ตอนที่ 167 น้อมส่งปรมาจารย์
สายตาของปรมาจารย์เยาว์วูบไหว จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า “เจ้าได้เปลี่ยนตัวเจ้าให้กลายเป็นมารจิตและปลูกเพาะตนเองลงไปในจิตเต๋าของนาง เจ้าคงรู้นะว่าหากว่านางสามารถป่นทําลายเจ้าได้ เจ้าก็จะเป็นเพียงสะพานให้นางเดินข้าม”
“ไม่ว่านางจะป่นทําลายข้า หรือว่าข้ายึดครองร่างนางได้ เราสองก็จะกลายเป็นหนึ่ง”
เสียงของจ้าวลัทธิหลี่ดังออกมา “ไม่ว่าจะดีหรือร้าย นี่คือทางเลือกของข้า เมื่อข้าตัดสินใจแต่งงานกับนาง ข้าก็รู้ซึ้งตั้งแต่บัดนั้นแล้วว่านางคือมารในจิตใจข้าและข้าไม่มีทางเลือกใดนอกจากกําจัดนาง เมื่อกําจัดนางได้เท่านั้นข้าจึงจะสามารถทุ่มเทจิตใจแสวงหาหนทางเต๋าและรุดหน้าต่อไป ข้าขอร้องอาจารย์ ได้โปรด ช่วยข้าให้สําเร็จ”
ฉินมู่ใจเต้นและมองไปยังปรมาจารย์เยาว์ เขารู้มาตั้งนานแล้วว่ามีจอมมารอยู่ในจิตของท่านยายซี และ
มารตนนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง ขนาดที่ว่าไม้เท้าขักขระแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามก็มิอาจชําระล้างเขาไปได้ จนบัดนี้เองเขาจึงรู้ว่ามารจิตนี้คือจ้าวลัทธิคนก่อน หลี่เทียนซิ่ง
ท่านยายซีสังหารหลีเทียนซิ่งและเขาก็กลายเป็นมารจิตฝังตัวเองลงไปในจิตเต๋าของท่านยายซี ต่อสู้กับนางแย่งชิงร่างกายในหัวใจของเขา เขาย่อมหมายช่วยเหลือท่านยายซีบดขยี้หลี่เทียนซิ่ง แต่ทว่า ปรมาจารย์เยาว์ดูเหมือนจะไม่เอนเอียงไปฝ่ายใด และไม่ได้คิดเหมือนกับเขา
ไม่ว่าท่านยายซีจะป่นหลี่เทียนซิ่งเป็นผุยผงได้ หรือหลี่เทียนซิ่งจะยึดร่างท่านยายซีได้ ทั้ง 2 อย่างก็ล้วนดีเท่าๆ กันสําหรับปรมาจารย์เยาว์ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจําเป็นต้องไปขัดขวางฝ่ายใด
ผ่านไปสักพัก ท่านยายซีก็กลับมาเป็นปกติ และดูคึกคักร่าเริง เหมือนเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉินมู่สังเกตเห็นว่าหัวหน้าโถงและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในลัทธิมารฟ้าไม่ชอบท่านยายซี นั่นอาจจะเพราะว่าท่านยายซีสังหารหลี่เทียนซิ่งและทําให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ปราศจากผู้นํามาตลอด 40 ปี ก่อนนี้พวกเขากระจัดกระจายเหมือนกับทรายทั้งยังพลาดโอกาสจํานวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างขึ้งเคียดท่านยายซี
