้าเช่อ ใช้ได้เลยๆ มีความคล้ายคลึงกับต่งถ่านดำอยู่มาก”
ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “ยังด้อยกว่าข้ามากนัก”
เฉินซานชิวถาม “ก่อนหน้านี้ทำไมไม่จัดการให้จบเรื่องไปเลย?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าลูกกระต่ายที่หิ้วกาเหล้าผู้นั้นเจ้าเล่ห์นัก ไม่ให้โอกาสข้าเลย”
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “ก็หาเหตุผลอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ถนัดอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่งถ่านดำเจ้าพูดให้น้อย ดื่มเหล้าให้มากหน่อย”
ฟ่านต้าเช่อยกชามเหล้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็หมดชาม?”
ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะต่างก็ยกชามเหล้ากระดกดื่ม
บนเส้นทางกลับจวนหนิงที่เฉินผิงอันเดินกลับไปเพียงลำพัง เขาได้เจอกับบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง วิญญูชนหวังไจ่
หวังไจ่สอบถามเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่หวงโจว แล้วก็บอกถึงขั้นตอนการตรวจสอบของกำแพงเมืองปราณกระบี่กับเฉินผิงอันด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่าย
จากนั้นก็พูดสั้นๆ ถึงเรื่องการตายของหวงโจว สายของอิ่นกวานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ เซียนกระบี่ทั้งสองท่านต่างก็ไม่ค่อยยินดีจะสืบเสาะเรื่องนี้ แต่ถึงท้ายที่สุดแล้ว หวงโจวจะใช่สายลับของเผ่าปีศาจหรือไม่ กลับไม่มีข้อสรุป อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เป็นเหตุให้การที่เจ้าเฉินผิงอันสังหารหวงโจวสามารถไม่ต้อง รับโทษ แต่สายของอิ่นกวาน และยังมีเขาหวังไจ่ จะไม่มีทางช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้า
วันหน้าไม่ว่าจะมีคำซุบซิบนินทาใดๆ ก็ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันเป็นผู้แบกรับ ด้วยตัวเอง กล่าวมาถึงสุดท้าย หวังไจ่ก็พูดถึงเรื่องของตรอกที่หวงโจวอยู่อาศัย บอกว่าเขาจะรับผิดชอบเก็บกวาดให้เอง จะดูแลเรื่องเงินปลอบขวัญให้แก่เด็ก และคนชรา แค่ลงแรงกายแรงใจเล็กน้อยเท่านั้น
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ไม่ถือหางใคร ไม่เข้าข้างฝ่ายไหน เหตุใดถึงทำเช่นนี้”
หวังไจ่ใช้เสียงในใจเอ่ย “อาจารย์ของข้าเป็นเพื่อนสนิทกับอาจารย์เหมา เคยเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อด้วยกัน มองการที่อาจารย์เหมาไม่อาจไปขัดเกลาความรู้ที่สถานศึกษาหลี่จี้ได้เป็นเรื่องน่าเสียดายในชีวิต”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ จึงกุมหมัดคารวะ
หวังไจ่ได้แต่คารวะกลับคืน อันที่จริงการกระทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพียงแต่ว่าอุบายเล็กน้อยของตนก่อนหน้านี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลบสายตาของ ใต้เท้าอิ่นกวานและเซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อาน ลั่วซานได้พ้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่คิดอะไรมากแล้ว
หวังไจ่พลันยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินว่าอาจารย์เฉินเรียบเรียงและรวมเล่มตำรา ตราประทับร้อยเซียนกระบี่ด้วยตัวเองเล่มหนึ่ง ตราประทับหนึ่งในนั้นสลักคำว่า ‘ดวงตะวันส่องสว่างยามทิวา ดวงจันทราส่องสว่างยามราตรี’ ข้ามีเพื่อนร่วมห้อง คนหนึ่งที่ในชื่อมีอักษรอวี้ (ส่องสว่าง) สามารถเอาไปมอบให้เขาได้พอดี”
เรียกคนหนุ่มว่าอาจารย์ วิญญูชนหวังไจ่กลับไม่รู้สึกอึดอัดขัดเขินแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าจะบอกเยี่ยนจั๋วไว้ก่อน หากอาจารย์หวังไม่รังเกียจว่า ที่ร้านผ้าแพรต่วนมีกลิ่นอายความเป็นสตรีมากเกินไป ก็สามารถไปรับตราประทับ ที่นั่นได้เลย แต่หากรู้สึกว่ายุ่งยาก ข้าจะให้คนนำไปส่งที่ห้องหนังสือของอาจารย์หวังเอง แค่ต้องลงแรงกายเล็กน้อย ไม่ต้องใช้แรงใจใดๆ”
หวังไจ่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนแล้ว หากบนตราประทับ มีอักษรริมขอบและชื่อคนแกะสลักด้วยก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องง่ายๆ ไม่ต่างจากการยกมือ”
หวังไจ่ถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยินดีทำเช่นนี้? อันที่จริงข้าแค่อยู่เงียบๆ ก็ถือว่า ไม่ผิดต่อมิตรภาพของอาจารย์และอาจารย์เหมาแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”
หวังไจ่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไม่รู้ถึงจะดี ประเสริฐยิ่ง”
หวังไจ่ขอตัวลาจากไป ชุดเขียวพลิ้วสะบัดไปตามสายลม
เฉินผิงอันกลับมาถึงจวนหนิงก็ไปยืนอยู่ที่ลานประลองยุทธครู่หนึ่งเพื่อมอง หนิงเหยาที่ฝึกตนอยู่ในศาลา ต่อให้จะแค่มองไกลๆ ก็ยังเป็นภาพที่งดงาม มากพอจะทำให้จิตใจผ่อนคลายได้
หลังจากนั้นถึงได้กลับไปยังห้องเล็กของตน เฉินผิงอันแกะสลักตราประทับต่ออีกครั้ง ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ที่จัดทำขึ้นอย่างหยาบๆ เล่มนั้น วันหน้าคงยังต้อง จัดรวมเล่มใหม่อีกครั้งแน่นอน ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ ด้านในไม่ใช่ว่า มีตราประทับแค่ร้อยอันจริงๆ เสียหน่อย
