Skip to content

Tales of Herding Gods 163

ตอนที่ 163 ปันกงสั่ว

ราชครูสันตินิรันดร์ร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย

“สิ่งที่เจ้าหมายจะทํานั้นยิ่งใหญ่เกินไป และหนทางเบื้องหน้าก็เต็มไปด้วยขวากหนาม อายุขัยของข้ามาถึงจุดสิ้นสุดและไม่อาจช่วยเจ้าได้อีกต่อไป ต่อแต่นี้เจ้าจะต้องพึ่งตนเอง”

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มน้อยๆ “กลับไปเถอะ”

ราชครูสันตินิรันดร์ประสานมือเข้าด้วยกันและโค้งแทบจรดพื้น “ขอบพระคุณสหายเต๋าที่สนับสนุนข้ามาตลอดครึ่งชีวิต!”

ปรมาจารย์เยาว์ประสานมือคารวะกลับ “ในเมื่อเราสองเดินบนหนทางเต๋าเดียวกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา”

ราชครูสันตินิรันดร์หันกายเดินจากไป เสื้อผ้าเขาสะบัดพลิ้วตามลม หายลับไปในทะเลผู้คนที่คลาคลํ่าอยู่ในเมืองหลวง

ปรมาจารย์เยาว์ยืนตรงขึ้นแล้วเรียกผู้อาวุโสคุมกฎ “ไปกันเถอะ นี่ได้เวลาที่จ้าวลัทธิจะขึ้นครองลัทธิ”

ที่ชายแดนกําแพงใหญ่ คณบดีป้าซานมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเขานําฉินมู่และหลิงอวี้จิวไปที่กําแพงรั้วหน้าชายแดน รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ เมื่อแม่ทัพคนเถื่อนที่ประจําการอยู่เห็นพวกเขาเดินเข้ามา สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนและก้าวออกไปข้างหน้า “ข่านบู๊ แดนศักดิ์สิทธิ์ถ่ายทอดคําสั่งมาว่ามิให้เจ้าออกไปจากด่านเมื่อพบเจอ”

คณบดีป้าซานสีสายตาเย็นชาและถามด้วยนํ้าเสียงเยียบเย็น “เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”

แม่ทัพคนเถื่อนผู้นั้นรู้สึกหนาวเยือกถึงสันหลัง และเหลียวมองไปรอบๆ

คณบดีป้าซานเองก็กวาดสายตาไปรอบๆ ยังเหล่าแม่ทัพคนเถื่อนที่อยู่ในบริเวณและถามด้วยนํ้าเสียงเย็นเยือกดุจนํ้าแข็ง “พวกเจ้าทั้งหมดอยากตายหรือเปล่า”

คนเถื่อนผู้นั้นจึงฝืนใจตะโกนออกไป “เปิดประตู!”

ประตูเปิดออก และคณบดีป้าซานก็ขี่วัวออกไปจากด่านชายแดน

ฉินมู่มองกลับไป และอดไม่ได้อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เมื่อเขาเห็นคนเถื่อนหนุ่มผู้หนึ่งบนหอคอยกําแพงเมือง กําลังฝึกหมัดของตนเองอันกร้าวแกร่งขนาดว่าสร้างกระแสลมโหมกระพือ

ขึ้นจากแต่ละหมัด คนเถื่อนหนุ่มผู้นั้นรู้สึกถึงสายตาที่มองมา เขาจึงรั้งหมัดกลับแล้วมองลงไปเบื้องล่าง

“เด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่งและมีรากฐานแน่นหนาอย่างเหลือเชื่อ” ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชม

หนุ่มคนนั้นกวาดสายตามา และตาเป็นประกายเจิดจ้าเมื่อเขาตะโกน “ข่านบู๊! ชื่อของข้าคือปันกงสั่ว บุตรแห่งราชาท้องทุ่งหญ้า ในอนาคตข้าจะเอาชนะข่านบู๊ให้ได้และเป็นจอมราชันย์เหนือท้องทุ่งกว้าง!”

