Skip to content

Tales of Herding Gods 175

ตอนที่ 175 การเสริมส่งกันของวิชาบู๊และเวทมนตร์

มังกรกิเลนดื่มนํ้าแล้วก็เงยขึ้นมองฉินมู่ “ข้ายังหิวอยู่เลย…”

“ข้าจะพาเจ้าไปหลอมปรุงยานะ”

ฉินมู่พากิเลนมังกรไปยังคลังทรัพย์สินกะว่าจะซื้อสมุนไพรสํานวนหนึ่งมาหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานและในตอนนั้นเองก็มีนักพรตที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบฝั่งตรงกันข้ามมองมาทางนี้ เมื่อเขาเห็นฉินมู่พากิเลนมังกรเดินจากไปเขาก็พึมพํา “สิงโตมังกรหินที่อยู่หน้าประตูภูเขานี่กลับมามีชีวิตหรือ แล้วทําไมมันถึงมาดื่มนํ้าที่วังมังกรหยกล่ะ แล้วเจ้าหนุ่มนั่นคือใคร เขารู้ไหมว่านํ้าในวังมังกรหยกเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่ราชวงศ์จักรพรรดิ โอ…อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ลงไปเล่นในนํ้า อย่าไปจุกจิกกับแค่ดื่มนํ้าสองสามอึกดีกว่า”

ฉินมู่เดินผ่านอุทยานราชวงศ์และเห็นบัณฑิตหลายคนห้อมล้อมอยู่ที่นั่นพลางส่งเสียงโห่ร้องกันดังลั่น

ฉินมู่มองไปจากไกลๆ และเห็นว่าแม้แต่บัณฑิตจากบัณฑิตนิเวศน์ก็วิ่งมาดูด้วย และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งทักษะเทวะนิเวศน์มามุงด้วยเช่นกัน ทําให้อุทยานราชวงศ์เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบเดินฝ่าเข้าไปไม่ได้

ทันใดนั้น เสียงตูมสนั่นก็ดังมาพร้อมกับเงาร่างหนึ่งกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ แล้วตกลงมาแบบหัวปักพื้น เสียงหนึ่งอุทานออกมา “แพ้ไปอีกคนแล้ว!”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ ผู้ที่หัวปักจมดินนั้นคือองค์ชายคนหนึ่งในอุทยานราชวงศ์ องค์ชายนี้เป็นบุตรของอ๋องผู้หนึ่ง ใครกันที่กล้าลงมือกับเขาอย่างไม่ไว้หน้าแบบนี้

“มาข้าลองมั่ง!”

เสียงของเด็กสาวดังมาจากฝูงชนขณะที่ฉินมู่เดินห่างออกไป เขาพลันได้ยินเสียงตูมอีกรอบ และเด็กสาวในชุดเขียวถูกซัดจมกําแพงโถงซ่อนแสงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขา เหลือก็แต่ขาเรียวๆ 2 ข้างที่โผล่ออกมา

“ดูเหมือนจะเป็นองค์หญิง” ฉินมู่มองกลับไปที่ฝูงคนและคิดในใจ “กระบวนท่าพวกนี้มันคุ้นจริงๆ แฮะ ดูเหมือนจะเป็นเวทมนตร์บู๊ของคณบดีป้าซาน”

คณบดีป้าซานคิดค้นสุดยอดวิชาของเวทมนตร์บู๊ อันหลอมรวมกระบวนท่าวิชาบู๊เข้ากับเวทมนตร์ทักษะเทวะ ออกมาเป็นกระบวนท่าอันร้ายกาจทรงพลังยิ่งกว่าวิชาบู๊หรือเวทมนตร์ที่มาประกอบกัน การคิดค้นนี้ทําให้เขาถูกนับเป็นแวดวงของสุดยอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิ ในโลกหล้าไม่มีใครที่มีความสําเร็จเหนือลํ้า กว่าเขาในเต๋าแห่งเวทมนตร์บู๊

จุดอ่อนเดียวของสุดยอดวิชาเวทมนตร์บู๊นี้ก็คือมันไม่ยืดหยุ่น พลิกแพลงเท่ากับวิชาบู๊หรือเวทมนตร์ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ถึงแม้ว่าคณบดีป้าซานจะแข็งแกร่งในระดับจ้าวลัทธิ แต่ก็มิอาจคืบหน้าต่อไปอีกระดับได้

“หรือว่าจะเป็นน้องสาวอวี้จิว? แต่ทําไมนางถึงต่อสู้กับพวกองค์หญิงองค์ชายล่ะ”

