Skip to content

Tales of Herding Gods 158

ตอนที่ 158 วิวาห์เหาะ

หลิงอวี้จิวยืนขึ้นด้วยอาการโงนเงนและวัวเขียวเองก็เอนหัวอันหนักอึ้งของมันไปมา ฉินมู่อุ้มจิ้งจอกขาวขึ้นและยัดนางลงไปในกระเป๋าหลัง มือหนึ่งของเขาฉุดดึงหลิงอวี้จิว และอีกมือหนึ่งดึงวัวเขียว เขาวิ่งตะบึงลงจากภูเขา

หลิงอวี้จิวยังคงเหม่อลอย ยิ้มให้เขาอย่างโง่งมแล้วกล่าว “เด็กเลี้ยงวัว เจ้ายังมีชีวิตอยู่…”

ฉินมู่ไม่ตอบคําพูดนางแล้วรีบวิ่งตะลุยตลอดทางลงภูเขา เขานั้นรวดเร็วเสียจนหลิงอวี้จิวและวัวเขียวสับเท้าตามไม่ทันและต้องปล่อยให้เขาฉุดลอยไปเท้าไม่แตะพื้น

เมื่อคณะหลบหนีมาถึงตีนเขา ฉินมู่ก็มองตรงไปยังเรือไม้ และหมอผีใหญ่หน้าแพะที่นอนอัมพาตหัวปักนํ้าก้นชี้ฟ้า ร่างของเขาพาดอยู่ครึ่งหนึ่งบนเรือ และน่าจะจมนํ้าไปเรียบร้อยแล้ว

ฉินมู่รีบขึ้นเรือทันที และงัดขาของหมอผีนั้นผลักเขาตกนํ้า เขาหยิบเสาไม้ไผ่มายันนํ้า แต่เรือนั้นไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

ฉินมู่ยันเสาไม้ไผ่อีกสี่ห้าครั้ง แต่เรือก็ยังคงไม่ยอมเคลื่อนที่ “นํ้าบางนี้ไม่มีแรงเสียดทาน!”

ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมา เขาถ่ายเทปราณชีวิตของตนเข้าไปในเสาไม้ไผ่ และทันใดนั้นก็มีลวดลายประหลาดปรากฏขึ้นที่ผิวเสาไม้ไผ่ บัดนี้เมื่อเขาใช้ไม้ไผ่ยันเข้าไปในนํ้า เขาก็รู้สึกถึงแรงต้านนํ้าในที่สุด

ฉินมู่ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นรีบคัดไม้ไผ่ลงไปในนํ้าพาย เรือมุ่งหน้าไปยังอีกฝั่ง แม้ว่าเรือไม้ไผ่นี้จะเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วประดุจลุกธนู แต่ฉินมู่ก็ร้อนใจรู้สึกว่าชักช้าไปอยู่ดี

หากว่าเหล่าราชาหมอผีและหมอผีอาวุโสแห่งวังทองโหรวหลันกลับมาที่ภูเขา พวกเขาก็อาจจะสามารถถอนพิษหอมสาบสูญได้ทันที และรู้ว่าผู้คนที่นอนระเนระนาดนั้นเพียงแค่เป็นอัมพาตมิได้ต้องพิษ

และหากว่าพวกเขาไล่ตามมา ฉินมู่และคณะก็คงจะต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถ

เมื่อพวกเขามาถึงอีกฝั่ง วัวเขียวก็ฟื้นสติเต็มที่ในที่สุด เขาตะโกนขึ้นมา “นายผู้เฒ่ายังอยู่บนภูเขา!”

ฉินมู่กล่าว “ไม่ต้องห่วง หากพวกเราสามารถหนีมาได้ เขาก็ต้องหนีได้เหมือนกัน เขานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเราเยอะ หากว่าพวกเรากลับไปดูเขา ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงเขาแทน! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหมอผีอาวุโสและบรรดาราชาหมอผีกลับมาที่วังเพื่อสืบสาวราวเรื่อง นั่นก็จะเป็นโอกาสที่คณบดีป้าซานหลบหนีไปได้”

เขากระโดดขึ้นไปบนฝั่งและยื่นมือออกไป ทว่าวัวเขียวและหลิงอวี้จิวกระโดดขึ้นมาบนฝั่งแล้วและไม่ต้องการให้เขาช่วยดึงขึ้น

