Skip to content

Sword of Coming 609

บทที่ 609 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ

วันนี้พวกผีขี้เหล้าที่มาดื่มเหล้าที่ร้านเนืองแน่นหนาตา บรรยากาศกลมเกลียวสมานฉันท์ ต่างก็เอ่ยถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับเถ้าแก่รองผู้นั้น หากไม่บอกว่าเถ้าแก่รอง ที่หล่อเหลาสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมมีมาดเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของเขา ก็บอกว่า เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่บวกกับผักดองและบะหมี่หยางชุนของเถ้าแก่รองน่าจะเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราแล้ว หากไม่มาดื่มเหล้าที่นี่ก็ไม่ใช่เซียนกระบี่เลย

แต่นี่กลับทำให้คนบางคนรู้สึกใจฝ่อ ดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ให้ครั่นเนื้อครั่นตัว ใคร่ครวญว่านี่จะเป็นวิธีการต่ำช้าของกองกำลังบางฝ่ายที่เป็นอริกันหรือไม่ หรือว่า นี่ก็คือเคล็ดวิธีพิฆาตชั้นต่ำที่เถ้าแก่รองเคยพูดถึง? ดังนั้นคนเหล่านี้จึงจดจำชื่อแซ่และหน้าตาของพวกคนที่พูดจาเอาจริงเอาจังที่สุด คุยโวโอ้อวดด้วยถ้อยคำเลี่ยนหูที่สุดเอาไว้เงียบๆ วันหน้าจะไปขอความดีความชอบจากเถ้าแก่รอง ส่วนนี่จะเป็นการใส่ร้ายคนดี เข้าใจพันธมิตรผิดไปหรือไม่ ถึงอย่างไรเถ้าแก่รองก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร พวกเขาแค่รับผิดชอบหน้าที่คาบข่าวไปฟ้องเป็นพอ เพราะถึงอย่างไรในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีอยู่หลายคนที่ทุกวันนี้คือสหายที่แค่ได้รับการบอกเป็นนัยจากเถ้าแก่รอง แต่ยังไม่ได้กลายเป็นเถ้าแก่ที่นั่งรับเดิมพันหลอกเอาเงินคนอื่นได้อย่างแท้จริง

ทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ อวี้เจวี้ยนฟูนั่งแทะแผ่นแป้งย่าง มือหนึ่งหิ้วกาน้ำทอดสายตามองไปยังสนามรบบางแห่งที่อยู่ทางทิศใต้ ตรงนั้นมีแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่มากมาย การที่อยู่บนหัวกำแพงสูงแห่งนี้แล้วสามารถมองเห็นหลุมบ่อบนพื้นเหล่านั้นได้ ก็พอจะจินตนาการได้ว่าหากไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ หลุมบ่อพวกนั้นมีแต่จะใหญ่เท่าทะเลสาบ ส่วนตัวคนก็เล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น

ตอนนี้อวี้เจวี้ยนฟูมักจะมาเยือนที่หัวกำแพงเมืองบ่อยๆ นางถือว่าเป็นสหายครึ่งตัว กับเด็กสาวจูเหมยแล้ว เพราะถึงอย่างไรในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้

คนที่นางถูกชะตาด้วยมากที่สุดก็ยังคงเป็นจูเหมยที่แสดงนิสัยอย่างตรงไปตรงมาผู้นี้ รองลงมาก็คือจินเจินเมิ่งผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ส่วนคนอื่นๆ นางไม่ค่อยชอบเท่าไร แน่นอนว่าการไม่ชอบของอวี้เจวี้ยนฟูก็มีเพียงการแสดงออกอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไม่คบค้าสมาคมด้วย เจ้าทักทายข้า ข้าก็พยักหน้าตอบรับ แต่หากเจ้าคิดจะพูดจาปราศรัยก็อย่าเลยดีกว่า เมื่อเจอกับผู้อาวุโส เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อนก็ควรหยุด เมื่อพอสมควร ง่ายดายเพียงเท่านี้

ข้าอวี้เจวี้ยนฟูแค่มาขัดเกลาวิชาหมัดเท่านั้น ไม่ได้มาช่วยตระกูลขยับขยาย เส้นสายอิทธิพล แล้วนับประสาอะไรกับที่ตระกูลอวี้แค่พอมีความสัมพันธ์ควันธูปกับภูเขาห้อยหัวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยแม้แต่น้อย

ส่วนจูเหมยนั้น นางคงจะคิดว่าตัวเองคือคู่พี่น้องต่างพ่อต่างแม่กับอวี้เจวี้ยนฟูที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีกระมัง

อวี้เจวี้ยนฟูเป็นกังวลเล็กน้อย นางพกแผ่นแป้งย่างมาน้อยเกินไป กินเร็วเกินไป แผ่นแป้งย่างทั้งหลายที่อยู่ในห่อสัมภาระถูกกินจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ส่วนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อก็เหลืออยู่อีกไม่มาก

เพียงแต่ว่าความกังวลเล็กน้อยนี้ไม่ได้มีค่าพอให้พูดถึง เดินทางมาหล่อหลอมเรือนกายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครานี้ ความตั้งใจแรกก็คือไล่ตามเส้นทางการเรียนวรยุทธของเฉาสือ สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตร่างทอง คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเถ้าแก่รองที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเหมือนกัน แล้วก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในใจของนางแล้ว เซียนกระบี่ของที่แห่งนี้กลับทำให้คนเลื่อมใสได้มากกว่า ต่อให้อวี้เจวี้ยนฟูไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งไม่ใช่ ผู้ฝึกกระบี่ ก็ยังคงรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ทรัพยากร อุดมสมบูรณ์แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่คู่ควรแก่การรับไปปรับใช้ของกำแพงเมือง ปราณกระบี่นั้นหาจากที่อื่นไม่ได้ มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นจริงๆ

อวี้เจวี้ยนฟูกินแผ่นแป้งย่างหมดแล้วก็ดื่มน้ำหนึ่งคำ คิดว่าจะพักผ่อนอีกสักครู่แล้วค่อยลุกไปฝึกหมัด

การฝึกหมัดคือเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกในชีวิตนี้ของนางอวี้เจวี้ยนฟู ทว่าบางครั้งหากแอบอู้ คิดอยากจะทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ใช่การฝึกหมัดก็ไม่มีปัญหาอะไร

วิชากระบี่ของผู้อาวุโสจั่วโย่วคนนั้น คู่ควรกับคำว่าสูงที่สุดอย่างแท้จริง

เซียนกระบี้ซุนจวี้เฉวียนได้เห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของศึกครั้งนั้นมากับตาตัวเอง ตามคำบอกของเซียนกระบี่ซุน การออกกระบี่ของจั่วโย่วครั้งนี้ อันดับแรกคือการใช้ ‘พละกำลังมหาศาลอย่างไร้เหตุผล’ ออกกระบี่ฟันให้เยว่ชิงร่วงลงไปจากหัวกำแพงเมือง จากนั้นก็ไม่พันธนาการปราณกระบี่อีกต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนครั้งที่ เยว่ชิงออกกระบี่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ไม่ใช่ว่าเยว่ชิงไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะอานุภาพของน้ำตกปราณกระบี่จากน้ำพุร้อยจั้งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาเล่มนั้น มิอาจทัดเทียมกับทะเลสาบปราณกระบี่ของจั่วโย่วได้ ส่วนกระจอกเมฆบนฟ้าซึ่งเป็น กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มก็ยิ่งแทบจะไม่มีโอกาสได้ดิ่งลงพื้น

แต่ซุนจวี้เฉวียนก็ยิ้มเอ่ยว่า เยว่ชิงเองก็เก็บไม้เก็บมืออยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เกรงใจ แต่เพราะไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจั่วโย่วจะฟันเขาให้ตายด้วยกระบี่เดียวจริงๆ

ขณะเดียวกันก็มอบบันไดลงและหาเหตุผลให้กับเซียนกระบี่ท่านอื่นที่ออกหน้า มาห้ามปรามด้วย น่าเสียดายที่จั่วโย่วไม่ได้สนใจเซียนกระบี่สองท่านที่พยายามโน้มน้าวด้วยถ้อยคำดีๆ เพียงแค่จ้องเยว่ชิงเขม็งแล้วใช้ปราณกระบี่กระแทกใส่เขาไม่หยุด ไม่ใช่ความวุ่นวายไร้ระเบียบ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะปราณกระบี่ของ จั่วโย่วมากเกินไป ปณิธานกระบี่เข้มข้นเกินไป การตัดสินเป็นตายของเซียนกระบี่บนสนามรบมักจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา มองไม่เห็นความจริงและขั้นตอนทั้งหมด แต่นี่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่หลบได้พ้น ป้องกันไว้ได้ ฝ่าการโจมตีออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว

การออกกระบี่ของเซียนกระบี่ที่เสี่ยงอันตรายหลายครั้ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปตามใจปรารถนา หากมีไหวพริบสักหน่อย กลับกลายเป็นว่าจะโจมตีได้สำเร็จใน กระบี่เดียว

ตอนนั้นจั่วโย่วไม่เอ่ยอะไร ทว่าความหมายชัดเจนอย่างมาก เซียนกระบี่ทุกคนยกเว้นเยว่ชิง ชมศึกอยู่ไกลๆ ได้ไม่เป็นไร จะช่วยเอ่ยปรามก็ได้ไม่เป็นไร มีเพียงคนที่ขยับเข้ามาใกล้เท่านั้นที่ล้วนถือเป็นศัตรู

ตอนนั้นเซียนกระบี่สองท่านนั้นกระอักกระอ่วนแทบตาย คนหนึ่งในนั้นถูก กระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักในมือจั่วโย่วฟันลงมา พื้นดินปริแตก ร่องลึกบังเกิดทันใด หากไม่เป็นเพราะจั่วโย่วจงใจออกกระบี่แฉลบไปด้านข้างสิบจั้ง เซียนกระบี่ท่านนั้น ก็เกือบได้ออกแรงเต็มกำลังเพื่อต้านทานกระบี่นี้แล้ว เขาได้แต่เรียกสหายมา แล้วก็เรียกเซียนกระบี่อีกสองคนให้มาช่วยคุมท้าย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือโจมตี หากจั่วโย่วไม่สนใจเยว่ชิงแล้วหันกระบี่เข้าหาทุกคนแทน จะทำอย่างไร?

ในช่วงเวลาที่เยว่ชิงจำต้องออกกระบี่ บนหัวกำแพงก็ปรากฏร่างของเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโส เขายืนเอาสองมือไพล่หลัง จ้องนิ่งไปยังสนามรบทางทิศใต้ คล้ายกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งกับจั่วโย่ว

จั่วโย่วถึงได้ยอมเก็บกระบี่

สุดท้ายซุนจวี้เฉวียนเอ่ยกับอวี้เจวี้ยนฟูด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจังว่า เวทกระบี่สูงขนาดนี้ แล้วยังไม่กลัวการใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเป็นกลุ่มมากที่สุด จั่วโย่วผู้นี้คิดจะเดินขึ้นฟ้าก้าวเดียวอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลยหรือไร?

ตอนนั้นอวี้เจวี้ยนฟูถามด้วยความใคร่รู้ว่า เดินขึ้นฟ้าก้าวเดียวหมายความว่าอย่างไร

น่าเสียดายที่ซุนจวี้เฉวียนเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไรอีก

อวี้เจวี้ยนฟูลุกขึ้นยืน ออกหมัดช้าๆ ไปตามหัวกำแพง ออกหมัดช้า ทว่าเรือนกายกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูปก็เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินตรงเข้ามาหา อวี้เจวี้ยนฟูไม่อยากรู้สักนิดว่าคนผู้นี้ชื่อแซ่อะไร แต่นี่ก็ต้องถามจูเหมยที่ชอบพูดเจื้อยแจ้วรายงานทุกเรื่องให้นางฟังก่อนว่าจะตอบตกลงหรือไม่ จูเหมยบอกว่า เด็กหนุ่มคนนี้คือลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป แซ่ชุยนาม ตงซาน หากนับตามลำดับอาวุโสถือเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายเหวินเซิ่ง แต่ดูเหมือนว่าสมองของชุยตงซานจะไม่ค่อยปกตินัก เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ น่าเสียดาย เนื้อหนังมังสาที่งดงามนั้นจริงๆ

อีกฝ่ายเดินดิ่งตรงมา อวี้เจวี้ยนฟูจึงได้แต่ขยับเบี่ยงหลบ สองฝ่ายจะได้เดิน สวนไหล่ผ่านกันไป

คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะคิดเช่นนี้เหมือนกัน กลายเป็นว่านางขยับไปตรงกับอีกฝ่ายพอดี อวี้เจวี้ยนฟูจึงขยับเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ขยับพร้อมกันอีก ไปๆ มาๆ ชุยตงซานผู้นั้นจึงหยุดเดิน พูดหน้าบูดว่า “พี่หญิงอวี้ ท่านบอกมาเถอะว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือทางขวา เอาเป็นว่าข้าไม่กล้าขยับแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็กลัวท่านจะเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีเจตนาร้าย เห็นสตรีหน้าตางดงามแล้วคิดไม่ซื่อ”

อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้เอ่ยอะไร เห็นว่าเขาหยุดเดินก็เดินอ้อมออกไป เดินสวนไหล่กับเขาไกลๆ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะหมุนตัวกลับมา กลายเป็นว่ามาเดินเคียงข้างนาง เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันประมาณห้าหกก้าว ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่หญิงอวี้ เคยได้ยินชื่อตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับ สองร้อยเซียนกระบี่หรือไม่? มีชิ้นไหนที่ถูกใจไหม? ข้าคือลูกศิษย์ที่ไม่ได้ความที่สุด กระเป๋าฟีบแบนที่สุดของอาจารย์ การฝึกตนต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย ข้าไม่อยากให้อาจารย์เป็นกังวล เลยได้แต่หาเงินมาด้วยตัวเอง อาศัยการเป็นศาลาใกล้น้ำจึงได้ยลแสงจันทร์ก่อน แอบไปขโมยตราประทับและพัดพับของอาจารย์มาก่อนหลายชิ้น แล้วยังไปที่ร้านผ้าแพรต่วนของนายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยนมาด้วย

ซื้อตราประทับในราคาถูกมาได้หลายชิ้น พี่หญิงอวี้ก็คิดเสียว่าข้าเป็นร้านผ้าห่อบุญเถอะ ที่ข้ามีตำราตราประทับอยู่สองเล่ม พัดพับสามอัน พัดกลมหกอัน และ ตราประทับหกชิ้น พี่หญิงอวี้ ท่านอยากดูสักหน่อยไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูหยุดเดิน ยิ้มกล่าวว่า “หากข้ามองไม่ผิด เรือยันต์ลำนั้นของเจ้าเป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่มาจากหลิวเสียทวีป เจ้าอาศัยการขายของกระจุกกระจิกอย่างตราประทับและพัดพับพวกนี้ ต่อให้กิจการเจริญรุ่งเรือง ขายไปหนึ่งร้อยปีจะพอให้ซื้อเรือยันต์ลำนั้นได้หรือไม่? ข้าว่ายาก บอกมาตามตรงเถอะว่ามาหาข้ามีธุระอะไร?”

เห็นเพียงว่าใบหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย จนใจ ขมขื่น พูดอย่างเหม่อลอยว่า “ในใจของข้า เดิมทีพี่หญิงอวี้คือสตรีชั้นสูงที่แตกต่างไปจากคนอื่นใน ใต้หล้านี้มากที่สุด ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ท่านก็คงดูแคลนการหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างยากลำบากพวกนี้เหมือนกันสินะ ก็จริงนะ ตระกูลเศรษฐีร่ำรวย ต่อให้เป็นแค่ของตกแต่งบนโต๊ะที่ไม่สะดุดตา ต่อให้เป็นโถใส่อาหารนกที่มีรอยร้าวก็ยังมีค่าหลายเหรียญเงินเทพเซียนเลยกระมัง?”

