Skip to content

Sword of Coming 605

บทที่ 605 ถามหมัดกับใคร ถามกระบี่จากใคร

อันที่จริงอวี้เจวี้ยนฟูเป็นสตรีใจกว้างตรงไปตรงมา ในเมื่อแพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว นางไม่มีทั้งความดึงดันไม่ยอมแพ้ ยิ่งไม่มีความอาฆาตแค้นใดๆ ลุกขึ้นยืนอย่างผ่าเผย ไม่ลืมเอ่ยลาเฉินผิงอันคำหนึ่ง แล้วก็จากไป

ตอนนี้เรื่องที่อวี้เจวี้ยนฟูคิดก็คือการถามหมัดครั้งที่สามที่เฉินผิงอันปฏิเสธ อย่างละมุนละม่อมไปแล้ว

หมัดข้าสู้คนอื่นไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็มีแต่ต้องเพิ่มพูนปณิธานหมัด ออกหมัดให้เร็วกว่าเดิมเท่านั้น!

นางไม่เชื่อคำพูดของเฉาสือที่บอกว่าหากแพ้ให้เฉินผิงอันครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะไล่ตามได้ทันหรอกนะ

เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลาอีกฝ่าย ไม่ได้เอ่ยคำใด

เรือยันต์จอดลงบนหัวกำแพง คนทั้งสี่พลิ้วกายลงบนพื้น

ผู้ฝึกกระบี่หลายคนต่างแยกย้ายกันไป บ้างก็เรียกหาสหายให้กลับไปพร้อมกัน บ้างก็เอ่ยลาบอกกล่าวกัน ช่วงเวลานั้นกลางอากาศสูงทางทิศเหนือของหัวกำแพงจึงมีแสงกระบี่หลายเส้นตัดสลับ แต่คนที่สบถด่าเสียงดังขรมก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรต่อให้เรื่องครึกครื้นนี้จะสนุกแค่ไหน ทว่ากระเป๋าเงินฟีบแบน ก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ซื้อเหล้าต้องติดเงินไว้ก่อน แค่คิดก็กลุ้มแล้ว

เฉินผิงอันสวมรองเท้า ลูบชายแขนเสื้อให้เรียบ ทาบมือโค้งคารวะอาจารย์จ้ง เป็นอันดับแรก จ้งชิวกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเรียกด้วยความเคารพว่าเจ้าขุนเขา

ก่อนจะออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว จ้งชิวได้ลาออกจากตำแหน่งราชครูกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ตอนนี้ยังได้มาเยือนกำแพงเมือง ปราณกระบี่ที่อยู่ในอีกใต้หล้าหนึ่ง จ้งชิวคิดว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างแท้จริง ดูสักครั้ง จะลองขัดเกลาปณิธานหมัดในสถานที่ที่มีปราณกระบี่มากที่สุดในโลก อย่างตั้งใจ ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งอาจจะยังมีโอกาสได้กลับมาพบเจอกับ อวี๋เจินอี้อีกครั้ง ถึงเวลานั้นตนไม่ใช่ราชครูแล้ว อวี๋เจินอี้ก็น่าจะเป็นคนในกลุ่ม เทพเซียนที่บรรลุมรรคาแล้ว เหตุผลของทั้งสองฝ่ายย่อมเข้ากันไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นจ้งชิวก็จะใช้สองหมัดถามวิชาเซียน

เฉินผิงอันมองสบตากับเฉาฉิงหล่างอยู่ก่อนแล้ว เฉาฉิงหล่างรับรู้อยู่ในใจจึงไม่ รีบร้อนคารวะทักทายอาจารย์ของตน เพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์จ้งเงียบๆ

และเวลานี้เฉินผิงอันก็ยิ้มมองเผยเฉียน ถามว่า “ตลอดทางมานี้ได้พบเห็นอะไรมามากไหม? ได้ถ่วงเวลาการทัศนศึกษาของอาจารย์จ้งหรือไม่?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ดั่งไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง ท่าทางยุ่งอยู่ไม่น้อย

ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะตัวสูงขึ้นอีกแล้ว ร้ายกาจอะไรอย่างนี้ วันนี้สูงแล้ว พรุ่งนี้ก็จะสูงอีก วันหน้าจะไม่สูงกว่าภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นเลยหรือ จะสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ด้วยหรือไม่นะ?

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง

เผยเฉียนพลันร้องอั๊ยหยาหนึ่งที ไหล่พลันสะบัดไปเล็กน้อยราวกับว่าเกือบจะสะดุดล้ม นางขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ท่านว่าแปลกหรือไม่ ไม่รู้ว่าทำไม ขาของข้าบางครั้งก็ยืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจารย์พ่อวางใจเถอะ ก็แค่อยู่ดีๆ เซไปบ้างเท่านั้น ไม่ได้ถ่วงรั้งการฝึกวิชาหมัดของข้ากับ

พ่อครัวเฒ่า ส่วนเรื่องการคัดตัวอักษรก็ยิ่งไม่เป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรส่วนที่บาดเจ็บก็คือขานี่นะ”

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ยกมือป้องปาก แอบกระซิบว่า “อาจารย์พ่อ หน่วนซู่กับหมี่ลี่บอกว่าข้ามักจะเดินละเมอเป็นประจำ ไม่แน่ว่าวันใดอาจพาตัวเองเดินไป ชนนั่นชนนี่ อย่างเช่นว่าขาโต๊ะเอย ราวรั้วเอย อะไรพวกนี้น่ะ”

เฉินผิงอันทำท่ากระจ่างแจ้งโดยพลัน “แบบนี้เองหรือ”

เผยเฉียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เป็นเหตุผลที่รัดกุมจริงๆ เสียด้วย คราวนี้ทุกเรื่องล้วนราบรื่นแล้ว!

จากนั้นร่างของเผยเฉียนก็พลันแข็งทื่อ หันหน้ากลับไปช้าๆ

ฉีจิ่งหลงพาลูกศิษย์เดินช้าๆ มาทางนี้ ป๋ายโส่วหน้าตามู่ทู่ ตัวขาดทุนผู้นี้ไยบอกว่าจะมาก็มาถึงเลยล่ะ ทุกวันนี้เขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องขอพรให้ พระโพธิสัตว์สำแดงอิทธิฤทธิ์ ขอให้ขุนนางสวรรค์ประทานพร แล้วยังพร่ำพูดถึง ชื่อของเซียนกระบี่ทั้งหลายให้พวกเขาช่วยมอบโชควาสนาแก่ตนสักนิด ทว่า กลับไม่ได้ผลเลยสักอย่าง

เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าจะประลองบู๊กันเมื่อไหร่? เลือกวันฤกษ์ดีไม่สู้เลือกวันฤกษ์สะดวก วันนี้เลยเป็นไง?”

ดวงตาเผยเฉียนเปิดประกายจ้า ป๋ายโส่วรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ คนทั้งสองสบตากัน จิตสื่อถึงกันได้อย่างเฉียบไว ป๋ายโส่วกระแอมหนึ่งที แล้วพูดขึ้นมาก่อนว่า “ประลองบู๊อะไรกัน แค่ประลองบุ๋นก็พอแล้ว!”

เผยเฉียนเอ่ยคล้อยตามว่า “นั่นสิ ป๋ายโส่วคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์หลิว คือคนในกลุ่มผู้ฝึกตนบนภูเขา ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของ อาจารย์พ่อ คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว

ข้ากับป๋ายโส่วต่อสู้กันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่วันเวลาที่ข้าเริ่มเรียนวิชาหมัดก็ยังสั้นนัก วิชาหมัดไม่ยอดเยี่ยมมากพอ ตอนนี้มีแต่ต้อง เป็นฝ่ายถูกพ่อครัวเฒ่าป้อนหมัด ไม่กล้าถามหมัดกับคนอื่นหรอก หากจะให้ประลองบู๊จริงๆ วันหน้ารอให้ข้าฝึกวชากระบี่มารคลั่งนั่นสำเร็จก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”

ป๋ายโส่วร้อนใจขึ้นมาครามครัน “เจ้าฝึกวิชากระบี่นั่นสำเร็จก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ คือมือกระบี่อยู่ดีนี่นา ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เสียหน่อย เรียกต่างกันคำเดียวก็ต่างราว ฟ้ากับเหว ตีกันไปก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ”

เผยเฉียนเองก็ร้อนใจขึ้นมาเหมือนกัน หมายความว่าไง ดูแคลนวิชากระบี่ของข้า? นี่ก็เท่ากับว่าดูแคลนข้าเผยเฉียน ดูแคลนข้าก็เท่ากับว่าดูแคลนอาจารย์พ่อของข้า?! อาจารย์พ่อของข้าเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงคนนั้นที่ให้เจ้าป๋ายโส่วยืมความกล้าอย่างนั้นหรือ?! เผยเฉียนโมโหอย่างหนัก ใช้ไม้เท้าเดินป่ากระแทกพื้นอย่างแรง “ป๋ายโส่ว พวกเราประลองบู๊กันวันนี้แหละ! ตอนนี้ ที่นี่เลย!”