ตราประทับร้อยกว่าอันที่อยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ล้วนถูกเยี่ยนจั๋วหอบเอาไปที่ร้าน เอาไปเป็นสมบัติพิทักษ์ร้านหมดแล้ว
เวลานี้ที่วางอยู่บนโต๊ะยังคงเป็นตราประทับแบบเกลี้ยงที่มีจำนวนมากกว่า ตราประทับที่แกะสลักตัวอักษรแล้วมีเพียงเล็กน้อย
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว เรื่องแกะสลักตราประทับนี้ นอกจากจะนำมาใช้สงบจิตใจแล้ว ก็สามารถนำมาเป็นการทบทวนความรู้ให้กับตัวเองได้อีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว ควรจะนำความรู้น้อยนิดของตัวเองมาแกะสลักผ่านตัวอักษร สิบกว่าคำ แล้ว ‘มอบ’ ออกไปพร้อมกับตราประทับวัสดุธรรมดา อีกทั้งยังทำให้ คนที่รับ รับไปด้วยความยินดี ถึงขั้นยังตั้งใจจ่ายเงินมาซื้อไป หรือว่านี่เป็นแค่ความรู้เล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง? ไม่เลย แท้จริงแล้วเป็นความรู้ที่ใหญ่อย่างมาก
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อริยะ วิญญูชน นักปราชญ์มากมายของหลี่เซิ่งและหย่าเซิ่งสองสาย แต่ละท่านมาเยือนแล้วก็จากไป บางคนก็ถึงขั้นรบตายอยู่บนสนามรบทางทิศใต้ หรือว่าบัณฑิตที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่ง ความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่อยากให้กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้กังวานไปด้วยเสียงท่องตำราอย่างนั้นหรือ? ก็แค่ว่าต่างคนต่างก็มีความลำบากใจ ต่างก็มี ความอึดอัดใจ ต่างก็มีพันธนาการ เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วพวกเขาไม่อาจเผยแพร่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อได้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถนี้ เขาเองก็ได้แต่ทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้า อยู่ข้างมือเท่านั้น
เฉินผิงอันถือมีดแกะสลักค่อยๆ สลักตราประทับชิ้นหนึ่งช้าๆ สลักเป็นคำว่า ข้าพิศมองคนที่พิศมรรคาว่าพิศมรรคาอย่างไร (ภาษาจีนคือประโยคว่ากวานเต้ากวานเต้ากวานเต้า)
ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่งปู้เต๋อมาถามเรื่องการแกะสลักตราประทับส่วนตัวของนางและเพื่อนๆ อันที่จริงแรกเริ่มเฉินผิงอันไม่ค่อยเต็มใจจะรับการค้าครั้งนี้มากนัก แต่หนิงเหยาพยักหน้าตอบตกลง เขาถึงตกปากรับคำอีกฝ่าย
บางครั้งไม่ใช่ว่าเก่งกาจแล้วจะสามารถไม่ต้องสนใจเรื่องใดเลย
แน่นอนว่าต่งปู้เต๋อจงใจพูดเรื่องนี้กับเฉินผิงอันต่อหน้าหนิงเหยา นี่ก็คือ ความฉลาดของต่งปู้เต๋อ
ตราประทับหยกงามเหล่านั้น เฉินผิงอันแกะสลักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เน้นสองคำว่าสง่างามและสุภาพมากเป็นพิเศษ ในเมื่อเป็นการค้าขายของแท้แน่นอน ก็ต้องไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านกับต่งถ่านดำ เขาก็บอกว่าพี่สาวของเขารู้สึกว่าไม่เลว วันหน้าหากมีโอกาสจะหาลูกค้ามาเพิ่มให้อีก แต่นางต่งปู้เต๋อต้องได้ส่วนแบ่ง เพียงแต่เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปแล้ว ต่งฮว่าฝูเองก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะเดิมทีก็ไม่ได้หวังให้พี่สาวของตนไปกลับจวนหนิงทุกๆ สามวันห้าวันอยู่แล้ว ไปบ่อยเข้า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะมีคำพูดเหลวไหลอะไรแพร่ไปอีกหรือไม่ คนที่ต้องลำบาก คนแรกคือเฉินผิงอัน แต่สุดท้ายคนที่ต้องลำบากมากที่สุดก็ต้องเป็นเขาต่งฮว่าฝูอย่างแน่นอน หากเฉินผิงอันโดนพี่หญิงหนิงโกรธใส่ ไม่มาคิดบัญชีกับเขาต่งฮว่าฝูแล้วจะคิดกับใคร?
เขาไม่ใช่ฟ่านต้าเช่อที่ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับเฉินผิงอันอย่างไรเสียหน่อย ถูกคนซ้อมไปรอบหนึ่ง ฟ่านต้าเช่อยังอารมณ์ดีอยู่ได้ ฟ่านเต้าเช่อโง่เง่า แต่เขาต่งฮว่าฝู ไม่ได้โง่หรอกนะ
เศษมุมที่เป็นชิ้นส่วนของหยกก้อนงามซึ่งเหลือจากการแกะสลักก่อนหน้านี้ ไม่เสียแรงที่ต่งปู้เต๋อเป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลต่ง และเพื่อนของนางก็ล้วนไม่ใช่คนขี้เหนียว บอกไว้แล้วว่าจะมอบให้เฉินผิงอันเป็นค่าเหนื่อยก็มอบให้จริงๆ เฉินผิงอันจึงเอามาแกะสลักเป็นตราประทับขนาดเล็กมากๆ ต่ออีกครั้ง ได้มาประมาณ สิบกว่าชิ้น แต่ตัวอักษรค่อนข้างจะถี่ยิบ ก้อนหนึ่งในนั้นมีมากถึงร้อยกว่าตัวอักษร วัสดุเหล่านี้ไม่ใช่หยกขาวทั่วไป แต่เป็นหยกซวงเจี้ยงที่มีชื่อเสียงมากท่ามกลางวัตถุดิบวิเศษตระกูลเซียน เฉินผิงอันต้องใช้กระบี่บินสืออู่มาเป็นมีดแกะสลักถึงจะ สลักตัวอักษรได้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเอาไปมอบให้เป็นของรางวัลแก่คนที่มาซื้อผ้าร้านแพรต่วน ลูกค้าจะต้องเอาเงินเอาทองมาซื้อไป ตราประทับหนึ่งชิ้นราคา หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ห้ามต่อราคา อยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ช่าง