คณบดีป้าซานหันหลังกลับไปและเพ่งพิศเด็กหนุ่มคนเถื่อนนั้น กล่าวชมเขา “ห้าวหาญดีมาก ฝึกต่อไปอย่าย่อท้อ เจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ดีวิเศษที่มีรากฐานแข็งแกร่ง แสดงเพลงหมัดเมื่อครู่ให้ข้าดูอีกครั้งซิ!”

ปันกงสั่วร่ายรําเพลงหมัดที่เขาฝึกเมื่อครู่อีกครั้ง และคณบดีป้าซานก็บอกฉินมู่ “เด็กคนนี้สามารถควบคุมเพลงหมัดของตนได้อย่างดีเยี่ยม และพละกําลังเขาก็เกรี้ยวกราดกว่าคนอื่นๆ พรสวรรค์

ศักยภาพของร่างกายเขานั้นเหนือลํ้าเกินธรรมดา และเขาจะต้องเป็นยอดคนเปี่ยมความสามารถอย่างแน่นอน”

ฉินมู่พยักหน้า กระบวนท่าเดียวกัน วรยุทธ์ขั้นเดียวกันแต่ หมัดของบางคนกลับแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ นี่คือพรสวรรค์ของเขา อันผู้อื่นได้แค่อิจฉา

“ข้าประทับใจเขา ตราบใดที่เขาไม่เสียชีวิตไปก่อน ก็จะต้องกลายเป็นคนที่เลื่องชื่อลือชาในท้องทุ่งหญ้าเป็นแน่”

เมื่อพวกเขาเดินทางไปยังด่านชิงเหมิน ปันกงสั่วก็รู้สึกฮึกเหิม ขึ้นเมื่อได้รับคําชมจากคณบดีป้าซานและฝึกหนักยิ่งกว่าเดิม ไม่นานนัก ก็มีรุ้งทองพุ่งวาบกรีดฟ้ามา และราชาหมอผีก็ร่อนลงจากท้องฟ้ามาที่ด่านชายแดน ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เขาเรียกแม่ทัพที่ประจําการอยู่มาสอบถาม “เจ้าปล่อยให้ข่านบู๊ออกไปอย่างนั้นรึ”

แม่ทัพประจําการผู้นั้นข่มใจประหวั่นของตนแล้วกล่าว “ข่านบู๊ มีกําลังฝีมืออาจมิอาจวัดประเมินได้ ข้าจะกล้าขวางทางเขาได้อย่างไร หากว่าพวกเราขัดขวางเขาไว้ด้วยกําลัง ข้าเกรงว่าด่านชายแดนของเราคงประสบความเสียหายล้มตายอย่างรุนแรง และทําให้พวกเรายากที่จะป้องกันกองกําลังของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ราชาหมอผีผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งที และขณะที่เขากําลังจะบริภาษแม่ทัพนั่นเอง เขาก็พลันเห็นปันกงสั่วผู้ซึ่งกําลังฝึกวิชาหมัดอยู่บนกําแพงเมือง เขาทั้งประหลาดใจและดีใจเมื่อชี้ไปยังปันกงสั่วและกล่าวถาม “นั่นเป็นบุตรของใคร”

“บุตรชายคนเล็กของบรมข่านแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ องค์ชายปันกงสั่ว”

ราชาหมอผีผู้นั้นเผยยิ้มและยื่นมือออกไปคว้าเขาจากระยะไกล ร่างของปันกงสั่วพลันลอยมาหาเขาอย่างควบคุมไม่ได้ และร่วงลงตรงหน้าราชาหมอผี

“พรสวรรค์ลํ้าเลิศ นี่คือกายาพิเศษเหนือธรรมดาที่หมอผีอาวุโสกําลังตามหา!”