เฉินผิงอันงอสองนิ้วเขกลงบนท้ายทอยของเผยเฉียน “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกหมัดไม่หยุด คือให้ข้าในวันนี้ถามหมัดข้าในวันพรุ่งนี้ ห้ามทำอะไรโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง หากเหตุผลนี้ใหญ่เกินไป ไม่เข้าใจก็จำไว้ก่อน วันหน้าค่อยๆ คิดไป”

เผยเฉียนหันหน้ามาพูดอย่างน้อยใจ “แต่ป๋ายโส่วดูแคลนมือกระบี่ อาจารย์พ่อเดินทางท่องอยู่ในยุทธภพมาเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ล้วนเรียกแทนตัวเองว่ามือกระบี่ ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด ป๋ายโส่วดูแคลนข้าก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย แต่เขาใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่ของตัวเองมาดูแคลนอาจารย์พ่อที่เป็นมือกระบี่ ข้าไม่ยอมหรอกนะ”

ตอนนี้ป๋ายโส่วรู้สึกเพียงว่าสมองตนเลอะเลือนยิ่งกว่าอวี้เจวี้ยนฟูที่ถูกต่อย จนหัวแตกยับเสียอีก นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักครั้ง

ปณิธานหมัดทั้งร่างของเผยเฉียนไหลทะลักอย่างพลุ่งพล่าน ราวกับลำธาร สายเล็กนับร้อยนับพันเส้นที่เดิมทีสงบนิ่งราบเรียบได้มารวมตัวกันแล้วกลายมาเป็นน้ำตกสายหนึ่งที่สายน้ำพุ่งทะยานลงสู่เบื้องล่าง

การป้อนหมัดของผู้อาวุโสชุยบนเรือนไม้ไผ่ในอดีต บางครั้งก็จะเอ่ยสัจธรรมของหมัดให้ฟังสองสามประโยค หนึ่งในนั้นก็คือประโยคว่า ‘น้ำตกอยู่ครึ่งท้องฟ้า บินทะยานดิ่งลงสู่โลกมนุษย์’ เปรียบเปรยว่าปณิธานหมัดมารวมตัวกัน ภาพบรรยากาศแห่งผู้ฝึกยุทธบังเกิดขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน และยังมีประโยคที่ว่า ‘หนึ่งมังกรสี่กรงเล็บยกสี่ขุนเขา ยืดเอวแบกภูผาสูงตระหง่านบนแผ่นหลัง’ คือ การอธิบายว่ารากฐานของปณิธานหมัดกระบวนท่าไอน้ำเหนือบึงใหญ่นั้นมาจากที่ว่า มังกรเฒ่าโปรยพิรุณในสมัยโบราณ ฝนรสหวานจะพร่างพรมลงมาจากฟ้า แต่ข้า กลับจะให้น้ำในสี่สมุทรห้าทะเลสาบย้อนกลับไปยังก้อนเมฆ ออกห่างจากโลกมนุษย์

เฉินผิงอันเอ่ย “หืม?”

ปณิธานหมัดทั่วร่างของเผยเฉียนพลันสลายหายไป ร้องอ้อรับอย่างว่าง่าย ไหล่ลู่คอตก ยังจะทำอย่างไรได้อีก อาจารย์พ่อโกรธแล้ว ศิษย์ก็ได้แต่ยอมรับผิด นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว

ในบรรดาคนที่ผู้อาวุโสชุยสอนหมัดให้ ผู้ที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ไม่ใช่เฉินผิงอัน แต่เป็นเผยเฉียน

อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็รู้สึกเช่นนี้ เผยเฉียนเรียนรู้วิชาหมัดได้เร็วเกินไป ความหมายจากวิชาหมัดที่นางได้รับมามากเกินไปและหนักอึ้งเกินไป เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์จึงทั้งปลาบปลื้ม และทั้งกังวลใจ

ลูกตาของป๋ายโส่วแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

หากเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วอย่างข้าก็ลำเอียงเข้าข้างคนแซ่หลิว และให้ ความเคารพอาจารย์เฉกเช่นเผยเฉียน คาดว่าคนแซ่หลิวคงจะไปจุดธูปกราบไหว้ ศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย จากนั้นก็คงจะแอบหลั่งน้ำตาให้กับภาพเหมือนของพวกบรรพจารย์ทั้งหลาย ริมฝีปากสั่นระริก ซาบซึ้งใจสุดขีด เอ่ยว่าในที่สุดตนก็รับลูกศิษย์ที่ร้อยปีมิอาจพานพบ พันปียากจะพบเจอมาให้เหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายได้แล้วกระมัง? แต่เฉินผิงอันนี่เป็นอะไร ดื่มเหล้าจากที่ร้านมามากเกินไป สมองก็เลยเลอะเลือนอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเพราะก่อนหน้านี้ประมือกับอวี้เจวี้ยนฟู หน้าผาก รับหมัดของอีกฝ่ายไปอย่างจัง หัวก็เลยถูกทุบจนใช้งานไม่ได้ไปแล้ว?

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ป๋ายโส่วถือเป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว เวลาปกติหากเจ้าเล่นสนุกกับเขาก็ไม่เป็นไร แต่หากแค่เพราะเขาเอ่ยไม่กี่คำ เจ้าก็จะถามหมัดอย่างจริงจัง จะประลองบู๊อย่างเป็นทางการ? ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อเจ้าต้องออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง เวลาเจอกับพวกคนที่ไม่รู้จัก แล้วบังเอิญได้ยินพวกเขาพูดจาแรงๆ พูดจาไม่น่าฟังเกี่ยวกับอาจารย์และภูเขาลั่วพั่วแค่ไม่กี่คำ เจ้าก็จะใช้หมัดที่เร็วยิ่งกว่าและหนักยิ่งกว่าพูดคุยกับพวกเขาแทนเหตุผลใช่หรือไม่? แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายืนยัน อาจารย์เองก็ไม่กล้า แต่ตัวเจ้าลองบอกมาสิว่าจะมีโอกาสที่เรื่องแย่ที่สุดแบบนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่? เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมื่นหนึ่ง หมื่นหนึ่ง ขอแค่มีหนึ่งนั้นจริงๆ นั่นก็คือหนึ่งหมื่นแล้ว!” (หนึ่งหมื่นเปรียบเปรยถึงเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ ดังนั้นหมื่นหนึ่งจึงหมายถึง เรื่องไม่คาดฝัน)

“หากเป็นเช่นนี้ ใต้หล้ามีผู้ฝึกตนที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์มากมายขนาดนี้ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ น้ำในยุทธภพลึกล้ำ ทุกหนทุกแห่งมองดูเหมือนเป็นแค่บ่อน้ำ แต่แท้จริงกลับเป็นบ่อลึก เจ้าอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว ต้องเสียเปรียบคนอื่นก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเจอกับความลำบากใหญ่หลวงหรือ ความผิดเล็กๆ ของคนอื่น แต่เจ้ากลับอาศัยว่าตัวเองมีปณิธานหมัดปล่อยหมัดที่เป็นความผิดใหญ่ออกไป จากนั้นญาติมิตร ผู้อาวุโสของเขาก็ลงมือกับเจ้า หลังจบเรื่อง ต่อให้อาจารย์ยินดีจะทวงความเป็นธรรมให้เจ้า

แต่อาจารย์จะยังออกหมัดอย่างเต็มแรงโดยที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายได้ อีกหรือ? พอพบเจอกับคนผู้นั้น อาจารย์จะยังออกหมัดเต็มที่โดยไม่ต้องพูดพร่ำ ทำเพลงได้อีกหรือ? หลังจากที่อาจารย์ต่อยให้เขาล้มคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวแล้ว จะยังเอ่ยประโยคที่ว่า ‘ลูกศิษย์ของข้าแค่หมัดเล็กเหตุผลใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะอาจารย์จึงใช้หมัดใหม่มาพูดเหตุผลเก่ากับเจ้า’ กับเขาได้อย่างไร?”

เผยเฉียนก้มหน้าลง ไม่เอ่ยคำใด

หัวสมองของป๋ายโส่วว่างเปล่า เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดหนีไม่พ้นการมีความคิดโง่เขลา ไร้คุณธรรมแล้งน้ำใจ เด็กหนุ่มรู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ของตนจบสิ้นแล้ว

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์หลิว อาจารย์จ้ง พวกเราไปเดินเล่นกันดีไหม?”