บางทีคงรู้สึกว่าสตรีร่ำรวยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จะไปซื้อผ้าที่ร้านอาจจะไม่เข้าใจความลี้ลับมหัศจรรย์ของอักษรประโยคนี้ ดังนั้นตราประทับที่มองปราดๆ แล้วคือคำว่า ‘พิศมรรคา’ ซ้ำกันถึงสามครั้งนี้ จึงมีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องกินฝุ่นอยู่นานมาก
เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสลักตราประทับธรรมดาชิ้นหนึ่ง ด้านบนสลักแปดคำว่า ‘บุปผาจันทราอยู่พร้อมหน้า คู่รักเทพเซียน’
เฉินผิงอันสลัดตราประทับ แล้วก้มหน้าเป่าลมใส่หนึ่งที ชั่งน้ำหนักอยู่ในมือพักหนึ่งด้วยความพึงพอใจ ฝีมือเช่นนี้ ความหมายเช่นนี้ หากตราประทับชิ้นนี้ไม่มีใครแย่งชิงเอาไป ข้าผู้อาวุโสก็จะไม่ใช้แซ่เฉินแล้ว
กิจการของที่ร้านไม่อาจอาศัยให้สตรีควักเงินอย่างเดียวได้ ต้องให้บุรุษไปซื้อด้วย นั่นต่างหากถึงจะถือเป็นความสามารถที่แท้จริงของเถ้าแก่รองร้านผ้าแพรต่วน อย่างเขา ดังนั้นเฉินผิงอันที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มผิวปากคลอเพลง แล้วสลัก ตราประทับอีกชิ้นหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ สลักเป็นคำว่า ‘สาวงามบนโลกมนุษย์ งามเพริศพริ้งจนตะเกียงสามดวงบนสวรรค์ยังอาย’
ทางฝั่งของจวนเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน
จูเหมยกับเจี่ยงกวนเฉิงต่างก็ก้มหน้ายืนอยู่ด้านล่างบันไดของศาลาแห่งหนึ่ง พวกเหยียนลวี่ก็ไม่มีใครที่ยิ้มออก
ในศาลาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นหมากล้อมอยู่เพียงลำพัง นามว่าหลินจวินปี้
กระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากล้วนเป็นของรักของเด็กหนุ่มที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา ล้วนเป็นสมบัติหนักลำดับหนึ่งบนภูเขา เล่าลือกันว่าในอดีตคือวัตถุ ที่นครจักรพรรดิขาวเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ภายหลังถ่ายทอดมาอยู่ในมือของ หลินจวินปี้ โถเก็บเม็ดหมากสองใบในนั้น แบ่งออกเป็นสลักประโยคว่า ‘ทุกหน ทุกแห่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ปกป้อง’ ‘ทุกคนทุกเรื่องราว สวรรค์คุ้มครองป้องกัน’
และเม็ดหมากขาวดำจำนวนมากบนกระดานหมากก็เหมือนแสงกระบี่สองชนิด ที่ส่องประกายแสงแวววาว แต่ละเม็ดล้วนฟูมฟักปราณกระบี่ที่มีสีสันแตกต่างกันออกมา และการคุมเชิงกันบนกระดานหมากจึงทำให้มีปราณกระบี่ตัดสลับอยู่บนนั้น
ทุกครั้งที่หลินจวินปี้คีบหมากเม็ดหนึ่งวางลงไป ลำพังเพียงแค่ทิศทางการวาง เม็ดหมากที่มีปราณกระบี่เหล่านั้นล้อมวนพัวพันก็ทำให้คนตาลายได้แล้ว และความรู้สึกนี้ยังพุ่งตรงไปยังจิตใจด้วย
อันที่จริงหลินจวินปี้ไม่ได้ตำหนิคนทั้งสอง เพียงแค่ฟังพวกเขาเล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ถามรายละเอียดบางอย่าง แต่จูเหมยกับเจี่ยงกวนเฉิงสองคนตกอกตกใจกันไปเอง
ยากจะจินตนาการได้ว่า แท้จริงแล้วหลินจวินปี้มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เพียงแต่ว่าประสบการณ์ชีวิตช่วงหลัง เวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่ปี กลับเต็มไปด้วย ความตระการตาชวนให้ตื่นตาตื่นใจ เป็นเหตุให้คนนอกง่ายที่จะมองข้ามชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านของเด็กหนุ่ม
หลินจวินปี้มองสถานการณ์หมากบนกระดาน แล้วมองตำราหมากล้อมที่กางอยู่ข้างมือตัวเองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับทุกวันว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น สถานการณ์หมากยังคงเดิม ทุกคนไปฝึกตนของตัวเองเถอะ”
สามวันให้หลัง คนทั้งสามจะต้องผ่านสามด่าน
จากนั้นหลินจวินปี้ก็เรียกคนผู้หนึ่งเอาไว้ “ศิษย์พี่เปียนจิ้ง พวกเรามาเล่นหมากด้วยกันสักกระดานดีไหม?”
คนหนุ่มที่ไปร้านเหล้ากับพวกเหยียนลวี่พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งในศาลาเพียงลำพัง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนถนนใหญ่ หลังจากเฉินผิงอันลงมือแล้ว เขาก็คือคนที่เคลื่อนไหวได้งุ่มง่ามที่สุด
ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ชื่อว่าเปียนจิ้งผู้นี้ขยับโถเก็บเม็ดหมากใบหนึ่งมาไว้ฝั่งของตัวเองแล้ว กลับกลายเป็นว่ามีท่วงท่าเกียจคร้าน เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง ช่วยหลินจวินปี้เก็บเม็ดหมากเข้ามาไว้ในโถ แล้วก็เลือกจะฝ่าปราณกระบี่ ที่ล้อมวนอยู่บนกระดานเพื่อหยิบเม็ดหมากขึ้นมาโดยตรง ไม่เหมือนหลินจวินปี้ที่จงใจอ้อมผ่านพวกมันไป
หลินจวินปี้กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง
เปี้ยนจิ้งกลับบ่นขึ้นมาว่า “เจ้าพูดตั้งสองรอบแล้ว ความจำของข้าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ แกล้งแพ้ให้ซือหม่าเว่ยหรันไงล่ะ ไม่อย่างนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน วันหน้าพวกเราจะเจอปัญหาไม่หยุด ย่อมถ่วงรั้งเวลาการฝึกตนอย่างสงบของพวกเหยียนลวี่ จูเหมยอย่างเลี่ยงไม่ได้”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมดี”
เปียนจิ้งเอ่ยว่า “เจ้าชนะการประลองครั้งแรก เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังขาอยู่แล้ว แต่การประลองครั้งที่สองของเหยียนลวี่ เจ้ามั่นใจหรือ?”