กิเลนมังกรนั้นหิวจัดจนเดินโซเซ และท้องก็สั่นเทิ้มหดเกร็ง ฉินมู่ระงับความอยากชมดูการต่อสู้และมุ่งหน้าต่อไปยังคลังทรัพย์สินเพื่อซื้อหาตัวยาสมุนไพร หลังจากที่นักปรุงยาประจําคลังทรัพย์สินส่งยาสมุนไพรให้เขาแล้วนักปรุงยาถึงเพิ่งเห็นสิ่งมีชีวิตตัวมหึมาข้างหลังฉินมู่ และตกตะลึงไป

ฉินมู่พากิเลนมังกรกลับไปตามถนนที่พวกเขาเดินมา และจําแนกวิเคราะห์ฤทธิ์พลังยาที่อยู่ในสมุนไพรแต่ละอย่างระหว่างการเดินทางกลับ จากนั้นก็หลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานหนึ่งหม้อ

กิเลนมังกรรีบกินมันอย่างตะกละตะกลาม และมันยังไม่อิ่มท้องจากยาแค่หม้อเดียว จึงมองไปยังฉินมู่ด้วยสายตาละห้อย ฉินมู่จึงได้แต่หลอมปรุงยาให้อีกหม้อเพื่อบําบัดความหิวของสิ่งมีชีวิตตัวยักษ์นี้

กิเลนมังกรฟื้นกําลังวังชาขึ้นมาทันที และตามหลังเขาไปติดๆ พลางแย้มยิ้ม “จากนี้ไป เจ้าจะให้ข้าทําอะไรก็ได้หมด ข้าน่ะค่อนข้างเก่งเรื่องต่อสู้นะ”

ฉินมู่ส่ายหัวและเดินห่างไป มุ่งหน้าไปทางอุทยานราชวงศ์

ฮู่หลิงเอ๋อยิ้มหยัน “แม้แต่วัวตัวหนึ่งเจ้ายังไม่กล้าสู้เลย ยังมีหน้ามาพูดว่าเก่งเรื่องต่อสู้อีกหรือ”

กิเลนมังกรหงอยทันที

อุทยานราชวงศ์ยังมีผู้คนเนืองแน่นออกันอยู่ข้างหน้า และยังมีคนมาสมทบเพิ่มอีก เขาได้ยินบัณฑิตคนหนึ่งกล่าว “จะไม่มีใครในอุทยานราชวงศ์สักคนเลยหรือที่จะเอาชนะนางได้ ตั้งแต่เมื่อองค์หญิงเจ็ดกลับมาจากการแสวงประสบการณ์ในโลกภายนอก นางก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กําลังฝีมือของนางรุดหน้าอย่างมโหฬาร”

“หลอมรวมเวทมนตร์และวิชาบู๊เข้าด้วยกันแถมยังมีวิชาฝึกปรือเก้ามังกรราชันย์ของราชวงศ์จักรพรรดิอีก องค์หญิงเจ็ดกวาดทั้งอุทยานราชวงศ์โดยไร้ผู้ต่อต้านได้สบายๆ ข้าชักสงสัยว่านางจะสามารถไปขวางประตูบัณฑิตนิเวศน์ และขวางประตูทักษะเทวะนิเวศน์ได้หรือไม่”

“ทักษะเทวะนิเวศน์นี่ข้าไม่ค่อยรู้ แต่นางอาจจะขวางประตูบัณฑิตนิเวศน์ไม่สําเร็จ เพราะถึงอย่างไรก็มีเจ้าปีศาจนั่นอยู่ในบัณฑิตนิเวศน์”

“จริงเลย นี่ก็ตั้ง 3 เดือนแล้วที่พวกเรายังไม่เห็นหน้าหมอนั่น เขาคงทิ้งชีวิตตายไปข้างนอก นับว่าเป็นการเก็บกวาดเภทภัยตัวพิบัติแห่งบัณฑิตนิเวศน์ได้ในที่สุด”

“ถึงกําลังฝีมือของเจ้าปีศาจนั่นจะสูงส่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเอาชนะองค์หญิงเจ็ดได้”

“หลีกทาง ทุกคนหลีกไปให้พ้นทาง!”

