ตอนที่ 1043 น้องชาย
รัชทายาทหญิงยิ้มละไมมองขุนนางในราชสำนัก ท่าทางไม่โกรธเคืองแม้สักนิด รอให้ทุกคนกล่าวจบ นางจึงได้บรรจงเอ่ยอย่างเนิบนาบว่า “เราขอถามทุกท่านว่า อันใดคือขัดต่อกฎธรรมเนียมใต้หล้า กฎหมายแคว้นต้าโจวเรากำหนดว่าผู้หญิงไม่อาจทำงานได้หรือ เรามีคำสั่งให้สตรีมีความสามารถเดินทางร่วมสอบ ในเมื่อสตรีเหล่านี้มีความสามารถโดดเด่น เหตุใดไม่อาจทำงานเพื่อแคว้นต้าโจวเรา”
“เรารู้สึกว่าใต้หล้าควรแบ่งแค่ผู้มีความสามารถกับผู้ไร้ความสามารถ มิใช่ชายหรือหญิง ผู้ชายบางคน เห็นอยู่ว่าไม่เอาไหน แต่เพราะมีร่างกายเป็นผู้ชายก็ปะปนดำรงอยู่ได้ ในทางกลับกัน หากสตรีมีความสามารถ แต่เพราะธรรมเนียมจารีต ต้องอยู่กับบ้านดูแลสามีอบรมบุตรแค่นั้นหรือ”
“เหตุใดแคว้นต้าโจวเราจึงไม่เปิดศักราชใหม่ เราขึ้นเป็นรัชทายาทหญิงได้ เช่นนั้นสตรีมีความสามารถโดดเด่น ไม่ควรทำงานเพื่อแผ่นดินหรือ”
ในจำนวนคนเหล่านี้ มีคนส่งเสียงดังขึ้นว่า “พวกนางจะเทียบกับรัชทายาทหญิงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“รัชทายาทหญิงเป็นบุคคลที่หาได้ยากในใต้หล้านี้ เป็นดังหงส์ในหมู่ชน มีคนใต้หล้าสักกี่คนที่เทียบเทียมได้กัน”
คนเหล่านี้ต่างประจบสอพลอ คิดเอาใจเซียวหวง น่าเสียดายรัชทายาทหญิงรู้กระจ่าง นางยิ้มมองบรรดาขุนนางในราชสำนัก กล่าวว่า “แม้ว่าเราไม่ปฏิเสธคำพูดของทุกท่าน แต่เราเชื่อว่าใต้หล้านี้มีสตรีมากมายที่เก่งกาจกว่าเรา เราเพียงแต่รู้จักใช้คนตรงตามความสามารถเท่านั้น”
นางกล่าวจบก็มองไปยังวังโส่วฝู่ เอ่ยขึ้นว่า“ใต้เท้าวัง ท่านว่าเรากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”
วังโส่วฝู่สีหน้าดำทะมึน เป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “รัชทายาทหญิงกล่าวได้ถูกต้องพ่ะย่ ะค่ะ”
เขาจะกล่าวอันใดได้ เขาไม่อาจกล่าวอันใดได้ทั้งสิ้น
พวกใต้เท้าฟางรองโส่วฝู่ต่างไม่พอใจวังโส่วฝู่
เซียวหวงเอ่ยชมวังโส่วฝู่ว่า “ดูสิ ดูสิ ใต้เท้าวังประสบการณ์กว้างไกลเพียงใด ไยพวกท่านไม่เรียนรู้จากใต้เท้าวังให้มาก นี่สิควรเป็นโส่วฝู่แห่งแคว้นต้าโจวเรา ความคิดและประสบการณ์กว้างไกลสูงส่งกว่าผู้ใด ไม่เคยดูแคลนสตรี พวกท่านควรเรียนรู้ให้มาก”
เซียวหวงพูดจนเรื่องนี้สับสนไปหมด แต่สรุปก็คือทุกพื้นที่ในแคว้นต้าโจว สตรีที่มีความสามารถโดดเด่นก็ล้วนเดินทางมาสอบที่สำนักหงเหวินก่วนในเมืองหลวง หากผ่านการสอบ รัชทายาทหญิงก็จะจัดสรรตำแหน่งงานให้นางทำตามความสามารถในแต่ละพื้นที่
สตรีทั้งผืนแผ่นดินพากันเดินทางมาเมืองหลวง
ในเมืองหลวง ตระกูลเก่าแก่แต่ละตระกูลมารวมตัวคิดออกความเห็นเพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมนี้ของรัชทายาทหญิง
สุดท้ายใต้เท้าฟางรองโส่วฝู่ก็ออกความคิดว่า “รัชทายาทหญิงว่างงานเกินไปจึงได้มีความคิดออกมาไม่หยุดหย่อน ข้ารู้สึกว่าหากรัชทายาทหญิงมีคู่ครองที่ดี ก็คงไม่ว่างแล้ว ดังนั้นพวกเราควรเลือกคู่ครองให้รัชทายาทหญิงสักคน”