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ยังไม่ยอมพูดตรงๆ อีกหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องอาศัยตบะแท้จริงที่อำพรางไว้ทำให้ข้าหยุดเดินแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าข้าจะพูดกับเจ้าอีกแม้แต่คำเดียว”

อวี้เจวี้ยนฟูเตรียมจะเดินหน้าต่อ ชุยตงซานก็รีบพูดทันทีว่า “ใจข้าคิดแต่อยากจะหาเงิน ขณะเดียวกันก็อยากให้พี่หญิงอวี้จำได้ด้วยว่าข้าเป็นใคร พี่หญิงอวี้ไม่เชื่อ ข้าเสียใจมาก นี่ก็เป็นข้าที่รนหาที่เอง ข้าไม่อยากให้พี่หญิงอวี้โกรธแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอเดิมพันกับพี่หญิงอวี้ก็แล้วกัน เดิมพันว่าในบรรดาสิ่งของเหล่านี้ของข้าจะต้องมีสิ่งของที่พี่หญิงอวี้ไม่เพียงแต่ถูกตา ยังยินดีจะควักเงินจ่ายด้วย หากเดิมพันถูกก็ถือว่าข้าชนะท่านแพ้ หากข้าแพ้จะรีบไสหัวไปทันที ชีวิตนี้ชาตินี้ จะไม่มาพบพี่หญิงอวี้อีกแล้ว เพราะจะแพ้ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่หากข้าชนะ พี่หญิงอวี้ต้องจ่ายเงินซื้อไว้ และชัยชนะนี้ของข้าก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น ตกลงไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูคลี่ยิ้ม

ทว่าเด็กหนุ่มกลับคล้ายจะอ่านใจนางออก จึงยิ้มตามไปด้วย “พี่หญิงอวี้เป็นใคร ข้ามีหรือจะไม่รู้ การที่กล้าเดิมพันแล้วเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะคนบนโลกคิดว่าอวี้เจวี้ยนฟูมีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูง นิสัยดีเช่นนี้ก็ถือเป็น ความใจกว้างของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์อะไร แต่เป็นเพราะนับตั้งแต่เด็กมา พี่หญิงอวี้ก็รู้สึกมาโดยตลอดว่า ต่อให้ตัวเองจะแพ้ก็ยังสามารถคว้าชัยชนะกลับคืน มาได้ ในเมื่อพรุ่งนี้ชนะได้ เหตุใดวันนี้จึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้? ไม่มีความจำเป็นเลย”

สีหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูมืดทะมึน “เจ้าเป็นใคร?!”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าบอกกับพี่หญิงอวี้แล้วนะ ข้าคือตงซานไงล่ะ”

อวี้เจวี้ยนฟูกระตุกมุมปาก “ข้าไม่เพียงแต่พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ ยังกล้าที่จะเดิมพันด้วย เอาของของเจ้าออกมาเถอะ”

ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยความเขินอาย ก้มหน้าลงมองแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเอามือกดไว้ที่เข็มขัด จากนั้นก็เบี่ยงตัวหันข้างทำท่าขัดเขินอิดออด ไม่กล้าให้ใครเห็น

หมัดหนึ่งของอวี้เจวี้ยนฟูจึงพุ่งไปที่จุดไท่หยางของฝ่ายตรงข้าม

เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายกลับยืนนิ่งไม่ขยับราวกับตอไม้ที่ตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว แล้วก็คล้ายว่าไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย อวี้เจวี้ยนฟูจึงรีบกดปณิธานหมัดที่ใหญ่ที่สุดของ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกให้กลายเป็นพายุหมัดขอบเขตห้าทันที สุดท้ายตอนที่หมัด เข้าใกล้หน้าผากของอีกฝ่ายก็ลดปณิธานหมัดลงอีก ใช้กำลังของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่เท่านั้น อีกทั้งยังลดหมัดลง ทำให้ต่อยเข้าที่แก้มของเด็กหนุ่มชุดขาว คิดไม่ถึงว่าต่อให้ทำถึงขนาดนี้แล้ว ภาพที่เกิดขึ้นต่อมาก็ยังทำให้อวี้เจวี้ยนฟูประหลาดใจมากอยู่ดี

เดิมทีอวี้เจวี้ยนฟูมองตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายไม่ออก แต่ในใจก็มีการประเมินสูงต่ำไว้คร่าวๆ แล้ว สูงสุดคือขอบเขตก่อกำเนิด ต่ำสุดคือขอบเขตถ้ำสถิต ไม่อย่างนั้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฝีเท้าและลมหายใจของเด็กหนุ่มก็คงไม่มีทางราบรื่นได้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นขอบเขตถ้ำสถิต จะดีจะชั่วก็น่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายสามารถหลบหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าของตนได้ หมัดขอบเขตสี่ก็น่าจะต้านรับได้ไหว ย่อมไม่มีทางบาดเจ็บหนัก ก็แค่อาจจะเจอกับความเจ็บปวดทางกายบ้างเล็กน้อย

อวี้เจวี้ยนฟูไหนเลยจะคิดได้ว่าพออีกฝ่ายโดนหมัดหนึ่งของนางไปแล้ว ร่างจะบินคว้างหลายต่อหลายตลบ ก่อนจะไปกระแทกอยู่จุดที่ห่างไปหลายสิบก้าว มือเท้าชักกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า

หรือหมัดขอบเขตสี่ของนางจะฆ่าคนให้ตายได้?

อวี้เจวี้ยนฟูก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็พุ่งวูบไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาว เลือดกำเดาไหลเป็นของจริง ไม่มีทางเสแสร้งกันได้ จากนั้นเด็กหนุ่มก็กอดน่องขาเล็กข้างหนึ่งของอวี้เจวี้ยนฟูเอาไว้ “พี่หญิงอวี้ ข้านึกว่าจะไม่ได้พบหน้าท่านอีกแล้ว”

อวี้เจวี้ยนฟูขมวดคิ้ว สะเทือนปณิธานหมัดดีดเด็กหนุ่มชุดขาวนั่นออกไปทันที ร่างทั้งร่างของฝ่ายหลังจึงไถลครูดออกไปในแนวนอนหลายสิบก้าว

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง เช็ดเลือดกำเดาทิ้ง กำลังจะเอามือเช็ดชายแขนเสื้อ แต่คงกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าสกปรกจึงเช็ดกับพื้นแทน ทำเอาอวี้เจวี้ยนฟูที่มองอยู่ยิ่งขมวดคิ้วหนัก

จูเหมยพูดไม่ผิด สมองของคนผู้นี้มีปัญหาจริงๆ

และในขณะที่อวี้เจวี้ยนฟูเตรียมจะจากไปเพราะไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ต่อนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะควักตำราตราประทับสองเล่มจากชายแขนเสื้อออกมาวางลงบนพื้นด้านหน้าตัวเองอย่างเป็นระเบียบ

เพียงแต่ว่าไม่ได้วางหนังสือทั้งสองเล่มนอนลงกับพื้น แต่วางตั้งเอาไว้ บดบัง ตราประทับ พัดพับและพัดกลมทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังตำรา ชุยตงซานยิ้มกว้าง กวักมือเรียก “พี่หญิงอวี้ มาเดิมพันกัน!”

อวี้เจวี้ยนฟูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินไปหา ‘โต๊ะเดิมพันตัวเล็ก’ นั้น

คงกังวลว่านางจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ด้านหลัง ‘ประตูใหญ่สองบาน’ อย่างตำราตราประทับ พอรู้ดีว่าต้องแพ้อย่างแน่นอนก็จะเปลี่ยนใจไม่เดิมพันแล้ว ชุยตงซานจึงรีบยกมือสองข้างขึ้นบดบังตราประทับและพัดทั้งหลายไว้อย่างว่องไว ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างเหมือนหิมะขาวที่ห้อยย้อยลงมา ราวกับหลังคาบ้านที่ถูกสร้างให้บดบังลมฝน

อวี้เจวี้ยนฟูนั่งขัดสมาธิ ยื่นมือมาผลักตำราตราประทับสองเล่มนั้นออก เห็นได้ชัดว่านั่นคือของที่นางไม่มีทางควักเงินซื้อ

เพียงแต่ว่าก่อนที่อวี้เจวี้ยนฟูจะลงมือ ชุยตงซานกลับยื่นสองมือมาบังตราประทับสองชิ้นไว้อีกครั้ง

พัดพับทุกอันล้วนถูกอวี้เจวี้ยนฟูยื่นมือมาผลักออก นางหยิบตราประทับอันที่ ชุยตงซานไม่ได้ซ่อนไว้ขึ้นมา มองตัวอักษรบนตราประทับแล้วก็ยิ้ม คือประโยคปลาแปลงเป็นมังกร คำว่าปลาที่อ่านว่าอวี๋ ถือว่าพ้องเสียงกับคำว่าอวี้แซ่ของนาง

คือการเริ่มต้นที่ดี เพียงแต่อวี้เจวี้ยนฟูยังคงไม่รู้สึกหวั่นไหว นับแต่เด็กมา ข้าอวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่ชอบชื่ออวี้เจวี้ยนฟูนี้ ส่วนแซ่อวี้ แน่นอนว่าต้องรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ แต่กลับไม่ได้หลงใหลเกินไปนัก ส่วนปลาจะกลายเป็นมังกรหรือไม่ นางไม่ใช่ ผู้ฝึกลมปราณเสียหน่อย ต่อให้จะเคยเห็นทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่โอฬารของประตูมังกรบนแผ่นดินกลางมาก่อน แต่จิตใจก็ไม่เคยสะท้านไหว ทัศนียภาพก็เป็นแค่ทัศนียภาพเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุให้อวี้เจวี้ยนฟูทำเพียงแค่เอามันวางไว้ด้านข้าง ยิ้มกล่าวว่า “เหลือแค่ตราประทับสองชิ้นสุดท้ายแล้ว”

ฝ่ามือสองข้างของชุยตงซานกดตราประทับเอาไว้ประหนึ่งนิ้วทั้งห้าของเซียนที่วางทับลงบนยอดเขา “พี่หญิงอวี้ กล้าลงเดิมพันให้ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่ การเดิมพันเล็กๆ ก่อนหน้านี้ยังคงมี แต่พวกเรามาเดิมพันกันอีกว่าพี่หญิงอวี้จะชอบตราประทับฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวากันแน่? หรือพี่หญิงอวี้จะเดิมพันให้มากกว่านั้น เดิมพันว่าไม่ชอบ ทั้งสองชิ้น ต่อให้จะหวั่นไหวแต่ไม่คิดจะจ่ายเงินซื้อ เป็นอย่างไร? พี่หญิงอวี้เคยมี ความกล้าหาญของสตรีที่กล้าถามหมัดอาจารย์ของข้า ไม่ทราบว่าวันนี้ความกล้าหาญที่ว่านั้นยังอยู่หรือไม่?”

อวี้เจวี้ยนฟูถาม “การเดิมพันสองอย่างนี้ ใช้ของอะไรในการเดิมพันบ้าง?”

ชุยตงซานใช้เสียงในใจเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ของเดิมพันข้อที่ใหญ่กว่าตอนแรกเล็กน้อย ก็คือเดิมพันว่าวันหน้าพี่หญิงอวี้จะช่วยนำความของข้าไปบอกแก่ตระกูลอวี้ ส่วนของเดิมพันที่ใหญ่กว่านั้นไปอีกก็คือช่วยข้านำความไปบอกเสินโจวจือ ยังคงเป็นประโยคเดียวเหมือนเดิม วางใจเถอะ พี่หญิงอวี้แค่เป็นคนนำความไปบอกเท่านั้น จะไม่มีทางให้เจ้าทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการเดิมพันก็ถือเป็นโมฆะ หรือถือว่าข้าแพ้ไปได้เลย”

สีหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดในชั่วพริบตา ใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเอ่ยว่า “ข้าไม่เดิมพันได้ไหม?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ต้องได้แน่อยู่แล้ว มีเจ้ามือที่ไหนบังคับคนอื่นให้มาเดิมพัน? แล้วใต้หล้านี้มีร้านผ้าห่อบุญที่ไหนที่บังคับให้คนอื่นซื้อของของตัวเอง? เพียงแต่สภาพจิตใจของพี่หญิงอวี้ไม่เหมือนกับเมื่อครู่นี้แล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่เชื่อใจท่านเท่าเมื่อครู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรพี่หญิงอวี้ก็เป็นคนตระกูลอวี้ โจวเสินจือก็ยิ่งเป็นผู้อาวุโสที่พี่หญิงอวี้เคารพนับถือ ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต เป็นเหตุให้การพูดจาที่ผิดต่อมโนธรรม ในใจ

ทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจก็เพื่อไม่ให้ผิดต่อเจตจำนงเดิมซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่า แน่นอนว่ามีเหตุผลให้อภัยได้ เพียงแต่ว่าโต๊ะพนันก็คือโต๊ะพนัน ข้าเป็นเจ้ามือก็เพื่อ หาเงินเข้ากระเป๋า หากว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้ว ข้าก็ต้องการให้พี่หญิงอวี้ที่กล้าลงเดิมพันกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ควักเงินมาซื้อของทั้งหมดไป”

อวี้เจวี้ยนฟูถอนหายใจโล่งอก

ชุตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กล้าพนันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ นั่นเพราะพี่หญิงอวี้มั่นใจว่าตัวเองจะชนะ น่าเสียดายที่การยอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจทวงคืนชัยชนะมาได้ แน่นอนว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คนเรา มีชีวิตอยู่บนโลก จะมองข้ามขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่ของโลกเพียง เพื่อความสะใจเล็กๆ ได้อย่างไร ขนาดมีวิชาหมัดสูงส่งยังเป็นเช่นนี้ วิชาหมัดไม่สูงก็ยิ่งควรเปลี่ยนให้เป็นเช่นนี้”

อวี้เจวี้ยนฟูเงยหน้าขึ้น “เจ้าจงใจใช้ถ้อยคำของเฉินผิงอันมายั่วยุข้าอย่างนั้นรึ?”

ตอนอยู่บนถนนใหญ่หน้าประตูจวนหนิง การถามหมัดครั้งแรกของอวี้เจวี้ยนฟู เฉินผิงอันเคยบอกว่าผู้ฝึกยุทธจะพูดแรงได้ก็ต้องมีปณิธานหมัดที่ใหญ่มากพอ

ชุยตงซานยิ้มตาหยี “ใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร? ถอยก้าวหนึ่งวันนี้ แล้วอย่างไร พรุ่งนี้ก็เดินออกไปอีกสักสองก้าวสิ อวี้เจวี้ยนฟูไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ เสียหน่อย คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว บนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ แต่ไหนแต่ไรมา ก็เหมือนการพายเรือทวนกระแสน้ำ ไม่ช่วงชิงความช้าเร็วกับกาลเวลาอยู่แล้ว”

อวี้เจวี้ยนฟูถาม “เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า หากข้าแพ้ก็ต้องนำความของเจ้าไปบอกแก่คนตระกูลอวี้ และเพื่อเจตจำนงเดิม ข้าอวี้เจวี้ยนฟูก็ต้องจมอยู่แต่ในตระกูลอวี้ จะไม่เหลือความมั่นใจที่จะออกเดินทางไปทั่วสี่ทิศอีก”

ชุยตงซานพยักหน้ายิ้มกล่าว “แน่นอน หากไม่รู้นิสัยใจคอของนักพนันบ้างเลย จะกล้ามาเป็นเจ้ามือต้อนรับแขกจากทั่วสารทิศได้อย่างไร? ก็แค่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ชอบชื่อที่บรรพบุรุษตั้งให้ก็เท่านั้น เป็นสตรี แต่กลับถูกปฏิบัติดั่งบุรุษ มีสตรีคนใดที่มีอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเติบใหญ่แล้วจะยังชื่นชอบอยู่ได้อีก? เพียงแต่ข้าเชื่อว่าความรู้สึกที่ อวี้เจวี้ยนฟูมีต่อแซ่ของตัวเองยังนับว่าไม่เลว”

อวี้เจวี้ยนฟูยิ้มจืดเจื่อน

จูเหมยเอ๋ยจูเหมย เจ้าเด็กโง่เอ้ย ไม่ว่าครั้งนี้แพ้หรือชนะ กลับไปข้าก็คงต้อง ด่าเจ้าสักหลายๆ คำ

ขณะที่อวี้เจวี้ยนฟูอยู่ในอารมณ์ซับซ้อนสับสน อันที่จริงนางก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา หวังว่าจะใช้สิ่งนี้มาวิเคราะห์ว่าสรุปแล้วจะเป็นตราประทับชิ้นใดกันแน่ถึงทำให้ชุยตงซานผู้นี้มั่นใจขนาดนี้

เพียงแต่ว่ายิ่งมองยิ่งคิด อวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งไม่มั่นใจ

อวี๋เจวี้ยนฟูควักเงินร้อนน้อยออกมาเหรียญหนึ่ง ดีดเบาๆ หนึ่งครั้ง พอเหรียญร่วงลงพื้นก็เห็นว่าเป็นฝั่งก้อยที่หงายขึ้น อวี้เจวี้ยนฟูจึงเอ่ยว่า “มือขวา! ข้าเดาว่า เป็นตราประทับที่มือขวาบังไว้ที่ข้าจะไม่ควักเงินซื้อมัน”

ชุยตงซานโน้มตัวเตรียมจะเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นขึ้นมา

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยอย่างเดือดดาล “ชุยตงซาน!”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเหลอหรา “ชนะแล้วไม่เก็บเงิน ข้าจะมาเป็นเจ้ามือกับร้านผ้าห่อบุญนี่ทำไม อาจารย์ของข้าเป็นกุมารแจกทรัพย์ แต่ข้าไม่ใช่ สักหน่อย เงินพวกนี้ข้าหามาได้ด้วยความยากลำบากและไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ เลยนะ”

อวี้เจวี้ยนฟูจ้องมองด้วยสายตากรุ่นโกรธ

ชุยตงซานจึงหัวเราะร่าแล้วดึงมือกลับมา พอยกมือขึ้นก็เผยให้เห็นตราประทับชิ้นนั้น “ที่แท้ยามที่พี่หญิงอวี้โกรธก็น่ามองยิ่งกว่าเสียอีก”

อวี้เจวี้ยนฟูเอื้อมมือคว้าจับบังคับตราประทับชิ้นนั้นให้ลอยกลางอากาศเข้ามาอยู่ในมือ ก้มหน้าลงมอง ไม่ใช่ตราประทับชิ้นใดที่อยู่ในตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่

ตรงขอบของตราประทับแกะสลักคำว่า หินอยู่ในลำธาร จะไม่ใช่เสาหลัก กลางกระแสน้ำได้อย่างไร ก้อนเมฆงดงามอยู่บนฟ้า หมัดยังคงอยู่บนฟ้าเหนือฟ้า

ส่วนตัวอักษรบนตราประทับคือ เทพีแห่งการต่อสู้ เฉินเฉาอยู่ข้างกาย

อวี้เจวี้ยนฟูกำตราประทับนี้ไว้แน่น นางเงียบไปนานกว่าจะเงยหน้าขึ้น “ข้าแพ้แล้ว ว่ามาเถอะ จะให้ข้านำความใดไปบอกแก่ทางตระกูล”

ความร้ายกาจของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่การใช้สองนามแฝงของนางอย่างคำว่าสือไจ้ซี (หินในลำธาร) และอวี้ฉี่อวิ๋น (ก้อนเมฆงดงาม) กระทั่งเส้นสายระหว่างตระกูลตนกับอาจารย์ผู้เฒ่าโจว อีกฝ่ายก็ยังรู้อย่างชัดเจน และนี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้

ความร้ายกาจที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นอยู่ที่การคาดเดาใจคน เดาได้อย่างแม่นยำว่านางอวี้เจวี้ยนฟูยอมรับประโยคนั้นของเฉินผิงอันจากใจจริง คำนวณได้อย่างแม่นยำว่าหากตนแพ้ก็จะยินดีรับปากตระกูลว่าจะไม่เตร็ดเตร่ออกไปทั่วทิศอีก แต่จะทำตัวให้สมกับเป็นลูกหลานตระกูลอวี้ที่แท้จริง ยอมออกแรงเพื่อตระกูลอวี้ นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าประโยคที่อีกฝ่ายต้องการให้ตนนำไปบอกแก่บรรพบุรุษ ไม่ว่าตระกูลอวี้ฟังไปแล้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็จะกลั้นใจยอมรับความสัมพันธ์ควันธูปนี้เอาไว้! ยิ่งคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธของนางอวี้เจวี้ยนฟูในทุกวันนี้ ก็คือไล่ตามเฉาสือและเฉินผิงอัน จะไม่มีทางทนมองแผ่นหลังของบุรุษทั้งสองยิ่งเดินยิ่งห่างไปไกลอย่างแน่นอน!

สีหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูหม่นหมอง รออยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ได้เอ่ยด้วยเสียงในใจ จึงเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “ข้ากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้! เชิญพูดมา!”

ชุยตงซานมองสตรีผู้นี้แล้วคลี่ยิ้ม ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นแม่นางน้อยที่ค่อนข้าง จะน่ารัก ดังนั้นเขาจึงเอ่ยประโยคนั้นออกไป

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวอย่างตกตะลึง “แค่ประโยคนี้เองหรือ?”

ประโยคที่คนผู้นี้เอ่ยเมื่อครู่นี้แปลกประหลาดมาก พิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด!

‘ตาเฒ่าตระกูลอวี้ รีบไปหาสถานที่ที่ไร้ผู้คนแล้วตะโกนดังๆ ว่า’ หากฝีมือเล่นหมากล้อมของข้าไม่ห่วย แล้วใครจะห่วย ” ข้าชอบล้มกระดานหมาก ข้าเคยชนะใครเสียที่ไหน ‘ให้ครบสามรอบ’

หรือว่าแท้จริงแล้วคำพูดของแม่นางน้อยจูเหมยนั่นถึงจะถูกต้อง จริงแท้แน่นอนที่สุด?

เพราะถึงอย่างไรคำพูดเช่นนี้ ตนแค่ต้องนำความไปบอกเท่านั้น บอกไปแล้ว บรรพบุรุษจะทำหรือไม่ทำก็ย่อมได้

ชุยตงซานเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ตัวอักษรบนเหรียญหายากอย่างถึงที่สุด มีความเป็นไปได้ว่าจะเหลือแค่เหรียญเดียวบนโลก เงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขายด้วยราคาของเงินฝนธัญพืชก็ยังถูกพวกเทพเซียนที่ชอบ ‘เก็บสะสมเหรียญเงิน’ แย่งกัน หัวร้างข้างแตก ไม่เสียทีที่พี่หญิงอวี้เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จริงๆ วันหน้าออกเรือน สินสอดต้องเยอะมากแน่ๆ น่าเสียดายแทนเจ้าไหวเฉียนที่ชะตาอาภัพผู้นั้นจริงๆ ไม่มีดวงจะได้เสวยสุขแล้ว เรื่องที่อาภัพที่สุดก็คือยังไม่ตาย แต่กลับได้แต่มองดู พี่หญิงอวี้ที่เมื่อก่อนต่างคนต่างก็ดูแคลนกันเอง แต่ตอนนี้ถูกใจนางแล้ว ทว่านางกลับยังดูแคลนเขาออกเรือนแต่งไปเป็นภรรยาผู้อื่น พอคิดถึงเรื่องนี้ ชุยตงซานก็จด คุณความชอบเล็กๆ ให้กับตัวเอง วันหน้าหากมีโอกาสต้องเอาไปคุยอวดศิษย์พี่ หญิงใหญ่สักหน่อย

มือซ้ายของชุยตงซานกดตราประทับชิ้นสุดท้ายนั้นไว้ตลอดเวลา ยิ้มกล่าวว่า “พี่หญิงอวี้ อยากจะลองเดิมพันเป็นครั้งสุดท้ายดูไหม หากข้าชนะ พี่หญิงอวี้ก็เอาถ้อยคำไปเอ่ยให้โจวเสินจือฟัง แต่หากข้าแพ้ คำพูดที่เอ่ยกับตระกูลอวี้ประโยคนั้นก็ให้ถือเป็นโมฆะได้เลย และเงินร้อนน้อยเหรียญนี้ก็จะคืนให้เจ้า ถึงอย่างไรก็ถือว่าข้า ไม่ทันระวังเลยแพ้หมดกระดาน ทุกการเดิมพันล้วนถือว่าข้าแพ้ทั้งหมด ตกลงไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูครุ่นคิด ต่อให้การเดิมพันสุดท้ายนี้ ตนแทบจะชนะได้อย่างมั่นคง แต่อวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่คิดจะเดิมพันอีก นี่เป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงเท่านั้น

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ไม่เล่นแล้ว!”

และคนที่อยู่ฝั่งตรงห้ามก็หัวเราะก๊ากเสียงดัง “โชคในการเสี่ยงดวงของพี่หญิงอวี้ มองดูเหมือนไม่ดี แต่แท้จริงแล้วกลับดีมากๆ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดข้าถึงพูดเช่นนี้ อีกไม่นานพี่หญิงอวี้ก็จะได้รู้คำตอบแล้ว แล้วยังเป็นวันนี้อีกด้วย”

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวอย่างเดือดดาล “ยังจะใช้วิธียั่วยุอีกรึ? ไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือไร?!”

ชุยตงซานโยนตราประทับที่กุมไว้ตลอดเวลาชิ้นนั้นไปให้อวี้เจวี้ยนฟูเบาๆ “มอบให้เจ้า ถือเสียว่าข้าที่เป็นลูกศิษย์ขออภัยเจ้าแทนอาจารย์ของข้าก็แล้วกัน”

อวี้เจวี้ยนฟูรับตราประทับชิ้นนั้นมาแล้วก็ปากอ้าตาค้าง พึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ ตราประทับชิ้นนี้ถูกเซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อซื้อไปแล้ว ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ ซุนจวี้เฉวียนก็ยังตรวจสอบไม่พบว่าใครซื้อไป เจ้าเพิ่งมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แค่ไม่กี่วัน…อีกอย่างเจ้าจะรู้ได้อย่างไร ขอแค่เป็นตราประทับ ขอแค่เป็นมัน…”

ชุยตงซานพูดปลงอนิจจังราวกับเด็กน้อยที่แสร้งทำเป็นเอ่ยถ้อยคำลึกซึ้ง “การเดิมพันใหญ่ในใต้หล้านี้ โอกาสชนะล้วนอาศัยโชคใหญ่”

ชุยตงซานเก็บของทั้งหมดที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ถูกใจกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน “ของกระจุกกระจิกพวกนี้ ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่พี่หญิงอวี้มอบให้ข้าก็แล้วกัน พอคิดถึงว่าวันหน้าพี่หญิงอวี้ก็จะกลายมาเป็นคนสนิทคุ้นเคยกันแล้ว ข้าก็ดีใจ ดีใจจริงๆ”

อวี้เจวี้ยนฟูยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เงยหน้าขึ้น “ผู้อาวุโสเป็นใครกันแน่?”

สามารถเรียกบรรพบุรุษของนางว่าตาเฒ่าตระกูลอวี้และบอกว่าเขาเล่นหมากล้อม ได้ห่วยแตก ถึงขั้นยังกล้าเรียกชื่ออาจารย์ผู้เฒ่าโจวว่าโจวเสินจือได้โดยตรง

เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มตาหยี “ข้าก็คือตงซานไงล่ะ”

ชุยตงซานก้าวยาวๆ ไปหาคนอื่น

พอชุยตงซานก้าวออกไปได้หลายก้าวก็พลันหยุดเดินแล้วหันกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่หญิงอวี้ วันหน้าอย่าได้โยนเงินเสี่ยงทายหัวก้อยเพื่อตัดสินใจเลือกต่อหน้าคนอื่นอีก ไม่กล้าพูดว่าทั้งหมด แต่ช่วงเวลาส่วนใหญ่แล้ว เรื่องของโชควาสนาที่เจ้าคิดว่าเป็นมายาล่องลอยนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะขอบเขตของเจ้าไม่สูงถึงได้มีโชค โชคดีหรือ ไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่เจ้า แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่สวรรค์ วันนี้อยู่ที่ข้า เจ้ายังสามารถยอมรับได้ แต่วันหน้าล่ะ? วันนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธอวี้เจวี้ยนฟู วันหน้ากลับเป็นอวี้เจวี้ยนฟูแห่งตระกูลอวี้ ประโยคนั้นของอาจารย์ข้า ขอพี่หญิงอวี้โปรดใคร่ครวญทุกคืนวัน ไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำอีก”

อวี้เจวี้ยนฟูเงียบงันเป็นคำตอบ

ตราประทับที่อยู่ในมือนางชิ้นนี้ไม่มีลายขอบ มีเพียงตัวอักษรตรงกลาง

ห่านชนกำแพง

อวี้เจวี้ยนฟูหันหน้าไปมอง

เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นกำลังเดินพลางปล่อยหมัดอยู่บนหัวกำแพง ปากเปล่งเสียงร้องฮื่อฮ่า อีกทั้งเสียงยังไม่ใช่เบาๆ นั่นคงเป็นวิชาหมัดที่พอจะเรียกได้ว่าหมัดหวังปา (หมัดตะพาบ เป็นคำด่า เปรียบเปรยว่าเป็นการปล่อยหมัดส่งเดช) กระมัง

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับเด็กๆ ของราชวงศ์เส้าหยวน

ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองก็ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรอีกแล้ว หากคิดจะตั้งกฎขึ้นมาเองก็อาศัยกระบี่ในการพูดเท่านั้น

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยคือคนต่างถิ่น เวทกระบี่ไม่ต่ำ แต่กลับมีนิสัยอ่อนโยน บวกกับตนกับกลุ่มเด็กรุ่นเยาว์ผู้มีพรสวรรค์กลุ่มนี้มีชื่อเสียงธรรมดามากในกำแพงเมือง ปราณกระบี่ แน่นอนว่าไม่คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่มองดูพวกเขา ฝึกกระบี่อยู่ไกลๆ อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนั้นยังมองพวกเขาอยู่แค่ไม่กี่ทีก็ก้มหน้าก้มตา อ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง เซียนกระบี่ขู่เซี่ยชำเลืองตามองชื่อหนังสือ คือ ตำราหมากล้อมเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ มีชื่อเสียงแพร่หลายมากในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชวงศ์เส้าหยวน เป็นตำราที่เอาไว้ใช้ไขปัญหายากตายตัวโดยเฉพาะ ประโยคหนึ่งในบทนำนั้นก็ยิ่งได้รับการ ยกย่อง ‘ฝีมือของข้าสูงหรือต่ำ ต้องดูที่วิธีรับมือที่ดีที่สุดในการเล่นหมากล้อมของ อีกฝ่าย ใช้วิธีการที่แข็งแกร่งรับมือกับผู้แข็งแกร่ง แล้วค่อยใช้วิธีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคว้าชัยชนะไปทีละก้าว นั่นจะไม่สาสมใจหรอกหรือ?’

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยคลี่ยิ้ม ตบะและขอบเขตของคนผู้นี้น่าจะไม่ต่ำ เพียงแต่ว่า เก็บอำพรางไว้ได้เป็นอย่างดี แม้แต่เขาก็ยากที่จะมองทะลุไปถึงรากฐานของอีกฝ่ายได้ในปราดเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรหรือขอบเขต ประตูมังกรแล้ว ส่วนจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิดในกลุ่มของเซียนดิน ก็ยิ่งบอก ได้ยาก

หรือว่าคิดจะใช้การเล่นหมากล้อมมาหาเรื่อง? ‘เด็กหนุ่ม’ ที่บอกอายุแท้จริง ได้ยากคนนี้มาผิดที่หรือไม่?

นอกจากจะถ่ายทอดเวทกระบี่แล้ว เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังให้กลุ่มผู้มีความสามารถซึ่งจะเป็นเสาคานของราชวงศ์เส้าหยวนในอนาคตฝึกตนด้วยตัวเอง ตามหาโชควาสนาและคว้าจับมาด้วยตัวเอง

เด็กหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์สายของเหวินเซิ่งคนนั้นมีความอดทนไม่น้อย เขานั่งอ่านตำราหมากล้อมอยู่ตรงนั้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังหยิบกระดานและโถเก็บเม็ดหมากออกมาด้วย ครั้นจึงเริ่มเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง

ในช่วงระหว่างพักนี้ ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทุกคนต่างก็จงใจอ้อมผ่านเด็กหนุ่มชุดขาว ไม่ใช่กลัวเขา แล้วก็ไม่ได้กลัวอาจารย์ของเขาอย่างเฉินผิงอัน แต่กลัวศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินผิงอันผู้นั้น

เกี่ยวกับการออกกระบี่ของจั่วโย่ว ยามอยู่บนหัวกำแพงเมือง พวกเขาต่างก็ไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียวราวกับรู้ใจกัน ทว่าตอนอยู่ในจวนซุนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนกลับพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวอยู่ไม่น้อย

“เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็แค่พูดถึงควันธูปของสายเหวินเซิ่งแค่ไม่กี่คำเอง ไม่ใช่หรือ จั่วโย่วผู้นั้นต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นเลยหรือไร? วิชากระบี่สูงกว่าก็มีเหตุผลแล้วงั้นหรือ? ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนเก่งของสายเหวินเซิ่ง เวทกระบี่สูงจริงๆ หลักการเหตุผลก็ยิ่งใหญ่จริงๆ”

“เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงมีผลการศึกเลื่องลืออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผ่านสงครามใหญ่มาตั้งกี่ครั้ง ฆ่าปีศาจไปตั้งกี่ตน?! เขาจั่วโย่วคือเซียนกระบี่ที่เข้าร่วมศึกใหญ่แค่ครั้งเดียว หากทำให้เยว่ชิงได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือถึงขั้นสังหารเยว่ชิงไปโดยตรง ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ควรต้องมอบกรอบป้ายอักษรทองให้จั่วโย่วเพื่อแสดงการขอบคุณเลยหรือไม่?”

“แค่เพื่อเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ต้องรบราฆ่าฟันกัน เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงพูดผิดตรงไหน ควันธูปของสายเหวินเซิ่งเบาบางก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขารนหาที่กันเอง หรอกหรือ? ก็ถือว่าดีแล้วที่ความรู้ของสายเหวินเซิ่งถูกห้ามเผยแพร่ ดีแล้วที่ปีนั้นราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเราทำลายตำราวิชาความรู้ของพวกเขาได้มากที่สุดและ เร็วที่สุด ถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากใต้หล้าไพศาลยกเอาความรู้ของสายนี้มาเป็นผู้นำ นั่นก็คงสนุกมากแล้วจริงๆ ใจแคบเท่าไส้ไก่ เกิดเรื่อง เข้าหน่อยก็ระดมกำลังครึกโครม ก็โชคดีที่ที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่อันคับแคบ ไม่อย่างนั้นหากยังอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาจะอาศัยเวทกระบี่ของตัวเองมาสร้างปัญหาใหญ่เทียมฟ้าหรือไม่”

เพียงแต่ว่ายามที่คนรุ่นเยาว์พวกนี้แสดงท่าทางโกรธเคือง กลับไม่รู้เลยว่า เซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่นั่งอยู่ข้างกายซุนจวี้เฉวียน ใบหน้าที่ขมขื่นเหมือนมะระมา ตั้งแต่เกิดกลับยิ่งขื่นขมระทมเข้าไปอีก

ซุนจวี้เฉวียนที่สวมชุดแขนเสื้อกว้างใหญ่นั่งอยู่บนระเบียง ในมือถือ ‘น้ำพุสุรา’ กระดกเหล้าขึ้นดื่ม ยิ้มถามว่า “ขู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนพวกนี้คิดแบบนี้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นคนโง่ที่ไม่มีเรื่องกลับหาเรื่องจะพูดกันแน่?”