สาเหตุหลักที่ท่านยายซีมาร่วมพิธีขึ้นครองลัทธินั้นก็เพราะ ฉินมู่
นางเกรงว่าผู้คนในลัทธิจะรังแกกลั่นแกล้งเขา ดังนั้นถึงแม้ว่าต้องเผชิญกับความเคียดแค้นที่ถาโถมโดยรอบเช่นนี้ นางก็ยังคงมาเพื่อให้กําลังใจสนับสนุนเขา จะถ่ายทอดวิชาร้อยรัดหรือไม่ นาง
ไม่ได้สนใจ นางกังวลห่วงใยก็แต่ฉินมู่
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจ ภัยอิตถีเพศนั้นหมายถึงสตรีเช่นท่านยายซี เพียงเพราะนางงดงามเลอโฉมจนเกินไป แม้ว่านางจะมิได้ทําอะไรชั่วร้าย แต่ผู้คนก็จะทําสิ่งชั่วร้ายเพื่อนาง
โลกนี้ยากที่จะรองรับโฉมสะคราญระดับนี้ หลี่เทียนซิ่งนั้นเป็นปุถุชน ปรมาจารย์เยาว์ก็เป็นปุถุชน คน
อื่นๆ ก็ไม่อาจหลีกพ้นจากโลกีย์วิสัยและความเป็นมนุษย์ปุถุชนของตน
หากว่านางต้องการดํารงชีวิตอยู่ในโลกปุถุชนเช่นนี้ นางต้องอยู่ในฐานะยายเฒ่าซีเท่านั้นและมิอาจเผยรูปโฉมที่แท้จริงได้ ไม่แม้แต่เสียงอันสะคราญของนาง
หลังจากพิธีขึ้นครองลัทธิ ปรมาจารย์เยาว์เรียกฉินมู่และเดินเคียงข้างไปกับเขาเพื่อแนะนําทิวทัศน์ต่างๆ ในภูเขานักบุญเยือนให้แก่เขา สถานที่นี้เป็นระเบียงลืมรัก สถานที่นั้นเป็นศาลาหงส์เพลิงเยือน สถานที่โน้นคือเรือนใต้สวรรค์ และสถานที่นั่นคือบ่อสังเกตปลา
เขาบอกเล่าเรื่องต่างๆ มากมายและให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของลัทธิมารฟ้า บางหน้าประวัติศาสตร์ของลัทธิมารฟ้านั้นโบราณเป็นอย่างยิ่ง และหากเขาไม่ถ่ายทอดมันออกไป ก็คงไม่เหลือใครที่จะรู้เรื่องราวเหล่านั้นหลังจากที่เขาตายไป
“ปรมาจารย์ ทําไมลัทธินักบุญสวรรค์ของเราจึงใช้คําว่าขึ้นครองลัทธิในการสืบทอดตําแหน่งจ้าวลัทธิ”
ฉินมู่ถาม “ไม่ใช่คําว่า ‘ขึ้นครอง’ ใช้เฉพาะกับจักรพรรดิเท่านั้นหรอกหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์หันไปมองเขาแล้วส่ายหน้า “เมื่อลัทธินักบุญสวรรค์ของเรารุ่งเรืองถึงขีดสุด เรามีจักรวรรดิ 6 จักรวรรดิอยู่ใต้บัญชา และบรรดาจักรพรรดิของทั้ง 6 จักรวรรดิก็ล้วนแต่เป็นสาวกลัทธินักบุญสวรรค์ของเรา การที่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ใช้คําว่าขึ้นครองลัทธิ อันใช้กับจักรพรรดิเช่นกันนั้น จริงๆ แล้วเป็นการให้เกียรติจักรพรรดิ ให้ใช้คําเดียวกันได้ด้วยซํ้า แต่สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับกาลเวลา จนเมื่อบัดนี้จักรวรรดิได้กลายเป็นสํานักที่ใหญ่ที่สุดในโลกหล้า จึงยากที่สํานักจะทําให้ทุก ผู้คนกลายเป็นศิษย์สํานัก แต่จักรวรรดิสามารถทําให้ทุกผู้คนในดินแดนเป็นพสกนิกรของจักรวรรดิ” ฉินมู่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ปรมาจารย์เยาว์นําเขาขึ้นไปบนภูเขาแล้วกล่าว “ภูเขานักบุญเยือนนั้นเป็นสํานักใหญ่ของลัทธิเรา และการเข้ามาในสํานักใหญ่นี้ยังคงเป็นเรื่องยากสําหรับเจ้า คราวนี้เจ้าถูกส่งเข้ามาด้วยการที่หัวหน้าโถงทั้ง 360 ใช้ธงเคลื่อนย้ายระยะไกล แต่ในฐานะจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจ้าจะไม่มีความสามารถเฉพาะตนที่ใช้ในการเข้าสํานักใหญ่ได้อย่างไร”
ฉินมู่เดินตามเขาและเห็นปรมาจารย์เยาว์นําเขาไปยังโถงใหญ่ รูปร่างของโถงใหญ่นั้นกล่าวได้ว่าดูปกติธรรมดา ไม่ได้หรูหราวิบวับแบบวังทองโหรวหลัน มันถูกสร้างขึ้นจากอิฐเขียวและกระเบื้องแดงธรรมดา
เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในโถงวัง ฉินมู่ก็พบว่าการตกแต่งภายในนั้นเรียบง่าย มีเพียงรูปปั้นของนักบุญตั้งอยู่เท่านั้น
ปรมาจารย์เยาว์เดินมาที่หน้ารูปปั้นนักบุญ และจุดธูปบูชาสามสี่ดอก ฉินมู่ทําตามเขาและเคารพบูชารูปปั้นนักบุญ ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “ผู้อาวุโสเกือบทั้งหมดและเทวราชล้วนแต่เชี่ยวชาญวิชาเคลื่อนย้ายระยะไกล และสามารถกลับมาที่ภูเขานักบุญเยือนได้ตลอดเวลา วิชาเคลื่อนย้ายระยะไกลนี้ถูกสลักไว้บนผนังของโถงนี้ และเจ้าสามารถนั่งทําความเข้าใจมันได้”
ฉินมู่มองไปที่กําแพงของโถงวังดังกล่าวและเห็นว่ามีวิธีหลอมสร้างสมบัติอยู่บนนั้น มันเป็นวิชาหลอมสร้างธงเคลื่อนย้ายระยะไกล เช่นเดียวกับทักษะเทวะและพยุหะอักษรรูนที่จําเป็นต้องใช้ในการสร้างธงเคลื่อนย้ายระยะไกล
ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “ในแต่ละโถงใหญ่ของลัทธิเราล้วนแต่มีทักษะวิชาสลักจารึกไว้บนผนัง ให้ศิษย์ลัทธิสามารถเรียนได้โดยไม่หวงห้ามจํากัด ไม้กวาดเก่าๆ จะเก็บไว้ให้หยากไย่ขึ้นทําไม มิสู้เอามาใช้งานดีกว่า? ที่เหลือก็ขึ้นกับความสามารถของศิษย์แต่ละคนว่าจะคล่องแคล่วเข้าใจวิชาเหล่านั้นที่เราถ่ายทอดให้พวกเขาได้มากแค่ไหน ดังนั้นแล้วเจ้าจะต้องมีความเอื้อเฟื้อใจกว้างในการถ่ายทอดวิชา”
ฉินมู่รับคํา
ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “วิชาทั้งหลายในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตสามารถถ่ายทอดออกไปได้ทั้งสิ้น ไม่มีความจําเป็นต้องเก็บงําไว้เฉพาะตัวเจ้า พวกเขาจะเข้าใจมันเท่าไรก็ขึ้นกับพวกเขา ส่วนเรื่องธุระต่างๆ ภายในลัทธิ เรื่องเล็กก็จะเป็นธุระของหัวหน้าโถง ส่วนเรื่องใหญ่ก็จะเป็นธุระของผู้อาวุโส ส่วนเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เทวราชลัทธิจะรับเป็นธุระ ยังมีผู้ตรวจการลัทธิที่ทําหน้าตรวจตรากํากับโถงทั้งหมด และมีผู้อาวุโสคุมกฎเป็นผู้บังคับใช้กฎลัทธิ ผู้อาวุโสวิชาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชา ดังนั้นก็ไม่ค่อยมีเรื่องไหนที่เจ้า จะต้องลงมือทําด้วยตนเอง สิ่งที่เจ้าต้องทําก็มีแค่คอยคุมทิศทางหางเสือใหญ่ของลัทธินักบุญศักดิ์สิทธิ์เราเท่านั้น”
เขามองไปที่ฉินมู่แล้วกล่าว “เช่นนั้นเมื่อเจ้าขึ้นเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจ้าจะทําอะไรเป็นสิ่งแรกล่ะ”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่แล้วกล่าว “ก่อตั้งโรงเรียนประถมฐานในทุกๆ โถงลัทธิ เพิ่มโถงที่ 361…โถงโรงเรียน ราชครูสันตินิรันดร์ก่อตั้งโรงเรียนประถมฐานและวิทยาลัยซึ่งสร้างอาชีพใหม่ขึ้นมาในโลก ดังนั้นลัทธิของเราก็จะมีโถงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ในเมื่อลัทธิเรามีโถง 360 โถง ข้าก็ใคร่จะสร้างโรงเรียนประถมฐาน 360 โรงเรียนเพื่อสั่งสอนศิษย์ลัทธิชี้แนะแนวทางการฝึกปรือ”
ปรมาจารย์เยาว์ผงกหัวแล้วกล่าว “สําหรับเรื่องนี้ เจ้าสามารถเรียกผู้พิทักษ์ซ้ายผู้พิทักษ์ขวามารับไปดําเนินการ ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 จะนําเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือกับหัวหน้าโถงทั้งหมดเพื่อเลือกสรรผู้เปี่ยมความสามารถมาก่อตั้งโถงโรงเรียน นี่คือวิธีการควบคุมทิศทางหางเสือของลัทธิและมอบหมายอํานาจให้ลูกน้องไปจัดการธุระให้ หากว่าเจ้าต้องทําทุกอย่างด้วยตนเอง คงไม่มีกําลังวังชาเพียงพอ ทั้งยังถ่วงการฝึกวรยุทธ์เจ้าให้ล่าช้า”
ฉินมู่อ้าปากค้างด้วยความทึ่ง
เขาพลันมีความคิดพิลึกลัทธิมารฟ้าดูไม่เหมือนลัทธิ แต่กลับเหมือนจักรวรรดิ!
หากว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์คือสํานักที่สวมคราบจักรวรรดิ ลัทธิมารฟ้าก็คือจักรวรรดิที่สวมคราบลัทธิ!