ราชาหมอผีมองเขาขึ้นๆ ลงๆ และมีสีหน้าพึงพอใจ “ทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติที่หมอผีอาวุโสสั่งให้พวกเราตามหา ในที่สุดก็ถูกค้นพบโดยข้า! ปันกงสั่ว ตามข้ามา!”

แม่ทัพประจําการพลันตื่นตระหนก และหมายจะหยุดยั้งเขา แต่หมอผีนั้นได้กลายเป็นรุ้งทองที่พุ่งวาบพาปันกงสั่วไปที่ไกลๆ แล้ว

เมื่อเขาพาปันกงสั่วกลับไปยังวังทองโหรวหลัน เขาก็ส่งองค์ชายน้อยนี้ไปให้หมอผีอาวุโส หมอผีอาวุโสก็ตื่นเต้นประหลาดใจอย่างสุดๆ เขารีบพาปันกงสั่วไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์แล้วโค้งคารวะ “ปรมาจารย์ พวกเราค้นพบทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติแล้ว เขามีกายารูปแบบเดียวกันกับปรมาจารย์ เขาเป็นอัจฉริยะอันยากพบพานซึ่งจะกําเนิดขึ้นมาทุกๆ สามสี่ร้อยปีในแดนทุ่งหญ้า ปรมาจารย์สามารถกลับชาติมาเกิดได้แล้วในบัดนี้”

เสียงหัวเราะอันคล้ายกับรํ่าไห้ดังออกมาจากในวิหาร และทันใดนั้นตัวประหลาดอันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ลอยออกมาด้วยหัวเขาปักพื้นและเท้าชี้ฟ้า เขาเข้ามาประกบกับร่างปันกงสั่วทันที

เสียงกึกก้องกัมปนาทพลันระเบิดขึ้นมาในจิตของปันกงสั่ว และวิญญาณของเขาก็ถูกทําลายจนสิ้นซากโดยพลัน

แก่นชีวิตหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากตัวประหลาดนั้นเข้าไปในร่างของปันกงสั่ว และในเวลาเดียวกันวิญญาณของปรมาจารย์ก็ย้ายเข้ามาและเข้ายึดครองร่างของปันกงสั่ว “ศิษย์ข้า เมื่อข้ากลับชาติมาเกิด ผู้ที่ควรจะตายกลับไม่ตายและผู้ที่ควรจะเป็นกลับต้องตาย นี่เป็นการพลิกชะตาและฝืนลิขิตฟ้า ดังนั้นผู้นําทางความตายก็ย่อมจะมาเพื่อจับกุมวิญญาณข้า เจ้าจงไปตั้งพยุหะค่ายกลไว้ให้ดี เพื่อขัดขวางผู้นําทางความตาย”

หมอผีอาวุโสรีบกล้าวไปข้างหน้า แล้วหยิบวิหารเล็กเหล่านั้นมาวางรายล้อมรอบปันกงสั่ว บนแต่ละวิหารมีโครงกระดูกจากชาติก่อนๆ ทั้ง 17 ชาติของปรมาจารย์ อันถูกหลอมสร้างขึ้นเป็นอาวุธวิเศษ

ทันใดนั้น ห้วงมิติก็พลันสั่นสะเทือน เมื่อลมหนาวเสียดกระดูกพัดมาจากกาลและอวกาศอื่น ไฟจุดไว้ในโถงศักดิ์สิทธิ์พลันริบหรี่ เมื่อเรือน้อยลอยมาอย่างเชื่องช้าจากห้วงมิติอื่น

นั่นคือโลกแห่งความมืด และแหล่งที่มาของแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวก็ดูเหมือนจะมาจากตะเกียงมีไฟสีเขียวอันแขวนห้อยไว้ที่กราบเรือน้อยนี้ ตะเกียงไฟเขียวนั้นหรี่มัวเผยให้เห็นผู้เฒ่าหนึ่งนั่งอยู่ใต้ตะเกียงและกําลังพับเรือกระดาษและมนุษย์กระดาษ

เรือนั้นล่องลอยมายังโถงศักดิ์สิทธิ์ หมอผีอาวุโสว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่งและรีบถ่ายเทพลังเวทมนตร์