คนทั้งกลุ่มพากันเดินจากไปอย่างใจตรงกัน ทิ้งไว้เพียงแค่คู่อาจารย์และศิษย์ ที่ไม่ถือว่ากลับมาพบกันใหม่หลังจากจากกันไปนาน แต่กลับอยู่ห่างไกลกันโดยมี พันภูเขาหมื่นสายน้ำสองใต้หล้ากั้นขวาง

เฉินผิงอันเอ่ย “อาจารย์พูดเหตุผลของตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ถึงคราวเจ้าพูดบ้างแล้ว อาจารย์จะรับฟังความในใจของเจ้า ขอแค่เป็นความในใจ ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูก อาจารย์ก็ไม่มีทางโกรธ”

เผยเฉียนยังคงไม่เอ่ยอะไร

นางกำไม้เท้าเดินป่าเอาไว้แน่น

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย จึงได้แต่เอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หากเป็นเมื่อก่อน อาจารย์ไม่มีทางตำหนิเจ้าต่อหน้าพวกชุยตงซาน มีแต่จะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้เจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วแล้ว อีกทั้งช่วงเวลาที่อาจารย์ได้อยู่กับเจ้าน้อยยังมีน้อย

และตอนนี้เจ้าเองก็เติบใหญ่ขึ้นไม่น้อย ยังได้เรียนวิชาหมัด แทนที่จะพูดคุยกับเจ้าดีๆ เป็นการส่วนตัวเพราะเห็นแก่ความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าอาจไม่เก็บไปใส่ใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ให้อาจารย์ตำหนิเจ้าต่อหน้าคนมากมาย ให้เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ทำให้เจ้าเสียหน้า ตำหนิอาจารย์ในใจว่าไม่รู้จักเห็นแก่ความรู้สึกคนอื่น แต่ก็ต้องทำให้เจ้าจดจำหลักการเหตุผลเหล่านี้ให้แม่นยำให้จงได้ หมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ สิ่งอื่นๆ ที่เหลือไว้ถือเป็นความโชคดี มีเพียงเรื่องหลักการเหตุผลเท่านั้นที่จะเหลือค้างเอาไว้ไม่ได้ วันนี้พูดได้ ก็ควรพูดวันนี้ ข้อบกพร่องของเมื่อวานก็ควรชดเชยในวันนี้ เลี้ยงดูไม่ดีเป็นความผิดของบิดามารดา สั่งสอนไม่เข้มงวดเป็นความผิดของอาจารย์ อาจารย์พูดถึงกฎเกณฑ์ที่ชวนให้คนหงุดหงิดใจกับเจ้ามากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ต้องการให้เจ้ารู้สึกเหมือนถูก มัดมือมัดเท้า ไม่เป็นตัวของตัวเองยามที่ออกท่องยุทธภพด้วยตัวเอง แต่เพราะหวังว่าไม่ว่าเจ้าพบเจอเรื่องใดจะคิดให้มาก เมื่อคิดจนเข้าใจแล้วรู้สึกว่าไม่ผิดต่อหลักเหตุผล ก็สามารถออกหมัดได้อย่างไร้ยำเกรง ออกท่องยุทธภพครั้งหนึ่งเป็นเช่นนี้ สิบครั้ง ร้อยครั้งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะได้รับความอยุติธรรมแค่ไหนก็แค่กลับภูเขา ไปหาอาจารย์ อาจารย์ไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ทวงความเป็นธรรมให้อาจารย์ ในเมื่ออาจารย์คืออาจารย์ ตามเหตุตามผลก็ควรจะปกป้องลูกศิษย์ เผยเฉียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในใจอาจารย์มีความปรารถนาใด? นั่นก็คือหวังให้คนที่ข้าเฉินผิงอัน สั่งสอนมา ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ก็ดี นักเรียนก็ช่าง ลงจากภูเขาไปแล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนใดในใต้หล้า วิชาหมัดสู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ความรู้สู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา วิชาคาถาไม่จำเป็นต้องสูงส่ง แต่มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ว่าใครก็ตามในใต้หล้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ล้วนไม่ต้องให้พวกเขามาเป็นคนสอนพวกเจ้าว่าควรวางตัวเช่นไร มีอาจารย์พ่อ มีอาจารย์แค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว”

เผยเฉียนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานแล้ว นางกอดไม้เท้าเดินป่าที่ตัวเองรัก อยู่ร่วมกันมานาน และมักจะพูดความในใจของตัวเองให้มันฟังบ่อยๆ ไว้ในอ้อมอก ยกมือขึ้น ใช้มือซ้ายปาดน้ำ มือขวาเช็ดหน้า เพียงแต่ว่าน้ำตาไม่หยุดไหลสักที นางจึงล้มเลิกความคิด แหงนหน้าขึ้น กลั้นสะอื้นจนใบหน้ายับยู่

“อาจารย์พ่อที่ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปอย่างนั้นเพราะรู้สึกว่าหากจะต้องประลองบู๊กันจริงๆ ขอแค่ป๋ายโส่วตั้งใจรับมือ ข้าต้องเอาชนะเขาไม่ได้แน่นอน แต่ศิษย์โกรธเขามากจริงๆ ต่อให้จะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องออกหมัด ศิษย์คือ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อ จะไม่ยอมให้เขาดูถูกอาจารย์พ่อและมือกระบี่เด็ดขาด ต่อให้สู้ไม่ได้ก็จะสู้!”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เฉินผิงอันเกาหัว “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ผิดไปแล้ว อาจารย์ต้องขอโทษเจ้าด้วย”

เฉินผิงอันค้อมตัว ยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง

เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใบหน้าตนเปื้อนไปทั้งน้ำมูกน้ำตามอมแมมเกินไป จึงรีบหันหน้าไปด้านหลัง พอหันกลับมาอีกครั้งก็คลี่ยิ้มกว้าง “อาจารย์พ่อจะผิด ได้อย่างไร อาจารย์พ่อเอาคำว่าขอโทษกลับคืนไปเถอะ”

เฉินผิงอันบีบแก้มนาง “เจ้านี่ดื้อจริงๆ”

เมื่อครู่เขาเกือบอดไม่ไหวเรียกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า แต่เวลานี้ไม่มีความคิดอยากดื่มแล้ว เอ่ยว่า “รู้หนักเบาของหมัดที่ตัวเองปล่อยออกไป หรือควรจะพูดว่าก่อนจะออกหมัด เจ้าสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้ นี่ก็หมายความว่าการออกหมัด ของเจ้ายังคงเป็นคนที่ออกหมัด หาใช่คนเดินตามหมัด ดีมาก ดังนั้นอาจารย์ผิด ก็คือผิด อาจารย์เต็มใจพูดขอโทษเจ้า ส่วนคำพูดที่อาจารย์บอกไป เจ้าก็ตั้งใจหน่อย จำได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ รู้สึกว่ายังไม่ถูกก็พูดกับอาจารย์ตามตรง ถามอาจารย์ตามตรง อาจารย์ไม่เหมือนคนบางคน ไม่มีทางรู้สึกขายหน้าแน่นอน”

เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “‘คนบางคน’ ใช้ไม่ได้ ไม่เหมือนอาจารย์พ่อกับข้าหรอก”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่หนึ่งที

เผยเฉียนทำตาเหลือก มือข้างหนึ่งถือไม้เท้า มืออีกข้างยื่นไปข้างหน้าปัดป่ายสะเปะสะปะอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไม่รู้ว่าแสร้งทำเป็นละเมอหรือเมาเหล้า จงใจพูดพึมพำว่า “อาจารย์พ่อของใครกันน่ะถึงมีวิชาคาถาร้ายกาจได้ขนาดนี้ เขกมะเหงก ทีหนึ่งก็ทำให้คนหลงทิศหาทางไม่เจอ ที่นี่คือที่ไหนกัน ใช่ภูเขาลั่วพั่วไหม…อิจฉาคนที่มีอาจารย์พ่อแบบนี้จริงๆ อิจฉาจนทำให้คนน้ำลายไหล หากได้เป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาก็ไม่ใช่ว่าขนาดตอนหลับฝันก็ยังยิ้มกว้างได้หรอกหรือ…”

เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก แต่กลับไม่ได้ประทานมะเหงกเป็นรางวัลอีกครั้ง

บางทีผ่านไปอีกไม่กี่ปี เผยเฉียนตัวสูงขึ้นอีกหน่อย ไม่เหมือนแม่นางน้อยอีกต่อไป ต่อให้จะเป็นอาจารย์ก็คงเขกหัวนางตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วกระมัง พอคิดถึงเรื่องนี้ ก็ให้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเขกมะเหงกลงไปอีกที ทำเอาเผยเฉียนไม่กล้าหมุนตัวส่งเดชอีก นางยื่นมือมาลูบหัวตัวเอง เดินไปข้างกายอาจารย์พ่อพลางยิ้มตาหยีถามว่า “อาจารย์พ่อ ในตำราบอกว่าเทพเซียนลูบหัวข้า ผูกผมเป็นอมตะ อาจารย์พ่อว่า วันใดวันหนึ่งข้าจะถูกท่านตีจนสติปัญญาเปิดโล่งหรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าก็จะทั้งเรียนวิชาหมัด ทั้งฝึกวิชากระบี่ แล้วก็ยังเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานลมขี่เมฆ จากนั้น ก็ต้องคัดตัวอักษร แล้วยังต้องคอยไปดูแลกิจการในตรอกฉีหลงอีก ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตน มองดูคล้ายว่าต้องดูแค่คุณสมบัติ ส่วนใหญ่อาศัยข้าวที่สวรรค์และบรรพบุรุษประทานมาให้ แต่แท้จริงแล้วพิถีพิถันในเรื่องการถามใจมากที่สุด จิตไม่นิ่งไม่มีสมาธิก็ไม่อาจแสวงหาความจริง ต่อให้เจ้าเรียนวิชาคาถา นับพันนับหมื่นก็ยังเป็นดั่งจอกแหนไร้รากที่ล่องลอยไปเรื่อยอยู่ดี”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “แม้ว่าทุกวันนี้ขอบเขตผู้ฝึกตนของอาจารย์พ่อจะยังไม่ถือว่าสูงที่สุด แต่ก็แค่ชั่วคราวนะ แค่ชั่วคราวเท่านั้น ทว่าประโยคนี้หากไม่ได้เดินอยู่บนพื้นฐานของขอบเขตบินทะยานก็คงพูดออกมาไม่ได้จริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ? เจ้าคือขอบเขตบินทะยานหรือ?”