หลินจวินปี้เอ่ย “มั่นใจ แต่ไม่มาก หากตอนนี้ศิษย์พี่เปียนจิ้งเพิ่งจะเป็นขอบเขตประตูมังกร ก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลแล้ว เจ้าและข้าผ่านสองด่านมาได้ คาดว่า วันหน้าอีกฝ่ายก็คงไม่มีอารมณ์มาหาเรื่องพวกเราแล้ว”
เปียนจิ้งเอ่ยสัพยอก “ข้าโชคดีฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วก็ผิดด้วยหรือ?”
เปียนจิ้งขอบเขตโอสถทองตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่คนของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเขา มองดูเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ แต่ความจริงใกล้จะ สามสิบปีแล้ว ทว่าต่อให้จะอายุสามสิบ มีตบะคอขวดโอสถทองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ น่าตะลึงพรึงเพริดมากแล้ว
อาจารย์ของหลินจวินปี้คือราชครูของราชวงศ์ใหญ่ลำดับที่หกในใต้หล้าไพศาล และเปี้ยนจิ้งก็คือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์หลินจวินปี้
หลินจวินปี้ไม่ค่อยรู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของผู้ฝึกกระบี่ไร้สัญชาติซึ่งมี ‘ขอบเขตชมมหาสมุทร’ ผู้นี้มากนัก เพราะอาจารย์ไม่ยินดีจะเล่าอะไรให้ฟัง การเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ นอกจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่พอจะมองเส้นสายปลายเหตุออกบ้างเล็กน้อยแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนนั้นก็ยังไม่รู้ขอบเขตที่แท้จริงของเปียนจิ้ง ส่วนพวกเหยียนลวี่ก็ยิ่งไม่รู้ว่าข้างกายของตัวเอง มีเจียวหลงตัวหนึ่งส่ายสะบัดหางคอยแอบมองดูเรื่องสนุกอยู่
หากจะบอกว่าความสนใจที่ใหญ่ที่สุดในการเดินทางมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ ของหลินจวินปี้คือหาคนมาเล่นหมากล้อมด้วยกัน ขณะเดียวกันก็อยากเห็นเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วกับตาตัวเอง
ถ้าอย่างนั้นเปียนจิ้งที่ถือว่าเป็นแค่ศิษย์พี่ครึ่งตัวผู้นี้ก็มาเพราะเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป
แต่ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัว ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เปียนจิ้งจะมีโชควาสนาไม่น้อย ถูกชะตากับฮูหยินท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์เรือนแห่งนั้นอยู่มาก
ส่วนทางฝั่งของราชวงศ์เส้าหยวนที่เป็นบ้านเกิด ต่อให้เปียนจิ้งจะใช้แค่สถานะของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทร อย่างมากที่สุดก็อาศัยตำแหน่งลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของราชครู แต่กระนั้นก็ยังมีชีวิตได้อย่างสุขเสรีดุจปลาได้น้ำ
มีโชควาสนาเข้ามาหาไม่หยุด บางครั้งหลินจวินปี้ก็ยังนึกสงสัยว่าเปียนจิ้งจะใช่เจ๋อเซียนที่มาจุติและสติปัญญาเปิดโล่งแล้วหรือไม่
หลินจวินปี้ถาม “ได้ยินว่าเฉินผิงอันผู้นั้นมีอาวุธเซียนเล่มหนึ่ง ขนาดต่อยตีกับ ผังหยวนจี้จนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำยังไม่ได้เอาออกมาใช้ หากต่อสู้กับเจ้า ผลแพ้ชนะ จะเป็นเช่นไร?”
เปียนจิ้งคีบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้ววางลงบนโต๊ะหินที่อยู่นอกกระดานหมาก นิ้วทั้งสองประกบกันแล้วปาดเม็ดหมากสีขาวหิมะที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดเม็ดนั้นไปมาคล้ายกำลังระบายโทสะ แล้วพูดว่า “ฝึกตนบนมรรคม ผลกลับต้องมาช่วงชิงแพ้ชนะกับคนอื่น น่าเบื่อจะตายไป”
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ หยิบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งกำ “เดาก่อนไหม?”
เปียนจิ้งไม่รีบร้อนวางหมาก เงยหน้าถามว่า “เจ้ารู้แล้วหรือ?”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับเบาๆ “ตอนที่เจ้ากลับมา เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับมีมากกว่าปกติ พูดเสียงก็ดังกว่าปกติ ข้าก็เลยเดาได้แล้ว”
เปียนจิ้งทอดถอนใจ “แต่อีกฝ่ายคือเฉาสือเชียวนะ แพ้แล้วก็คงไม่น่าอายหรอกกระมัง?”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “แพ้ให้เฉาสือไม่น่าอาย แต่ไปหาเรื่องโดนซ้อมถึงถิ่น คนอื่นเขา ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร”
เปียนจิ้งเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
หลินจวินปี้ถามอย่างใคร่รู้ “กี่หมัด?”
เปียนจิ้งผงกคางชี้ไปยังเม็ดหมากที่สองนิ้วของตัวเองกดเอาไว้
หลินจวินปี้กล่าวอย่างสงสัย “หมัดเดียว?”
เปียนจิ้งหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “ดูแคลนศิษย์พี่ขนาดนี้เชียวหรือ? สองหมัด! หมัดแรกแหวกกระบี่บินของข้า อีกหมัดหนึ่งต่อยจนข้าสับสนมึนงงไปหมด แต่บอกตามตรง หากข้าหน้าไม่อายสักนิดก็ยังสามารถรับได้อีกหลายหมัด”
หลินจวินปี้เพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
เปียนจิ้งถาม “ในเมื่อเหยียนลวี่ไม่มีโอกาสที่จะชนะแน่นอน เจ้าก็ไม่มีแผนการอย่างอื่นแล้วหรือ?”