ทั้งหมดของตนเข้าไปในวิหารเหล่านั้น ในวิหารกระดูกทองคําทั้ง 17 โครงดูราวกับจะฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่ เมื่อมันเรียงรายเป็นแถวขวางกั้นระหว่างห้วงมิติอื่นและห้วงมิติของโลกนี้

ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ในเรือถูกห้อมล้อมด้วยความมืดมิดอันไร้ขอบเขตและเมื่อมองจากมุมมองของเขา นอกจากตะเกียงซึ่งถูกจุดไว้ในห้วงมิติโลกมืด แสงอื่นนั้นก็มาจากทางเข้าไปยังโลกอื่น ซึ่งก็คือทางเชื่อมมิติอันถูกขวางกั้นโดยโครงกระดูก 17 โครง

เขาวาดมือขึ้นและมนุษย์กระดาษกับม้ากระดาษก็ดูราวกับถูกเป่าลมหายใจเข้าไป มนุษย์กระดาษขี่ม้ากระดาษแล้ววิ่งตะบึงไปยังปากทางเข้าอันถูกขีดขวางไว้ด้วยเหล่ากระดูกผีทองคํา

ในขณะเดียวกันนั้น มนุษย์กระดาษบนหลังม้าก็กวัดแกว่งมีดดาบกระดาษของตน พวกเขาอ้าปากพะงาบๆ เหมือนกับกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยวทว่าไม่มีเสียงใดๆ เปล่งออกมา

โครงกระดูกทั้ง 17 เคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กันและเข้าตะลุมบอนกับมนุษย์กระดาษบนหลังม้ากระดาษเหล่านั้น

โครงกระดูกทั้ง 17 ก่อพยุหะค่ายกลอันเปลี่ยมด้วยฤทธานุภาพ และปลดปล่อยพลังอํานาจอันเทียบเท่าเทพยดา ทว่าพลังจากห้วงมิติอื่นนั้นก็น่าพรั่นพรึงอย่างอัศจรรย์ เมื่อมีดกระดาษและกระบี่กระดาษฟาดฟันมา แม้แต่โครงกระดูกทองทําก็ไม่อาจป้องกันตนเองได้ มีดสามารถเฉือนฟันกระดูก และกระบี่ก็สามารถแทงทะลุกะโหลกเหล่านั้นอย่างง่ายดาย

หมอผีอาวุโสบังคับโครงกระดูกทองคําทั้ง 17 และดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชที่จะปัดป้องการโจมตีของมนุษย์กระดาษบนหลังม้า ในขณะเดียวกันนั้นปรมาจารย์ก็เร่งความเร็วการกลับชาติมาเกิดของตนเอง แต่เรือน้อยก็ยังคงเข้าใกล้มาทุกขณะจิต ผู้เฒ่าบนเรือนั้นถือตะเกียงและลุกขึ้นยืนแล้ว

เหงื่อเย็นเยียบหลั่งไหลออกจากหน้าผากหมอผีอาวุโสเมื่อเขาเห็นเรือกระดาษเล็กนี้ลอยมาตลอดทางและใกล้ที่จะผ่านประตูทางเข้าห้วงมิติปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ผู้เฒ่าถือตะเกียงก็ยื่นมือออกมาราวกับว่าเขาหมายจะใช้มือของเขาจากโลกอื่นมาดึงปรมาจารย์ที่กําลังกลับชาติมาเกิดเข้าไปในโลกมืดนั้น

ทันใดนั้น ร่างของปรมาจารย์ก็แข็งทื่อและร่วงลงมาจากกลางอากาศ โดยปราศจากลมหายใจ ส่วนปันกงสั่วลืมดวงตาอันเจิดจ้าของเขาขึ้นมา