เผยเฉียนกล่าว “หลักการเหตุผลไม่ได้อยู่ที่ความสูงสักหน่อย อีกอย่างตอนนี้ ข้าก็ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่สูงที่สุดในใต้หล้าแล้ว ดังนั้นคำพูดที่ข้าพูดออกมาตอนนี้จึงสูงกว่าปกติ”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “นี่มันอะไรกับอะไรกัน”

เฉินผิงอันพลันหัวเราะ “หากนับกันตั้งแต่พื้นดินที่หยั่งรากลงไป ที่นี่อาจเป็น หัวกำแพงเมืองที่สูงที่สุดของสี่ใต้หล้าก็จริง แต่หากไม่พูดถึงการเชื่อมติดกับพื้นดิน ถ้าอย่างนั้นนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางในใต้หล้าไพศาล ก็อาจจะสูงยิ่งกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นสูงเท่าไรกันแน่ กลับไม่มีบันทึกไว้ในตำรา อาจารย์เองก็ไม่เคยถามคนอื่น ดังนั้นมันกับหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครกันแน่ที่สูงกว่ากัน ก็บอกได้ยากแล้ว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะลองไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง”

เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “คือบรรพบุรุษของป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงต้าหลี น่ะหรือ? อาจารย์จะไปทำอะไรที่นั่น? ไกลจะตายไป ฟังห่านขาวใหญ่เล่าว่า มันไม่เหมือนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ที่แค่โดยสารเรือข้ามฟาก ขึ้นมาบนภูเขาห้อยหัว เดินผ่านประตูใหญ่ก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้วพวกเราก็สามารถ เดินเที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ ห่านขาวใหญ่บอกว่าเขาเคยมีโอกาสอาศัยความสามารถของตัวเองไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว แต่ข้าไม่เชื่อเขา มีเหตุผลที่อาจารย์ตัวเองยัง ไม่เคยไป แต่นักเรียนกลับไปมาก่อนเสียที่ไหน อาจารย์พ่อ ข้าเกลี้ยกล่อม ห่านขาวใหญ่แล้วไม่ได้ผล วันหน้าอาจารย์พ่อก็บอกเขาหน่อยเถอะ

วันหน้าต้องเปลี่ยนนิสัยชอบขี้โม้นี้เสียที อาจารย์พ่อ ข้ารู้ได้ไหมว่าทำไมท่าน ต้องไปเยือนสถานที่ที่ห่างไกลขนาดนั้น? ว่ากันว่าด้านในป๋ายอวี้จิงล้วนมีแต่ นักพรตชายหญิงอยู่เต็มไปหมด หากอาจารย์พ่อจะไปที่นั่นคนเดียว อีกทั้งยังไม่มีข้าอยู่ข้างกาย จะต้องน่าเบื่อมากแน่ๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้จะไปเที่ยวเสียหน่อย”

เผยเฉียนยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่ “ไปหาใครหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็น่าจะใช่กระมัง”

เผยเฉียนขมวดคิ้ว “ใครกัน ไยมีมาดใหญ่โตขนาดนี้ ไม่รู้จักเป็นฝ่ายมาหาอาจารย์พ่อด้วยตัวเองที่ภูเขาลั่วพั่วเสียบ้าง”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะทันใด

คนเขามีคุณสมบัติจะวางมาดใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ นั่นแหละ

คนหนึ่งในนั้นเคยป่าวประกาศว่า ‘ต้องถามว่าหมัดของข้าตอบตกลงหรือไม่’

แล้วปล่อยหนึ่งหมัดใส่ใต้ผืนฟ้า แยกทะเลเมฆออกจากกัน

อีกคนยิ้มกล่าวว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้า’

กระบี่บินสิบสองเล่มร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์

เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย นึกถึงตอนเป็นเด็กหนุ่มช่วงที่เพิ่งจะได้รู้เรื่องวงในมากมายหลังจากที่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนั้น เพียงแต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน จึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ตอนนี้อาจารย์มีความปรารถนาอยู่สองอย่างที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ความปรารถนาสองอย่างนี้ บางทีอาจทำไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ก็จะคิดถึงอยู่ตลอดเวลา”

เผยเฉียนยื่นมือมาขยี้หูตัวเองอย่างแรง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ ข้ากำลังเงี่ยหูรอฟังนะ!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากมีวันนั้นจริงๆ ตอนที่อาจารย์จะออกเดินทางไกล ค่อยบอกเจ้าอีกครั้ง คำพูดนั้นใหญ่เกินไป หากพูดเร็วเกินก็ไม่เหมาะนัก”

เผยเฉียนทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่รอไปอีกสองสามร้อยปีแล้วล่ะ!”

เฉินผิงอันพึมพำ “สองสามร้อยปีก็อาจจะยังทำไม่ได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปสองสามพันปี หากมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นจริง ความหวังนั้นก็ยังเลือนรางอยู่ดี”

โชคดีที่ต่อให้ความหวังจะเลือนราง

แต่กระนั้นก็ยังมีความหวัง

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ชะลอฝีเท้าเนิบช้าสุดท้ายจึงหยุดยืนนิ่ง ยิ้มตาหยีแหงนหน้ามองท้องฟ้า

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ห่างออกไปไกลเบื้องหน้า พวกชุยตงซานกำลังมองดูขุนเขาสายน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลทางทิศใต้อยู่บนหัวกำแพงเมือง

ป๋ายโส่วยืนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง หันมาขยิบตาให้เฉินผิงอัน พี่น้องคนดี ต้องพึ่งเจ้าแล้ว ขอแค่เจ้าจัดการกับเผยเฉียนได้ วันหน้าจะให้ข้าเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วเรียกเจ้าว่านายท่านใหญ่เฉินก็ยังได้!

เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “มือกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ หากอิงตามขนบธรรมเนียมของใต้หล้าก็มีความต่างราวฟ้ากับเหวจริง แต่เจ้าอย่าได้ถือสา คำพูดคำจาของป๋ายโส่วมากนักเลย”

เวลานี้เผยเฉียนอารมณ์ดีนักล่ะ ไม่สนใจแล้วว่าป๋ายโส่วผู้นั้นเอ่ยอะไร นางเผยเฉียนเป็นคนใจคอคับแคบแบบนั้นหรือ? สมุดบัญชีเล่มเล็กที่นางแอบเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีเล่มหนานักหรือไง? บางจะตายไป! เวลานี้นางอยู่ข้างกายอาจารย์จึงเปลี่ยนจากท่าทางระมัดระวังตอนอยู่บนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้ เวลาเดินจึงเดินอาดๆ นี่เรียกว่า ‘เดินอย่างองอาจโอหัง ภูตผีปีศาจหวั่นกลัว’ ยังจะต้องใช้ยันต์กระดาษเหลืองแปะหน้าผากไปอีกทำไม นางเงยหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์พ่อ เรื่องอย่างการเรียนวิชาหมัด การคัดตัวอักษรพวกนี้ ข้าไม่กล้าพูดว่าตัวเองได้ความสักเท่าไรหรอก แต่ความ กว้างใหญ่ของท้อง (เปรียบเปรยถึงความใจกว้าง/จิตใจที่เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่) อาจารย์พ่อนั้น ข้าฝึกปรือจนอย่างน้อยที่สุดก็ได้ทักษะจากอาจารย์พ่อมาหนึ่งส่วน ทักษะหนึ่งส่วนเชียวนะ! นี่ต้องเป็นท้องที่กว้างใหญ่แค่ไหนกัน? ขนาดบรรจุกับข้าวสองจาน ข้าวใหญ่ๆ อีกสามถ้วยก็ยังไม่มีปัญหา! จะรับประโยคเบาๆ ไม่กี่ประโยคของเจ้า ป๋ายโส่วคนเดียวไม่ได้งั้นหรือ? อาจารย์พ่อท่านดูแคลนข้าเสียแล้ว!”

มีเพียงชุยตงซานคนเดียวที่นั่งอยู่บนหัวกำแพง เวลานี้กำลังหัวเราะชอบใจ

สามารถทำให้เผยเฉียนร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และหัวเราะอย่างร่าเริงเบิกบานได้ขนาดนั้น ก็มีแค่อาจารย์ของตนแล้ว

ประเด็นสำคัญคือหลังจากที่เผยเฉียนทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปแล้ว นางก็จะยังตั้งใจจดจำเรื่องพวกนี้ และคิดตามหลักการเหตุผลที่ถูกสอนมาจริงๆ จดจำทั้งสิ่งที่เข้าใจและสิ่งที่ไม่เข้าใจทั้งหมด หาใช่เลือกแค่เฉพาะบางอย่างแล้วเหลือทิ้งไว้เกินครึ่งไม่

เฉาฉิงหล่างเห็นว่าเผยเฉียนกลับมาเป็นปกติแล้วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้

อาจารย์ตอนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือถ้อยคำ ก็สมกับเป็นอาจารย์ จริงๆ แล้ว

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือ?”