ลัทธิมารฟ้าดูไม่ต่างจากจักรวรรดิเลยสักนิด 360 โถงของทุกสาขาวิชาชีพและศิษย์ทั้งหลายของทุกๆ โถงต่างก็ทํามาหาเลี้ยงชีพตน มีผู้ตรวจการที่ตรวจตรากํากับโถงทั้งหมด ขณะที่ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิและเทวราชลัทธิก็สร้างกองทัพอันใช้ป้องกันลัทธิจากอริราชศัตรู และผู้พิทักษ์ซ้ายขวาเป็นผู้สืบทอดโบราณราชประเพณีของลัทธิมารฟ้า
ด้วยสาวกลัทธิมารฟ้าหลายล้านคน พวกเขาสามารถเทียบคียงได้กับประเทศเล็กๆ
แน่นอนว่า สาวกลัทธิมารฟ้าย่อมเรียกลัทธิตนว่าลัทธินักบุญสวรรค์มิใช่ลัทธิมารฟ้า
“ยังมีอีกเรื่อง”
ปรมาจารย์เยาว์กําชับเขาอย่างสุดจิตสุดใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบรื้อพังบ้านเรือนและขนาดข้าให้คณบดีป้าซานคอยติดตามขนาบเจ้าตลอดเวลาเจ้าก็ยังรื้อพังบัณฑิตนิเวศน์อีกรอบจนได้ เจ้าจะรื้อบัณฑิตนิเวศน์น่ะยังพอว่า แต่ห้ามมารื้อพังภูเขานักบุญเยือนเด็ดขาด ทุกๆ โถงในภูเขานักบุญเยือนล้วนแต่เป็นอาคารสถานสําคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งยังมีวิชาทักษะมหัศจรรย์มากมายสลักจารึกไว้บนผนัง”
ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยพลางพึมพํา “ข้าไม่ได้รื้อพังอะไรบ่อยๆ ซะหน่อย”
“ข้ารู้ๆ เจ้ารื้อพังอะไรต่อมิอะไรไม่บ่อยเลย มามหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้แปดเก้าวันเจ้าก็ทุบพังอาคารสถานที่ไปสองสามรอบ หลังจากนั้นก็ไปรื้อพังวังทองโหรวหลันที่นอกกําแพงใหญ่ต่อ”
ปรมาจารย์เยาว์เดินออกจากโถง และผู้อาวุโสคุมกฎก็หอบหิ้วสัมภาระรออยู่ข้างนอก ปรมาจารย์เยาว์โบกมือให้ฉินมู่ “ข้าไปล่ะนะ จ้าวลัทธิไม่จําเป็นต้องไปส่งข้า การจากลาครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าเจ้าจะตามส่งข้าไกลเท่าไร เราก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี”
ฉินมู่ส่ายหน้าและยืนกราน “แม้ว่าจะเป็นการจากลาครั้งสุดท้าย แต่ข้าก็ยังต้องไปส่งท่านเพื่อแสดงความสํานึกขอบคุณ”
ปรมาจารย์เยาว์ผงกหัวแล้วเดินลงจากภูเขา ฉินมู่ก้าวเท้าตามเขาไปทีละก้าว เขาไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับปรมาจารย์เยาว์มากนัก และปรมาจารย์เยาว์ก็ไม่เหมือนกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ ที่เลี้ยงดูเขามา แม้ว่า
เขาจะรู้จักพบเจอปรมาจารย์เยาว์เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาก็พบบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากผู้เฒ่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้านพิการชรา
ฉินมู่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย
ในหมู่บ้านพิการชรา ฉินมู่เป็นเด็กอยู่เสมอ เด็กน้อยที่ไม่ได้เติบโตพ้นอ้อมอกในสายตาของผู้ใหญ่บ้านและท่านยายซี
ขณะที่ เมื่ออยู่ข้างปรมาจารย์เยาว์ เขาได้เรียนรู้ที่จะเติบโต ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แม้ว่าเขาหมายจะเดินส่งพันลี้ แต่สุดท้ายก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี จากยอดเขาถึงตีนเขานั้นมิได้มีระยะทางไกลถึงพันลี้ และในที่สุดพวกเขาก็เดินมาสุดทาง
ปรมาจารย์เยาว์หันกลับไปแล้วโค้ง “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไม่จําเป็นต้องส่งข้าต่อแล้ว”
ฉินมู่ยั้งเท้า และไม่อาจข่มระงับความโศกศัลย์ในใจ เขาโค้งตอบ “ลาก่อน ปรมาจารย์!”
ปรมาจารย์เยาว์กระโดดลงไปจากภูเขา ผู้อาวุโสคุมกฎก็ตามเขาไปข้างล่าง จากนั้นทั้งคู่ก็หายลับไปในท้องฟ้ากว้าง
ฉินมู่โค้งอยู่อย่างนั้นอีกพักหนึ่ง และหลังนั้นเขาจึงค่อยเหยียดร่างยืนตรงและเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน เขารู้ว่าเขาคงไม่อาจเห็นผู้เฒ่าหนุ่มผู้นี้อีกต่อไป
เมื่อผู้อาวุโสคุมกฎกลับมา เขาคงจะนําขี้เถ้าของปรมาจารย์เยาว์ผู้นี้มา
ความตายไม่มีอะไรน่ากลัว?