เมื่อดวงตาของเขาเปิดออก การเชื่อมต่อระหว่างสองโลกมิติก็พลันพังทลาย มนุษย์กระดาษและม้ากระดาษแผดเผาตนเองจนเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา และมืออันเอื้อมออกมาจากโลกอื่นก็ค่อยๆ ชักกลับและหายวับไป

ในโถงศักดิ์สิทธิ์ คบไฟที่จุดไว้พลันส่องสว่างดุจเดิม และความขมุกขมัวเมื่อครู่ก็หายวับไปราวโกหก

ปันกงสั่วระบายลมหายใจโล่งอกแล้วแย้มยิ้ม “ในที่สุดข้าก็ทําสําเร็จ”

“ยินดีด้วยท่านปรมาจารย์!” หมอผีอาวุโสโค้งคํานับ

ปันกงสั่วโบกมือ และหมอผีอาวุโสก็ล่าถอยไป ปิดประตูทางเข้าโถง จากนั้นก็ถอนหายใจกล่าว “หากไม่ใช่เพราะความชราภาพและร่างกายที่อ่อนแอของปรมาจารย์ ไหนเลยจะปล่อยให้ข่านสวรรค์บุกตะลุยขึ้นมาอย่างโอหังได้ บัดนี้เมื่อปรมาจารย์กลับชาติมาเกิดสําเร็จแล้ว เขาก็จะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งอายุขัย ด้วยการนี้ ก็ไม่จําเป็นต้องกังวลทั้งเรื่องจักรวรรดิสันติรันดร์หรือข่านสวรรค์”

ในด่านชิงเหมิน ฉินมู่โยนขวดหยก 2 ขวดให้แก่คณบดีป้าซาน ก่อนปลีกตัวไปซื้อสมุนไพรวิญญาณจํานวนหนึ่งเพื่อมาหลอมปรุงยาเซียน

“นายน้อย ปรมาจารย์ต้องการพบนายน้อยแน่ะ”

ฉินมู่เลือกซื้อสมุนไพรที่ต้องการครบแล้ว ผู้ช่วยเถ้าแก่ร้านยากล่าว “นายน้อยโปรดออกจากด่านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ และโปรดมุ่งไปยังมณฑลสมานฉันท์”

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะผงกหัว

เขากลับไปยังโรงเตี๊ยมและหลอมปรุงยาเซียนหม้อหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของคณบดีป้าซาน เขาเรียกฮู่หลิงเอ๋อมาและออกจากด่านชายแดนไปโดยไม่บอกกล่าวใคร มุ่งหน้าไปยังมณฑลสมานฉันท์

หลิงอวี้จิวซึ่งกําลังอาบนํ้าอยู่ และเมื่อนางแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ ก็พบว่าฉินมู่หายไปโดยไร้ร่องรอย นางรู้สึกประหลาดใจและรีบไปถามคณบดีป้าซาน คณบดีป้าซานเองก็ไม่รู้ว่าฉินมู่จากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกนาง “องค์หญิง ไม่จําเป็นต้องกังวล จิ้งจอกนั้นก็หายไปด้วยเช่นกันแปลว่าศิษย์น้องมิได้ถูกลักพาตัว แต่เขาจากไปพร้อมกับจิ้งจอก”

หลิงอวี้จิวผิดหวังเล็กน้อย ฉินมู่ไม่บอกอะไรนางสักคําแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบในคราวนี้

จําเป็นจะต้องทําตัวลึกลับขนาดนั้นเลยหรือ มีอะไรที่เขาพูดบอกไม่ได้กันนะ

คณบดีป้าซานกลืนยาเซียนเข้าไปแล้วลุกขึ้น “องค์หญิง พวกเรากลับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิกันเถอะ คํานวณดูระยะเวลาที่พวกเราออกมาแล้ว อธิการบดีคงลาออกในเร็วๆ นี้ และอธิการบดีคนใหม่คงกําลังรับสืบทอดตําแหน่งหน้าที่ต่อ พวกเรารีบกลับไปโดยไวเถอะ อธิการบดีนั้นคอยดูแลข้ามาตลอด ดังนั้นอย่างน้อยข้าก็ต้องไปน้อมส่งเขา”