ป๋ายโส่วถามหยั่งเชิง “หากข้ายอมรับผิด เรื่องนี้จะผ่านไปได้จริงๆ งั้นหรือ?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “บอกได้ยาก”

ป๋ายโส่วจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้

ฉีจิ่งหลงเอ่ยเสียงเบาว่า “อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันถึงความผิดความถูกที่ใหญ่มากนัก เรื่องที่เจ้าต้องยอมรับผิด อันที่จริงไม่ใช่คำพูดเหล่านั้น ตามความเห็นข้า นั่นไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินอะไร แน่นอนว่าเหตุผลเป็นเช่นนี้ แต่ด้านความรู้สึก กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป เพราะถึงอย่างไรการพูดจากับคนอื่นในใต้หล้า ก็หมายความว่าไม่ใช่การพึมพำกับตัวเอง สภาพจิตใจของเจ้าไม่ถูกต้อง ไปเยือน ภูเขาลั่วพั่วมารอบหนึ่งแล้ว แต่กลับไม่ได้ตั้งใจจริงจังที่จะมองให้มากคิดให้มาก ไม่อย่างนั้นเวลาเจ้ากับเผยเฉียนสองฝ่ายเจอกันก็ไม่น่าจะรู้สึกอึดอัดเช่นนี้”

“จะตั้งใจได้อย่างไร? ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว แค่พบหน้ากัน ข้าถูกเผยเฉียนเตะ ทีเดียวก็เป็นลมหมดสติไปแล้ว”

นับว่าหาได้ยากนักที่ป๋ายโส่วจะทำท่าทางเศร้าสร้อยเช่นนี้ต่อหน้าฉีจิ่งหลง เขาชำเลืองตามองถ่านดำน้อยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วก็ได้แต่กดเสียงต่ำพึมพำว่า “พี่น้องเฉินของข้าคนนั้นเป็นคนอย่างไร เจ้าจะไม่รู้หรือ? ต่อให้เจ้าคนแซ่หลิวไม่รู้ ทว่าคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับรู้กันหมดแล้ว หากเผยเฉียนได้รับการสืบทอดจากเฉินผิงอันสักเจ็ดแปดส่วนจริงๆ จะทำอย่างไร? อีกอย่างเจ้ากับเฉินผิงอันยังสนิทกันขนาดนั้น วันหน้าจะต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แน่นอน เจ้าไปภูเขาลั่วพั่ว เขามาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย เทียวไปเทียวมากันอยู่อย่างนี้ แล้วข้าจะหลบเลี่ยง เผยเฉียนได้ทุกครั้งเลยหรือ? ประเด็นสำคัญคือมิตรภาพระหว่างข้ากับเฉินผิงอัน ไม่อาจเอามาใช้กับเผยเฉียนได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังจะมีปัญหามากกว่าเดิมด้วย จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษเฉินผิงอันนั่นแหละที่ปากอีกานัก ดันพูดว่าปากอย่างข้าง่ายที่จะเรียกหากระบี่บินจากเซียนกระบี่ได้ง่ายอะไรนั่น ตอนนี้ดีแล้ว กระบี่บินของ เซียนกระบี่ยังไม่ทันมาถึง เผยเฉียนก็หมายหัวข้าก่อนแล้ว เห็นไหม เจ้าเห็นไหม เผยเฉียนกำลังถลึงตาใส่ข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเหมือนกับของพี่น้องเฉินของข้าไม่มีผิดเพี้ยนเลยใช่ไหมล่ะ?!

คนแซ่หลิว ในที่สุดข้าก็มองออกแล้ว อย่าเห็นว่าเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันอบรมเผยเฉียนด้วยท่าทางเข้มงวดปานนั้น แท้จริงแล้วในใจเขาใส่ใจนางเป็นที่สุดเลยล่ะ ตอนนี้ ข้าเริ่มกลัวแล้วว่าคราวหน้าที่ไปดื่มเหล้าที่ร้าน เฉินผิงอันจะให้คนเทยาถ่ายใส่ลงไป ในเหล้า เหล้าครึ่งกากับยาถ่ายอีกครึ่งกา เรื่องแบบนี้เฉินผิงอันต้องทำได้แน่นอน ทั้งแกล้งข้าได้ แล้วยังประหยัดเงินด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “ดูท่าเจ้าก็คิดเยอะอยู่เหมือนกัน”

ป๋ายโส่วทอดถอนใจอยู่ในใจ มีอาจารย์ที่ดีแต่จะมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นโดยไม่คิดจะช่วยเหลืออย่างเจ้า สรุปแล้วมีประโยชน์อะไรกันแน่

เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นมาถึงด้านหน้ากลุ่มคน แล้วเอ่ยกับป๋ายโส่วว่า “ป๋ายโส่ว วันหน้าพวกเราแค่ประลองบุ๋นกันเถอะ”

หน้าตาศักดิ์ศรีคือสิ่งใด ล้อเล่นหรือไร เอามากินแทนข้าวได้หรือ?

ก่อนที่นางจะได้พบเจออาจารย์พ่อ อายุน้อยๆ ก็ต้องท่องอยู่ในยุทธภพของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมานานหลายปี ตอนนั้นยังไม่ได้เรียนวิชาหมัด ยามอยู่ในยุทธภพ เคยมีหน้าตาศักดิ์ศรีกับผายลมอะไร

พอป๋ายโส่วได้ยินประโยคนี้ก็ซาบซึ้งใจจนเกือบจะร้องไห้โฮเลียนแบบเผยเฉียน

เพียงแต่ว่าเผยเฉียนแอบเบี่ยงตัว หันหลังให้อาจารย์พ่อของนางเล็กน้อย จากนั้นก็เม้มปากยิ้มบางๆ แล้วไม่ขยับอีก

ป๋ายโส่วจึงเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว

เฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวเผยเฉียน เผยเฉียนก็รีบหัวเราะฮ่าๆ ทันใด “ป๋ายโส่ว เจ้าคือคนที่มีปณิธานอยู่ที่การเป็นเซียนกระบี่ใหญ่นะ อาจารย์หลิวรับลูกศิษย์ที่ดีอย่างเจ้ามา สมกับคำว่าอาจารย์เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ลูกศิษย์เป็นเซียนกระบี่เล็กจริงๆ อาจารย์และศิษย์สองคนก็คือสองเซียนกระบี่

คราวหน้าหากข้าเดินทางไปเป็นแขกที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยพวกเจ้าเป็นเพื่อนอาจารย์ ข้าจะหอบเอาประทัดพวงใหญ่หลายๆ พวงไปร่วมฉลองด้วยสักหน่อย”

เฉินผิงอันเอ่ย “พูดดีๆ”

เผยเฉียนจึงกระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ยว่า “ป๋ายโส่ว ก่อนหน้านี้ข้าผิดเอง เจ้าอย่าได้ถือสา ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”

ก่อนหน้านี้คำว่าขอโทษที่อาจารย์พ่อเอ่ยกับตน มีน้ำหนักมากแคไหน? ใต้หล้านี้ไม่มีตาชั่งใดที่สามารถชั่งน้ำหนักนั้นออกมาได้!

แบ่งเสี้ยวหนึ่งออกมาให้ป๋ายโส่วก็เหมือนฝนตกปรอยๆ เท่านั้น

ป๋ายโส่วรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สีหน้าแข็งทื่อ “ไม่ถือหรอก”

ข้าผู้อาวุโสไม่กล้าถือสาเจ้าหรอก

เผยเฉียนยิ้มบางๆ “ข้าเรียนวิชาหมัดสาย แล้วก็เรียนได้ช้าด้วย นี่ก็ต้องรอให้ผ่านไปหลายวันกว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตห้าเล็กๆ ได้ไม่ใช่หรือ? ดังนั้นรอให้ผ่านไป สักหลายๆ ปีก่อนแล้วค่อยขอความรู้จาก…ศิษย์พี่ป๋ายโส่วแล้วกัน”

ป๋ายโส่วแข็งใจถามว่า “ไหนตกลงกันแล้วว่าแค่ประลองบุ๋นอย่างไรล่ะ?”

เผยเฉียนหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของวันหน้าก็ไว้ค่อยว่ากันวันหน้า”

เฉาฉิงหล่างเห็นภาพนี้แล้ว อันที่จริงก็รู้สึกดีใจมาก

ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่ตนที่กลัวเผยเฉียน

เฉินผิงอันใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจถามฉีจิ่งหลง “ป๋ายโส่วระมัดระวังตัวเองยามอยู่กับเผยเฉียนขนาดนี้ ยามฝึกตนจะมีปัญหาหรือไม่?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มตอบ “ถือเสียว่าเป็นการฝึกจิตใจที่ไม่อาจขาดไปได้ก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขาเพียนหราน อันที่จริงป๋ายโส่วไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะฝึกตนมากนัก แม้จะบอกว่าทุกวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่น้อย แล้วก็นึกอยากจะเรียนกระบี่ขึ้นมาจริงๆ เพียงแต่เขาคล้ายจะดื้อดึงไม่ทำตามความตั้งใจเดิม คงเพราะตั้งใจจะเล่นแง่กับข้ากระมัง ตอนนี้มีลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าคอยเป็นผู้ตรวจตรา ข้าว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วได้ยินว่าเผยเฉียนก็จะมา ที่นี่ด้วย หลายวันมานี้เขาก็ตั้งใจฝึกกระบี่มากเป็นพิเศษเลยล่ะ”

เฉินผิงอันเอ่ย “ดูจากแค่เรื่องที่ว่าให้ตายอย่างไรป๋ายโส่วก็ไม่ยอมลงมืออย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องเสียหน้า อัดอั้นตันใจถึงขีดสุด ก็ยังไม่เคยคิดจะเอาวิชาก้นกรุของภูเขา เกอลู่ออกมาใช้ แค่นี้เขาก็ไร้ความผิดแล้ว ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งสองฝ่ายอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็มีเรื่องให้ตีกันได้แล้ว”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ของข้าจะแย่กว่าของเจ้าได้หรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “ก็แย่กว่านิดๆ จริงๆ นั่นแหละ”