บัณฑิตส่วนใหญ่รู้สึกถึงความปั่นป่วนที่มาจากข้างหลังและเหลียวกลับไปดู พวกเขาตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตมหึมาซึ่งเป็นครึ่งมังกรครึ่งกิเลนดันร่างของเขาเข้ามาเบียดผลักบัณฑิตให้เซระเนระนาดกันเป็นแถบ และถึงกับกระเด็นปลิวออกจากฝูงชนทันที

สัตว์ยักษ์ตัวนี้เบียดทุกๆ คนให้พ้นทาง จากนั้นก็เข้ามาจนถึงประตูอุทยานราชวงศ์จนได้ บัณฑิตทุกคนได้แต่ยืนพรึงเพริดจากภาพที่เห็นและรู้สึกหวาดผวาอย่างช่วยไม่ได้

แม้แต่เหล่าองค์หญิงองค์ชายในอุทยานราชวงศ์ที่มีความรู้รอบมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองกิเลนมังกรอันตระการน่าเกรงขามนี้อย่างไม่วางตา

กิเลนมังกรส่ายตัวและสะบัดขน หันหัวกลับไปแย้มยิ้ม “นายน้อย พวกมีตาแต่ไม่มีแววเหล่านี้หลบพ้นทางท่านแล้ว เชิญนายน้อยมาทางนี้”

ฉินมู่เดินไปยังประตูอุทยานราชวงศ์แล้วกล่าวติเตียน “เขื่องโขเกินไป เขื่องโขเกินไป! คราวหน้าเจ้าทําแบบนี้ไม่ได้นะ! ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงทั้งหลาย ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย”

ทุกคนมีสีหน้าแข็งทื่อ

ฉินมู่มองตรงไปยังอุทยานราชวงศ์และเห็นหลิงอวี้จิวปิดผนึกสมบัติเทวะห้าธาตุของนางและกําลังต่อสู้กับองค์ชายหมิ่นเยว่ ซึ่งก็เป็นบัณฑิตอีกคนที่คณบดีป้าซานคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ แต่กระนั้นเพียงกระบวนท่าของหลิงอวี้จิวไม่กี่ท่า องค์ชายหมิ่นเยว่ก็ไม่อาจต้านรับพลานุภาพอันเกรี้ยวกราดนั้นได้อีกต่อไป และถูกหลิงอวี้จิวซัดกระเด็น

จากนั้นหลิงอวี้จิวก็คลายผนึกสมบัติเทวะห้าธาตุของนางและปรากฏเก้ามังกรเลื้อยวนเวียนไปรอบๆ ร่าง ดูห้าวหาญ และแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่ลอบอุทานในใจ หลังจากที่หลิงอวี้จิวผ่านประสบการณ์การเดินทางไปวังทองโหรวหลัน วรยุทธ์ของนางก็เพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด 3 เดือนที่ผ่านมานี้ทําให้นางได้เปรียบนําหน้าเหนือบัณฑิตคนอื่นๆ ไปหลายช่วงตัว

เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ไปขวางประตูวังทองกลับมา นางก็ขยันขันแข็งในการฝึกวิชาเก้ามังกรราชันย์ให้ลึกลํ้าเข้าไปอีก และซ่อมแซมช่องโหว่ของนางอันเนื่องจากการมีรากฐานที่ไม่เสถียร

คณบดีป้าซานสั่งสอนตามพรสวรรค์และความถนัดของผู้รับคําสอน อันเป็นวิธีการที่แตกต่างจากครูผู้สอนโดยทั่วไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขามุ่งเน้นไปที่จุดอ่อนของหลิงอวี้จิวเพื่อขัดเกลาฝึกฝนนาง และในที่สุดความอุตสาหะของเขาก็เบ่งบาน

แต่ทว่าเมื่อฉินมู่มองไปรอบๆ อุทยานราชวงศ์อันพังพินาศกระจัดกระจาย และฉงนใจว่านางไปเอานิสัยหัวรุนแรงทุบพังสถานที่นี้มาจากใคร

“เด็กเลี้ยงวัว!”