หลินจวินปี้เอ่ย “แรกเริ่มสุดข้าวางแผนไว้ว่า หากการประลองครั้งที่สอง ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้กวอจู๋จิ่วออกศึก ข้าก็จะฝ่าด่านไปเอง แต่หากการประลองครั้งที่สามคือเกาเหย่โหวหรือซือหม่าเว่ยหรัน ถ้าอย่างนั้นข้าค่อยฝ่าด่านอีกครั้ง แต่พอมาพักอยู่ที่นี่ข้าก็เปลี่ยนใจแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็น ทำเช่นนี้ก็มีแต่จะเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น หากเฉินผิงอันอยู่ด้วยก็จะต้องมีการต่อสู้ครั้งที่สี่เกิดขึ้น ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ศิษย์พี่ จะต้องแพ้ให้แก่เฉินผิงอันที่เคยผ่านสี่ด่านมาแล้ว อย่างแน่นอน มีแต่จะทำให้เฉินผิงอันผู้นั้นยิ่งได้ใจผู้อื่น”
เปียนจิ้งเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าสนใจเฉินผิงอันขนาดนี้เชียวหรือ? พวกจูเหมยวิ่งไปชนกำแพงที่ร้านเหล้า ก็เป็นความตั้งใจของเจ้าเช่นกันหรือ?”
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ย “สามารถถูกข้าหลินจวินปี้จดจำไว้ในใจได้ เฉินผิงอันควรจะรู้สึกดีใจ”
ส่วนเฉินผิงอันที่ถูกคนคิดถึงแต่กลับไม่รู้ตัว เวลานี้กำลังเริ่มลงมือหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่อยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งของจวนหนิง
ตามหลังตราประทับอักษรน้ำในจวนน้ำ ดินห้าสีของศาลภูเขา และเทวรูปของเรือนไม้ ก็คือทองของห้าธาตุ สุดท้ายจึงเป็นไฟที่ยังไม่เจอวัตถุดิบที่เหมาะสม
ตราประทับตัวอักษรน้ำหลอมทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปอย่างยอดเขาทะเลเมฆนครมังกรเฒ่า
ดินห้าสีหลอมที่ทางเข้าลำน้ำจี้ตู๋ไหลลงสู่มหาสมุทรของอุตรกุรุทวีป
เทวรูปไม้ที่ได้มาจากอารามเต๋าบนยอดเขาของซากปรักจวนเซียนหลอมบนเกาะของถ้ำสวรรค์วังมังกร
ตอนนี้กำลังจะหลอมทองของห้าธาตุ คือหน้าหนังสืออักษรสีทองที่ทำมาจากวัสดุสีทองแผ่นหนึ่ง หรือควรจะพูดให้ถูกคือคัมภีร์พุทธเล่มหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยสอบถามศิษย์พี่จั่วโย่วมาก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ จั่วโย่วเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่าวิญญูชนมิใช่ภาชนะ จะมีอะไรไม่เหมาะสม
เตาหลอมยังคงเป็นเตาตู้ทองห้าสีที่ได้มาจากมือของลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าของใบถงทวีป ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด แต่เกี่ยวข้องกับเจียงซ่างเจิน จึงกึ่งซื้อกึ่งมอบให้ รับเงิน เฉินผิงอันไปแค่ห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช
ลู่ยงเคยเอ่ยว่า ‘ทองมิอาจทำลาย จึงเป็นผู้นำแห่งหมื่นสมบัติ’ ดังนั้นวัตถุ ที่เหมาะจะนำมาหลอมในเตาหลอมโอสถใบนี้มากที่สุด เดิมทีก็คือธาตุทองในห้าธาตุ
ในห้องลับ วัตถุดิบวิเศษมากมายล้วนจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว
นอกห้องลับ น่าหลันเย่สิงนั่งขัดสมาธิ รับผิดชอบเฝ้าด่านช่วยคุมหลังให้
ตรงศาลาของหน้าผาสังหารมังกร ป๋ายหมัวมัวคุยเล่นอยู่กับหนิงเหยา
หญิงชรายิ้มกล่าว “วางใจเถอะ คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ท่านเขยของพวกเราเป็นคนดี สวรรค์ย่อมต้องช่วยเหลือแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านเขย ยังมีความรู้ลึกซึ้ง แม้จะเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ
แต่กลับเคยเดินทางไกลไปทั่วสารทิศ เดินท่องอยู่ในโลกมนุษย์ดุจดั่งพระโพธิสัตว์มีชีวิต คุณหนูไม่จำเป็นต้องกังวลกับการหลอมวัตถุของเขาครั้งนี้”
หนิงเหยายังคงมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ยังคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “ป๋ายหมัวมัว คำพูดพวกนี้อย่าไปพูดกับเขานะ เดี๋ยวเขาจะรู้สึกอึดอัด”
หญิงชราจงใจเอ่ยว่า “เรื่องที่เรียกเขาว่าท่านเขยหรือ? อย่างมากสุดท่านเขย ก็แค่เขินที่จะพูดเท่านั้น แต่ในใจไม่ต้องบอกเลยว่ารู้สึกดีแค่ไหน”
พอถูกเบี่ยงเบนความสนใจเช่นนี้ อารมณ์ของหนิงเหยาก็ดีขึ้นมาหลายส่วน นางยิ้มเอ่ยว่า “หากหลอมวัตถุสำเร็จ อีกสองวันข้าจะไปชมศึกสามด่านเป็นเพื่อนเขา”
หญิงชราเอ่ย “เมื่อก่อนคุณหนูไม่เห็นเคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย”
หนิงเหยากล่าว “ตอนนี้ข้าก็ยังไม่สนใจ แค่จะไปผ่อนคลายอารมณ์เป็นเพื่อนเขาเท่านั้น”
เงียบไปครู่หนึ่ง หนิงเหยาก็เอ่ยว่า “ป๋ายหมัวมัวอาจมองไม่ออก มีเพียงการหลอมทองของห้าธาตุเท่านั้นที่เฉินผิงอันจะผ่านด่านไปได้ยากที่สุด”
หญิงชราถาม “ผ่านด่านทางใจได้ยาก หรือผ่านด่านการหลอมไปได้ยาก?”
