ตอนที่ 148 อัมพาต
ไม่นานนักฉินมู่ก็เลือกคัมภีร์โบราณม้วนที่ 2 คัมภีร์โบราณนี้มีชื่อว่านําทางวิญญาณซึ่งสามารถดึงเอาวิญญาณคนตายมาจากแดนใต้พิภพ และสามารถทําให้ผู้ที่ร่ายเวทมนตร์นี้สามารถเข้าไปในแดนใต้พิภพได้
สาเหตุที่เขาเลือก ‘นําทางวิญญาณ ’ ก็เพราะว่าวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาพื้นที่ดังกล่าวในเรือนบันทึกสวรรค์นั้นมีน้อยยิ่งนัก
ฉินมู่รู้สึกว่าหากพัฒนาวิชานี้ต่อไป เขาอาจจะดึงเอาวิญญาณของคนที่เพิ่งตายกลับมาและฟื้นคืนชีพคนผู้นั้นได้?
หลังจากนั้น เขาก็เลือกอักษรรูนสั่งการผีย้ายเทพเคลื่อนของสํานักมหาบรรพต เวทมนตร์ของสํานักมหาบรรพตนี้แปลกประหลาด ถึงกับสามารถใช้อักษรรูนเพื่อหยิบยืมพลังของภูตผีและทวยเทพ นี่ทําให้เขารู้สึกว่ามันเกี่ยวโยงกับเต๋าแห่งการวาดภาพ
เขาเลือกได้มาเพียง 3 ม้วนคัมภีร์ และเลือกเพิ่มอีกก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เขามีวิชาจํานวนมากในมือที่ต้องฝึกปรือ ผนวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าวิชาและทักษะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมีมากมายราวกับขนวัว เขาต้องใช้เวลาในการตรึกตรองทําความเข้าใจมัน จึงไม่จําเป็นต้องเลือกวิชาเพิ่มเติมมากมาย
ฉินมู่นําคัมภีร์โบราณ 3 ม้วนไปหาบรรณารักษ์ลับเพื่อให้บรรณารักษ์ลับบันทึกชื่อคัมภีร์ที่เขายืมและเลขรหัสบัตรหนังสือของฉินมู่ ก่อนที่จะปล่อยให้เขาออกจากเรือนบันทึกสวรรค์ได้
…
สองวันถัดมา ราชโองการก็ถ่ายทอดมาจากองค์จักรพรรดิเพื่อแต่งตั้งให้ฉินมู่เป็นดุษฎีบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ มอบหมายตําแหน่งขุนนางชั้นหกขั้นสูงให้แก่เขา และยังอนุญาตให้เขาสามารถขึ้นไปได้ถึงชั้น 3 ของเรือนบันทึกสวรรค์โดยไม่ถูกควบคุมจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ
ที่หน้าประตูภูเขาของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ คณบดีป้าซานยืนรออยู่ที่นั่น หลังจากนั้นไม่นานนัก องค์ชายรองหลิงอวี้ชู้ก็รีบรุดมา พลางลากหลิงอวี้จิวที่ดูไม่ค่อยเต็มใจนักมาด้วย
“น้องหญิงเจ็ดตามคณบดีป้าซานไปฝึกฝนแสวงประสบการณ์ดีกว่าอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเยอะ”
หลิงอวี้ชู้ยิ้มแล้วกล่าว “คณบดีป้าซานซึ่งเป็นตัวตนระดับเจ้าสํานักอันเหนือลํ้ากว่าเหล่าครูผู้สอนทั้งหลายอย่างลิบลับ แม้แต่ข้ายังอิจฉาเจ้าและหวังยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นที่จะได้เป็นศิษย์ของคณบดี
ดังนั้นจะลังเลไปทําไม! เจ้าเป็นน้องสาวที่รักของข้า พวกเราคลานตามกันมาจากท้องแม่ ทําไมข้าถึงจะหวังร้ายกับเจ้าล่ะ”
ข้างๆ ประตูภูเขา วัวเขียวตัวใหญ่บึกบึนยืนสองขาเหมือนมนุษย์และกําลังหยอกล้อกิเลนมังกรซึ่งกําลังนั่งเฝ้าประตูภูเขา บางครั้งเขาก็ดึงหนวดมังกรของมันและบางครั้งเขาก็ลูบหางมัน
“ข้าว่านะน้องสาว เมื่อไหร่เจ้าจะยอมออกไปเที่ยวกับพี่ชายคนนี้”
วัวเขียวเอนตัวพิงประตูภูเขาพลางคาบกิ่งดอกโบตั๋นไว้ในปากและหัวเราะเบาๆ “น้องสาว เฝ้าอยู่ตรงนี้ทุกๆ วันไม่เบื่อบ้างหรือ ให้ข้าพาเจ้าไปเที่ยวดีกว่า โลกอันเต็มไปด้วยแสงสีจะต้องทําให้เจ้ารื่นเริงแน่นอน! เจ้าเห็นดอกไม้แสนสวยของข้านี้ไหม ข้าจะยกให้เจ้ากิน…”