พอเอ่ยวาจานี้ออกมา คนไม่น้อยต่างเห็นว่าไม่เลว การที่รัชทายาทหญิงเป็นเช่นนี้ก็เพราะยังไม่เคยได้พบผู้ชายที่ดี หากมีผู้ชายร่วมชีวิตกับนางสักคน นางจะต้องไม่มีเวลามาวุ่นวายเรื่องเหล่านี้อีก พวกเขาควรหาคู่ครองที่ดีให้รัชทายาทหญิงสักคนได้แล้ว
พอเอ่ยความคิดนี้ออกมา แต่ละตระกูลในเมืองหลวงก็เริ่มมีความคิดกัน ตามกฎมณเทียรบาล แม้รัชทายาทหญิงเป็นหญิง แต่นางก็เหมือนกับรัชทายาท เลือกราชบุตรเขยได้หลายคน เช่นนั้นราชบุตรเขยเอกของรัชทายาทหญิงก็คือบุคคลสำคัญที่สุด
ในตระกูลพวกเขา หากมีคนได้เป็นราชบุตรเขยเอกของรัชทายาทหญิง ตระกูลพวกเขาย่อมต้องได้รับการคุ้มครอง คนไม่น้อยพากันหวั่นไหวเริ่มคิดการกันขึ้นมาทันที
เพียงแต่พอพวกเขากลับไปหารือกับลูกหลานในตระกูล คนไม่น้อยต่างไม่ยินยอมเป็นราชบุตรเขยเอกของรัชทายาทหญิง
ใต้เท้าทุกคนได้ฟังความคิดบุตรหลานตนเอง ยังคิดว่าคิดว่าบุตรหลานตนไม่คิดเรืองอำนาจด้วยการทำลายศักดิ์ศรีชายชาตรีของตน ปรากฏบุตรหลานต่างพากันกล่าวว่า “รัชทายาทน่ากลัวมาก ข้าไม่กล้าแต่งกับนาง”
“รัชทายาทโหดเหี้ยมเลือดเย็น หลานไม่กล้าแต่งกับนาง อาจไม่พบแสงตะวันยามรุ่งก็เป็นได้”
“ข้ายอมไม่แต่งสตรีใดชั่วชีวิตก็ไม่คิดแต่งกับรัชทายาท”
แม้ว่าหลายคนไม่อยากเป็นราชบุตรเขยของรัชทายาทหญิง แต่ก็ยังมีคนเห็นแก่อำนาจ อยากแต่งกับรัชทายาท
วันรุ่งขึ้น ขุนนางในราชสำนักพากันยื่นฎีกาขอให้ฝ่าบาทหาราชบุตรเขยให้รัชทายาทหญิง
“รัชทายาทหญิงได้วัยปักปิ่นแล้ว ตอนนี้คิดว่ารัชทายาทควรเลือกราชบุตรเขยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทมีราชโองการให้รัชทายาทเลือกราชบุตรเขยพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วย ขอฝ่าบาททรงมีราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวหวงกลับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ไรมานางไม่เคยคิดเลือกราชบุตรเขยอันใด คิดไม่ถึงขุนนางเฒ่าเหล่านี้เสนอความคิดเช่นนี้เพื่อทำให้นางตกที่นั่งลำบากใจ
แต่ในฐานะรัชทายาท ช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้ เซียวหวงไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ แต่คนผู้นี้จำเป็นต้องเป็นคนที่นางชอบ ไม่เช่นนั้นนางไม่มีทางแต่ง และคนผู้นี้ก็ต้องชอบนางเช่นกัน
เซียวเหวินอวี๋เห็นเซียวหวงไม่ได้คัดค้านก็เห็นด้วย เรื่องนี้มอบให้ฮองเฮารับหน้าที่ไปดำเนินการ
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนย่อมไม่คิดบีบบังคับบุตรสาวแต่งกับคนที่ไม่ชอบ นางสั่งให้คนไปเชิญเซียวหวงมาสอบถามความคิดเห็น
“หวงเอ๋อร์ ลองบอกท่านแม่หน่อย เจ้าต้องการคู่ครองแบบใด อีกอย่างเจ้าคิดแต่งหลายคนไหม”
ในฐานะรัชทายาทหญิงแต่งราชบุตรเขยหลายคนได้