หนิงเหยาตอบ “ทั้งคู่”
หญิงชราพลันอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที กลายเป็นว่าเครียดยิ่งกว่าคุณหนูของตัวเองเสียอีก
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ป๋ายหมัวมัว ไม่เป็นไร เฉินผิงอันมีวิธีแก้ปัญหายากให้ตัวเองได้เสมอ แล้วก็เป็นอย่างนี้มาตลอด หากรู้ว่าพวกเราไม่วางใจ เขาถึงจะไม่สบายใจ ไม่อย่างนั้นก็…”
หนิงเหยามองไปยังสนามประลองยุทธด้านนอกศาลา “ไม่มีความยากลำบากใดๆ ที่เขาขบไม่แตก กลืนลงไปไม่ได้” (ภาษาจีนคำว่าเผชิญความยากลำบากจะใช้คำว่า ชือขู่ 吃苦 แปลตรงตัวว่ากินรสขม ดังนั้นจึงเอามาใช้กับคำว่าเคี้ยว คำว่ากลืนได้)
หญิงชราพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
หนิงเหยาหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นให้หญิงชรา เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าแอบขโมยมา”
หญิงชราไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พอรับมาแล้ว เห็นตัวอักษรบนนั้น ก็เหม่อลอยไป ก่อนจะเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ยากจะปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ได้ “ตัวอักษรของท่านเขย สลักได้สวยจริงๆ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคนั้นที่ปลอบใจคนได้อย่างดีเยี่ยม
ผมดำย้อมเกล็ดหิมะ ยังคงเป็นคนงาม
หนิงเหยาส่ายหน้า “เขาเคยบอกว่า ตัวอักษรของเขาเคร่งขรึมตายตัวอย่างมาก นอกจากตัวอักษรแบบบรรจงที่พอจะนับว่าถูไถ อักษรแบบหวัดก็แค่เรียนมาอย่าง ผิวเผินเท่านั้น เมื่ออยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญก็มีแต่จะเป็นที่ขบขันของผู้อื่น แต่หากจะเอาฝีมือของเขามารับมือกับตราประทับวัสดุธรรมดาพวกนี้กลับมากพอเหลือแหล่”
นอกห้องลับ น่าหลันเย่สิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เฉินผิงอันถึงยังไม่จุดไฟเปิดเตาเสียที
ในห้องลับ เฉินผิงอันนั่งหลับตารวบรวมสมาธิ แต่กลับเหม่อลอย
ในจวนมลังเมลืองที่แทบจะอยากจะติดตัวอักษรใหญ่ๆ สี่คำว่า ‘บ้านข้ามีเงิน’ ให้เต็มกำแพงของตระกูลเยี่ยน เจ้าอ้วนเยี่ยนกำลังกระวนกระวายไม่เป็นสุข ตราประทับชิ้นนั้นเขาได้มาแล้วก็รีบร้อนเอากลับมาที่บ้านด้วยความดีใจ แต่กลับรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เขาไม่กล้าหยิบออกมา เลยถ่วงเวลาไว้ตลอด
วันนี้เขาจึงมาเดินป้วนเปี้ยนวนไปวนมาอยู่ในระเบียงนอกห้องหนังสือของบิดา
ห้องหนังสือของบิดาไม่มีประตู นี่ก็เพื่อให้เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนท่านนี้เข้าออกได้สะดวก
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย แต่บิดาของเยี่ยนจั๋วเป็นคนตัดสินใจเอง สั่งให้คนถอดประตูออก บอกว่าไม่มีแขนสองข้างก็คือไม่มีแล้ว ใช้ปราณกระบี่เปิดปิดประตู หาเรื่องสนุกให้ตัวเองทำงั้นหรือ?
เยี่ยนหมิงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของบุตรชายตัวเองที่อยู่ในระเบียงได้นานแล้ว คนตัวอ้วนขนาดนั้น เดินทีก็สะเทือนไปถึงชั้นฟ้า ต่อให้ทุกวันนี้ตบะของเขาเยี่ยนหมิงไม่ได้เรื่องแค่ไหน แต่จะดีจะชั่วก็เป็นก่อกำเนิด จะไม่รู้ได้อย่างไร
เยี่ยนหมิงขมวดคิ้วเอ่ย “หากไม่เข้ามาในห้องก็รีบไสหัวไป”
สำหรับบิดาท่านนี้ เยี่ยนจั๋วเคารพยำเกรงอย่างถึงที่สดุ ช่วยไม่ได้ นับตั้งแต่เด็กมาก็โดนตีจนกลัว ภายหลังท่านพ่อของเขาคงถอดใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงถึงขั้นไม่เหลือแม้แต่อารมณ์จะดุด่าผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเยี่ยนอย่างเขา จนกระทั่งครั้งนั้นที่แบกเยี่ยนจั๋วกลับมาบ้าน ภายหลังบุรุษถึงพอจะมีสีหน้าดีๆ ให้บุตรชาย เห็นบ้าง บางครั้งก็จะถามถึงพัฒนาการในการฝึกตนของเยี่ยนจั๋ว จากนั้นมาสตรี ที่ความสามารถสูงสุดในชีวิตนี้คือรักและเอ็นดูบุตรชายคนเดียวก็คงจะได้รับ แรงกระตุ้นอะไรบางอย่าง ถึงกลับกลายมาเป็นคนที่เริ่มเข้มงวดกับเยี่ยนจั๋วแทน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกตน การทำการค้า หรือการคบหาสหายก็ล้วนควบคุมเยี่ยนจั๋ว อย่างเข้มงวด
เยี่ยนจั๋วเตรียมจะไสหัวไปตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่พอเดินไปได้สองสามก้าว สุดท้ายก็กัดฟันเดินไปทางห้องหนังสือ ข้ามธรณีประตูเข้าไป
เยี่ยนจั๋วคือบุรุษวัยกลางคนที่ไม่ชอบหัวเราะพูดคุย ชายแขนเสื้อสองข้างว่างเปล่า เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะด้านหน้าวางหนังสือไว้จนเต็ม มีภูตน้อยตนหนึ่งรับหน้าที่คอยเปิดหน้าหนังสือให้เขา
เยี่ยนหมิงขมวดคิ้วถาม “มีธุระรึ?”
เยี่ยนจั๋วหยิบตราประทับชิ้นนั้นออกมาวางบนโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัว “ท่านพ่อ มอบให้ท่าน ไม่มีธุระแล้ว ข้าไปล่ะนะ”
เยี่ยนหมิงอึ้งตะลึง นั่นคือตราประทับที่ทำมาจากวัสดุธรรมดา จึงถามว่า “ไม่มีเงินใช้? ก็เลยเอาเจ้านี่มามอบให้ข้า?”