ขู่เซี่ยไม่ได้ให้คำตอบ

เพราะว่าคำตอบทั้งสองอย่างนี้ต่างก็ไม่ใช่คำตอบที่ดี

ดูเหมือนว่าซุนจวี้เฉวียนจะยอมรับชะตากรรมมากกว่าขู่เซี่ยเสียอีก แม้แต่จะโกรธยังคร้านจะทำ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกหัวมังกุท้ายมังกร พูดจาหนวกหูชวนให้คนรำคาญใจ”

ขู่เซี่ยถอนหายใจโล่งอก

จะดีจะชั่วก็ยังพักอยู่ในจวนซุนได้

แต่ถ้อยคำประโยคสุดท้ายของซุนจวี้เฉวียนกลับทำให้ขู่เซี่ยรู้สึกจนใจไม่น้อย “อยู่ในใต้หล้าไพศาล จะกินของส่งเดชไม่ได้ ทว่ากลับสามารถพูดจาส่งเดชได้ ทว่า อยู่กับข้ากลับตรงกันข้ามพอดี ของกินมั่วซั่วได้ แต่คำพูดไม่อาจเอ่ยส่งเดช เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยขอร้องแทนพวกเจ้า ข้าซุนจวี้เฉวียนเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่พอให้คนเขา ฟันกระบี่ใส่หลายทีหรอก แล้วนับประสาอะไรกับที่ตายไปแล้วยังเสียเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปไย ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ตามหลักแล้วราชวงศ์เส้าหยวนก็ถือเป็นสถานที่ที่ไม่ขาดอารยธรรม เจ้าพวก ลูกกระต่ายกลุ่มนี้ก็น่าจะได้เล่าเรียนเขียนอ่านกันมาไม่น้อย หลักการเหตุผลในตำรา ก็น่าจะกินเข้าท้องไปบ้างกระมัง กินอาหารเลิศรสหายากก็ขี้ออกมาเติมส้วม จะดี จะชั่วก็ยังพอมีประโยชน์ แต่นี่กินหลักการเหตุผลไปแล้ว แล้วก็ขี้ออกมาแล้ว ปากตัวเองเหม็นหรือไม่ ปากคนข้างๆ เหม็นหรือไม่ แค่นี้ก็น่าจะได้กลิ่นอยู่บ้าง ไม่ใช่หรือ? ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่า คำพูดเหล่านี้ของพวกเขา พูดอยู่ในจวนซุนของข้าก็พอ เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงจวนซุนของข้าก็ถูกพวกเจ้าทำร้ายจนฉาวโฉ่ไปทั่ว หัวถนนแล้ว แต่หากยังออกไปโหวกเหวกอยู่ข้างนอก จวนซุนไม่ช่วยเก็บศพให้ หรอกนะ”

จนถึงตอนนี้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังคงจดจำสายตาเย็นชาตอนเอ่ยประโยคสุดท้าย และคำพูดประโยคสุดท้ายของซุนจวี้เฉวียนได้ชัดเจน “ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราก็เป็นสถานที่กันดารยากจน เรียนหนังสือรู้ตัวอักษรก็ยิ่งเป็นเรื่อง หายาก ลงมือทีก็ไม่รู้จักหนักเบา หากศพไม่ครบถ้วนก็ยากจะเก็บกลับมาประกอบ กันได้”

หลังจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยเปิดปากเอ่ยให้หยุดพักครึ่งชั่วยาม จูเหมยก็รีบวิ่งไปหาอวี้เจวี้ยนฟูทันที เพราะต้องการบอกนางว่าชุยตงซานมาที่นี่ แค่มองก็รู้แล้วว่า มาเพื่อหาเรื่อง

จินเจินเมิ่งยังคงนั่งอยู่บนเบาะในมุมเพียงลำพัง ตามหาปณิธานกระบี่เสี้ยวที่ซ่อนอยู่ในปราณกระบี่พวกนั้นอยู่เงียบๆ

หลินจวินปี้ที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังช่วยไขข้อข้องใจและตอบปัญหายากแก่ ผู้ฝึกกระบี่สองสามคน

มีเพียงเหยียนลวี่ที่ลุกขึ้นยืนเดินไปหาลูกศิษย์ของเฉินผิงอันที่มีนามว่าชุยตงซานคนนั้น เขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง หันหน้ามามองสถานการณ์หมากบนกระดานแล้วยิ้มถามว่า “คือหัวข้อเป็นตาย (คือหัวข้อหนึ่งในการเล่นหมากล้อมโดยการกำหนดขอบเขตหนึ่งที่แน่นอนเอาไว้ แล้วให้ฝ่ายหนึ่งเดินก่อน โดยจะใช้วิธีฆ่าให้เป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งจะเป็นหมากของตัวเองหรือหมากของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ให้ตายหรือจะช่วยให้มีชีวิตรอด) ที่อยู่ใน ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ของอาจารย์ซีหลูหรือ?”

ชุยตงซานเงยหน้า ชำเลืองตามองเหยียนลวี่แวบหนึ่ง ไม่เอ่ยอะไรก็ก้มหน้าลง พยายามแก้หัวข้อปัญหาสถานการณ์หมากของตัวเองต่อไป

เหยียนลวี่ยิ้มกล่าว “เจ้าอยู่ที่นี่เพราะนึกอยากจะเล่นหมากล้อมกับใครหรือไม่? อยากขอให้จวินปี้ช่วยสอนวิชาหมากล้อมแก่เจ้างั้นหรือ? ข้าแนะนำเจ้าว่าถอดใจ เสียเถอะ จวินปี้ไม่มีทางเดินมาที่นี่หรอก”

ชุยตงซานเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เจี่ยงกวนเฉิง หากเจ้าคิดอยากจะตีสนิทข้า เพื่อจะให้อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้า ข้าก็แนะนำเจ้าว่ารีบไสหัวไปดีกว่า”

เจี่ยงกวนเฉิง?

เหยียนลวี่หลุดหัวเราะพรืด

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “ทำไม ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่งอย่างเจ้าคิดจะมาประลองบุ๋นกับข้าบนกระดานหมากล้อมงั้นหรือ?”

เหยียนลวี่ส่ายหน้า คลี่ยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “เจ้าจำคนผิดแล้ว แม้ข้าเหยียนลวี่จะไม่ใช่ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่ง แต่ก็รู้ดีว่าลูกศิษย์สายของ หย่าเซิ่งให้ความเคารพกฎเกณฑ์ ยกย่องคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เป็นที่สุด ไม่เคยแก่งแย่งช่วงชิงกับผู้อื่นโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง หลักการเหตุผลอยู่ในตำราอยู่ในหัวใจ ไม่ได้อยู่บนหมัดหรือบนกระบี่ แน่นอนว่าก็ไม่อยู่บนกระดานหมากด้วย ข้าไม่ใช่สายของหย่าเซิ่งยังรู้เหตุผลข้อนี้ แล้วลูกศิษย์นับหมื่นของสายหย่าเซิ่งจะไม่ยิ่งเห็นด้วยหรอกหรือ?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าชื่อเหยียนลวี่ ไม่ใช่เจี่ยงกวนเฉิงที่บนหลุมศพบรรพบุรุษในบ้านมีควันเขียวผุดขึ้น ผู้อาวุโสสองคนในตระกูลต่างก็เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาหรอกหรือ? เจ้าคือลูกหลานตระกูลเหยียนแห่งแผ่นดินกลาง?รึ?”

เหยียนลวี่สีหน้าเคร่งเครียด พูดเสียงขรึม “เจ้าระวังคำพูดด้วย!”

ชุยตงซานโบกมือ มือหนึ่งคีบเม็ดหมาก อีกมือหนึ่งถือตำรา ชำเลืองตามอง เหยียนลวี่แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พูดถึงเจี่ยงกวนเฉิงที่ปากบอกว่าใส่ใจ แต่ในใจกลับไม่แยแสแม้แต่น้อยผู้นั้นแล้ว ข้าจะพูดถึงเจ้าก็แล้วกัน บรรพบุรุษตระกูลเจ้าก็คือเหยียนซีที่ทุกครั้งที่ภูเขาชิงเสินมีงานเลี้ยงสุราก็ล้วนไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่กลับทำหน้าหนาไปขอเหล้าดื่ม คือสุนัขเหยียนขาเลียตัวเป้งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสินะ?! ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าไปแล้ว ต่อให้ได้แต่นั่งอยู่ตำแหน่งท้ายสุด เขาที่จะคนก็ไม่ใช่นก (เพราะนับแต่โบราณมานกถูกมองว่ามีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศชาย จึงกลายมาเป็นคำด่าอีกอย่างหนึ่ง) ก็ไม่เชิง กลับพยายามสุดชีวิตเพื่อจะดื่มคารวะคนอื่น พอออกมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ก็รีบวางท่าว่าเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าเหยียนที่ ‘ข้าไม่เพียงแต่เคยดื่มเหล้าบนภูเขาชิงเสิน ยังเคยดื่มเหล้ากับใครๆๆ แล้วก็พูดคุยถูกคอกับใครๆๆ มาด้วย’?

ก็โชคดีที่มีเจ้าคนผู้หนึ่งไม่รู้กาลเทศะ ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์บนโต๊ะเหล้า ไม่ทันระวังจึงหลุดปากเปิดเผยความลับสวรรค์นี้ออกมา ไม่อย่างนั้นฉายาสุนัขเหยียนขาเลียตัวเป้งนี้ก็ยังแพร่สะพัดไปไม่ได้จริงๆ คุณชายเหยียน เห็นด้วยหรือไม่ล่ะ?”

เหยียนลวี่หน้าเขียวคล้ำ

ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ก็แค่คำพูดเท่านั้น เบาบางล่องลอย ความใจกว้างของบัณฑิตอยู่ที่ไหนเล่า? ไยต้องเกิดจิตคิดสังหารข้าด้วย? หนำซ้ำยังคิดว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย คิดว่าการสังหารข้านับว่ามีเหตุผลดีแล้ว เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะขี้ขลาดถูกเจ้าทำให้ตกใจตายไปโดยตรงเลยหรือ? ไม่กลัวจะถูกอาจารย์ลุงใหญ่ของข้าสับเจ้าเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเนื้อบดหรือ? หรือเพราะมองไม่ออกว่าตบะของข้าสูงหรือต่ำ แต่กลับเกรงกลัวอาจารย์ที่ขอบเขตสูงนอกฟ้าของข้า บวกกับที่ตัวเจ้าเองคือเศษสวะ ถึงได้อดทนข่มกลั้นเอาไว้ คิดว่าลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย? เจ้าลองคิดดูนะ หากอิงตามหลักการนี้ แล้วทำตามกฎเกณฑ์ของพวกเจ้า เจ้ากับอาจารย์ลุงใหญ่ของข้าตามที่พวกเจ้าเรียกก็ไม่ใช่คนประเภทเดียวกันหรอกหรือ? เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างเล็กๆ ก็คือเจ้าเหยียนลวี่คือเศษสวะที่สุนัขเฒ่าขาเลียสอนมา เวทกระบี่ก็เลยอยู่ในหลุมขี้ แต่เวทกระบี่ของอาจารย์ลุงใหญ่ข้าอยู่สูงบนฟากฟ้าก็เท่านั้น”

เหยียนลวี่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สองหมัดกำแน่น แต่สุดท้ายกลับคลี่ยิ้มบางๆ

ชุยตงซานวางเม็ดหมากและตำราหมากล้อมลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ยิ้มสดใสเอ่ยว่า “เห็นไหม หลักการเหตุผลของ พวกเจ้า ข้าก็รู้เหมือนกัน ใช้หลักการเหตุผลของพวกเจ้าแล้วง่ายกว่า สบายกว่าจริงๆ เสียด้วย”

ชุยตงซานโบกมือ พูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “สุนัขขาเลียน้อยตระกูลเหยียนรีบถอยไปซะ รีบกลับไปเลียก้นของสุนัขขาเลียเฒ่าตระกูลพวกเจ้าเถอะ บรรพบุรุษตระกูลเจ้าตบะสูง เศษน้ำแกงเย็นๆ น้อยนิดที่ติดมาบนก้นนั้นพอจะป้อนให้เจ้าอิ่มได้ ยังจะวิ่งมาทำอะไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มาส่ายหางตามก้นหลินจวินปี้หรือ? ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่กับผีน่ะสิ ไม่คิดเสียบ้างว่าคุณชายใหญ่หลินของพวกเราเป็นใคร เขาออกจะสง่างามสูงส่ง ดุจดั่งเทพเซียนในกลุ่มคน…”

ในช่วงเวลาที่เหยียนลวี่กำลังจะเรียกกระบี่ออกมานั้นเอง

หลินจวินปี้ก็ลุกขึ้นยืนพอดี “พอเถอะ ชุยตงซาน ข้าเล่นหมากล้อมกับเจ้าก็ได้ วิธีพูดจากระทบกระเทียบแบบนี้ อย่าทำจะดีกว่า”

ชุยตงซานใช้มือหนึ่งบีบจมูก อีกมือหนึ่งกวักเรียก “คุณชายหลินรีบนั่งลงเร็วเข้า ข้าคงได้แต่อาศัยกลิ่นอายเซียนของเจ้ามาขับไล่กลิ่นเยี่ยวเหม็นฉุนนี่แล้วล่ะ”

เหยียนลวี่ยังคิดจะออกกระบี่ แต่กลับถูกเซียนกระบี่ขู่เซี่ยใช้เสียงในใจเอ่ยห้าม “จั่วโย่วไม่มีทางออกกระบี่เพื่อตัวเอง แต่กลับจะออกกระบี่เพื่อสายของเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่คิดจะสนใจด้วยว่าเจ้าคือใคร มีขอบเขตอะไร”

เหยียนลวี่หน้าซีดขาวเล็กน้อย กระโดดลงจากหัวกำแพงกลับไปนั่งที่เบาะ

ตอนที่เดินสวนไหล่กับหลินจวินปี้ หลินจวินปี้ตบไหล่ของเหยียนลวี่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังมีข้าอยู่นะ เวทกระบี่ของข้าไม่ได้เรื่อง แต่วิชาหมากล้อมยังพอถูไถ ถูกไหม?”

เหยียนลวี่ที่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจและถูกหยามเกียรติพยักหน้ารับแรงๆ

หลินจวินปี้สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง นั่งลงฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากเบาๆ

ชุยตงซานยกมือสองข้างถูกัน พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและอิจฉา “ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำของคุณชายหลินก็ล้วนมีกลิ่นอายเซียนล่องลอยขนาดนี้ ต้องติดตัวมาจากท้องแม่แน่นอนเลย ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นจะสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วดุจน้ำไหลเมฆคล้อย กลิ่นอายเซียนเอ่อท้นล้นหลามขนาดนี้ได้อย่างไร? ไม่มีทางเป็นไปแน่นอน นี่จะต้องเป็นพรสวรรค์อภินิหารที่ไร้รูปลักษณ์ อย่างหนึ่งแน่ๆ เลย!”

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าพูดจากระทบกระเทียบกันนั้นไม่มีความหมาย วางหมากลงก็พอ หากเจ้ายังตอแยไม่เลิกราแบบนี้ ข้าก็จะไม่เล่น หมากล้อมกับเจ้าแล้ว”

ชุยตงซานขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม “เดิมพันสักหน่อยไหม?”

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ไม่เดิมพัน แค่แบ่งแพ้ชนะบนกระดานเท่านั้น”

ชุยตงซานเองก็ส่ายหน้า “เล่นหมากล้อมไม่มีของรางวัลจะสนุกตรงไหน? ข้ามา ก็เพราะกะว่าจะมาหาเงิน…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็หันหน้าไปอีกทาง เด็กหนุ่มชุดขาวที่เมื่อครู่พอจะมีมาดของนักเล่นหมากล้อมอยู่บ้าง เวลานี้กลับกวักมือแรงๆ พลางยิ้มกว้างเอ่ยว่า “พี่หญิงอวี้ ทางนี้ๆ ข้าจะเล่นหมากล้อมกับคุณชายหลินแล้ว มาดูว่าข้าจะเอาชนะเขาอย่างไร!”

หลินจวินปี้เองก็เงยหน้าขึ้น เพียงแต่เมื่อเทียบกับชุยตงซานที่ปากเปราะแล้ว หลินจวินปี้ที่รูปโฉมหล่อเหลาดุจเซียนไม่ต่างกันกลับมีมาดสุภาพสง่างาม เพียงแค่ หันไปยิ้มอย่างจนใจให้กับอวี้เจวี้ยนฟู

อวี้เจวี้ยนฟูสีหน้าไร้อารมณ์

จูเหมยกลั้นยิ้มไม่ไหว เรียกอวี้เจวี้ยนฟูอย่างสนิทสนมว่า ‘ไจ้ซี ไจ้ซี’ จากนั้น ก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย”

ทว่าในใจอวี้เจวี้ยนฟูกลับมีความคิดนับร้อยประดังประเด

จริงดังคาด อีกฝ่ายคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าจูเหมยจะต้องบอกเรื่องนี้กับตน แล้วก็คำนวณได้ว่าตนจะต้องปรากฏตัว อีกทั้งการปรากฏตัวของสตรีตระกูลอวี้ อย่างตนย่อมต้องไปกระตุ้นใจอยากเอาชนะของคนอย่างหลินจวินปี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ความคิดที่น้อยนิดเท่าเมล็ดงา เมื่อบังเกิดขึ้นมากลับไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

และนี่ก็ยังคงอยู่ในแผนการของชุยตงซานผู้นี้

อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้เดินเข้าไปใกล้คนทั้งสองที่เล่นหมากล้อมกัน แต่นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มกินแผ่นแป้งย่างพร้อมกับน้ำ จูเหมยอยากจะไปร่วมวงความครึกครื้นที่นั่น แต่กลับถูกอวี้เจวี้ยนฟูรั้งตัวไว้บอกให้อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนนาง

ชุยตงซานมองไปยังแผ่นหลังของอวี้เจวี้ยนฟูแล้วเอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “พี่หญิงอวี้คนนี้ หากนางยอมมองข้าแค่สักแวบก็พอแล้ว แค่นี้ก็ช่วยให้ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของข้าเพิ่มพูน โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น”

หลินจวินปี้รวบรวมสมาธิไม่เอ่ยคำใด

ชุยตงซานหันหน้ามา “เดิมพันเล็กๆ เพื่อความสนุกสนาน หนึ่งเหรียญทองแดง”

หลินจวินปี้ถาม “เงินเหรียญทองแดง?”

“ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรล่ะ? เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญยังจะถือเป็นการเดิมพันเล็กๆ ได้อีกหรือ?”

ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ย “คุณชายหลินมีเงินจริงๆ”

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าจะไปหาเหรียญทองแดงจากไหนมาให้เจ้า ใช่แล้ว คิดดูแล้วโอกาสแพ้ก็คงไม่มาก น่าจะชนะได้มากกว่า เพราะถึงอย่างไรหากชนะได้เงิน เหรียญทองแดงมาเหรียญหนึ่ง เมื่อเทียบกับชนะได้เงินฝนธัญพืชมาหนึ่งเหรียญแล้วก็น่าสนใจมากกว่า ในอนาคตสามารถทำให้พวกคนที่ชมการประลองจดจำได้มากกว่า”

ชุยตงซานกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ความคิดอันเลิศล้ำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังยากจะคาดเดาของข้านี้ ข้าว่าตัวเองอำพรางได้ดีแล้วนะ แต่คุณชายหลินก็ยังเดาออกอีกหรือ?! เงินเหรียญทองแดงเหรียญนั้นในกระเป๋าข้า ไม่ใช่ว่าต้องเจอความเสี่ยงที่ต้องออกจากบ้านออกเรือนไปกับคนอื่นหรอกหรือ!”

หลินจวินปี้จำต้องยอมรับว่าคนตรงหน้าทำให้ตนสะอิดสะเอียนได้ไม่น้อย แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเหยียนลวี่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกลายเป็นตัวตลกของ คนอื่น เขาก็ถือว่ายังดีกว่ามากโข บทสนทนาในวันนี้ วันหน้าในราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องมีคนไม่น้อยได้ยินผ่านหู หลังจากนี้การฝึกกระบี่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเหยียนลวี่จะได้รับผลเก็บเกี่ยวหรือไม่ ก็บอกได้ยากแล้ว เมื่อผู้ฝึกตนไม่อาจปัดเป่าความยอกแสลงใจออกไปได้หมด อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของตระกูลซึ่งเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากยิ่งกว่า อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้ผลเก็บเกี่ยวที่เดิมทีเหยียนลวี่ควรได้รับมาถูกลดทอนหายไปหลายส่วน

หลินจวินปี้เอ่ยว่า “ตกลงกันไว้ก่อนว่า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนมีเดิมพันอยู่แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียว เดาก่อนไหม?”

ชุยตงซานถามว่า “คุณชายหลินมีฝีมือการเล่นหมากล้อมเลิศล้ำ แต่กลับไม่ยอมต่อให้ข้าก่อนสามเม็ดงั้นหรือ? ไม่อยากกลับไปพร้อมชัยชนะใหญ่หนึ่งเหรียญทองแดงหรืออย่างไร?!”

หลินจวินปี้ยื่นมือเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมากแล้ว เขากำเม็ดหมากเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ช่วยมีกฎระเบียบหน่อยได้ไหม เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนบนภูเขา แต่เรื่องเดาหมากล้อมก็ควรต้องทำตามกฎของล่างภูเขากระมัง?”

ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกระดานหมากล้อมกระดกก้นขึ้น เบิกตากว้าง เงี่ยหูรอฟังอยู่นานแล้ว ใช่ว่าหลินจวินปี้จะไม่มีวิธีในการปิดบังเสียง เม็ดหมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าตบะของอีกฝ่ายสูงหรือต่ำ หากตนทำเช่นนี้ แล้วอีกฝ่าย มีตบะของเซียนดิน คนที่เสียเปรียบก็ยังต้องเป็นตนอยู่ดี ทว่าการเล่นหมากล้อมคือเรื่องของการป้องกันทั้งสองฝ่าย หลินจวินปี้ย่อมไม่อาจบอกให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ย ช่วยจับตามองอีกฝ่ายให้ได้

ชุยตงซานกลับลงไปนั่งที่เดิม พยักหน้ารับแล้วเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ถือว่าเจ้าชนะได้เดินก่อน ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ถึงความตื้นลึกของฝีมือการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลิน ทว่าฝีมือนอกกระดานหมากกลับร้ายกาจจริงๆ เมื่อเทียบกับสุนัขน้อยเหยียนขาเลียที่มักจะใช้หลักการเหตุผลของตัวเองมาตบหน้าตัวเองแล้ว นับว่าเก่งกาจกว่ามากนัก”

หลินจวินปี้คลายมือออก แล้วกำเม็ดหมากใหม่อีกครั้ง

จุดที่ร้ายกาจก็คือหลินจวินปี้ที่เดิมทีอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ก็เพราะเขาเป็นฝ่ายรักษากฎเกณฑ์ก่อน จึงเป็นการบีบให้อีกฝ่ายที่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ยังต้องรักษากฎตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทางโลกในใต้หล้านี้จะเป็นแบบนี้ไปเสียทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ใกล้กับกระดานหมากก็ควรจะเป็นเช่นนี้

พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยอย่างเจี่ยงกวนเฉิงที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้ รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

พอต้องเดาก่อน ชุยตงซานก็หยิบเอาเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งออกมาโยนลง บนพื้น มองว่าเป็นหัวก้อย แล้วเขาก็โชคไม่เลว เพราะได้เดินนำไปก่อน

ฝั่งของอวี้เจวี้ยนฟูที่ถูกจูเหมยพาให้หันหน้าเข้าหาสองคนที่ประลองหมาก พอเห็นภาพนี้ก็คลึงขมับ ปวดหัวยิ่งนัก

ทั้งสองฝ่ายทยอยกันวางเม็ดหมาก

หลินจวินปี้มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ คนผู้นี้เดินหมากตามรูปแบบของ ‘ตำราน้ำพุดอกท้อน้อย’ ที่โบราณเก่าแก่และหาได้ยากมาก

ความมหัศจรรย์ของมันนั้นอยู่ที่การรบเร็วจบเร็ว แก่นของมันอยู่ที่สิบคำว่า ‘ใช้กฎเกณฑ์สูงสุดมาวางหมากแบบไร้เหตุผลก่อน’ เพียงแต่ว่าหากนักเล่นระดับสูงสุดของแคว้นใช้ความคิดไตร่ตรองดูสักหน่อย วิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินจวินปี้เคยอ่านตำราเล่มนี้มาก่อนนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นบนกระดานหมากเป็นใครกันแน่ที่ชิงลงมือได้ก่อน? เท่านี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว

หลินจวินปี้วางหมากไม่ช้าไม่เร็ว แต่อีกฝ่ายวางหมากรวดเร็วราวกับบินตลอดเวลาคล้ายคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ในกำมือได้แล้ว

หลินจวินปี้จงใจอำพรางฝีมือในช่วงเวลาที่สำคัญหลายครั้ง

เขาวางหมากไปได้ถึงสองร้อยสามสิบกว่าครั้งกว่าจะยอมแพ้

ก็แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่คิดจริงๆ หรือว่าหากตนชนะได้ แล้วจะทำให้คนอย่าง เหยียนลวี่ซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหล?

นั่นคงไม่ใช่เหยียนลวี่เลว แต่เป็นหลินจวินปี้เองที่โง่

เมื่อใดที่ชื่อเสียงอันสะอาดบริสุทธิ์ของตระกูลเหยียนที่ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องอาศัยเด็กหนุ่มคนหนึ่งของราชวงศ์เส้าหยวนมาคอยกอบกู้?

มีเพียงหลินจวินปี้แพ้ อีกทั้งยังแพ้แบบเฉียดฉิว หมากล้อมที่ตนพ่ายแพ้ด้วยการพยายามอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งยังพ่ายแพ้ด้วยความเสียดาย นั่นต่างหาก ถึงจะทำให้เหยียนลวี่รู้สึกซาบซึ้งได้สักสองสามส่วน แน่นอนว่าไม่มากไปกว่านั้นแล้ว ถึงอย่างไรคนอย่างเหยียนลวี่ ชื่อเสียงจอมปลอมก็คือชื่อเสียงจอมปลอม

มีเพียงผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ถึงจะทำให้เขาหวั่นไหวได้ อย่างแท้จริง อีกทั้งยังยินดีที่จะจำไว้ว่าการเป็นพันธมิตรกับหลินจวินปี้นั้นมีแต่ได้กำไร

หลังจากที่หลินจวินปี้โยนหมากเพื่อแสดงว่ายอมรับความพ่ายแพ้แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนี้บนร่างข้าไม่มีอยู่จริงๆ วางใจเถอะ พอไปถึงที่นคร ข้าจะไปยืมเงินนี้จากคนอื่นมาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเมื่อยืมมาได้แล้วควรจะเอาไปมอบให้ถึงที่ด้วยตัวเองหรือไหว้วานให้คนอื่นช่วย ก็ล้วนให้คนชนะเป็นคนตัดสินใจ”

ชุยตงซานพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ จ้องมองไปยังสถานการณ์หมากที่สุ่มเสี่ยงระหว่างแพ้ชนะครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ยิ้มกล่าวว่า “มิน่าเล่าๆ คุณชายหลินต้องเคยแอบอ่าน ‘ตำราน้ำพุดอกท้อน้อย’ มาก่อนแล้วแน่ๆ ข้าก็ว่า แล้วเชียว การเปิดฉากด้วยวิธีการของเทพเซียนที่เล่นร้อยครั้งก็ไม่พลาดสักครั้งของ ข้านี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่จะทำให้คู่ต่อสู้เล่นไปได้ครึ่งกระดานก็ต้องยอมแพ้แล้ว”

หลินจวินปี้ยิ้ม ไม่เห็นเป็นสำคัญ ได้รับผลประโยชน์แล้วยังเรียกร้องความไม่เป็นธรรมก็หนีไม่พ้นแบบนี้เอง

ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คุณชายหลินจะไปยืมเงินด้วยตัวเองหรือไม่ จะให้ข้าตามก้นคุณชายหลินต้อยๆ ก็คงไม่เข้าท่า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยศึกษาแก่นของขนบธรรมเนียมตระกูลเหยียนมาก่อน แต่คุณชายหลินจะเอาเงินมาส่งให้ด้วยตัวเองหรือไม่ ข้ากลับพอจะมีวิธีอยู่ หากครั้งที่สองข้าชนะ ของรางวัลต้องเป็นของข้า แล้วข้าก็สามารถเอามาดของนักเล่นระดับแคว้นออกมาใช้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คุณชายหลินไม่ต้องมาด้วยตัวเอง แค่ให้พี่หญิงอวี้เป็นคนเอามาส่งให้ก็พอ หากคุณชายหลินชนะ…จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าคนนี้เวลาเล่นหมากล้อม ความสามารถก้นกรุไม่มีอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรวิชาหมากล้อมและ กระบวนท่าทั้งหลายที่ข้ารู้มาก็ล้วนเป็นความสามารถก้นหีบของคนอื่น ฝีมือเทพเซียนของคนอื่น ในสายตาของข้าแล้วล้วนถือเป็นการเดินหมากอย่างไร้เหตุผลทุกหนแห่ง…”

หลินจวินปี้เก็บเม็ดหมาก เตรียมจะลุกขึ้นยืน

พอชำเลืองตามอง หลินจวินปี้ก็พลันค้นพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เล่มนั้นถูกเด็กหนุ่มชุดขาวเอาไปรองก้นนั่งทับแล้ว

สีหน้าของหลินจวินปี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

คนที่เขียนตำราเล่มนี้คือนักเล่นระดับแคว้นลำดับสองของราชวงศ์เส้าหยวน แน่นอนว่าอันดับหนึ่งต้องเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลินจวินปี้อย่างราชครูราชวงศ์เส้าหยวน

แต่นักเล่นระดับแคว้นท่านนี้กลับเคยประลองฝีมือกับหลินจวินปี้มาหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นอาจารย์ซีหลูผู้นี้จึงพอจะถือว่าเป็นครึ่งอาจารย์หนึ่งครึ่งสหายหนึ่งของหลินจวินปี้ได้

ชุยตงซานรวบเก็บเม็ดหมากใส่โถที่อยู่ข้างมือตัวเอง เอียงคอเอียงไหล่ ยกก้นขึ้นดึงตำราเล่มนั้นออกมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หัวข้อเป็นตาย หัวข้อเป็นตาย เกือบจะทำให้ข้าขำตายแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นหัวข้อเป็นตาย แต่อ่านมากไปกลับกลายเป็นว่าจะทำให้หมากที่มีชีวิตตายทั้งเป็นไปเสียได้ อาจารย์ซีหลูท่านนี้ของ พวกเราช่างมีความตั้งใจอย่างลึกล้ำเสียจริง ยอมทำลายชื่อเสียงของตัวเองเพื่อให้นักเล่นหมากล้อมบนโลกได้เห็นตัวอย่างเชิงลบ ทั้งน่านับถือและน่าเศร้า น่าสรรเสริญและน่าร่ำไห้ คุณชายหลิน วันหน้าเจ้าต้องช่วยแนะนำเขาให้ข้ารู้จักบ้างนะ นักเล่นระดับแคว้นที่มีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ เมื่อก่อนไม่มี วันหน้าคาดว่าก็คงไม่มีอีกเหมือนกัน”

หลินจวินปี้ยกมือขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้ ‘คนกันเอง’ ที่อยู่ห่างไปไกลพวกนั้นพูดจาภาษาคนกันเองอะไรอีก

เพราะหากเปิดปากเอ่ยขึ้นมาจริงๆ คนที่โมโหจะไม่ใช่ชุยตงซาน มีแต่จะเป็นเขาหลินจวินปี้ แน่นอนว่าคนพวกนั้นก็ต้องมีครึ่งหนึ่งที่เดือดดาลเข้าจริงๆ ถึงได้ทวงความเป็นธรรมให้แก่เขาและอาจารย์หลูซี แต่ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เมื่อกระพือลมพัดไฟโทสะให้โหมแรงได้สำเร็จแล้วก็จะได้มีเรื่องสนุกให้ดู

หลินจวินปี้ไม่คิดจะมอบโอกาสนี้ให้พวกเขา

ในเมื่อตนห้ามไปแล้ว หากยังกล้าเปิดปากพูด ก็แสดงว่าโง่เง่าเกินเยียวยา คิดดูแล้วไม่น่าจะมีใครที่เป็นเช่นนั้น

แล้วก็จริงดังคาด ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีกแล้ว

ชุยตงซานโยนตำราหมากล้อมเล่มนั้นออกไปนอกหัวกำแพง พยักหน้าพูดอยู่กับตัวเองว่า “หากถูกพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเก็บเอาไป แค่อ่านก็ต้องเข้าใจ แค่มองก็เล่นเป็นทันทีอย่างแน่นอน นับแต่นี้ไปแต่ละตนก็เหมือนกับรนหา ที่ตาย กำแพงเมืองปราณกระบี่ไร้ทุกข์ไร้กังวล ใต้หล้าไพศาลไร้ทุกข์ไร้กังวล”

หลินจวินปี้กลับมานั่งที่เดิม ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าได้เดินก่อน เจ้าและข้ามาเล่นกันอีกตา เดิมพันด้วยอะไร?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ครั้งนี้พวกเราสองพี่น้องมาเดิมพันให้ใหญ่กว่าหน่อย หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ! เจ้าและข้าต่างก็เล่นหัวข้อเป็นตายคนละหนึ่งครั้ง เป็นอย่างไร? จนกระทั่งใครที่แก้สถานการณ์ไม่ได้ก็ถือว่าคนนั้นแพ้ แน่นอนว่า ข้าคือคนที่เล่นชนะ ไม่จำเป็นต้องเดาก่อน แล้วก็ยกให้เจ้าได้เดินก่อนด้วย เจ้าเป็นคนตั้งสถานการณ์ ข้าจะแก้ว่าเป็นหรือตาย แต่ขอแค่คลี่คลายไม่ได้ ข้าก็จะทำตัวเป็นคนคิดสั้นกระโดดลงจากหัวกำแพง ต่อให้ต้องเดิมพันด้วยชีวิตก็จะต้องแย่งชิงตำรา หมากล้อมที่มูลค่าควรเมืองเล่มนั้นกลับมาจากมือของปีศาจใหญ่ที่บูชามันดั่งสมบัติ ล้ำค่าพร้อมกับรู้สึกว่าที่แท้การเล่นหมากล้อมก็ง่ายดายเพียงเท่านี้มาให้ได้ แต่หาก ข้าชนะ คุณชายหลินก็ต้องยอมจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งให้ข้าแต่โดยดี”

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ไม่แก้หัวข้อเป็นตาย แค่เล่นหมากล้อมเหมือนเดิม”

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน อย่าได้ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงจมูกเดินเด็ดขาด

ชุยตงซานทำสีหน้าตกตะลึงคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย

หลินจวินปี้ไม่กล้าประมาท ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่สิ่งที่ พวกเหยียนลวี่สามารถทัดเทียมได้แน่นอน ฝีมือของคนผู้นี้ต้องไม่เป็นรองศิษย์พี่ เปียนจิ้งแน่ๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจุดที่สูงที่สุดของวิชาหมากล้อมอีกฝ่ายอยู่ที่ใดกันแน่ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก ตนจำเป็นต้องยกคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นอีกสักหน่อย

หลินจวินปี้เองก็คร้านจะมองสีหน้าของอีกฝ่าย เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา “คราวนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าบ้าง ข้าจะเป็นคนเดาก่อน”

หมากกระดานต่อไปนี้ต้องดูความตื้นลึกของอีกฝ่ายให้ได้มากขึ้น

เพราะถึงอย่างไรก็ถูกคนผู้นี้ลากเอาอาจารย์ซีหลูและ ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ที่มีชื่อเสียงมานานเข้ามาเกี่ยวข้องเดียว

เพียงแต่ว่าการแพ้ชนะบนกระดานยังคงเป็นเรื่องรอง ตนยังไม่ต้องสนว่าจะแพ้หรือชนะ หากแพ้แล้ว อาจารย์ซีหลูก็จะไม่ใช่นักเล่นลำดับต้นๆ ของแคว้นในทวีป แดนเทพแผ่นดินกลางอีกแล้วหรือ? หรือว่า ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ก็จะถูก ขับไล่ออกจากลำดับรายชื่อตำราหมากล้อมใต้หล้างั้นหรือ?