แม้ว่าซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนคิดว่าบุตรสาวน่าจะแต่งเพียงราชบุตรเขยเอกเพียงคนเดียว วันหน้าทั้งสองคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่นี่เป็นเรื่องของบุตรสาว นางไม่อาจยุ่งเกี่ยวด้วยมากนัก แต่เซียวหวงไม่ทำให้นางผิดหวัง นางอมยิ้มมองซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนแสดงท่าทีเอ่ยว่า “หม่อมฉันขอแต่งเพียงราชบุตรเขยเอกเพียงคนเดียวเพคะ ชีวิตที่เหลือจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างเบิกบานใจ”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนยิ้มลูบศีรษะนาง “ได้ เช่นนั้นเจ้าบอกเสด็จแม่ เจ้าชอบชายเช่นใด”
เซียวหวงเอ่ยด้วยสัญชาตญาณว่า “อันดับแรกต้องหน้าตาดี รูปร่างสูงสง่า ยังต้องทำกับข้าวเป็น ดูแลผู้อื่นได้ ที่สำคัญที่สุด เขาต้องชอบข้า”
เซียวหวงกล่าวไม่ทันจบ ในห้วงความคิดก็มีภาพคนผู้หนึ่งผุดขึ้นมา คนผู้นี้ก็คือน้องชายที่นางเก็บได้ในภพก่อน ฟู่หลิน
ตอนเซียวหวงอายุห้าขวบได้เก็บขอทานน้อยชื่อฟู่หลินมาเลี้ยง ตอนนั้นฟู่หลินสี่ขวบ พูดจายังไม่เป็น เด็กๆ หลายคนต่างรังแกเขา เซียวหวงทนดูไม่ไหว จึงเข้าไปเก็บเขากลับมาดูแลไว้ข้างกาย บิดามารดาเลี้ยงเห็นนางชอบเจ้าหมอนี่ก็มิได้คัดค้าน ยอมให้ขอทานน้อยอยู่ข้างกายเซียวหวงได้
ชื่อฟู่หลินก็เป็นชื่อที่เซียวหวงตั้งให้ เพราะตอนนั้นนางชื่อฟู่หวง ฟู่หลินก็เหมือนน้องชายนาง นางจึงตั้งชื่อเขาว่า ฟู่หลิน
ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน ฟู่หลินค่อยๆ เริ่มพูดจาเป็น มีพรสวรรค์ในการฝึกวิชามาก ถึงกับดีกว่าเซียวหวงเสียอีก เซียวหวงไม่คิดหยุดยั้งพรสวรรค์นี้ของเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับนาง จึงให้ฟู่หลินไปคารวะผู้อาวุโสในสำนักเซียวเหยาเป็นอาจารย์ ติดตามผู้อาวุโสฝึกวิชาบำเพ็ญตบะ วันหน้าสำเร็จ ก็จะได้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนัก เป็นเรื่องดีสำหรับเขา
เพียงแต่ตอนฟู่หวงตายตอนนั้น ฟู่หลินไม่อยู่สำนักเซียวเหยา เขาออกไปฝึกบำเพ็ญในแดนมนุษย์กับผู้อาวุโส ก่อนนางตายจึงไม่ได้พบหน้าฟู่หลิน
คิดถึงน้องชายนางแล้ว ในใจเซียวหวงก็แอบสลดลง
ในพระตำหนัก ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเห็นเซียวหวงเหมือนอารมณ์ไม่ดีนัก ก็อดถามอย่างห่วงใยไม่ได้ว่า “หวงเอ๋อร์เป็นอันใดหรือ อารมณ์ไม่ดีหรือ มีเรื่องอันใด บอกกับท่านแม่ได้”
เซียวหวงได้สติ รีบส่ายหน้า “ไม่มีอันใดเพคะ เพียงแค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น หม่อมฉันขอกลับไปพักผ่อนก่อนนะเพคะ”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเห็นนางไม่คิดเอ่ยต่อก็มิได้บังคับนาง เพียงแต่พอนางไปแล้ว จึงได้ถามมู่เซียงนางกำนัลข้างกายว่า “องค์หญิงสามมีคนที่ชอบหรือไม่”
มู่เซียงคิดอยู่ครู่หนึ่งส่ายหน้า “ไม่มีเพคะ ไม่เคยได้ยิน ฮองเฮาต้องการให้บ่าวไปสืบไหมเพคะ”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนส่ายหน้า “เรื่องความรัก คนนอกไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าเชื่อว่า หากหวงเอ๋อร์อยากให้พวกเรารู้ ย่อมต้องบอกพวกเราเอง”