ฉีจิ่งหลงถาม “แล้วอาจารย์ล่ะเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ปีนี้ข้าเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? จะให้เปรียบเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุมากเกือบร้อยปีได้อย่างไร หรือจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้เจ้าคือขอบเขตหยกดิบใช่ไหม ตอนนี้ข้าคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า หากคิดคำนวณ ตามอายุของทั้งสองฝ่าย ก็เท่ากับว่าข้าคือผู้ฝึกตนขอบเขตสิบห้า เทียบกับเจ้าที่เป็น ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดในตอนนี้ก็ยังสูงกว่าถึงสี่ระดับไม่ใช่หรือ? ไม่ยอมแพ้ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเรื่องของวันหน้าก็ไว้ค่อยว่ากันวันหน้า รอให้ข้าอายุร้อยปีเมื่อไหร่ ดูสิว่าข้าจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบห้าได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็ถือว่าข้าพูดจาส่งเดชไปเรื่อย ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็เลิกเอาเรื่องขอบเขตมาพูดกับข้าเสียที”

ฉีจิ่งหลงหัวเราะขำ “เถ้าแก่รองไม่ได้มีแค่สุราเท่านั้นที่มาก เหตุผลก็มากเหมือนกันนะนี่”

เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ชมเกินไปแล้วๆ”

เฉินผิงอันไม่พูดเหลวไหลกับฉีจิ่งหลงอีก หากไอ้หมอนี่ตัดสินใจจะยกหลักการเหตุผลมาพูดกับตนจริงๆ เฉินผิงอันก็คงต้องปวดหัวมากแน่ๆ

เฉินผิงอันมองไปทางชุยตงซาน เปิดปากถามว่า “จะไปพบศิษย์พี่ใหญ่ของข้าก่อน หรือว่าจะไปจวนหนิงก่อน?”

ดูเหมือนชุยตงซานจะคิดเรื่องนี้ไว้ก่อนนานแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “พวกอาจารย์ไปที่จวนหนิงก่อนก็ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์ ข้าไปพบเขาคนเดียวก็พอ”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบตกลง

ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอข้ายืมยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งมาเพิ่มความกล้าหน่อยสิ”

อันที่จริงเผยเฉียนในเวลานี้มึนงงสับสนอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์ผู้นี้ มาจากที่ใดกัน?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ทันได้เล่าให้นางฟัง เพราะถึงอย่างไรในจดหมายลับ ก็ไม่สะดวกจะพูดเรื่องนี้ ส่วนชุยตงซานก็คร้านจะพูด ไอ้หมอนั่นแซ่จั่วนามโย่ว หรือแซ่โย่วนามจั่วตนก็จำไม่ได้แล้ว หากไม่เป็นเพราะเมื่อครู่อาจารย์เอ่ยถึง เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นทุกวันนี้กลับมานั่งกินลมดื่มน้ำค้างอยู่บนหัวกำแพงเมือง โอ้อวดปราณกระบี่บนร่างของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เผยเฉียนหยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ ชุยตงซานพลางเอ่ยเตือนว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์พ่อก็ไม่ใช่อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าหรอกหรือ? แต่ข้ายังไม่ได้เตรียมของขวัญให้กับอาจารย์ลุงใหญ่เลยนะ”

ชุยตงซานตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้าของเจ้าคนนั้นเป็นคนดุร้ายนักล่ะ บนหน้าผากสลักตัวอักษรใหญ่ๆ ห้าคำว่า ทุกคนล้วนติดเงินข้า”

เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าคนนั้น หน้าตาเย็นชาจิตใจอบอุ่น คือคนที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าไพศาล วันหน้า เจ้าสามารถร่ายวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นให้อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าดูได้”

เผยเฉียนกล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวา “อาจารย์พ่อท่านลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ ข้าเดินได้ไม่ถนัดนัก ตอนนี้ขาก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว ตอนที่เดินละเมอไม่รู้ว่า ไปชนอะไรเข้า ไม่สามารถร่ายวิชากระบี่ที่มีพลังน้อยนิดไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั่นได้แล้ว อย่าให้อาจารย์ลุงใหญ่เห็นเรื่องตลกเลย ดีไหม”

อยู่ดีๆ ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอีกครั้ง

เดินละเมอไปชนบางอย่างเข้า…

ฉีจิ่งหลงกลั้นยิ้ม แล้วจึงพาป๋ายโส่วไปยังจุดอื่นของหัวกำแพงเมือง ทุกวันนี้ ป๋ายโส่วเองก็ต้องฝึกกระบี่ร่วมกับลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยด้วย

ตอนที่จากมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ป๋ายโส่วรู้สึกว่าที่แท้การฝึกกระบี่ก็ทำให้ คนรู้สึกสบายใจได้ถึงเพียงนี้

เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมา พาพวกเผยเฉียนสามคนออกไปจากหัวกำแพงเมือง มุ่งหน้าไปยังนครทางทิศเหนือด้วยกัน

ในเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ ชุยตงซานก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกริ่งเกรงอีก เขาเดินเป็นแนวขวางเหมือนปูอยู่บนหัวกำแพง สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างกระโดดขึ้นสูงแล้วค่อยพลิ้วกายลงช้าๆ เดินขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ไปหาศิษย์น้องเล็กในอดีต อาจารย์ลุง ในปัจจุบัน พูดคุยเรื่องวันวานกันเสียหน่อย

หึหึ พูดคุยเรื่องวันวานกับมารดาเจ้าน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสไม่สนิทกับเจ้าจั่วโย่วเลยสักนิด ปีนั้นที่เล่าเรียน หากไม่เป็นเพราะในกระเป๋าของตนที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่พอจะมีเงิน อยู่บ้าง กระเป๋าเงินของซิ่วไฉเฒ่าจะไม่ฟีบแบนไปนานหมื่นปี หมื่นๆ ปีเลยหรือ? แล้วเจ้าจั่วโย่วจะยังช่วยซิ่วไฉเฒ่าดูแลเงินกับผายลมอะไรได้อีก

เพียงแต่ว่าปีนั้นซิ่วไฉเฒ่ามีโรงเรียนแท้จริงที่เข้าท่าเข้าที แต่นั่นกลับไม่ใช่ คุณความชอบของเขา เพราะถึงอย่างไรแจกันสมบัติทวีปก็อยู่ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมากเกินไป แรกเริ่มทางตระกูลก็ไม่ได้ส่งเงินมาให้มากนัก สิ่งที่ทำให้ เอวของซิ่วไฉเฒ่าแข็งหยัดได้ตรง ดื่มเหล้าได้อย่างเต็มคราบ วันนี้ซื้อตำราพรุ่งนี้ ซื้อกระดาษพู่กัน วันมะรืนก็รวบรวมสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือและของประดับตกแต่งได้ครบถ้วนสำเร็จอย่างแท้จริง ยังเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่ารับลูกศิษย์คนที่สามมา ไอ้หมอนั่นถึงจะเป็นคนที่มีเงินมากที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แล้วก็เป็นคนที่เคารพนับถืออาจารย์มากที่สุด

‘เสี่ยวฉีอา เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากเรียนหมากล้อมเล่า? นี่เป็นเรื่องดีนะ ไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไป ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขานับว่าพอจะสอนคนอื่นได้ ก็แค่ในโรงเรียนไม่มีกระดานหมากและเม็ดหมากก็เท่านั้น โถเก็บเม็ดหมากของเรือนหลิวหลี กระดานหมากของหอเกือกม้าที่ผลิตจากเจี้ยงโจวที่แม้ว่าจะอยู่ใกล้กับโรงเรียน แต่เจ้าอย่าไปซื้อมาเด็ดขาด แพงเกินไป หากจะซื้อจริงๆ ก็ยอมเดินไกลพันลี้ยังดีกว่าเสียเงินเหรียญหนึ่งไปอย่างเปล่าประโยชน์’

‘ตกลงขอรับ อาจารย์’

‘เสี่ยวฉีอา ช่วงนี้อาจารย์คัดลอกตัวอักษรบนแผ่นศิลาดุจดั่งมีเทพช่วย ทักษะการเขียนตัวอักษรจ้วนซูพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เจ้าอยากเรียนหรือไม่?’