มังกรกิเลนข่มระงับโทสะ พลางลอบมองคณบดีป้าซานและรีบหยุดความคิดตนเองที่จะกระโจนขยํ้าแล้วเขมือบไอ้วัวเขียวนี่เข้าไปทั้งตัว
“คณบดีป้าซาน ท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่” หลิงอวี้ชู้เอ่ยถาม
คณบดีป้าซานเงยหน้าขึ้นมองภูเขา “พวกเรายังต้องรอสมาชิกอีกคนหนึ่ง เขาน่าจะกําลังลงมา”
หลิงอวี้ชู้มองไปยังน้องสาวของตนที่ยืนข้างๆ และรู้สึกภูมิใจในแผนการของตนเอง ดีนะที่ข้าหัวไว ไม่เช่นนั้นถ้ายังคงอยูที่ภูเขา น้องหญิงเจ็ดคงไม่หยุดไปเที่ยวเล่นคลุกคลีกับเจ้าคนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศนั่นเป็นแน่ ตอนนี้ในเมื่อพวกเขาทั้งคู่แยกห่างออกจากกันไกลๆ เจ้าหมอนั่นก็ไม่มีโอกาสอีกต่อไป
หลิงอวี้จิวเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาของเขา ดังนั้นเขาจึงคอยดูแลนางในทุกๆ ด้าน ในสายตาของเขา องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นคู่แข่งของตนและมีแต่หลิงอวี้จิวเท่านั้นที่เป็นน้องสาวในแก้วตาดวงใจ ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้วายร้ายอย่างหมอนั่นมีโอกาสเข้าหา
ขณะที่หลิงอวี้ชู้กําลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นและเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงจากภูเขาขณะที่แบกข้าวของเต็มไปหมด มีทั้งขวาน มีดเชือดหมู ไม้เท้าไผ่ และยังมีกระเป๋าสัมภาระใบเบ้อเร่อเบ้อร่าที่มีจิ้งจอกขาวนั่งมาบนนั้นด้วย
“เจ้าหมอนี่ดูยังกับพวกผู้อพยพหนีภัยพิบัติ หรือว่าเขากะจะหนีไปจากภูเขา?” หลิงอวี้ชู้คิด
คณบดีป้าซานเห็นฉินมู่และปล่อยลมหายใจโล่งอกจากนั้นฉีกยิ้ม “ทุกคนมาครบแล้ว!”
หลิงอวี้ชู้ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที และมองไปที่คณบดีป้าซาน ถามด้วยเสียงขาดเป็นห้วงๆ “คนที่อาจารย์รออยู่คือหมอนี่หรือ”
คณบดีป้าซานผงกหัว อันทําลายฝันกลางวันของเขาจนละเอียดแหลกยับเป็นจุณ
ส่วนหลิงอวี้จิวนั้นลิงโลดจนออกนอกหน้า และมองไปยังพี่ชายที่ยืนเซ่อของนางด้วยความภูมิใจ แผนร้ายของพี่ชายมีหรือจะซ่อนเร้นจากนางไปได้
หลิงอวี้ชู้ลังเลสับสน หมายจะขออนุญาตคณบดีป้าซานให้หลิงอวี้จิวถอนตัวไม่ไปในคราวนี้แต่ก็ไม่กล้ากล่าวออกมา
“อาจารย์ป้าซาน ข้าตามไปฝึกฝนกับท่านได้ด้วยหรือไม่” หลิงอวี้ชู้ยังคงไม่ยอมแพ้และเอ่ยถาม
คณบดีป้าซานส่ายหน้า “องค์ชายรอง วรยุทธ์ของเจ้านั้นสูงเกินไป และบรรลุถึงขั้นเจ็ดดาวเรียบร้อยแล้ว เจ้านั้นแก่วัยและหนทางก็กําหนดตายตัว ดังนั้นข้าจึงไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ ไม่ต้องห่วงองค์หญิงเจ็ดหรอก อยู่กับข้านางไม่เป็นอันตรายแน่นอน เจ้ากลับไปได้”
หลิงอวี้ชู้ไม่อาจหักใจกลับขึ้นภูเขา และยืนที่นั่นจ้องเขม็งใส่ฉินมู่
ฉินมู่งงงวย เขาไม่รู้ว่าเขาไปตอแยองค์ชายผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
คณบดีป้าซานประกาศด้วยเสียงห้าวลึก “ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า พวกเราออกเดินทาง!”