เยี่ยนจั๋วหน้าแดงก่ำ แต่ไม่กล้าอธิบายอะไร เขาก้มหน้าเดินก้าวเร็วๆ ออกไปจากห้องหนังสือ
ออกมาจากระเบียงนั้นแล้ว เยี่ยนจั๋วก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ทางฝั่งของห้องหนังสือ ภูตน้อยที่อ่อนโยนว่าง่ายตนนั้นกระโดดโลดเต้นไปหยุดอยู่ข้างตราประทับ ย่อตัวลงทำท่าเหมือนแบกท่อนไม้ พลิกด้านล่างของตราประทับให้เจ้านายได้เห็น
เยี่ยนหมิงมองอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็พลันถามว่า “เจ้าว่าข้าเข้มงวดกับจั๋วเอ๋อร์ มากไปไหม?”
ภูตน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง
เยี่ยนหมิงหัวเราะ หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง จุดที่อยู่ห่างไปไกลมีกำแพงเมืองสูงใหญ่
มิกล้าพกกระบี่ขึ้นหัวกำแพงเมือง ด้วยกลัวขับไล่จันทร์สามดวงให้ถอยหนี
พ่อเจ้าอย่างข้า ไหนเลยจะมีความสามารถเช่นนั้น
ภูตน้อยกะพริบตาปริบๆ มันรับใช้นายท่านด้วยความระมัดระวังรอบคอบมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นนายท่านยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย
บนหัวกำแพงเมือง
วิญญูชนหวังไจ่เพิ่งจะมอบตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่เล่มหนึ่งที่เพิ่งจัดพิมพ์ใหม่ให้แก่เย่เหล่าเหลียนอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้
เป็นการจัดพิมพ์แบบหยาบๆ อยู่ไกลเกินกว่าจะทัดเทียมกับตำราตราประทับของใต้หล้าไพศาลได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทียบตำราตราประทับที่ตระกูลปัญญาชนตั้งใจเก็บรวบรวมเอาไว้เลย
อริยะเปิดอ่านไปทีละหน้า หากเจอจุดที่ถูกใจก็จะคลี่ยิ้ม
ไร้ที่ท่องเที่ยวแห่งขุนเขาสายน้ำ แต่กลับเป็นนครที่สูงที่สุดของโลกมนุษย์
สถานที่ที่เด็กๆ หยอกล้อสนุกสนาน ช่วงเวลายามเซียนกระบี่ร่ำสุรา
เมื่ออริยะลัทธิขงจื๊อท่านนี้เปิดไปเจอหน้าหนึ่งก็หยุดมือ พยักหน้ากับตัวเองเบาๆ
หวังไจ่มองไป คือประโยคที่ว่า ‘ยามน้ำค้างลง (ซวงเจี้ยง) มอบลูกพลับและส้มสามร้อยผล’ เขาก็คลี่ยิ้มเช่นกัน เอ่ยว่า “บางทีในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้อาจจะไม่มีคนรู้ถึงความน่าสนใจของประโยคนี้”
อริยะลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีคนที่ทั้งมีเงินและมีเวลาว่างไปหาซื้อหนังสือ เปิดอ่านหนังสือ ตามหาจุดกำเนิดของตราประทับนี้”
ราชวงศ์เส้าหยวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เหมือนราชวงศ์จูอิ๋งของ แจกันสมบัติทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่อยู่มาก
ดังนั้นศึกสามด่านของวันนี้จึงมีผู้ที่มาร่วมชมศึกมากมาย
สถานที่เลือกเป็นถนนเสวียนฮู่ซึ่งมีแซ่ใหญ่เป็นเพื่อนบ้าน ตระกูลคนรวยอยู่รวมตัวกัน
การที่ไม่ได้เลือกถนนไท่เซี่ยงซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเฉินซานชิวและต่งฮว่าฝู แน่นอนว่าเป็นเพราะไม่กล้า อีกทั้งต่อให้ทั้งสองฝ่ายกล้าจะเลือกที่แห่งนี้ คาดว่าก็คงไม่มีใครไปชมศึกเช่นกัน
เจ้าอ้วนเยี่ยนเขย่งปลายเท้า กวาดตามองไปรอบด้าน พูดอย่างสงสัยว่า “พี่น้องเฉินของข้าทำไมถึงยังไม่มาล่ะ?”
ต่งฮว่าฝูแทะขนมแผ่นแป้งชิ้นใหญ่ ยามที่นายน้อยตระกูลต่งซื้อของมักจะให้ลงบัญชีเป็นชื่อของเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วเสมอ
ฟ่านต้าเช่อชำเลืองตามองประตูใหญ่ของตระกูลหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล เฉินซานชิว ตบไหล่ของเขา ฟ่านต้าเช่อยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร”
สองฝั่งของถนนใหญ่แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นที่มีฉีโซ่วและเกาเหย่โหวเป็นผู้นำ รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มีเหยียนลวี่และเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งพากันยืนห้อมล้อมหลินจวินปี้ดุงดั่งดวงดาวล้อมดวงเดือน ส่วนเปียนจิ้งที่อยู่ใน กลุ่มคนก็ยังคงเป็นคนที่ไม่สะดุดตาที่สุดอยู่เช่นเดิม
น้องสาวของเกาเหย่โหวอย่างเกาโย่วชิงเป็นผู้เฝ้าด่านแรก เกาเหย่โหว่ที่คราวก่อน ไม่ได้มาชมศึก วันนี้ย่อมมาอยู่ที่สนามประลองด้วย ผังหยวนจี้ยืนอยู่ข้างกาย เกาเหย่โหว กำลังบอกเกาโย่วชิงถึงเรื่องที่นางควรต้องระวัง ไม่ใช่ว่าเกาเหย่โหว ไม่อยากเป็นคนพูดเอง แต่เป็นเพราะน้องสาวของเขาคนนี้ไม่ชอบฟังเขาพูดจู้จี้จริงๆ
หลินจวินปี้เดินออกมาข้างหน้าช้าๆ เกาโย่วชิงเองก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกกระบี่ เพียงแค่ดึงระยะห่างเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ
มีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันไดของบ้านหลังหนึ่ง เขายิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูเกา อีกฝ่ายหล่อเหลาจริงๆ มากพอจะคู่ควรกับเจ้าแล้ว ขอแค่เอาชนะเขาได้ แบกเขาขึ้นบ่าแล้วรีบวิ่งให้ไว หาสถานที่ที่ไม่มีคน อยากทำอะไรก็ทำเลย!”