การประลองครั้งที่สอง

หลินจวินปี้ใช้เวลาไตร่ตรองนานมาก

ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวฝั่งตรงข้ามก็ยิ่งใคร่ครวญนานยิ่งกว่า ในที่สุดก็ไม่แสร้งทำเป็น เกาแก้มเกาคาง หรือบางครั้งก้แสร้งทำเป็นขมวดคิ้วเบาๆ ราวกับลำบากใจอีกแล้ว

แพ้ชนะยังคงห่างกันเพียงเสี้ยวเดียว

ครั้งนี้กลายเป็นหลินจวินปี้ที่เพ่งมองกระดานหมากเนิ่นนานบ้างแล้ว

หมากสามเม็ดสุดท้ายของอีกฝ่ายล้วนมีฝีมือเลิศล้ำ

ฝีมือการเล่นเพิ่มขึ้นพรวดพราด รูปแบบการเล่นพลิกเปลี่ยน หลักการเหตุผลก็ยิ่งกลับหน้ามือหลังมือ

นี่ถึงได้ทำให้หลินจวินปี้ตั้งตัวไม่ทัน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันใช้เวลาไตร่ตรองอย่างยาวนานถึงที่สุดแล้ว เขาก็ได้แต่โยนหมากแสดงถึงการยอมแพ้อีกครั้ง

สีหน้าของเด็กหนุ่มแปลกประหลาดไปเล็กน้อย “เจ้าศึกษาการเล่นครั้งที่หกของตำราเมฆหลากสีลึกล้ำไปหน่อยหรือไม่ ในเมื่อมีวิธีการรับมือแล้ว ต่อให้จะบอก ได้ยากว่าจะแพ้หรือชนะ แต่เมื่อรู้สถานการณ์ในเวลานี้ดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีโอกาส เหตุใดถึงยังไม่ยอมวางหมาก? ถ่อมตัวทำให้ตัวเองต้องอุดอู้ตาย แบบนี้ก็เรียกว่า ถ่อมตัวได้ด้วยหรือ? คุณชายหลิน หากเจ้ายังเล่นหมากล้อมอยู่แบบนี้ก็เท่ากับว่า ยกเงินให้คนอื่นเปล่าๆ นี่ข้าจะขอให้เจ้าเล่นตาถัดไปด้วยกันจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

หลินจวินปี้ถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”

อีกฝ่ายพลันหัวเราะก๊าก แต่กลับใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ต้องรู้แน่อยู่แล้ว คุณชายหลินอย่างเจ้าต้องการใช้การแพ้หมากสองกระดานมาทำให้ข้ารู้สึกว่าหลักการเล่น หมากล้อมที่เจ้าเชี่ยวชาญมีรูปแบบเช่นนี้ จากนั้นรอให้ข้าเปิดปากเอ่ยถึงการเล่น ครั้งที่สาม ลงเดิมพันก้อนใหญ่ ก็จะเอาชนะข้าจนข้าล้มละลายใช้หรือไม่? คุณชายหลิน นักเล่นระดับแคว้นที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้าช่างใจดำเสียจริง วันนี้นับว่าข้าได้เรียนรู้แล้ว”

หลินจวินปี้เปิดปากเอ่ยว่า “การเล่นครั้งที่สาม เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ข้าจะทุ่มเทฝีมือเต็มที่”

ชุยตงซานกำมือเป็นหมัดแล้วโบกเบาๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เงินร้อนน้อยเหรียญนี้ ที่พี่หญิงอวี้วื้อพัดของข้าไป ข้าจะแพ้ให้เจ้าไม่ได้หรอกนะ เงินร้อนน้อยเหรียญอื่นเจ้าเชิญเลือกได้ตามสบาย ถึงอย่างไรในกระเป๋าข้าก็ไม่มีอยู่แล้ว”

ชุยตงซานหันหน้ามาตะโกนเรียก “พี่หญิงอวี้ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ข้าแพ้ หมดหน้าตัก ก็จะยังเก็บเงินร้อนน้อยที่มีความหมายถึงความสัมพันธ์พี่สาวน้องชาย ที่ลึกล้ำเหรียญนี้เอาไว้!”

อวี้เจวี้ยนฟูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

จูเหมยพึมพำ “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “แม่นางน้อย พูดให้ดังๆ หน่อย สายเหวินเซิ่งของพวกเราไม่เคยถือสาคนที่ด่าต่อหน้า หากมีเหตุผลยังจะยกนิ้วโป้งบอกว่าเจ้าด่าได้ดีด้วยซ้ำ ด่าคนลับหลัง ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าให้พวกเราได้ยินเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นอ่านหนังสือเหมือนกินฉี่ กินข้าวเหมือนกินขี้ ต้องโดนฟ้าผ่าหัว”

จูเหมยตื่นตระหนกเล็กน้อย ขยับตัวนั่งใกล้กับอวี้เจวี้ยนฟูอีกนิด

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “เงินร้อนน้อยเหรียญไหนก็ได้”

ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “บวกกับของรางวัลเพิ่มเติม หากข้าชนะ เจ้าค่อยเอาตำราเมฆหมากสีเล่มนั้นมอบให้ข้า”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “ย่อมได้”

การประลองครั้งที่สาม

หลินจวินปี้เดินนำไปก่อน

ผลคือหลินจวินปี้ที่เดินนำไปก่อนซึ่งถือว่าได้เปรียบมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างจาก ชัยชนะบนกระดานอีกแค่เสี้ยวเดียว กลับเกือบจะติดกับวงจรแห่งหายนะจากการ ลงมือของอีกฝ่ายถึงสามครั้ง แม้ว่าสีหน้าของหลินจวินปี้จะเป็นปกติโดยตลอด ทว่า ในใจกลับมีไฟโทสะขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นมาในที่สุด

ทั้งสองฝ่ายวางเม็ดหมากมากเกือบสี่ร้อยครั้ง!

สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว การปิดฉากการประลองครั้งนี้น่าตื่นตะลึงอย่างมาก

สำหรับคนที่มองคนทั้งสองประลองกันกลับไม่มีใครมองแนวโน้มที่จะตัดสิน แพ้ชนะอย่างแน่ชัดออก

หลังจากวางหมากลงครั้งหนึ่ง หลินจวินปี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

ชุยตงซานกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด หยิบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา โน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งที่คีบหมากออกมา มืออีกข้างจับรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ไปโดนเม็ดหมากบนกระดาน ในขณะที่เขากำลังจะวางเม็ดหมากลง หลินจวินปี้ก็พลันบังเกิดความมั่นใจ ชนะแล้ว!

ชุยตงซานพลันยกมือขึ้น ยักไหล่ให้หลินจวินปี้ที่ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ฮ่าๆ โมโหหรือไม่? โมโหหรือไม่? ข้าจะไม่วางลงตรงนี้หรอก โอ้โห้ ข้านี่มันฉลาดจริงๆ เล้ย สมองใหญ่จริงๆ ไหวพริบดีเยี่ยมเลยนะนี่”

นี่น่าจะเรียกว่าถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่สิงร่างได้แล้ว

แทบทุกคนซึ่งรวมถึงจูเหมย หรือแม้แต่จินเจินเมิ่งที่ไม่ค่อยชอบเล่นหมากล้อม ก็ยังตะลึงอึ้งงันเป็นไก่ไม้กันไปหมด

ชุยตงซานหยุดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังค้อมเอวคีบเม็ดหมากไปวางมุมอื่นบนกระดาน จากนั้นก็กลับมานั่งที่เดิม สองมือสอดกันอยู่ชายแขนเสื้อ “ไม่เล่นแล้วๆ สามารถเอาชนะหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนได้สามครั้งติด แค่นี้ก็พึงพอใจ มากแล้ว”

เด็กหนุ่มชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “พระจันทร์วันนี้กลมจริงๆ เล้ย”

อืม กลางวันแสกๆ จะมีดวงจันทร์ที่ไหนให้มอง เด็กหนุ่มจึงคิดถึงพี่หญิงโจวเฉิงคนนั้นขึ้นมาแล้ว

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าแพ้แล้ว เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เงินเกล็ดหิมะ หนึ่งเหรียญ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ วันหน้าข้าจะประคองส่งให้ด้วยสองมือ”

ชุยตงซานพลันหัวเราะเสียงเย็น “โอ้โห ฟังจากน้ำเสียงนี่สิ มองเรื่องการแพ้ชนะอย่างเรียบง่ายมากหรือ? ทำไม รู้สึกว่าข้าผู้อาวุโสวางเม็ดหมากกับเจ้าสี่ร้อยครั้ง ก็เท่ากับว่าพวกเราฝีมือสูสีกันจริงๆ แล้วงั้นหรือ? หยอกเจ้าเล่นหรอกน่า มองไม่ออกสินะ? เชื่อหรือไม่ว่าการเล่นครั้งที่สี่ที่พวกเราจะไม่มีของเดิมพันอะไรสักอย่างนี้ เดิมพันแค่ว่าภายในการวางหมากแปดสิบครั้ง ข้าก็จะสามารถเอาชนะกบใต้บ่อ ตัวหนึ่งที่นอนโอ้อวดบารมีอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวนได้?!”

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “อ้อ?”

แล้วชุยตงซานก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือนี่? ข้าเอาชนะได้แล้ว อีกทั้งยังมากถึงสามครั้ง เงินที่ได้มาไม่มาก ขอให้ข้าพูดจาวางโตให้สนุกปากบ้างไม่ได้เลยหรือ?”

ชุยตงซานหุบยิ้ม มองสถานการณ์หมากซับซ้อนบนกระดานที่มีเม็ดหมากวางไว้เต็มแน่น แล้วจุ๊ปากพูดว่า “พวกเราสองพี่น้องวางสถานการณ์เทพเซียนแบบนี้ด้วยกัน มารดามันเถอะ ศาลาแห่งความชื่นมื่นใกล้จะระเบิดแล้วกระมัง เพราะว่าชื่นมื่น เบิกบานจะตายอยู่แล้ว!”

อันที่จริงเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนฝีมือการเล่นหมากล้อมของคนผู้นี้อีกแล้ว

เหยียนลวี่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

นอกจากเปียนจิ้งแล้วก็ถือว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาใกล้เคียงกับหลินจวินปี้มากที่สุด ดังนั้นจึงยิ่งรู้ดีว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเด็กหนุ่มชุดขาวสูงแค่ไหน

ดังนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนจากการเกลียดแค้นอย่างเดียวกลายมามีความหวาดกลัวควบคู่ไปด้วย ยังคงเกลียดแค้นอยู่เหมือนเดิม ถึงขั้นยังเกลียดแค้นมากขึ้น แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดเกรงเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างที่มิอาจห้ามได้

ชุยตงซานโบกมือให้คุณชายหลินที่นั่งยองอยู่ในห้องส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พูดด้วย สีหน้าจริงจังว่า “วันหน้าเอาเงินมาให้ข้า แต่เจ้าจะเป็นคนเอามาให้เองหรือไม่ ไม่สำคัญ คุณชายหลิน ข้าจะเก็บกระดานหมากแล้ว ทำไม จะช่วยเก็บงั้นหรือ? เจ้าช่วยมาตั้งสามครั้งใหญ่ๆ แล้ว ข้าว่าอย่าเลย หากเจ้ายังทำแบบนี้ มโนธรรมในใจของข้าคงจะไม่สงบ นี่เป็นบัญชาจากสวรรค์ ทำให้ข้ามิอาจเป็นเพื่อนกับคนใจกว้างแบบเจ้าได้ ยามค่ำคืนข้าคงต้องนอนพลิกไปพลิกมาหลับไม่ลงแน่นอน”

หลินจวินปี้ถอนหายใจ

ในเมื่อมีการเล่นกระดานที่สามนี้ หากนำไปวางไว้ในประวัติศาสตร์ของตลอดทั้งราชวงศ์เส้าหยวน บางทีอาจมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นการประลองที่มีชื่อเสียง ดังนั้นผลลัพธ์นี้เขาจึงยังพอยอมรับได้

ชุยตงซานเก็บเม็ดหมากด้วยการโยนมันใส่ในโถอย่างไม่มีมาด เสียงเม็ดหมากกระทบโถดังกังวานพลางพึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “ชนะติดต่อกันสามครั้ง สบาย สบายใจจริงๆ เพียงแต่ว่าอาศัยความแตกต่างของฝีมือการเล่นหมากล้อมมาบดขยี้อีกฝ่ายกลับเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก หากฝีมือของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกัน แพ้ชนะขึ้นอยู่กับดวง ดวงอยู่ที่ข้า จากนั้นก็ชนะหมากล้อมอีก นั่นต่างหากถึงจะสบายอกสบายใจ อย่างแท้จริง

คาดว่าชีวิตนี้คุณชายหลินคงผ่านด่านบนกระดานหมากมาได้ราบรื่นเกินไป อีกทั้งยังเคยชินที่จะใช้กำลังข่มคนอื่น ก็เลยไม่อาจเข้าใจอารมณ์ของข้าได้ น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”

ชุยตงซานพลันยิ้มถามว่า “ทำไม รู้สึกว่าสองคำกล่าวที่ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าสูงเกินไป หรือไม่ก็โชคเข้าข้างข้าล้วนไม่เป็นจริง? ฝีมือการเล่นหมากล้อมสูงหรือไม่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว แต่ข้าโชคดีหรือไม่ คุณชายหลินเจ้าต้องยอมรับนะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกตา เปลี่ยนวิธีใหม่ เป็นอย่างไร? ไม่ได้แข่งเรื่องฝีมือการเล่นหมากล้อมทั้งหมด แต่เน้นในเรื่องดวงมากกว่า กล้าหรือไม่? ถึงขั้นพูดได้ว่า สิ่งที่พวกเราแข่งกันมีแค่เรื่องของดวงเท่านั้น หมากล้อมที่แข่งเช่นนี้ ตลอดชีวิตต่อจากนี้คุณชายหลินอาจไม่มีโอกาสได้เล่นแล้ว เพราะแค่ดูที่ดวง ดังนั้นพวกเราจึงไม่ลงเงินเดิมพัน หรือเดิมพันสิ่งของอะไรทั้งนั้น”

หลินจวินปี้ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าเป็นคนตัดสินการเล่นหมากล้อมตานี้ จะแพ้หรือชนะ ก่อนจะแข่งเจ้าก็บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อน ขอแค่สถานการณ์หมากบนกระดานเป็นอย่างที่เจ้าบอกไว้ ไม่ว่าบนกระดานข้าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนถือว่าเป็นเจ้าที่ชนะ พวกเราแข่งกันว่าใครดวงดีกว่ากัน กล้าหรือไม่?!”

หลินจวินปี้หลุดหัวเราะพรืด

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ต้องพูดถึงฝีมือการเล่นหมากล้อมหรือเวทกระบี่ เอาแค่นิสัยใจคอของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย กับมารยาทในการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลิน ข้าล้วนเชื่อใจพวกเจ้า”

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “หมากแบบนี้ ข้าไม่เล่น”

ชุยตงซานกลับพยักหน้าคล้อยตาม “ก็จริง เพราะยังไม่น่าสนใจมากพอ ถ้าอย่างนั้น ก็บวกวิธีการเล่นอีกอย่างหนึ่งเข้าไป การแข่งครั้งที่สามของ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่เจ้าเปิดอ่านบ่อยๆ เล่มนั้น เล่นกันถึงแค่ครึ่งกระดาน ก็ได้ แท้จริงแล้ววางหมากกันถึงครั้งที่ห้าสิบหกก็มีคนโยนหมากยอมแพ้แล้ว ไม่สู้พวกเรามาช่วยพวกเขาเล่นต่อให้จบดีไหม? จากนั้นก็ยังให้เจ้าเป็นคนตัดสินแพ้ชนะนอกกระดานนี้อยู่เหมือนเดิม แพ้ชนะบนกระดานหมากสำคัญไหม? ไม่สำคัญเลยสักนิด เจ้าช่วยเจ้านคร จักรพรรดิขาว ส่วนข้าช่วยคนที่เขาประลองด้วย เป็นอย่างไร? เจ้าลองดูเซียนกระบี่ขู่เซี่ยสิ ร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยปกป้องมรรคาให้อย่างยากลำบาก คงอยากให้คุณชายหลินช่วงชิงชัยชนะกลับมาได้สักครั้งเต็มทีแล้ว”

หลินจวินปี้หมดคำพูดตอบโต้

คนผู้นี้คือคนบ้า

การที่ตำราเมฆหลากสีถูกนักเล่นหมากล้อมทุกคนบนโลกมองว่า ‘ข้าอยู่บนโลกมองดูเมฆหลากสีที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง’ นั้น อยู่ที่ว่าคนที่ชนะหมากล้อมได้ ก็คือผู้ไร้เทียมทาน จุดที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่าคนที่แพ้ ขอแค่ลุกขึ้นเดินออกไปจากกระดานหมาก ออกจากนครจักรพรรดิขาวก็คือข้าไร้เทียมทานเมื่ออยู่นอกนครเบื้องล่างเมฆ

เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายหลังของการประลองครั้งที่สามบนเมฆหลากสี นักเล่นหมากล้อมจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เคยสืบเสาะศึกษาอย่างลึกซึ้ง แม้แต่อาจารย์ของหลินจวินปี้เองก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น บอกแค่ว่าชุยฉานผู้นั้นโยนหมากยอมแพ้ไม่เร็วไปและไม่ช้าไป นี่จึงบอกได้ว่าคนผู้นี้คู่ควรกับคำเรียกขานว่านักเล่นหมากล้อมลำดับสองของโลกอย่างแท้จริง

ดังนั้นหลินจวินปี้จึงส่ายหน้า “หมากล้อมแบบนี้ ข้าไม่เล่น เจ้าและข้าต่างก็เป็นนักเล่นหมากล้อม เผชิญหน้ากับเม็ดหมากและกระดานหมากก็ไม่ควรจะหลู่เกียรติพวกมัน”

ชุยตงซานแค่นเสียงเย็นชา “เจ้ามีคุณสมบัติมาหลู่เกียรติตำราเมฆหลากสี งั้นหรือ? หลินจวินปี้ ฝีมือหมากล้อมของเจ้าสูงส่งถึงระดับนี้แล้วหรือไร? เพิ่งจะวางหมากได้แค่ห้าสิบหกเม็ด สองฝ่ายที่ประลองกันบนเมฆหลากสีต่างก็มีขอบเขตสูงพอ ถึงสามารถมองเห็นไปถึงจุดจบแล้ว นักเล่นหมากล้อมทุกคนที่อยู่ใต้เมฆหลากสีจะรู้ความคิดในใจของทั้งสองฝ่ายจริงๆ หรือ? หากเปลี่ยนเจ้าและข้ามาเป็นผู้เล่นโดยเริ่มจากจุดจบกลางกระดานของสองคนนั้น เจ้ามีความสามารถมากพอจะมาประคับประคองสถานการณ์ได้เปรียบของเจ้านครจักรพรรดิขาวจริงๆ หรือไร? ใครมอบความมั่นใจนี้ให้แก่เจ้า อาศัยเรื่องที่ว่าตัวเองแพ้ติดกันสามครั้งงั้นรึ?!”