ฉินมู่รีบกล่าว “อาจารย์ รอครู่หนึ่ง!”
คณบดีป้าซานยั้งเท้าและหันมามอง ฉินมู่เดินไปเบื้องหน้ากิเลนมังกร วัวเขียวบึกบึนที่ยืนข้างๆ รีบกระเถิบหนีทันทีพลางมองฉินมู่ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
ฉินมู่ไม่สนใจวัวเขียว เขากลั้นหายใจและนําขวดหยกออกมา เขาเปิดฝาขวดหยกและจ่อไว้ใต้จมูกกิเลนมังกร กิเลนมังกรตัวนี้พลันเป็นอัมพาตตะแคงควํ่าลงกับพื้นทันที
วัวเขียวยักษ์รีบกระโดดโหยงหนีห่างไกลและจ้องมองเขาด้วยสายตาสยองขวัญสุดๆ
ฉินมู่หมุนเกลียวฝาขวดปิด และจิ้งจอกน้อยก็รีบใช้ลมปีศาจปัดเป่ากลิ่นหอมประหลาดที่แพร่ออกมาให้พ้นบริเวณ ฉินมู่ถึงค่อยหายใจได้ จากนั้นฮูหลิงเอ๋อก็นําขวดอีกใบออกมาจากกระเป๋าหลัง และยื่นให้ฉินมู่ ฉินมู่เปิดขวดออกจากนั้นกลิ่นเปรี้ยวจี๊ดขาดใจก็ลอยออกมาจากขวดนั้น เขาเทของเหลวในขวดดังกล่าวใส่ปากกิเลนมังกร
นั่นคือนํ้ามะนาว ถึงแม้กิเลนมังกรจะเป็นอัมพาตและไม่อาจขยับเขยื้อนแต่ลิ้นของเขาก็หลั่งไหลนํ้าลายออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เมื่อไปแตะสัมผัสกับรสเปรี้ยวของมะนาว
ฮู่หลิงเอ๋อรีบหยิบขวดหยกออกมาอีกใบจากกระเป๋าหลังของนาง และฉินมู่เอามันไปรองไว้ที่มุมปากของกิเลนมังกรเพื่อเก็บรวบรวมนํ้าลายของมัน หลังจากได้ 10 ขวด นํ้าลายของกิเลนมังกรก็แห้งผากและไม่มีเหลือหลั่งไหลออกมาอีก
ฉินมู่ยืนขึ้นแล้วแย้มยิ้ม “อาจารย์ น้องสาวอวี้จิว พวกเราออกเดินทางกันได้แล้ว”
คณบดีป้าซานเหลือบมองกิเลนมังกรที่นอนอัมพาตอยู่กับพื้นและถามอย่างสงสัย “เจ้าเก็บรวบรวมนํ้าลายมังกรไปทําไมน่ะ”
ฉินมู่อธิบาย “นี่เป็นยาวิเศษสําหรับรักษาบาดแผลภายนอก หากว่าท่านมีแผลมีดแผลกระบี่ ทานํ้าลายนี้ลงไปที่บาดแผลจะช่วยฟื้นฟูเนื้อหนังกลับมา ทั้งยังผลัดผิวเก่าที่ตายไปแล้ว การออกไปแสวงประสบการณ์ภายนอกจะต้องมีบาดเจ็บบ้างแน่นอน ดังนั้นเตรียมไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย”
คณบดีป้าซานจิตใจวูบไหวเล็กน้อย ฉินมู่คงมิได้เพียงแต่เตรียมไว้สําหรับบาดแผลระหว่างการเดินทาง แต่เตรียมไว้สําหรับเชื่อมต่อร่างกายครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อด้วย และทําให้คนแล่เนื้อสามารถฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์
ฉินมู่จึงกล่าว “อาจารย์ ให้ข้ายืมวัวเขียวของท่านหน่อยได้ไหม”
วัวเขียวตื่นตระหนกขึ้นมา “เจ้าห้ามคิดอะไรไม่ดีกับข้าเด็ดขาด! ข้ากับหลิงเอ๋อสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว หากเจ้ากล้ากินข้า พี่สาวข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ๆ! จริงไหม พี่หลิงเอ๋อ”
ฮู่หลิงเอ๋อยืดอกภูมิใจ “เขาเมามากไปเลยกลายเป็นน้องชายร่วมสาบานของข้า”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าแค่จะขอให้เจ้าช่วยถือข้าวของให้เท่านั้นเอง ดูสิเจ้าแตกตื่นไปหมดแล้ว จะว่าไปนะข้าตรวจดูเมื่อครู่ และพบว่ากิเลนมังกรนี้เป็นเพศผู้”
วัวเขียวพลันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าไป 30 รอบ ทั้งตัวชาทั้งยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น เขาพลันร้องไห้โฮออกมาดังสนั่นและฮู่หลิงเอ๋อก็รีบไปปลอบ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผู้หญิงหรือผู้ชายก็เหมือนกัน ยังไงเขาก็ไม่ชอบเจ้าอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาชอบเจ้าขึ้นมาจริงๆ นั่นต้องเป็นปัญหาแน่ๆ”
คณบดีป้าซานส่ายหน้าจากนั้นพาพวกเขาออกจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และมุ่งหน้าออกไปจากเมืองหลวง
วัวเขียวพลันคู้ตัวลงหยัดยืนสี่ขากับพื้นและกู่คํารามดังก้อง ร่างภายใต้ผิวหนังเขามีเสียงระเบิดกึงกังเมื่อกระดูกของเขาขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อของเขาก็ขยายตัวออกมา ทั้งขนเขียวก็งอกยาวอย่างรวดเร็ว
แต่เดิมนั้นเมื่อเขายืนก็สูงสองสามเท่าตัวคนแล้ว และในตอนนี้เมื่อเขาเผยร่างที่แท้จริง เขาก็ยิ่งตัวใหญ่โตกว่าเดิมเสียอีก ใหญ่โตขึ้นเป็น 10 เท่าจากร่างแปลง แขนสองข้างเขาแปรเปลี่ยนเป็นกีบเท้าวัวกระทิง จมูกของเขาพ่นควันดูน่าเกรงขาม และที่ใต้เท้าเขาก็มีสายลมยกให้ลอยขึ้น
คณบดีป้าซานให้ฉินมู่และฮู่หลิงเอ่อปีนขึ้นไปบนหลังวัว จากนั้นวางสัมภาระของพวกเขาไว้บนนั้นด้วย
“องค์ชายสอง ไม่ต้องตามมาส่งพวกเราแล้ว กลับไปเถอะ!” คณบดีป้าซานมองไปที่หลิงอวี้ชู้ผู้ที่ตามมาส่งพวกเขาตลอดทางออกจากเมืองหลวงแล้วยิ้มกล่าว “พวกเขาไม่เป็นไรหรอกเจ้ากลับไปได้!”
หลิงอวี้ชู้มีสีหน้าขมขื่นและโบกมือบ๊ายบายหลิงอวี้จิว หลิงอวี้จิวกําลังพูดคุยชื่นมื่นกับฉินมู่ และไม่รู้ว่าฉินมู่ไอ้เด็กนี่ขุดมุกตลกที่ไหนมาเล่าถึงทําให้หลิงอวี้จิวหัวเราะคิกคัก และทุบอกหนุ่มน้อยคนนี้เบาๆ
หลิงอวี้ชู้รู้สึกราวกับถูกต่อยเข้าจังๆ ที่ท้องและมีสีหน้าขมขื่นยิ่งกว่าเก่า
4 เท้าของวัวตะบึงไปข้างหน้าและมีกระแสลมรองรับเท้าของเขา เขาวิ่งไปไกลลิบตาทิ้งให้หลิงอวี้ชู้ยืนกินฝุ่น
ฮู่หลิงเอ๋อนั่งอยู่บนเขาโง้งของวัวและปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าของนางพาขนขาวไร้มลทินของนางลู่ไปตามลม เขาโง้งของวัวคู่นั้นโง้งจนเป็นวงกลม จึงทําให้นางนั่งอยู่ข้างในอย่างมั่นคง โดยไม่ปลิวไปง่ายๆ
จิ้งจอกน้อยถามอย่างสงสัย “วัวรอง เจ้ารู้วิธีควบคุมลมด้วยหรือนี่”
วัวเขียวแย้มยิ้ม “ควบคุมลมยากตรงไหน ข้ามีสายเลือดมังกร และการคุมพายุและสายฟ้าเป็นความสามารถติดตัวของข้า เจ้าดูที่ผิวหนังของข้าสิ มิใช่ผิวหนังและขนของข้าเหมือนกับมังกรเขียว หรอกหรือ บรรพบุรุษข้าเป็นมังกรเขียวตนหนึ่ง ไม่ใช่อะไรที่ปีศาจกระจ้อยร่อยอย่างเจ้าจะเทียบเคียงได้!”