มะเดื่อมุกเพลิงเหล่านั้นช่วยให้พวกเขาฟื้นตัวโดยสิ้นเชิงมะเดื่อมุกเพลิงนับว่าเป็นยาถอนพิษแก้ทางของหอมสาบสูญอย่างแท้จริง

จริงๆ หอมสาบสูญนั้นแต่เดิมถูกนักปรุงยาใช้วางยาสลบมังกร มังกรนั่นมีกําลังฝีมือกล้าแข็งอันเทียบได้กับวรยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์ แต่มันก็ยังถูกทําให้เป็นอัมพาตด้วยนํ้ามือนักปรุงยา

แต่สิ่งแก้ทางของหอมสาบสูญนี้มีเพียงหนึ่งเดียว คือมะเดื่อมุกเพลิง

“วัวเขียว!”

ฉินมู่ตะโกนและวัวเขียวเข้าใจเจตนาเขา เขารีบควํ่า 4 ขาลงกับพื้นและเผยร่างจริง เปลี่ยนร่างเป็นวัวเขียวตัวยักษ์อันยิ่งใหญ่โอ่อ่า ซึ่งเหยียบลมและเมฆอยู่

ฉินมู่และหลิงอวี้จิวกระโดดขึ้นไปบนหลังวัว จากนั้นกล่าว “วัวเขียว โกยให้เร็วที่สุดเท่าที่ทําได้!”

กีบเท้าของวัวเขียวขยับเขยื้อนและกีบเขามิได้สัมผัสพื้น ในเมื่อเขาวิ่งตะบึงไปบนวายุและเมฆา 2 คนที่อยู่บนหลังของเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเมื่อลมอึงคะนึงจากการเคลื่อนที่อย่างเร็วสุดขีดกวาดซัดใส่ใบหน้าของพวกเขา ที่หลังของฉินมู่ ฮู่หลิงเอ๋อก็ตื่นขึ้นมาและเกือบถูกซัดปลิวจากลมแรงนั้นเมื่อนางโผล่หัวออกมาชมดูโลกภายนอก นางรีบคว้าจับกระเป๋าหลังเอาไว้ ลมอึงคะนึงนั้นซัดร่างของนางหลุดจากข้างในกระเป๋าลู่ขนและหางนางจนตรงแหน็วตามทิศทางลมเหมือนกับดินสอแท่งหนึ่ง

กีบของวัวเขียวยกขึ้นยกลง และทุกคราที่กีบเท้าเขาเข้าใกล้พื้นประมาณหนึ่งคืบ กระแสลมก็จะพัดพุ่งจากกีบเท้าพยุงร่างมหึมาของเขาให้ลอยขึ้น ทําให้ความเร็วของเขานั้นเกินจินตนาการ

ฉินมู่หันหลังกลับไป และเส้นผมของเขาก็ยุ่งเหยิงไปหมด ทรงผมเขาตอนนี้เหมือนพวกหมอผี และไม่มีสายรัดมัดผมเอาไว้ ตอนนั้นเองเขาถึงสังเกตเห็นฮู่หลิงเอ๋อที่ใช้ 2 อุ้งเท้ายื้อยุดกระเป๋าหลังของเขาไว้อย่างสุดความสามารถ ร่างของนางถูกลมแรงเป่า เขาจึงรีบเอื้อมมือไปคว้าตัวนางไว้มิให้นางถูกเป่าปลิวกระเด็นไป

หลิงอวี้จิวตะโกน “เด็กเลี้ยงวัว ให้ข้าอุ้มนางเอง เจ้าจะได้จัดผมเผ้าให้เรียบร้อย!”

ฉินมู่ส่งฮู่หลิงเอ๋อให้นาง หลิงอวี้จิ้วอุ้มจิ้งจอกน้อยไว้ในอ้อมแขน ฮู่หลิงเอ๋อครางฮืมหนึ่งทีเมื่อรู้สึกว่าหน้าอกของหลิงอวี้จิวนั้นทั้งนุ่มทั้งหอม แม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไร แต่ความรู้สึกแสน

สบายนั้นทําให้นางเผลอซุกเบียดเข้าไปทีสองที และรู้สึกแย่ที่หลงเคลิ้ม

ฉินมู่นําห่วงรัดผมออกมา และจัดผมเผ้าของเขา พลางหันไปดูข้างหลังเป็นระยะ เขาเห็นว่าวังทองโหรวหลันถูกทิ้งไว้ข้างหลังห่างไกลขึ้นทุกที และเขายังคงมองเห็นรุ้งทองที่พุ่งจากภูเขาหิมะ กลับไปทางวังทองโหรวหลานด้วยความเร็วคงที่