หลินจวินปี้พูดเสียงขรึม “ไม่บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยถึงการแพ้ชนะนอกกระดาน แต่ข้าจะเล่นหมากที่เหลือนี้กับเจ้าเอง!”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ดี ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มของรางวัล หากข้าชนะ มาเล่นกันอีกตา เจ้าจำเป็นต้องบอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อนว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”

หลินจวินปี้เอ่ย “รอให้เจ้าชนะสถานการณ์หมากในตำราเมฆหลากสีนี้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ยังดีๆ คุณชายหลินไม่ได้บอกว่า ‘ชนะข้าได้ก่อนค่อยว่ากัน’ ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นคนที่เลื่อมใสมาดองอาจดุจเทพเซียนของคุณชายหลินก็ยังต้องถ่มน้ำลายใส่กระดานหมากแล้ว”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลัดกลุ้มยิ่งนัก

ส่วนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยคนอื่นๆ แม้แต่จินเจินเมิ่งเองก็ยังตั้งตารอการเล่นครั้งนี้อย่างมาก

ชุยตงซานพลันหันหน้ามาเอ่ยว่า “คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีคุณสมบัติจะชมการเล่นครั้งนี้ แน่นอนว่าหากจะดูก็ได้ ไม่มาก คนละหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ใจกว้างให้ข้าเห็นหน่อย เอาเงินมาๆ”

จูเหมยยกมือเอ่ยว่า “ข้าจะดู เงินฝนธัญพืชส่วนของพี่หญิงอวี้ ข้าจะออกให้เอง”

ชุยตงซานรีบเปลี่ยนสีหน้าทันใด ขยับเอวนั่งหลังตรง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ล้อเล่นอะไรอย่างนั้น สหายของพี่หญิงอวี้ก็คือสหายของข้าชุยตงซาน พูดเรื่องเงินอย่างนั้นรึ? คิดจะตบหน้าข้าหรือไร? ข้าคือนักเล่นข้างทางที่เล่นหมากล้อมเพื่อหาเงินหรือ?”

คนจำนวนไม่น้อยซึ่งมีเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้นยินดีจะควักเงินจ่ายกันจริงๆ แต่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลับเริ่มไล่คน อีกทั้งยังไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ให้ปรึกษาอีกด้วย ดังนั้นบนหัวกำแพงจึงเหลือแค่อวี้เจวี้ยนฟูและจูเหมยที่อวี้เจวี้ยนฟูช่วยหนุนหลังให้

ทั้งสองฝ่ายเริ่มวางเม็ดหมากลงบนกระดาน มองดูเหมือนเป็นการทบทวนกระดาน แต่ในความจริงแล้วนอกจากกระดานที่สามของตำราเมฆหลากสี ได้มี การเล่นกระดานใหม่เกิดขึ้นแล้ว

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลินจวินปี้ที่ใช้ความคิดใคร่ครวญอย่างยาวนานไม่หยุด อยู่ดีๆ ก็หยุดค้างที่มุมบนขวาของกระดาน บนกระดานหมากเขาวางเม็ดหมากใหม่ไปแค่สามสิบหกเม็ด แค่นั้นหลินจวินปี้ก็หน้าซีดขาว เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมโยนหมากยอมแพ้

ชุยตงซานพูดเสียงราบเรียบว่า “ตามข้อตกลง มาเล่นกันอีกครั้ง เป็นการเล่น ครั้งที่สองแบบนับย้อนหลังจากตำราเมฆหลากสีที่แพ้ในช่วงสุดท้าย พื้นที่บน กระดานหมากเหลือน้อยมากแล้ว เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้น้อยๆ มากๆ เจ้ายังคงวางหมากแทนเจ้านครจักรพรรดิขาว จำไว้ว่า บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อนว่า นอกกระดานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ เป็นแค่การแข่งกันในเรื่องของดวงเท่านั้น แพ้ชนะบนกระดานอย่าได้ไปใส่ใจมากนัก หากยังคงเป็นข้าที่ชนะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเป็นสิงโตที่เปิดปากกว้าง ขอให้เจ้าเล่นกับข้าอีกตาแล้ว”

หลินจวินปี้บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยว่านอกการเล่นกระดานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ

จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เก็บเม็ดหมากทั้งหมดบนกระดานกลับมา ก่อนจะวาง เม็ดหมากกันอีกครั้ง

เมื่อเทียบกับกระดานหมากก่อนหน้านี้ เม็ดหมากบนกระดานนี้เยอะกว่ามาก

เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งก้านธูป เด็กหนุ่มชุดขาวก้ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ การเล่นครั้งถัดไปเปลี่ยนมาเป็นข้าที่เป็นคนบอกผลแพ้ชนะกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก่อนบ้าง จากนั้นเจ้าและข้าค่อยมาเล่นด้วยกัน เรื่องของดวงนี้ ในเมื่อดวงอยู่กับข้าทุกครั้ง โชคในการเดิมพันโชติช่วงเกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องคุกเข่าขอร้องให้แพ้ดูสักครั้ง เป็นฝ่ายสับเปลี่ยนตำแหน่งดวงด้วยตัวเอง หากครั้งนี้ยังคงเป็นข้าที่ชนะ แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็เป็นการบอกว่าวันนี้ข้าดวงดีมากจริงๆ อยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับฝีมือ การเล่นหมากล้อมของคุณชายหลินว่าสูงหรือต่ำด้วยเล่า? ไม่เกี่ยวเลย ไม่เกี่ยวเลย สักนิด”

เม็ดเหงื่อผุดซึมออกจากหน้าผากของหลินจวินปี้ อึ้งงันไร้คำพูด ทั้งไม่อยากโยนหมากยอมแพ้ แล้วก็ไม่เอ่ยคำใด ราวกับว่าแค่อยากมองกระดานหมากให้มากขึ้น แค่อยากรู้ว่าจะแพ้อย่างไรเท่านั้น

แม้ปากของเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะพูดจามีมารยาท ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน

อวี้เจวี้ยนฟูถอนหายใจ พาจูเหมยออกไปจากที่นี่

เป็นอย่างที่ชุยตงซานผู้นั้นว่าไว้จริงๆ

อันที่จริง ‘ดวงในการเดิมพัน’ ของอวี้เจวี้ยนฟูก่อนหน้านี้ถือว่าดีมากแล้ว

เด็กสาวจูเหมยเองก็รู้หนักเบา เดินตามอวี้เจวี้ยนฟูออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้เงียบๆ

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังจะเปิดปากเอ่ย

ชุยตงซานกลับใช้สองนิ้วคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาหมุนเบาๆ พูดโดยไม่เงยหน้า “ยามชมการเล่นหมากล้อมไม่ควรพูดจา ช่วยมีกฎเกณฑ์หน่อยได้หรือไม่? เป็นถึงเซียนกระบี่แผ่นดินกลางผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งเป็นถึงศิษย์หลานของโจวเสินจือ แบกรับภาระยิ่งใหญ่ที่ราชครูราชวงศ์เส้าหยวนไหว้วานมา แต่กลับช่วยปกป้องมรรคาให้กับ เด็กรุ่นหลังแบบนี้น่ะหรือ? ข้ากับคุณชายหลินแค่พบกันก็เหมือนสหายที่รู้จักกัน มานาน เพราะฉะนั้นข้าจึงพูดง่ายกับทุกเรื่อง แต่หากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยคิดจะอาศัย เวทกระบี่และสถานะของตัวเองมาข่ม ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอกำลังเสริม แล้ว หลักการเหตุผลที่ตื้นเขินเพียงเท่านี้ เข้าใจบ้างหรือไม่? หากไม่เข้าใจก็มีคนที่ เวทกระบี่สูง ข้าสามารถขอรอให้เขามาช่วยสั่งสอนชี้แนะเจ้าได้”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเปลี่ยนจากลังเลมาเป็นเด็ดเดี่ยว ไม่สนใจถ้อยคำของเด็กหนุ่ม ชุดขาวคนนั้น เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “หลินจวินปี้ เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว”

หลินจวินปี้กลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ สองมือกำเป็นหมัดแน่น

ชุยตงซานคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วกดลงบนกระดานหมาก ยื่นมือไปปัดเบาๆ เม็ดหมากก็ไถลไปอยู่ริมขอบกระดานฝั่งของหลินจวินปี้ หมากเล็กๆ เม็ดหนึ่ง ครึ่งหนึ่งอยู่บนกระดาน อีกครึ่งหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศพอดี

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลุกขึ้น? ได้สิ โยนเม็ดหมากยอมแพ้ซะ ถือว่าแพ้ครึ่งหนึ่ง”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าคิดได้คืบจะเอาศอก! กล้าทำลาย จิตแห่งเต๋าของหลินจวินปี้งั้นรึ?!”

ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในแขนเสื้อ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ผู้ฝึกตนที่เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ กลับถูกการละเล่นในเวลาว่างอย่างการเล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า นี่ยิ่งกว่าเหยียนลวี่เสียอีก ข้าล่ะขำจะตายอยู่แล้ว”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น มองไปยังเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่มีท่าทางเดือดดาลแล้วยิ้มตาหยี ถามว่า “หากทำให้ข้าขำจนตายก็จะช่วยให้หลินจวินปี้เอาชนะได้อย่างนั้นหรือ?”

หลินจวินปี้เอ่ยเสียงสั่น “ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เล่น ก็ถือว่าแพ้แค่ครึ่งเดียว?”

ชุยตงซานพยักหน้า “แน่นอน เพียงแต่มีเงื่อนไขเล็กๆ นั่นคือเจ้าต้องรับปากว่าชีวิตนี้จะไม่แตะต้องเม็ดหมากและกระดานหมากอีก”

เหงื่อไหลมาตามสันหลังของหลินจวินปี้

ชุยตงซานอ้าปากหาว แล้วก็ไม่เร่งรัดให้หลินจวินปี้ตัดสินใจ เพียงแต่ท่าทางของเขา ดูเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

คนบนโลกรู้แค่ว่าตำราเมฆหลากสีคือตำราเมฆหลากสี

แต่กลับไม่รู้เลยว่าสองฝ่ายที่ประลองฝีมือกันจนเกิดเป็นสถานการณ์หมากเมฆหลากสีนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกันก็จริง ทว่านอกกระดานหมากได้มีการวางอุบายปัดแข้งปัดขา ที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแบบใดอยู่ข้าง

นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าการวางหมากที่แท้จริง

พวกลูกกระต่ายที่เรียนรู้จากตำราเมฆหลากสีมาอย่างงูๆ ปลาๆ เช่นพวกเจ้า ก็คู่ควรให้เรียกตัวเองว่านักเล่นหมากล้อม นักเล่นระดับแคว้นด้วยหรือ?

ชุยตงซานพูดเนิบช้าเหมือนกำลังคุยเล่นกับคนสนิท “ผลงานของอาจารย์ของอาจารย์ข้า ราชวงศ์เส้าหยวนนอกจากอาจารย์ของเจ้าที่กล้าเก็บไว้ในห้องหนังสือ ทุกวันนี้พวกตระกูลแม่ทัพอัครเสนาบดี ในโรงเรียนของชาวบ้านร้านตลาด ยังเหลืออยู่อีกกี่เล่ม? สองเล่ม? หรือไม่เหลือเลยสักเล่ม? นี่จะนับเป็นอะไรได้ เรื่องเล็กน้อย กล้าเดิมพันก็พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ วางหมากอย่างไร้ความเสียใจ เพียงแต่ ดูเหมือนข้ายังจำเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งได้ ปีนั้นเดินทางไกลหมื่นลี้ไปถึงศาลบุ๋น

คนที่ลงมือทุบเทวรูปผุพังที่อยู่ข้างทาง หนึ่งในนั้นก็มีบัณฑิตของราชวงศ์เส้าหยวน ของพวกเจ้าด้วยกระมัง? ได้ยินว่าพอหวนกลับบ้านเกิด อนาคตการเป็นขุนนาง ก็ราบรื่น เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน? ภายหลังคนผู้นั้นไม่เพียงแต่เป็นสหายเล่นหมากล้อมกับเจ้า ยังเป็นสหายต่างวัยที่พูดคุยกันอย่างถูกคอด้วย? อ้อ ใช่แล้ว ก็คือเจ้าของผลงานตำราหมากล้อมที่นอนอยู่ใต้กำแพงเล่มนั้น อาจารย์ซีหลูผู้มีเลื่องชื่อ”

จิตของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยขยับเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ยังคิดจะเปิดปากเอ่ยห้าม หลินจวินปี้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมพูดเด็ดขาด

หมี่อวี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคือผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามที่เจอกับคนผู้นั้นก็ยังยืนนิ่งไม่กล้าขยับ

ถ้าอย่างนั้นเขาขู่เซี่ยก็จะทำแบบเดียวกัน

เพียงแต่ว่าหลินจวินปี้ในเวลานี้ก็แค่อกสั่นขวัญผวา แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอบเขตของเขายังต่ำอยู่มาก จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะตระหนักได้ถึงสภาพการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของตนเวลานี้

ชุยตงซานหลุดเสียงหัวเราะใส่หลินจวินปี้ “ของรางวัล? ต่อจากนี้ทุกครั้งที่ข้าชนะเจ้าหนึ่งครั้งก็จะทำให้เจ้าจำต้องเล่นตาถัดไป ต่อให้ทุกครั้งจะได้รับเงินร้อนน้อยจากเจ้ามาเพิ่มหนึ่งเหรียญ ข้าก็สามารถทำให้อนาคตการฝึกตนทั้งหมดของเจ้าพ่ายแพ้ หมดรูปได้ ถึงขั้นลากเอาราชวงศ์เส้าหยวนครึ่งหนึ่งมาแพ้ไปด้วย ข้าจะวางหมาก จนเจ้านึกอยากไปผุดไปเกิดใหม่เสียเดี๋ยวนี้ ชาติหน้าก็ไม่คิดจะแตะต้องเม็ดหมาก อีกแล้ว! เจ้าคิดว่าประลองหมากล้อมกับข้าแล้ว เจ้าไม่อยากเล่นก็เลิกเล่นได้หรือ? หืม?!”

“สรุปแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับใคร?!”

ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานพลิ้วไสว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จำเอาไว้ ข้าก็คือ ตงซานไงล่ะ”

เฉาฉิงหล่างเจอกับเผยเฉียนที่กลางระเบียง

เผยเฉียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉาฉิงหล่างชี้ไปที่หัวใจ จากนั้นก็โบกมือ ไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ

เผยเฉียนเงียบงัน

เฉาฉิงหล่างจึงยิ้มถามว่า “ข้ามีมีดแกะสลัก วันหน้าจะสลักตราประทับชิ้นหนึ่งมามอบให้เจ้าดีไหม?”