เขานั้นหยิ่งผยองอย่างยิ่ง สายเลือดของเขาทําให้เขาแตกต่างจากสัตว์พิสดารตนอื่นๆ หากว่าเขาพบพานสัตว์พิสดาร เขาก็เพียงแต่แผ่เดชานุภาพของมังกรเพื่อข่มขวัญศัตรูและทําให้พวกมันเชื่องลงทันที
ฮู่หลิงเอ๋อลูบหนังศีรษะของวัวเขียว และหนังวัวของเขานั้นเป็นประกายเงางามทั้งยังหนาเป็นอย่างยิ่ง หนังของเขามีพลังป้องกันอย่างน่าตื่นตระหนก และเกล็ดมังกรที่คอของเขาเองก็โดดเด่นสะดุดตา นางจึงอุทานด้วยความชื่นชม “วัวรอง หนังของเจ้านี่ท่าจะราคาดีนะเนี่ย”
วัวเขียวสะดุดไปก้าวหนึ่งและรีบหุบปากทันที พลางครุ่นคิดในใจ พี่สาวร่วมสาบานของข้านี้ก็เป็นวายร้ายยากตอแย เจ้านายของนางหมายจะกินข้า ส่วนนางก็คิดจะถลกหนังข้าไปขาย ป่าเถื่อน!
ความป่าเถื่อนของพวกเขากลายเป็นกมลสันดานไปแล้ว! ข้ามูมู่ คนเรียบง่ายและสัตย์ซื้อ คงดีที่สุดที่จะข้องเกี่ยวกับวายร้ายพวกนี้ให้น้อยๆ หน่อย แย่ตรงที่ว่าข้าโดนนางมอมเหล้าแล้วดันไปสาบานเป็นน้องชายนางเสียอย่างงั้น ตกหลุมพรางแสนชั่วร้าย…”
หลิงอวี้จิวหันหน้ากลับไปถามคณบดีป้าซาน “อาจารย์ พวกเราจะไปแสวงประสบการณ์กันที่ไหน”
“ข้ามกําแพงใหญ่ไป”
คณบดีป้าซานกําลังอ่านคัมภีร์โบราณที่ฉินมู่และหลิงอวี้จิวเลือกสรรมา และตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้น “จักรวรรดิคนเถื่อนตี้”
หลิงอวี้จิ้วสะดุ้งโหยง “จักรวรรดิคนเถื่อนตี้?”
นางได้ยินการรบพุ่งที่ลําบากยากเข็ญในสมรภูมิชายแดนจักรวรรดิคนเถื่อนตี้มานานแล้ว
ฉินมู่สะท้านใจและมองไปยังคณบดีป้าซาน “ศิษย์พี่ ท่านเจอครึ่งท่อนล่างของท่านปู่คนแล่เนื้อหรือ”
คณบดีป้าซานพยักหน้า “ครึ่งท่อนล่างของอาจารย์ถูกสํานักเล็กๆ แห่งหนึ่งหยิบฉวยไป และสํานักเล็กๆ แห่งนี้ถูกทําลายล้างโดยลัทธิหมอผีแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้…วังทองโหรวหลัน ครึ่งท่อนล่างของอาจารย์น่าจะตกอยู่ในมือของวังทองโหรวหลัน”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก มิน่าล่ะคณบดีป้าซานถึงมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิคนเถื่อนตี้
แต่เขาก็ยังงงๆ ว่าทําไมวังทองโหรวหลันถึงทําลายล้างสํานักเล็กๆ เพียงเพื่อแย่งชิงร่างครึ่งท่อนล่างของคนแล่เนื้อ
วัวเขียวตะบึงไปตลอดทางยังทิศตะวันตก และพวกเขาก็มาถึงริมแม่นํ้าโคลน วัวเขียวเหยียบไปบนผิวนํ้า และวิ่งตะลุยมุ่งหน้าไปยังต้นนํ้า