หลิงอวี้จิวเห็นฉินมู่ และตาก็ลุกวาบเป็นประกาย นางโบกมือไปทางเหล่าองค์หญิงองค์ชายแห่งอุทยานราชวงศ์แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าจะพอก่อน พวกเราค่อยสู้กันต่อวันหลัง”

หลังจากที่นางบอกกล่าวจบ นางก็เดินตรงมาหาฉินมู่

ฉินมู่เอ่ยชม “น้องสาวอวี้จิว ข้าไม่ได้เห็นเจ้ามาไม่กี่เดือนแต่เจ้ากลับแข็งแกร่งขึ้นไปอีก”

หลิงอวี้ทําแก้มตุ่ย “เจ้าหายไปไหนมาตั้งนาน ทําให้ข้าเป็นห่วงแทบตาย”

นางรีบกล่าวต่อ “คณบดีป้าซานก็เป็นห่วงเจ้ามาก! เจ้าไม่รู้ใช่มั้ย อธิการบดีลาออกแล้ว และอธิการบดีคนใหม่กลับไม่ใช่คณบดีป้าซานแต่เป็นคนที่ถูกแช่ในนํ้าแข็งนั่นซึ่งแม่ทัพน้อยฉินช่วยเขามาจากวังมังกรแม่นํ้าหย่ง”

“คนที่ถูกแช่ในนํ้าแข็ง?”

ฉินมู่ฉุกใจเล็กน้อย หรือว่านั่นจะเป็นกู่ลี่หนวน

หลิงอวี้จิวเห็นว่ายังมีฝูงชนจํานวนมากจับจ้องมองพวกเขา และนางเองก็ยังคงหน้าบางอยู่บ้าง จึงกระซิบ “ที่นี่มีผู้คนเยอะแยะมากมาย เรา 2 คนไปคุยกันต่อในห้องข้ากันเถอะ”

ฉินมู่พยักหน้าแล้วเดินตามนางไป แต่ขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในอุทยานราชวงศ์นั่นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งวาบมาดักหน้าเด็กหนุ่ม เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้องหญิงเจ็ด เจ้าจะให้ผู้ชายเข้าไปในห้องหอของผู้หญิงได้อย่างไร ไปคุยในห้องข้าแทน”

หลิงอวี้จิวหน้าแดงซ่านและกล่าวรับคําด้วยเสียงแผ่วเบา

หลิงอวี้ชู้กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “บัณฑิตฉิน เชิญ”

ฉินมู่งุนงง เขาไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินองค์ชายจักรวรรดิผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ องค์ชายผู้นี้ถึงมองเขายังกับจะกินเลือดกินเนื้อ

พวกเขามาที่เรือนของหลิงอวี้ชู้ในอุทยานราชวงศ์และเห็นว่าสถานที่นี้ถูกประดับตกแต่งเหมือนสวนแสงตะวันทางทิศใต้ อันดูงามสง่าอย่างยิ่ง แม้ว่าภูเขาจําลองจะไม่สูงเยี่ยมเท่ากับภูเขาจริง แต่สวนนี้ก็มีธารนํ้าไหลผ่านแม้ว่าในสวนจะไม่กว้างใหญ่เท่ากับไพรพนา แต่มันก็มีทางเดินในอุทยานอันดูสงบงามและไร้สิ่งรบกวนจากโลกภายนอก ดูลํ้าเลิศยิ่งกว่าบัณฑิตนิเวศน์หลายเท่าตัว

สถานที่แห่งนี้เหมือนราชวังเล็กๆ และมีแม้กระทั่งนางกํานัลในวังเดินไปเดินมา คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

นางกํานัลวังเหล่านี้เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ ซึ่งไม่เพียงแต่รูปโฉมงดงามแต่ยังมีกําลังฝีมือกล้าแข็ง

หลิงอวี้ชู้พาพวกเขาไปยังเก๋งศาลาท่ามกลางทิวทัศน์อันสงบร่มรื่น นางกํานัลวังสองสามคนช่วยกันยกกระถางเผาไม้หอมมา และตั้งไว้ข้างๆ ศาลาก่อนจะจุดไฟเผาไม้หอมให้กลิ่นของมันวนเวียนไปทั่วเก๋งศาลา

เสียงของกู่ขิมดังมาจากไม่ไกล เสียงกู่ขิมนี้แช่มช้าชดช้อย และแฝงอารมณ์อันอาดูรในนั้น ราวกับว่ามีชายชรา 2 คนผลัดกันเดินหมากอยู่บนกระดานอย่างเชื่องช้า ดีดโน้ตหนึ่งหรือสองโน้ตเป็นครั้งคราว ช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มในใจผู้คน