‘ทราบแล้วขอรับอาจารย์ ศิษย์อยากเรียน’

‘เสี่ยวฉีอา เจ้าอ่าน’ รวมเล่มเมี่ยวหัว ‘ฉบับพิมพ์ซ้ำของเอ้อร์โหย่วแล้วกระมัง? กระดาษและรูปเล่มล้วนเป็นเรื่องเล็ก แม้จะแย่ไปหน่อย แต่บัณฑิตอย่างพวกเรา ก็ไม่ได้ยึดติดกับความสวยงามภายนอกเหล่านี้ อย่าไปพูดถึงพวกมันเลย แต่ตำราของอริยะปราชญ์ล้วนมีความรู้ยิ่งใหญ่ มีคำผิด คำตกหล่นหลายจุด แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ต่างกันแค่คำเดียว หลายๆ ครั้งก็ทำให้อยู่ห่างไกลจากจุดประสงค์ของ อริยะปราชญ์ไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ บัณฑิตอย่างพวกเราไม่ตรวจสอบให้ดีไม่ได้นะ’

‘อาจารย์มีเหตุผล ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ’

แน่นอนว่าไอ้หมอนั่นยังชอบฟ้องเป็นที่สุด แถมแต่ละครั้งที่เอาไปฟ้องยังไม่เคยตกหล่นแม้แต่เรื่องเดียว

‘อาจารย์ ศิษย์พี่จั่วโย่วไม่มีเหตุผลอีกแล้ว อาจารย์ท่านช่วยดูหน่อยว่าใครผิดใครถูก…’

‘ว่าไงนะ? เจ้าเด็กบ้านั่นตีเจ้าอีกแล้วหรือ? เสี่ยวฉี เจ้าเช็ดเลือดกำเดาก่อนเถอะ ไม่ต้องรีบร้อนอธิบายเหตุผลกับอาจารย์ ไปๆๆ อาจารย์จะไปคิดบัญชีกับศิษย์พี่รอง ให้เจ้าเอง’

‘อาจารย์ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่จั่ววิเคราะห์ความหมายของตัวอักษรในตำรา เขาเถียงข้าไม่ได้ก็เลย…’

‘ทำไมหัวปูดแบบนี้เล่า?! ก่อกบฏแล้วๆ ! ไป! เสี่ยวฉี เจ้าช่วยถือไม้ปัดขนไก่ไปให้อาจารย์ที เอาไม้บรรทัดไปด้วย! อ้อ ใช่แล้ว เสี่ยวฉีอา ม้านั่งนั่นไม่ต้องเอาไปหรอก หนักเกินไป’

‘อาจารย์…’

‘ไป! ไปหาศิษย์พี่รองของเจ้ากัน!’

‘อาจารย์ คราวนี้เป็นศิษย์พี่ชุย เขาเล่นหมากล้อมแล้วขี้โกง ข้าไม่อยากเรียน วิชาหมากล้อมกับเขาแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนที่เล่นหมากล้อมแล้วล้มกระดานไม่ถือว่า เป็นนักเล่นที่แท้จริง’

‘หา?’

‘อาจารย์ล้มกระดานก็เพื่อสอนเคล็ดลับการเล่นวิชาหมากล้อมมากกว่าเดิมให้ศิษย์ แน่นอนว่าจะเหมารวมไม่ได้’

‘ไป คราวนี้พวกเราเอาม้านั่งไปด้วย! แต่ก็อย่าตีจริงๆ นะ เอาแค่ขู่ให้กลัว แค่ให้ดูน่าเกรงขามก็พอ’

บัณฑิตเรียนหนังสือ คนศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะยิ่งคนที่อายุยืนเพราะฝึกตน

อันที่จริงเรื่องเก่าๆ ในอดีตมีอยู่มากมาย

ชุยตงซานไม่ใช่เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานผู้นั้น

แต่ชุยตงซานก็มักจะถึงเรื่องราวที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรพวกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในอดีตของคนในอดีต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่คนผู้นั้นไปฟ้องอาจารย์ให้เล่นงานศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือไม่ตัวเองก็ถูกอาจารย์แกล้งเสียเอง ศิษย์พี่ใหญ่ในอดีตผู้นั้นมักจะไปนั่งดูเรื่องสนุกอยู่หน้าประตูหรือไม่ก็นอกหน้าต่างอยู่เสมอ

ดังนั้นจึงเห็นมากับตา ได้ยินมากับหูตัวเอ

ชุยตงซานรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดียิ่งกว่าใคร

เรื่องในอดีตทุกเรื่องที่มองดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญ ขอแค่ยังจดจำได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วจริงๆ แต่เป็นเรื่องในวันนี้ เรื่องในอนาคต เพราะมันจะคอยวนเวียนอยู่ในหัวใจไปตลอดชีวิต

โดยไม่ทันรู้ตัว ชุยตงซานก็ขยับเข้ามาใกล้จั่วโย่วแล้ว

จั่วโย่วยังคงหลับตาทำสมาธิ นั่นอยู่บนหัวกำแพง บำรุงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่น

สำหรับการมาถึงของชุยตงซาน อย่าว่าแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่จะเปิดตามองสักครั้งเขาก็ยังไม่ทำ

ชุยตงซานกระโดดลงมาจากหัวกำแพง เดินห่างออกมาจากหัวกำแพงและแผ่นหลังของคนผู้นั้นประมาณยี่สิบก้าว

เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดผลุงขึ้น สองเท้าดีดปัดสะเปะสะปะอย่างว่องไว จากนั้น ก็ร่ายกระบวนท่าหมัดมั่วซั่วใส่แผ่นหลังของจั่วโย่ว จากนั้นก็ขยับเปลี่ยนตำแหน่ง แล้วทำต่อ ล้วนเป็นกระบวนท่าหมัดเท้าอันเผด็จการแห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียง สะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว

บางครั้งตอนที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศยังพยายามงดตัวเหยียดแขนไปแตะหลังเท้าให้ได้ด้วย เพราะคิดว่าท่านี้ต้องสง่างามเลิศล้ำอย่างถึงที่สุด

สุดท้ายจึงยืนด้วยท่าไก่ทองขาเดียวอย่างงดงาม มือสองข้างแบออกทำท่า กดลมปราณสู่จุดตันเถียน พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ สีหน้าก็ปลอดโปร่งสดชื่น

หนึ่งร้อยกระบวนท่าผ่านไป ใช้ตบะของขอบเขตหยกดิบเล็กๆ ก็สามารถต่อสู้ ได้สูสีกับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ นี่ก็ถือว่า เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างหนึ่ง

จั่วโย่วคร้านจะมองเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นด้วยซ้ำ เพียงเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “เจ้าอยากถูกข้าฟันตายด้วยกระบี่เดียว หรืออยากตายเพราะถูกสับหลายๆ ที?”

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ มีคนข่มขู่ข้า น่ากลัวยิ่งนัก”

ชุยตงซานเอายันต์แปะลงไปบนหน้าผากตัวเองเสียงดังเพี๊ยะ จากนั้นก็ร้องอ้อ “ลืมไปว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ด้วย”

จั่วโย่วยื่นมือออกมาคว้าจับ ใช้ปณิธานกระบี่หลอมรวมกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา

เขาถึงขั้นไม่ยินดีจะชักกระบี่ออกจากฝักจริงๆ ด้วยซ้ำ

คนที่อยู่ด้านหลังผู้นี้ไม่คู่ควรกับกระบี่ของเขาแม้แต่น้อย

เจ้าชุยฉานอาจจะไม่ละอายต่อแจกันสมบัติทวีป ไม่ผิดต่อใต้หล้าไพศาล

แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์บอกว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย บอกว่าตัวเองไม่รู้สึกผิด ต่ออาจารย์!

เพราะข้าจั่วโย่วคือลูกศิษย์ของอาจารย์ ในอดีตถึงได้เป็นศิษย์น้องของเจ้าชุยฉาน!

ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สายของเหวินเซิ่ง ข้าจั่วโย่วต่างหากจึงจะเป็น ศิษย์พี่ใหญ่

ชุยตงซานตะเบ็งเสียง “เจ้าหัดเคารพศิษย์หลานของตัวเองบ้างนะ!”

จั่วโย่วถือกระบี่ลุกขึ้นยืน

เมื่อเทียบกับภาพบรรยากาศดั่งขุนเขาตั้งตระหง่านยามที่นักพรตน้อยผู้เฝ้าประตูภูเขาห้อยหัวลุกขึ้นยืนแล้ว การลุกขึ้นของจั่วโย่วกลับผ่อนคลายดั่งเมฆบางสายลมอ่อนเบา

ปราณกระบี่มากเกินไปหนักเกินไป แล้วปณิธานกระบี่จะน้อยได้หรือ ก็แค่ว่าสอดคล้องกับมหามรรคาจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินก็เท่านั้น

ฟ้าดินถูกสกัดกั้น

ชุยตงซานเอียงคอ “เจ้าก็ฆ่าข้าให้ตายไปเลยสิ แล้วข้าก็จะไม่พูดเรื่องเป็นการเป็นงานแล้ว ถึงอย่างไรคนอย่างเจ้าก็ไม่เคยสนใจความเป็นความตายและมหามรรคาของ ศิษย์น้องตัวเองอยู่แล้ว มาๆๆ ฟันมาตรงนี้ แรงๆ หน่อย หากศีรษะนี้ไม่หล่นลงพื้นแล้วกลิ้งไปไกลเจ็ดแปดลี้ ชาติหน้าข้าเกิดใหม่จะใช้แซ่จั่วตามเจ้า”

จั่วโย่วหันหน้ามา “แค่ฟันให้ปางตายก็ยังพูดได้อยู่ดี”

ชุยตงซานเปลี่ยนท่าใหม่ เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าเศร้ารันทด “เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ!”