หลังจากนั้นพักหนึ่ง ก็มีเส้นสายแสงทองพุ่งออกมาจากวังทองโหรวหลัน มุ่งหน้าตรงมายังพวกเขา

ฉินมู่ใจตกวูบ เส้นแสงทองเหล่านั้นน่าจะเป็นราชาหมอผีแห่งวังทองโหรวหลันผู้ซึ่งค้นพบเรื่องที่เกิดขึ้นและกําลังไล่ตามพวกเขามา แม้ว่าความเร็วของวัวเขียวนั้นจะไวยิ่งยวด แต่พลังวัตรของวัวเขียวนั้นไม่อาจเทียบได้กับราชาหมอผี

แต่ทว่าในจังหวะนั้นเอง แสงเจิดจ้าก็พวยพุ่งมาขัดขวางรุ้งทองเหล่านั้นแสงทองและแสงมีดปะทะกันไปบนนภากาศ สักครู่ก็แยกออกห่างกันแล้วพุ่งเข้าปะทะกันใหม่อีกครั้ง

จากระยะห่างจุดที่ฉินมู่ยืนมอง ความเร็วของเส้นแสงเหล่านั้นมิได้รวดเร็วบาดตา แต่หากว่าใครไปมองใกล้ๆ ก็จะพบว่าเส้นแสงเหล่านั้นปะทะกันไปมารวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า จนทําให้มองด้วยตาเปล่าไม่ทัน

เส้นแสงทองเหล่านั้นปะทะกันอีกสองสามทีกับแสงขาว และพลันระเบิดแสงก้อนใหญ่ปะทุขึ้นมา ตามด้วยร่องรอยของควันดําอันก่อตัวเป็นรูปหัวกะโหลกอยู่กลางฟากฟ้า กะโหลกนั้นพ่นริ้วสายควันดําออกมาจากข้างในปาก และแต่ละริ้วสายก็แปรเปลี่ยนเป็นหัวกะโหลกขนาดเล็กลง การณ์นี้เกิดขึ้นซํ้า 3 ครั้ง ทําให้ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยกะโหลกควันทมิฬ

รูปร่างกะโหลกพวกนั้นสามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างไกล หากไปดูใกล้ๆ พวกมันคงใหญ่มหึมาหาใดเปรียบ คงใหญ่ปานภูเขาลูกหนึ่ง จากนั้นฉินมู่ก็เห็นแสงมีดแปลบปลาบฝ่าฟันครึ่งฟ้า รุ้งทองพลันแตกกระจัดกระจายเป็นละอองประกายทอง วัวเขียววิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น และในเวลาไม่นาน ฉินมู่ก็ไม่อาจ

เห็นการต่อสู้ดังกล่าวได้ชัดเจนอีกต่อไป

และเมื่อวัวเขียวตะบึงข้ามเขาไปอีกสี่ห้าลูก การต่อสู้นั้นก็ลับสายตาเขาไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยตํ่าไปทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าก็มืดคํ่าลง วัวเขียวที่วิ่งเต็มกําลังมาครึ่งค่อนวันเองก็หอบหายใจดังวี้ๆ ปากของเขาเต็มไปด้วยนํ้าลายขาวเป็นฟองฟอด เมื่อเห็นบ่อนํ้าแห่งหนึ่งกลางท้องทุ่งข้างหน้า เขาก็รีบรี่เข้าไปแล้วก้มหัวดื่มนํ้าอึกๆ

ไม่นานนัก นํ้าในบ่อก็หายวับไปครึ่งหนึ่ง ที่นํ้าตื้นสามารถมองเห็นปลาหลังเขียวและปลาตัวที่ยาวกว่า

คืบนี้กําลังตะเกียกตะกายอยู่ในโคลน หมายจะปีนไปไปยังที่ที่มีนํ้ามากกว่านี้

ฉินมู่เห็นว่าเขาเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสจึงกระโดดลงจากหลังวัว “วัวเขียว หยุดวิ่งแล้วพักก่อนสักพัก”

วัวเขียวยังคงดื่มนํ้าเข้าไปไม่จุใจ และตอนนั้นเองก็มีเสียงผู้เฒ่าดังมา “วัวนั่นน่ะ หยุดดื่มได้แล้ว! หากว่าเจ้าดื่มนํ้าเข้าไปอีก หมู่บ้านของพวกเราจะไม่มีนํ้าใช้!”