ฝากฝังร่างของตนไว้ในภูเขาตราบนิจนิรันดร์
ทันใดนั้นบนยอดเขา ธงใหญ่ก็คลี่ออก และหัวหน้าโถง 360 โถงก็ทยอยกันออกไปจากภูเขากันทีละคนสองคน
ฉินมู่เรียกฮู่หลิงเอ๋อมาและกลับไปยังสนไซเปรสต้นนั้น ยังคงมีผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิสามสี่คนอยู่ที่นั่นและพวกเขาทักทายพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นฉินมู่เดินเข้ามา “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
ฉินมู่คารวะตอบ ตอนนี้ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ที่นี่นอกจากหญิงเฒ่าชายชราเหล่านี้ ท่านยายซีก็กลับไปแล้วเช่นกัน ดูท่าคงตามไปส่งปรมาจารย์เยาว์
ฉินมู่ตามเจอผู้พิทักษ์ซ้ายขวาจากนั้นเอ่ยถึงเรื่องที่จะริเริ่มโถงโรงเรียน ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาเป็นชายวัยกลางคน คนหนึ่งชุดขาว และอีกคนชุดดํา พวกเขารับฟังแล้วก็มองตากัน จากนั้นผู้พิทักษ์ซ้ายก็เอ่ยถาม “จ้าวลัทธิจะให้โถงโรงเรียนสอนเนื้อหาอะไรหรือ”
ฉินมู่กล่าว “ทุกวิชาและทักษะเทวะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ล้วนแต่สอนได้ และนอกจากโถงโรงเรียนแล้ว เรายังจะจัดตั้งเรือนบันทึกสวรรค์บนภูเขานักบุญเยือนแห่งนี้ นี่เพื่อรวบรวมวิชาความรู้ ของทุกสํานักมาเก็บรวบรวมไว้ในเรือนตึกเพื่อให้ศิษย์ลัทธิเราสามารถเข้าไปศึกษาได้โดยง่าย วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือคัดลอกทุกม้วนคัมภีร์ในเรือนบันทึกสวรรค์ของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และส่งบันทึกที่คัดลอกเหล่านั้นมายังเรือนบันทึกสวรรค์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา”
ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาจดบันทึกคําสั่งเขาไว้อย่างมั่นเหมาะ
ฉินมู่กล่าวต่อ “มีพี่น้องของลัทธิเราที่เป็นขุนนางในสภาราชสํานักหรือไม่ ให้พวกเขาคัดลอกวิชาของสภาราชสํานักด้วย และส่งมาที่เรือนบันทึกสวรรค์”
“น้อมรับบัญชา” ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาซักถามรายละเอียดจนกระจ่าง จากนั้นเหาะขึ้นไป ชายในชุดดําและขาวทั้งสองคลี่เสื้อคลุมดําขาวของตน
จากนั้นพวกเขาก็หายวับไปพร้อมกับเสื้อคลุม พวกเขาคงเคลื่อนย้ายระยะไกลออกไปจากภูเขานักบุญเยือนแล้ว
“วิชาเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราแข็งแกร่งจริงๆ”
ฉินมู่ชื่นชมอย่างไม่รู้จบและรีบพาฮู่หลิงเอ๋อไปที่โถงใหญ่เพื่อรํ่าเรียนศาสตร์แห่งการเคลื่อนย้ายระยะไกล ถ้าเขามิได้เรียนศาสตร์นี้เขาคงจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้!
ในฐานะจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่อาจบากหน้าไปขอให้คนอื่นช่วยพาเขาออกไป จริงไหม