จั่วโย่วหันกลับมาทั้งตัว

ชุยตงซานรีบพูดทันที “ข้าไม่ใช่เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานเสียหน่อย ข้าคือตงซานนะ”

งันนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ราวกับก้อนเมฆล่องลอยถูกกระบี่ยาวสามฉื่อซึ่งเกิดจากการรวมตัวของปณิธานกระบี่กระแทกให้ร่วงจากหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือ หล่นไปยังพื้นดินที่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้

จั่วโย่วกลับมานั่งขัดสมาธิใหม่อีกครั้ง หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “นี่เพราะข้าเห็นแก่ศิษย์น้องเล็กของข้า”

จั่วโย่วขมวดคิ้ว

เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นมายืนอยู่ข้างกายเขา ยิ้มกล่าวว่า “ภาพเหตุการณ์ประหลาดก่อนหน้านี้ เจ้าก็สัมผัสได้แล้วใช่ไหม?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ

หากไม่เป็นเช่นนี้ ชุยฉาน หรือควรจะพูดว่าชุยตงซานในปัจจุบัน ก็คงไม่กล้ามาพบตนเพียงลำพัง

เฉินชิงตูพูดอย่างสะท้อนใจ “นั่นคือเสียงในใจของศิษย์น้องเล็กของเจ้า วิชากระบี่ของเจ้าไม่สูงพอ จึงไม่ได้ยินก็เท่านั้น”

จั่วโย่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโสพูดเก่งขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวน ผู้อาวุโสพูดมากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?”

เฉินชิงตูส่ายหน้า “ข้าคงไม่พูดแล้วล่ะ หากให้ข้าเป็นคนพูดประโยคนั้น จะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องของสามใต้หล้าแล้ว”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันเดินอยู่บนหัวกำแพงกับลูกศิษย์ มีเสียงในใจที่เขาไม่ได้เปิดปากออกมา เป็นเพียงเสียงที่ดังก้องอยู่ในห้องหัวใจเท่านั้น

ทว่าเพียงแค่เสียงในใจนี้กลับสามารถกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่น่าสนใจบางอย่างได้

เฉินชิงตูจึงได้แต่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นคนหนุ่มนี่ดีจริงๆ”

คนหนุ่มที่ถือว่าอายุไม่น้อยแล้วคนนั้น ก่อนหน้านี้เขาได้พูดกับตัวเองว่า

‘ทุกท่านอย่าได้รีบร้อน’

‘รอให้ข้าเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบก่อน แล้วค่อยช่วงชิงขอบเขตสิบเอ็ด’

‘ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะถามหมัดต่อนอกฟ้า’

‘และเมื่อข้าเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยาน’

‘ข้าก็จะถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิง!’

และเวลานี้คนหนุ่มผู้นั้นก็กำลังยืนสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ตรงประตูใหญ่ของจวนหนิง

มีเรื่องไม่คาดฝันสองอย่าง

อย่างแรกคือหนิงเหยาถึงกับหยุดการปิดด่านกลางคัน ออกจากด่านมาอีกครั้ง มายืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่หน้าประตู

อีกอย่างหนึ่งก็คือ

ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนพอได้พบหนิงเหยา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไปนั่งคุกเข่าโขกศีรษะให้นางดังตึงๆๆ อย่างแรงสามครั้ง

เฉินผิงอันกล่าวอย่างหน่ายใจ “เผยเฉียน เกินไปหน่อยหรือไม่”

เผยเฉียนไม่ได้ลุกขึ้น เพียงแค่เงยหน้าตะโกนว่า “เผยเฉียนคารวะใต้เท้าอาจารย์แม่!”

สีหน้าของเฉินผิงอันขึงเกร็ง ไม่เกินไปๆ มารยาทเหมาะสมกำลังดี

อันที่จริงคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดไม่ใช่เฉินผิงอันก่อนหน้านี้

แต่เป็นเฉาฉิงหล่างต่างหาก

เวลานี้เฉาฉิงหล่างรู้สึกว่าดูเหมือนแค่การประสานมือก้มคารวะจะยังไม่พอ ทว่าคุกเข่าโขกหัวกลับยิ่งดูไม่เข้าท่าเข้าไปใหญ่

หนิงเหยาจับหูของเผยเฉียนดึงตัวนางขึ้นมา เพียงแต่ว่ารอจนเผยเฉียนยืนตัวตรงแล้ว บนใบหน้าของนางกลับประดับรอยยิ้ม ใช้ฝ่ามือเช็ดฝุ่นบนหน้าผากออกให้เผยเฉียน มองแม่นางน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว หนิงเหยาก็ยิ้มเอ่ยว่า “ต่อให้วันหน้า จะไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นแม่นางที่หน้าตาพอดูได้”

น้ำตาเผยเฉียนร่วงเผลาะๆ สูดจมูกดังฟืด พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจยิ่ง “ไยอาจารย์แม่ ถึงได้สายตาดีขนาดนี้นะ ตอนแรกก็เลือกอาจารย์พ่อ ตอนนี้ยังพูดแบบนี้อีก อาจารย์แม่หากท่านยังเป็นแบบนี้ ข้าคงต้องกังวลว่าอาจารย์พ่อจะไม่คู่ควรกับอาจารย์แม่แล้ว”

หางตาของหนิงเหยาชำเลืองมองคนบางคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

เฉินผิงอันรีบพยักหน้าทันที “ความกังวลเช่นนี้มีเหตุผลอย่างถึงที่สุด”

หนิงเหยาย้ายสายตามองไปยังเด็กหนุ่มที่สวมชุดขงจื๊อแล้วยิ้มกล่าว “เจ้าก็คือ เฉาฉิงหล่างกระมัง เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าอาจารย์ของเจ้าเสียอีก”

เฉาฉิงหล่างถึงได้ประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์แม่”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ จากนั้นจึงกุมหมัดเอ่ยกับจ้งชิว “หนิงเหยาคารวะอาจารย์จ้ง”

จ้งชิวกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “จ้งชิวผู้ถวายงานแห่งภูเขาลั่วพั่ว รบกวนท่านแล้ว”

เผยเฉียนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงปลดห่อสัมภาระ หยิบเอาพู่กันที่ไว้เขียนตัวอักษรขนาดเล็กและยังมีกระดาษจดหมายเมฆหลากสีออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วจึงเขย่งปลายเท้ายื่นสองมือส่งให้อาจารย์แม่

จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้นอีก พูดเสียงเบากับหนิงเหยาว่า “ใต้เท้าอาจารย์แม่ กระดาษจดหมายเมฆหลากสีนี้ข้าเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง ท่านไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในภูเขาห้อยหัว ข้าต้องเดินไกลมากๆ หากยังเดินต่อไปอีกข้าก็กลัวว่า ภูเขาห้อยหัวจะถูกข้าพาเดินหล่นไปในทะเลแล้ว ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเฉาฉิงหล่าง เป็นคนเลือก อาจารย์แม่ ฟ้าดินเป็นพยาน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ยินดีจะควักเงินจริงๆ นะ แต่เป็นเพราะมีเงินติดตัวมาไม่มาก แต่ว่าของขวัญของข้าชิ้นนี้แพงกว่าหน่อย สามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ของเขาน่ะถูก แค่เหรียญเดียว”

เฉาฉิงหล่างเกาหัว

เฉินผิงอันมองสบตาจ้งชิวแล้วยิ้มให้กัน

หนิงเหยาชำเลืองตามองพู่กันด้ามเล็ก แค่มองก็รู้ว่าแม่นางน้อยคงคิดจะนำมามอบให้กับอาจารย์พ่อของตัวเอง หนิงเหยาจึงลูบศีรษะเผยเฉียน แล้วหันไปยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่มีท่าทีระมัดระวังว่า “เฉาฉิงหล่าง ของขวัญพบหน้าติดไว้ก่อน วันหน้า จำไว้ว่าต้องเอามาชดเชยด้วย”

เฉาฉิงหล่างเกาหัวแล้วพยักหน้ารับ

เผยเฉียนปากอ้าตาค้าง

ว้าว!

สายตาของอาจารย์แม่นี่ ต่อให้มีเผยเฉียนร้อยคนก็ยังประจบนางไม่ไหว!

มิน่าเล่าท่ามกลางคนมากมายในสี่ใต้หล้า อาจารย์แม่ถึงได้หมายตาอาจารย์พ่อของตนตั้งแต่แรกเห็น!

บ้านของอาจารย์แม่ช่างเป็นเรือนที่ใหญ่โตมากจริงๆ

เผยเฉียนเนอยู่ข้างกายหนิงเหยา พวกนางสองคนเดินอยู่หน้าสุด เผยเฉียนพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก

เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับเฉาฉิงหล่าง จ้งชิวจงใจเดินรั้งท้ายสุดอยู่เพียงลำพัง

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หลังจากนี้หากมีเวลาว่าง เจ้าช่วยงานอาจารย์เล็กๆ เรื่องหนึ่ง มาแกะสลักตราประทับกัน”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับบอกว่าตกลง

เฉินผิงอันบิดข้อมือหนึ่งครั้ง ฉวยโอกาสตอนที่เผยเฉียนไม่สนใจตน พอมีอาจารย์แม่แล้วก็ลืมอาจารย์พ่อ เฉินผิงอันรีบแอบส่งมีดแกะสลักเล่มเล็กให้เฉาฉิงหล่าง แล้วเอ่ยเตือนว่า “มอบให้เจ้าแล้ว ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เผยเฉียนเห็น ไม่อย่างนั้ต้องแบกรับผล ที่ตามมาเอาเอง”

เฉาฉิงหล่างยิ้มกล่าวว่า “ทราบแล้วขอรับ อาจารย์”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!