วัวเขียวเงยหน้าขึ้น เห็นผู้เฒ่าคนเลี้ยงสัตว์ทิ้งฝูงแกะของเขาวิ่งเข้ามา เขาพยายามเหวี่ยงแส้ในมือหมายขับไล่วัวเขียวออกไป แต่เมื่อเขาเห็นว่าวัวตัวนี้ใหญ่มหึมาน่าพรั่นพรึง เขาไม่กล้าเข้าใกล้ และเหวี่ยงแส้ไปมาอยู่ห่างๆ

“ชู่ว ชู่ว”

ฉินมู่ตบกีบเท้าวัวเบาๆ เพราะว่าเมื่อวัวเขียวเผยร่างจริงของมัน มันก็สูงและกํายําเป็นอย่างยิ่ง ฉินมู่ซึ่งสูงเพียงข้อเท้าจึงยื่นมือตบได้แค่ตรงกีบ

วัวเขียวจึงหยุดดื่มนํ้าทันที ขณะที่หลิงอวี้จิวรีบกระโดดลงจากหลังวัว ฮู่หลิงเอ๋อเองก็มุดออกมาจากอ้อมแขนของนางและกระโดดไปขึ้นกระเป๋าสัมภาระของฉินมู่

ผู้เฒ่าผู้นั้นไม่กล้าเข้ามาใกล้ และวัวเขียวก็ขยับตัวไปมาเพื่อหดร่างลง เขายืนสองขาเหมือนมนุษย์และยังคงสูงสองสามช่วงตัวคน เหวี่ยงหางไปตบแมลงหวี่ตายไปหลายตัว

ฉินมู่คารวะจากไกลๆ แล้วกล่าว “ผู้เฒ่า พวกเรานั้นผ่านทางมา และท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดคํ่า พวกเราจึงหยุดที่นี่เพื่อพักสักครู่ การเดินทางของพวกเรานั้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ทําให้พวกเรากระหายนํ้าอย่างหนักและวัวของข้าก็เลยดื่มนํ้ามากไปหน่อย ต้องขออภัยท่านด้วย”

ผู้เฒ่านั้นก้าวมาใกล้ๆ แล้วเงยหน้าดูวัวเขียวพลางถอนใจเฮือกด้วยความทึ่ง เขายังคงหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย “วัวของเจ้าที่เลี้ยงดีจริงๆ โตใหญ่กํายําขนาดนี้ แล้วทําไมเจ้าวัวนี่ถึงเป็นสีเขียวล่ะ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “เขาเป็นพันธุ์ผสมกับมังกรก็เลยมีสีเขียว”

ผู้เฒ่าอยากจะแตะสัมผัสดู แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเข้ามาใกล้ และแตะผิวหนังวัวเบาๆ เขาพบว่าหนังวัวเขียวนั้นลื่นเนียนเหมือนผ้าซาตินและกล้ามเนื้อก็แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า เขาอุทานขึ้นมาทันที “กล้ามเนื้อแข็งแกร่งมากๆ พวกเราเองก็มีวัวอยู่สี่ห้าตัวในหมู่บ้าน ให้เขาเป็นพ่อพันธุ์ผสมกับวัวพวกเราได้ไหม”

วัวเขียวฟังแล้วไม่สบอารมณ์และกล่าว “ผู้เฒ่า ข้าไม่ใช้วัวพ่อพันธุ์ดังนั้นข้าจะไม่ผสมพันธุ์มั่วซั่ว อีกอย่างหัวใจของข้ามีเจ้าของแล้ว ”

ผู้เฒ่ากระโดดโหยงด้วยความตกใจแล้วพึมพํา “ปีศาจ?”

ฉินมู่รีบกล่าว “เขาไม่ใช่ปีศาจ”

ฮู่หลิงเอ๋อรีบโผล่หัวขึ้นมา “แต่ข้าเป็นปีศาจ”

ผู้เฒ่าพลันกระจ่างแจ้งและยิ้มให้แก่ฉินมู่และหลิงอวี้จิว “ข้ารู้ล่ะ พวกเจ้าคงหลบหนีมาจากตระกูลรํ่ารวยใช่ไหม มีแต่ตระกูลรํ่ารวยเท่านั้นที่สามารถเลี้ยงดูสัตว์พิสดารและเซียนจิ้งจอก นี่ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว มาพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อนเป็นอย่างไร”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและหันไปมองหลิงอวี้จิว “วัวเขียวหมดแรงแล้ว และคงวิ่งต่อไปไม่ไหว”