เผยเฉียนจึงจากไปพร้อมความขุ่นเคือง

เฉาฉิงหล่างเกาหัว เพื่อรอให้ตนปรากฏตัว อีกฝ่ายคงมาเฝ้ารออยู่นานมากแล้วกระมัง

วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ คนหนึ่งแอบมาเคาะประตูใหญ่ของจวนหนิง น่าหลันเย่สิงพูดกลั้วหัวเราะ “น้องเล็กตงซาน เกิดอะไรขึ้น? เป็นโจร ก็ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูกระมัง”

ชุยตงซานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่ใหญ่น่าหลัน วันนี้น้องชายไปที่หัวกำแพงเมืองมา ต้องลำบากอยู่ตั้งนานกว่าจะหาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาได้ ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว ไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้วล่ะ”

น่าหลันเย่สิงรู้สึกสงสารคนที่ถูกเขาหลอกเอาเงินไปไม่น้อย แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครที่ดวงซวยขนาดนั้นก็ตาม

และในขณะที่น่าหลันเย่สิงคิดจะปิดประตูแยกย้ายไปคนละทางกับเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้นั้นเอง ชุยตงซานพลันยิ้มกล่าวขึ้นมาว่า “ไป ไปดื่มเหล้าในห้องพี่ใหญ่กัน”

แน่นอนว่าน่าหลันเย่สิงไม่ใคร่จะยินดี เพียงแต่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับ

พอไปถึงที่นั่น ชุดตงซานก็หยิบเหล้าออกมาสองกา น่าหลันเย่สิงกลับหวังให้ตัวเองได้ดื่มเหล้าที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้อย่างยากลำบากมากกว่า

แต่บทสนทนาต่อมากลับทำให้ความคิดนี้ของน่าหลันเย่สิงค่อยๆ ลดเลือนไป

เพราะเรื่องที่อีกฝ่ายพูด สำหรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ถดถอยมาจากขอบเขตเดิมเช่นตน ช่างเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งนัก

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เรื่องที่อีกฝ่ายพูดก็คือ น่าหลันเย่สิงควรจะเดินไปบน มหามรรคาแห่งการฝึกตนอย่างไร

นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้

เพราะไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เพียงไม่นานป๋ายหมัวมัวก็จากไป

คนที่มาก็คือชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิงอีกต่อไป

ชุยเหวยปิดประตูลงแล้วกุมหมัดคารวะ ไม่เงยหน้า ไม่เอ่ยอะไร

น่าหลันเย่สิงคิดจะลุกขึ้นเดินจากไป แต่กลับถูกชุยตงซานที่หัวเราะร่าเอ่ยรั้งเอาไว้

จากนั้นชุยตงซานก็หันหน้ามาเอ่ยว่า “คิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง จากนั้นหากต้องตายก็ตายไป หรืออยากจะติดตามข้าไปอยู่ใต้หล้าไพศาล มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ? วันนี้พรุ่งนี้ บางทีอาจไม่เป็นไร มีแต่จะรู้สึกว่าโชคดี แต่ข้ายืนยันได้เลยว่า ในอนาคตสักวันหนึ่งมโนธรมในใจของเจ้าชุยเหวยจะไม่อาจสงบลงได้”

ชุยเหวยก้มหน้ากุมหมัดอยู่ตลอดเวลา “ชุยเหวยยินดีติดตามอาจารย์ไปที่ แจกันสมบัติทวีป ความเกลียดแค้นของวันพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ได้สิ ข้าตกลง แต่ข้าอยากฟังเหตุผลของเจ้า วางใจเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะยอมรับหรือไม่ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความปลอดภัยของเจ้า ในวันหน้า”

ชุยเหวยเงียบไปครู่หนึ่ง “ทำไมข้าชุยเหวยต้องมาตายอยู่ที่นี่”

น่าหลันเย่สิงถอนหายใจ ไม่ได้เดือดดาลรุนแรงจนเกือบจะพลั้งมือตบชุยเหวยให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวเหมือนคราวก่อน

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ถามได้ดี วันหน้าเมื่อไปอยู่ที่อื่น หากมีเวลาว่างหรือ อายุมากขึ้นแล้ว ไม่สู้ลองกลับมาตอบคำถามประโยคนี้ด้วยตัวเองดูอีกครั้ง ไปเถอะ หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”

แต่ชุยเหวยกลับไม่ได้จากไปทันที เขาคุกเข่าลงบนพื้น หันหน้าไปโขกหัวคำนับน่าหลันเย่สิงสามครั้ง “อาจารย์ไม่รับศิษย์ แต่ศิษย์กลับคิดว่าท่านคืออาจารย์คนที่สองบนเส้นทางการฝึกตนของตัวเอง! ชุยเหวยจากไปครั้งนี้จะไม่หวนคืนมาอีก ขออาจารย์โปรดรักษาตัวด้วย!”

น่าหลันเย่สิงยกถ้วยขาวขึ้นดื่มเหล้าหนึ่งคำ ครั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเลือกที่จะไปอยู่ใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นก็พยายามให้เต็มที่ อย่าได้ตายง่ายๆ มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักหลายร้อยหลายพันปี”

ชุยเหวยจึงออกจากห้อง กลับไปยังที่พักของตัวเอง

ชุยตงซานดื่มเหล้าไปแล้ว ครู่เดียวก็ออกไปจากห้อง

เหลือไว้เพียงผู้เฒ่าที่ไร้ลูกหลานแล้วก็ไร้ลูกศิษย์ที่ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง และบนโต๊ะ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีกับแกล้มสักจานด้วย

ยามสนธยาของวันนี้ ฉีจิ่งหลงพาลูกศิษย์อย่างป๋ายโส่วมาเยือนจวนหนิงด้วยกัน

ป๋ายโส่วต้องดึงเอาความกล้าหาญดั่งคนที่พร้อมกระโจนเข้าหาความตาย อย่างองอาจออกมาใช้

เพียงแต่มีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีใหญ่เทียมฟ้า! อันดับแรกคือได้ยินมาว่า เผยเฉียนต้องฝึกวิชาหมัดกับหมัวมัวเฒ่าคนหนึ่งของจวนหนิง เวลานี้ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง

แต่หลังจากที่ความดีใจซึ่งทำให้เขานึกอยากจะตีฆ้องร้องป่าวผ่านไปแล้ว ป๋ายโส่วก็อดเป็นกังวลขึ้นมาอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็เป็นแค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงถามทาง แล้วไปเดินเตร็ดเตร่แถวเรือนพักของเผยเฉียน แน่นอนว่า ไม่กล้าเคาะประตู ได้แต่เดินเล่นอยู่ด้านนอกเท่านั้น

ส่วนอาจารย์ของเด็กหนุ่มก็ไปยังเรือนที่พักของเฉินผิงอันพี่น้องคนดีของเขาแล้ว

ทว่าในห้องกลับมีคนอยู่สามคน

เฉินผิงอัน ชุยตงซาน ฉีจิ่งหลง

ต่างคนต่างหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา

ข้อมูลในสมุดของเฉินผิงอันหลากหลายมากที่สุด

ส่วนสมุดของชุยตงซานนั้นหนาที่สุด ที่มาของเนื้อหาล้วนมาจากสายลับเดนตายที่ซิ่วหู่แห่งต้าหลีแทรกซอนไว้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัว จำนวนคนไม่มาก ทว่าแต่ละคนล้วนมีประโยชน์สูงสุด

มีทั้งเอกสารที่เพิ่งได้รับมา แต่ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ได้มาจากองค์กรลับสูงสุดของต้าหลี

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่นานตัวชุยตงซานเองก็เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วนครแล้ว ไม่ใช่ว่าอยากจะอาศัยฝีมือของตัวเองตามหาเบาะแสให้ได้มากกว่าเดิม ชุยตงซานยอมรับมาโดยตลอดว่าตัวเองไม่ใช่เทพเซียนอะไร คำกล่าวที่ว่าเห็นเพียงน้อยนิดก็อนุมานได้กว้างไกล ก่อนจะเป็นอย่างนั้นได้ต้อง ‘เห็น’ มาก่อน ถึงอย่างไรวันเวลาก็สั้นนัก อีกอย่างสถานะของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งก็ค่อนข้างจะเป็นปัญหา ไม่อย่างนั้น ชุยตงซานก็คงจะได้รับรายละเอียดมากมายที่ใกล้เคียงกับความจริง หรืออาจถึงขั้นเป็นความจริงเลยมากกว่านี้

ส่วนของฉีจิ่งหลงเป็นข้อมูลที่ได้มาโดยอาศัยเจ้าสำนักและลูกศิษย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย ในทางอ้อม

ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง จุดที่สูงเหนือโต๊ะทั้งสองตัวไปเล็กน้อยก็มีกระดาษเซวียนจื่อสีขาวแผ่นหนึ่งปรากฏ จิตของชุยตงซานขยับเล็กน้อย เรือนน้อยใหญ่ในนครก็ผุดนูนขึ้นมาบนกระดาษเซวียนจื่อที่ราบเรียบ

จากนั้นชุยตงซานก็ยื่นพู่กันส่งให้กับอาจารย์และฉีจิ่งหลงคนละสามด้าม กระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้นเดินผ่านได้ไม่เป็นไร เพราะจะกลับคืนมาเป็นปกติได้ด้วยตัวเอง ทว่ากลับสามารถเขียนตัวอักษรลงไปด้านบนได้

พู่กันคนละด้ามเขียนเป็นตัวอักษรต่างสี ดำ ขาว เทา

คนทั้งสามไม่ต้องพูดอะไรกัน ต่างคนต่างเขียนชื่อต่างๆ ลงไป

หากเป็นชื่อที่เหมือนกันแต่เขียนด้วยพู่กันคนละสี ชุยตงซานก็จะใช้พู่กันชาดแดงที่มีเฉพาะในมือตัวเองวงกลมลงบนชื่อนั้น

บนโต๊ะวางสมุดไว้สามเล่ม หากใครหยุดเขียนก็สามารถเปิดอ่านสมุดอีกสองเล่ม ที่เหลือได้

ยามสนธยาของวันนี้ ฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่วเดินออกมาจากจวนหนิง ย้อนกลับไปยังจวนคลังเจี่ยจ้างของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ส่วนเฉินผิงอันพาชุยตงซานไปดื่มเหล้าที่ร้าน

ทว่ากลับไม่ได้ไปที่นั่นจริงๆ เขาเดินอ้อมเส้นทางไปเล็กน้อยแล้วบอกให้ชุยตงซานช่วยดูต้นทางให้ สุดท้ายก็มาถึงเรือนหลังหนึ่งในตรอกเก่าโทรม

ไม่ถึงขั้นยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความร่ำรวยหรูหราเลย

ชุยตงซานไม่ได้เข้าไป เพียงยืนอยู่ข้างนอก รอให้อาจารย์เข้าไปด้านในแล้ว ชุยตงซานถึงไปที่มุมหัวเลี้ยวแห่งหนึ่งที่เชื่อมสองตรอก แล้วนั่งยองอยู่ตรงนั้น อย่างเบื่อหน่าย

มีเพียงเผยเฉียนที่ยังไม่รู้ว่า การเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในครั้งนี้ พวกเขาที่เป็นลูกศิษย์เป็นนักเรียนล้วนอยู่ไม่ได้นานนัก

อาจารย์ของพวกเขาก็แค่หวังให้พวกเขาได้เห็นกับตาตัวเองว่ากำแพงเมือง ปราณกระบี่คือสถานที่ที่เป็นอย่างไรกันแน่ ลองมามองดูทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ที่ วันหน้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจได้เห็นอีก

เถาเหวินกลับมานั่งที่โต๊ะ ถามว่า “มาได้อย่างไร? ไม่กลัวว่าวันหน้าข้าจะเป็นเจ้ามือไม่ได้อีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องจริงๆ เท็จๆ พวกนี้ กลยุทธมากมาย หลุมพรางก็ยิ่งมีมากกว่า พวกนักพนันที่ไม่เก่งศาสตร์แห่งการเดิมพันพวกนั้นอย่าหวังว่าจะได้เล่นลูกไม้อะไรกับข้าเลย”

เถาเหวินกล่าว “เฉินผิงอัน อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าล่ะ สำหรับเจ้าแล้วอาจจะเป็นเรื่องเล็ก สำหรับข้าก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องที่ข้ารับปากตัวเอง บางทีอาจมีหลายเรื่องที่ทำไม่ได้ แต่หากเป็นเรื่องที่รับปากคนอื่น ส่วนใหญ่ข้าล้วนทำได้ทั้งนั้น”

เถาเหวินพยักหน้ารับ ตอนที่คนหนุ่มผู้นี้มาขอให้ตนเป็นเจ้ามือครั้งแรก เคยบอกเองว่าจะไม่เอากำไรจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แค่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว

เถาเหวินเอ่ยสัพยอก “คำพูดประโยคนี้เถ้าแก่รองเป็นคนพูด หรือว่าเฉินผิงอันที่เป็นผุ้ฝึกยุทธเป็นคนพูดล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันที่เป็นมือกระบี่เป็นคนพูด”

เถาเหวินเงียบไปนาน เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบเอาเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ออกมาสองกา แน่นอนว่าต้องเป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุด

เถาเหวินไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในแขนเสื้อ เพียงแค่ลุกขึ้นเดินไปหยิบถ้วยเหล้าสองใบมาจากในห้องครัว แน่นอนว่าเป็นถ้วยที่ใหญ่กว่าที่ร้านเหล้าไม่น้อย

เถาเหวินดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก พอรินเป็นถ้วยที่สองก็เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน อย่าได้เลียนแบบข้า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก”

เถาเหวินผงกศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เรื่องเดียวแล้ว อย่าตาย อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาล ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของเจ้าด้วยซ้ำ”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะพยายาม”

เถาเหวินชูถ้วยเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกถ้วยชนกับของเขาเบาๆ ต่างคนต่างดื่มเหล้ากันไป

เถาเหวินถาม “ใต้หล้าไพศาลมีคนแบบเจ้าเยอะหรือไม่?”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็ส่ายหน้า “คนที่เป็นเหมือนข้า มีไม่เยอะ แต่คนที่ดีกว่าข้าและเลวกว่าข้า กลับมีเยอะมาก”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ถามว่า “จะไม่ไปดูจริงๆ หรือ?”

เถาเหวินคลี่ยิ้ม

คำถามนี้ช่างเกินความจำเป็น ไม่เหมือนคำถามที่จะออกมาจากปากของเถ้าแก่รองที่มีความคิดรอบคอบรัดกุม ขุดหลุมพรางหลอกล่อคนติดต่อกันเลยจริงๆ

จากนั้นคนทั้งสองก็ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ

กระทั่งดื่มกันจนเหลือเหล้าถ้วยสุดท้าย เฉินผิงอันก็ยกถ้วยเหล้าขึ้น เพียงแต่วางกลับลงไปอีกครั้ง หยิบตราประทับคู่หนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาเถายินดีจะรับของเล็กๆ ชิ้นนี้ไว้หรือไม่”

เถาเหวินส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบของพวกนี้ บทกลอนบทกวีอะไรนั่น เป็นเรื่องของบัณฑิตอย่างพวกเจ้า ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เอามาไว้ในบ้านก็ไม่ได้ใช้งาน จะเอามาวางกินฝุ่นทำไม? เจ้าเอาไปใช้หาเงินเถอะ มีความหมายกว่าเอาไว้ที่ข้า มากนัก”

เฉินผิงอันจึงเก็บตราประทับ ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาอีกครั้ง “คนขายเหล้าส่วนใหญ่มักจะดื่มเหล้าน้อย คนซื้อเหล้ากินเหล้าได้เละเทะที่สุดทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการดื่มมากพอ แต่เหตุใดถึงยังซื้อเหล้าดื่มอีก ใช่เหตุผลข้อนี้ไหม ท่านอาเถา?”

เถาเหวินยิ้มกล่าว “ข้าไม่ถกเหตุผลหลักการกับบัณฑิตหรอก เจ้าดื่มเหล้าของเจ้าไป ข้าก็ดื่มของข้า เกลี้ยกล่อมคนบนโต๊ะเหล้าจะทำให้เสียภาพลักษณ์เอาได้”

ต่างคนต่างดื่มเหล้าถ้วยสุดท้ายจนหมด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกุมหมัดเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าด้วยกันคราวหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แล้ว”

เถาเหวินโบกมือ “ดื่มเหล้ากับข้าน่าเบื่อที่สุด นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับ ไม่ได้ดื่มด้วยกันก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าคงไม่ไปส่งแล้ว”

เฉินผิงอันเดินออกมาจากเรือน เดินอยู่ในตรอกเล็กเพียงลำพัง

สองมือกำแน่น

ตราประทับสองชิ้นนั้น

‘หวังดื่มให้เมามายนั้นได้ แต่อย่าให้เมามายจริงๆ ’

‘ดอกไม้ต้นหญ้าเขียวขจี’

เฉินผิงอันเดินไปเดินมา สีหน้าก็พลันเลื่อนลอย รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในตรอกหนีผิงบ้านเกิดอย่างไรอย่างนั้น

เถาเหวินที่มีชีวิตอยู่บนโลกคิดถึงภรรยาและบุตรสาวของตัวเองอย่างมาก

พ่อแม่ของตนที่ไม่ได้อยู่บนโลกก็จะคิดถึงผิงอันน้อยแบบนี้หรือไม่

เฉินผิงอันหยุดเดิน สีหน้าเหม่อลอย จากนั้นจึงค่อยสาวเท้าเดินต่ออีกครั้ง

ครู่หนึ่งต่อมา เถาเหวินพลันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มถามว่า “ข้ายังคงไม่ต้องการตราประทับทั้งสองชิ้นนั้น แต่แค่อยากรู้ว่าตราประทับทั้งสองชิ้นสลักคำว่าอะไร”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้หันกลับไป “ท่านอาเหวิน ไม่มีอะไร ก็แค่ตัวอักษรที่คัดลอกมาจากในตำราเท่านั้น”

เถาเหวินยิ้มกล่าว “บัณฑิตอย่างเจ้านี่นะ”

คนหนุ่มที่สวมชุดสีเขียวปักปิ่นหยกสีขาวไม่ได้เอ่ยอะไรมากอีก

นี่ไม่เหมือนเถ้าแก่รองเอาเสียเลย

เถาเหวินเอนตัวพิงกรอบประตู เขายืนอยู่ตรงนั้น มองเรือนที่ว่างเปล่า

ตัวอักษรบนหนังสือบาดตาคน เหล้าในถ้วยรสร้อนแรงบาดกระเพาะ

ดูเหมือนว่าต่างก็ทำให้คนน้ำตาไหลได้เหมือนกัน

ถ้าอย่างนั้นก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง

แผ่นหลังของคนหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ จากไปไกลในตรอกเล็ก

เซียนกระบี่เถาเหวินนั่งอยู่บนธรณีประตู หันหน้าเข้าหาโต๊ะตัวที่อยู่ในห้อง พึมพำว่า “ครั้งนั้นพ่อไปถึงช้าเกิน แล้วยังทำให้พวกเจ้าสองแม่ลูกต้องรอมานานหลายปีขนาดนี้ ฉงฮวา ฉงฮวา ไม่เจ็บนะ ไม่เจ็บ พ่ออยู่ที่นี่ สบายดีมาโดยตลอด ได้กินบะหมี่หยางชุน แล้วยังได้ดื่มเหล้ากับคนดีๆ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!