เกาโย่วชิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จิตใจแน่วแน่ จ้องเด็กหนุ่มที่ยิ่งเดินก็ยิ่งขยับ เข้ามาใกล้ผู้นั้นเขม็ง
หลินจวินปี้กลับมีท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ กวาดตามองไปรอบด้าน มองประเมินบ้านเรือนสองข้างทางของถนนเสวียนฮู่
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรสองคน
แค่กระบี่เดียวก็สามารถแบ่งแยกสูงต่ำได้แล้ว
เกาโย่วชิงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก่อน กระบี่บินของนางแหวกอากาศมาถึงในเสี้ยววินาที ไม่เน้นในเรื่องพลังอำนาจ
กระบี่บินของหลินจวินปี้โผล่มาทีหลัง ทว่าไม่เพียงแต่โจมตีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเกาโย่วชิงไปได้อย่างง่ายดาย ยังมาหยุดลอยอยู่ตรงหว่างคิ้วของเกาโย่วชิงได้ ในเสี้ยววินาที
เกาโย่วชิงหน้าซีดขาว
กระบี่บินตรงหว่างคิ้วพลันหายวับไป หลินจวินปี้ก็หมุนตัวกลับเดินจากไปแล้ว
เหยียนลวี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินออกมาจากกลุ่มคน เดินสวนไหล่กับหลินจวินปี้ไป
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าสามารถแบ่งแพ้ชนะให้ช้าสักหน่อยก็ได้”
เหยียนลวี่พยักหน้ารับหนักๆ
ผู้ฝึกกระบี่มากมายที่มาชมศึกอยู่สองด้านของถนนไม่มีใครส่งเสียงผิวปากหรือสบถด่า การต่อสู้ของขอบเขตเดียวกัน สามารถแบ่งแพ้ชนะได้ในเสี้ยววินาทีก็ถือเป็นความสามารถของอีกฝ่าย
แต่เจ้าเด็กหนุ่มนั่นช่างน่าเตะจริงๆ
เกือบจะตามมาทันเถ้าแก่รองของร้านเหล้าแล้ว
นึกถึงใคร คนนั้นก็มา
เถ้าแก่รองผู้นั้นเดินเคียงบ่ามาพร้อมกับหนิงเหยา ปรากฏตัวจากฝั่งถนนของหลินจวินปี้พอดี
หลินจวินปี้มองบุรุษชุดเขียวที่หน้าซีดขาวน้อยๆ เหมือนคนป่วยแล้วก็คลี่ยิ้ม มองทีเดียวก็ไม่มองอีก กลับเป็นสตรีที่อยู่ข้างกายคนผู้นั้น ว่ากันว่าร้ายกาจอย่างมาก ถ้อยคำงดงามที่กล่าวถึงนางมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัว เขาหลินจวินปี้ก็ได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรด้วยอายุที่ไม่ถึงสิบปีจะร้ายกาจได้อย่างไร? เป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองด้วยอายุยี่สิบกว่าๆ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นก่อกำเนิดไม่ใช่หรือ? นั่นก็ยิ่ง ไม่อาจถือว่าร้ายกาจจนไร้ศัตรูทัดทานไม่ใช่หรือ?
หลินจวินปี้ส่ายหน้า เขามองนางอยู่นานหน่อยถึงขั้นยังไม่รู้สึกว่านางเป็นสตรี ที่งดงามสักเท่าไร เทียบกับหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในจินตนาการแล้ว ถือว่าด้อยกว่ามาก
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินไปข้างหน้าช้าๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วยิ้มกล่าวว่า “ควบคุมดวงตาของเจ้าให้ดี”
เสียงผิวปากหวีดหวิวพลันดังระงมมาจากถนนทั้งเส้น สัพยอกคนของตัวเอง อันที่จริงกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยออมแรงเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับเถ้าแก่รองผู้นั้น เขาไม่ใช่แม่นางน้อยอย่างเกาโย่วชิง ไอ้หมอนี่ หน้าหนานักล่ะ หาเงินได้ไร้มโนธรรมยิ่งกว่ายามต่อสู้เสียอีก
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมายถึงตัวเจ้าเองหรือ?”
เฉินผิงอันพูดจบก็ไม่มองเด็กหนุ่มคนนี้อีก กลับหันไปมองหาเปียนจิ้งที่หลบอยู่ในกลุ่มคนแทน
เปียนจิ้งมีสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับบ่นพึมพำ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ร้านเหล้าตนเผยพิรุธหรือ? ไม่น่าจะใช่นะ
หนิงเหยากระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ถามเสียงเบา “ทำไมหรือ?”
หนิงเหยามองเขา
เฉินผิงอันจึงพยักหน้ายิ้มให้
ดังนั้นหนิงเหยาจึงหันไปพูดกับหลินจวินปี้ว่า “บอกให้เจ้าควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี เจ้าก็จงควบคุมให้ดี”
หลินจวินปี้กระตุกมุมปาก
จากนั้นหนิงเหยาก็เอ่ยประโยคหนึ่ง
ประโยคที่ทำให้ตลอดทั้งถนนเงียบสงัดลงไปในเสี้ยววินาที
เฉินซานชิวมองสบตากับเยี่ยนจั๋ว ต่างก็มองออกถึงแววเวทนาในสายตาของ อีกฝ่าย ดังนั้นคนทั้งสองจึงต้องกลั้นยิ้มกันอย่างยากลำบาก
ไม่เพียงเท่านี้ เซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองยังถึงขั้นขี่กระบี่ตรงมา แม้แต่วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือก็ยังไม่ใช้แล้ว
เพราะเมื่อครู่นี้หนิงเหยาเอ่ยว่า “หากเจ้ากล้าฝ่าทะลุขอบเขตล่วงหน้า ใช้ขอบเขตประตูมังกรออกกระบี่ ข้าก็จะกดเจ้าให้อยู่ขอบเขตชมมหาสมุทร หากเจ้ากล้าฝ่าด่านทะลุขอบเขตอีกครั้ง ใช้โอสถทองออกกระบี่ ข้าก็จะกดเจ้าให้อยู่ขอบเขตประตูมังกร ตอนนี้เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?”