ฉินมู่ขมวดคิ้ว “หากว่าวังทองโหรวหลันไล่ตามมาทัน ข้าเกรงว่าจะทําให้พวกเขาโดนหางเลข”

หลิงอวี้จิวกล่าวด้วยเสียงเบา “วัวเขียววิ่งตะบึงบนลมและเมฆมาตลอด ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ดังนั้นพวกเขาคงหาตัวพวกเราไม่ง่ายหรอกเอาอย่างนี้ไหมล่ะ หากว่าหมู่บ้านของพวกเขานั้นอยู่ในชัยภูมิอันซ่อนเร้น พวกเราก็พักที่นี่ก่อนสักคืนแต่หากว่าที่ตั้งหมู่บ้านนั้นสะดุดตาเกินไป พวกเราก็ออกเดินทางต่อ”

ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “ผู้เฒ่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องขอรบกวนท่านในคํ่าคืนนี้ แล้วเช้ารุ่งขึ้นเราจะเดินทางจากไป”

ผู้เฒ่านั้นแย้มยิ้ม “จะพักอีกสองสามวันก็ไม่มีปัญหา ที่หมู่บ้านเราก็ไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไรหรอก ล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่ใกล้ตายในทุกวัน ร่างนี่บึกบึนดี ช่วยข้าต้อนแกะหน่อยล่ะกัน”

ฉินมู่ก้าวออกไป ท่าร่างของเขานั้นว่องไว และไม่นานนักเขาก็ไล่ต้อนฝูงแกะมารวมกัน ผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ตาลุกวาว “สาวน้อย สายตาเจ้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ หนุ่มน้อยผู้นี้ทั้งแข็งแรงทั้งเก่งงาน”

สีหน้าหลิงอวี้จิวแดงขึ้นมา “ผู้เฒ่า มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ”

ผู้เฒ่านั้นหัวเราะด้วยเสียงอันดัง จากนั้นพาพวกเขาต้อนฝูงแกะไป เดินอ้อมแอ่งเขา พวกเขามาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ในป่า หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่โตและมีบ้านเรือนเพียง 20 หลัง ข้างในหมู่บ้านมีผู้เฒ่าผู้แก่อาศัยอยู่ 10 กว่าคนเท่านั้น ป่าแห่งนี้อยู่ในชัยภูมิอันซ่อนเร้น ต้นไม้รอบๆ สูงใหญ่เพราะว่าไม่มีใครขึ้นไปตัดแต่งมันไหว เป็นผลให้ต้นไม้เหล่านั้นรกครึ้มปกคลุมหมู่บ้าน

“ทําไมที่นี่ถึงมีคนน้อยนัก” ฉินมู่คลายใจและถามด้วยความพิศวง

“ข่านพวกนั้นรบพุ่งกันทุกวัน เจ้าฆ่าข้าและข้าก็ฆ่าเจ้า เจ้ากวาดต้อนคนหนุ่มแข็งแรง ข้าก็กวาดคนหนุ่มแข็งแรงเหมือนกัน เมื่อพวกเขาหาคนไปรบ คนที่เหลืออยู่ก็น้อยลงทุกที”

ผู้เฒ่านั้นถอนหายใจแล้วกล่าว “คนวัยฉกรรจ์ทั้งหลายก็ถูกกวาดต้อนไปหมด เหลือแต่พวกผู้เฒ่าอย่างพวกเรา พวกเรานั้นจะอพยพไปไหนก็ไม่ได้ต่อให้อยากไปสักแค่ไหนแล้วพวกเราจะไปที่ไหนได้ล่ะ โชคดีจะตายอยู่แล้วที่พวกเขาไม่เอาพวกกระดูกผุๆ อย่างพวกเราไปด้วยเมื่อตอนที่มากวาดต้อนคนหนุ่มตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่รัก พวกเรามีแขกแน่ะ”

ยายเฒ่าผู้หนึ่งที่กําลังเย็บผ้ายืนขึ้นด้วยแข้งขาสั่นไม่ค่อยมีแรงแล้วแย้มยิ้ม “พวกเขาเป็นแขกของเรารึ ข้าจะไปเตรียมอาหาร”

ฉินมู่กล่าวทันที “ให้ข้าทําเถอะ ข้าเป็นคนทําอาหารบ่อยๆ ตอนอยู่ที่หมู่บ้านของข้า”