หลิงอวี้จิวรับคํา

ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็นําฮูหลิงเอ๋อมุ่งหน้าไป และพวกเขาก็เข้าใกล้มณฑลสมานฉันท์เข้าทุกที ในการเดินทางของพวกเขา พบเห็นความปั่นป่วนวุ่นวายจากสงครามในทุกพื้นที่ มีทั้งสํานักต่างๆ ที่ป่าวประกาศว่าองค์จักพรรดิได้หลงผิดและปล่อยให้คนทุรยศชั่วร้ายอย่างราชครูนําความปั่นป่วนมาสู่โลกหล้า ดังนั้นสํานักเหล่านี้จึงขัดขืนการปกครองและหมายที่จะผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์

เมื่อเขามาถึงเมืองหลัวซึ่งอยู่ติดกับมณฑลสมานฉันท์ เมืองหลัวนี้ก็เต็มไปด้วยการต่อสู้ทุกหย่อมหญ้า ผู้คนทั่วไปไม่มีหนทางทํามาหากินและมีกองกําลังทหารออกไปปราบปรามกบฏทุกหนแห่ง แต่ดูเหมือนพวกเขากําลังพยายามห้ามนํ้าไม่ให้ไหล ห้ามไฟไม่ให้มีควัน ล้วนแต่เปล่าประโยชน์

ราชครูสันตินิรันดร์ปล่อยเพลิงไฟนี้ลุกลามโหมกระพือรุนแรงเกินไป ขุนนางข้าราชการส่วนใหญ่ในสภาราชสํานักจักรวรรดิสันตินิรันดร์ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือจากสํานักต่างๆ และบัดนี้เมื่อสํานักเหล่านั้นก่อกบฏ ขุนนางข้าราชการเหล่านี้จึงก่อกบฏตามไปด้วย รากฐานของจักรวรรดิถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงและทําให้การปราบปรามกบฏนั้นเป็นเรื่องยาก

“ราชครูจะใช้วิธีอะไรนะ ที่จะสยบความปั่นป่วนทั้งหมดในโลกหล้า”

ฉินมู่พิศวง “หากว่ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าทุกสํานักในโลกหล้าคงจะก่อกบฏกันหมด เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ปราบปรามเหล่ากบฏได้ แต่ก็คงสูญเสียกําลังอํานาจไปอย่างมหาศาล”

นั่นย่อมต้องเป็นสิ่งที่ราชครูสันตินิรันดร์ไม่อยากจะเห็น หากว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์สูญเสียกําลังอํานาจไปอย่างใหญ่หลวง แล้วเขาจะสร้างความสงบและสยบประเทศต่างๆ รอบๆ

จักรวรรดิได้อย่างไร อีกทั้งเขาจะสร้างความสําเร็จอัศจรรย์อย่างการเข้ายึดครองแดนโบราณวินาศได้อย่างไร

ที่ชายแดนของเมืองหลัว ฉินมู่ซึ่งเป็นเพียงคนผ่านทางยังพบเจอกับกลุ่มโจรที่ดักปล้นโจมตีเขามากกว่า 10 ครั้ง โจรผู้ร้ายบางคนเป็นถึงผู้ฝึกวิชาเทวะ และบางคนก็เป็นถึงอดีตขุนนางเมืองหลัวที่มายึดครองภูเขาตั้งตัวเป็นนายโจร

เขาพึ่งฝีเท้าอันรวดเร็วของตนและช่วงใช้วิชาขาขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋เมื่อไม่อาจเอาชนะได้ ดังนั้นเขาจึงปลอดภัยไร้อันตราย

“หากราชครูสันตินิรันดร์สามารถปรามปรามกบฏและสยบหรือขจัดกลุ่มอิทธิพลที่ต่อต้านเขาได้ละก็ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะเป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียว และกลายเป็นชาติอันน่าสะพรึงกลัว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!