ยายเฒ่าผู้นั้นจึงได้ยืนกับตาเฒ่ามองดูเขาปรุงอาหารสองสามอย่าง หลิงอวี้จิวรีบไปเชิญผู้เฒ่าทั้งสองมานั่ง

“พวกเขามาจากไหนกันนะ” ยายเฒ่ายิ้มแป้น ตาเฒ่าผู้นั้นกริบตาสองสามทีแล้วยกมือแม่มือทั้ง 2 ของตน

มาทําท่าจูบกัน “หนีตามกันมาจากตระกูลรํ่ารวย หนุ่มสาววิวาห์เหาะ”

หลิงอวี้จิวหน้าแดงฉานจากความเอียงอายและโต้แย้งด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่สักหน่อย พวกเราบริสุทธิ์นะ…”

“พวกเราเองก็เคยผ่านช่วงนี้มาก่อน เลยเข้าใจ สาวน้อยหน้าบาง”

ยายเฒ่ามองนางขึ้นๆ ลงๆ แล้วยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันที่เหลือไม่กี่ซี่ “สาวน้อยนี่ก็ดีจริงๆ มีร่างกายกํายําแข็งแรง หน้าอกใหญ่ สะโพกผาย หนุ่มน้อยคนนี้นี่มีบุญนะ”

ตาเฒ่าเองก็ยิ้ม “หนุ่มน้อยนี่ก็ดีเหมือนกัน ค่อนข้างกํายํา บึกบึน เป็นคนซื่อสัตย์ไม่วางโต เมื่อเขาเห็นตาเฒ่าเหลาเหย่อย่างข้า เขาก็สุภาพกับข้ามาก”

ยายเฒ่ากล่าวต่อ “เมื่อหนีตามกันครบสองสามปี พวกเจ้าหนุ่มสาวควรรีบกลับบ้าน ให้กําเนิดเด็กตัวน้อยๆ จากนั้นพาเด็กน้อยกลับไป แม้ครอบครัวของพวกเจ้าจะไม่อยากยอมรับ แต่พวกเขาก็จะไม่มีทางเลือก”

หลิงอวี้จิวผงกหัวของนางและจิตใจกระสับกระส่ายเพราะนาง ไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนานี้อย่างไร นางครุ่นคิดในใจ ถ้าข้าให้กำเนิดทารกกับเด็กเลี้ยงวัว พ่อข้าคงคลั่งแค้นจนกระอักเลือดตาย…บ๊ะ บ๊ะ ท่านพ่อคงไม่โกรธจนตายหรอก แต่ต้องสั่งประหารเขาเป็นแน่! ตบปากตัวเอง ตบปากตัวเอง!

สักพักหนึ่งกลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมา หลิงอวี้จิวรีบรี่เข้าไปช่วยเสิร์ฟข้าวปลาอาหารมายังโต๊ะ เมื่อพวกเขาทานอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดดําโดยสมบูรณ์ เพราะว่ามีแต่พวกผู้เฒ่าที่หลงเหลือในหมู่บ้าน พวกเขาจึงแค่จุดตะเกียงแขวนไว้แล้วเข้าห้องไปนอน ฉินมู่ช่วยผู้เฒ่าทั้ง 2 ล้างถ้วยชาม และตาเฒ่าก็กล่าว “ในหมู่บ้านนี้มีบ้านโล่งว่างมากมาย พวกเจ้าเลือกพักสักหลังก็แล้วกัน”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณหลังจากนั้นเดินเข้าไปในเรือนโล่งว่าง ฮู่หลิงเอ๋อช่วยจัดห้อง 3 ห้องและคิดคํานวณในใจ “วัวเขียวอยู่ห้องหนึ่ง นังเท้ากีบน้อยนมโตก็ห้องหนึ่ง ส่วนข้ากับคุณชายจะอยู่อีกห้อง 3 ห้องเรียบร้อยไร้ปัญหา”

ทันใดนั้นฉินมู่พลันสังหรณ์และรีบเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า เขาเห็นดาวลิบๆ เคลื่อนจากทิศตะวันตกของท้องฟ้า จึงรีบกล่าว “ทุกคนรีบหลบเข้าบ้าน!”

หลิงอวี้จิว วัวเขียว และฮู่หลิงเอ๋อรีบเข้าไปในบ้านและขณะที่พวกเขาเข้าไปนั่นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงหึ่งเมื่อเสาแสงหนาใหญ่ 2 เสาร่วงลงลงมากลางหมู่บ้าน ฉายแสงส่องทั้งหมู่บ้านจนสว่างไสวดุจกลางวัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!