“องค์ชายรองมีจิตใจอันสง่างามและประณีตจริงๆ” ฉินมู่อุทาน

หลิงอวี้ชู้ถึงค่อยคลายสีหน้ามืดคลํ้าลงหน่อยแล้วกล่าว “ข้ายังคงต้องขอขอบคุณบัณฑิตฉินที่ดูแลน้องหญิงเจ็ดเป็นอย่างดี ตลอดการเดินทางไปยังกําแพงใหญ่ น้องหญิงเจ็ดได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ในวังทองโหรวหลันและข้ารู้ว่าเจ้าได้ช่วยชีวิตน้องหญิงของข้าตั้งหลายครั้งหลายครา อวี้ชู้กล่าวขอบคุณเจ้ากี่พันครั้งในใจก็ยังไม่พอ”

หลิงอวี้จิวแย้มยิ้ม “เด็กเลี้ยงวัวแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาตายไปแล้วร้องไห้โฮต่อหน้าเหล่าหมอผีแห่งวังทองโหรวหลัน”

หางตาของหลิงอวี้ชู้กระตุกรัวๆ นางร้องไห้ด้วยหรือ ไม่เห็นนางจะเคยเล่า

ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็แค่มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน น้องหญิงของข้าก็เคยร้องไห้หลังจากแมวที่นางเลี้ยงไว้ตายจากไป หลิงอวี้ชู้คิดอยู่ในใจ

“พวกเรายังได้พบกับผู้อาวุโสของเด็กเลี้ยงวัวด้วย และผู้อาวุโสเหล่านั้นก็กล่าวชมข้าว่าเรียบร้อยรู้ภาษา ทั้งยังพอใจในตัวข้ามาก” หลิงอวี้จิวแย้มยิ้ม

หางตาหลิงอวี้ชู้กระตุกรุนแรงกว่าเดิม นางไปพบกับผู้อาวุโสฝั่งนั้นแล้วเรอะ? น้องหญิงเจ็ดไม่เห็นบอกข้า!

หลิงอวี้จิวกล่าวอย่างตื่นเต้น “พี่รอง คณบดีป้าซานเก่งกาจมากๆ เลยนะ กําลังฝีมือของข้ารุดหน้าไปอย่างมากมายหลังจากที่เขาพาพวกเราออกไป พี่ก็เห็นใช่ไหม หากว่าคณบดีป้าซานพาข้ากับเด็กเลี้ยงวัวไปด้วยกันอีกรอบ กลับมาคราวหน้าพี่เอาชนะข้าไม่ได้แน่ๆ!”

หลิงอวี้ชู้ส่ายหน้า “ข้าได้ลองถามเขาแล้ว คราวหน้าถ้าเขาออกไปข้างนอกคณบดีป้าซานจะพาบัณฑิตคนอื่นๆ ในโครงการไปแทน”

หลิงอวี้จิวผิดหวังเล็กน้อย

หลิงอวี้ชู้มองไปยังฉินมู่และกล่าว “ท่านพ่อได้แต่งตั้งกู่ลี่หนวนให้เป็นอธิการบดี และข้าได้ยินว่าเจ้ามีข้อบาดหมางกับกู่ลี่หนวนอยู่ หลังจากที่กู่ลี่หนวนขึ้นเป็นอธิการบดี เขาก็เที่ยวถามไถ่ครูผู้สอนหลายคนเกี่ยวกับเจ้า”

หลิงอวี้จิวแย้มยิ้ม “ข้ารู้ ข้ารู้เรื่องนี้ กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของกู่ลี่หนวนถูกเด็กเลี้ยงวัวต้มตุ๋นเอาไป ดังนั้นเขาเลยถือเรื่องเคืองใจอยู่”

หลิงอวี้ชู้กล่าว “ถ้าดุษฎีบัณฑิตฉินคืนกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้กู่ลี่หนวนก็จะดีที่สุด คนคนนี้มาจากสํานักฝ่ายมารและเป็นยอดฝีมือฝ่ายมารที่ใจแคบ ท่านพ่อแต่งตั้งเขาให้เป็นอธิการบดี ดังนั้นข้าจึงพูดอะไรมากไม่ได้ แต่กรอบคิดจิตใจของเขาไม่โอ่อ่าเปิดกว้างเท่ากับอธิการบดีคนก่อนอย่างไม่ติดฝุ่น ดังนั้นข้าจึงรับรองไม่ได้ว่าเขาจะหาเรื่องตอแยเจ้าหรือไม่ ข้าสามารถเป็นคนกลางสลายความขัดแย้งระหว่างพวกเจ้าทั้ง 2 ฝ่าย ข้าเชื่อว่าเขาคงเลิกผูกใจเจ็บด้วยเห็นแก่หน้าข้า”

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วกล่าว “กฎกติกาของแดนโบราณวินาศคือ เจ้าไม่จําเป็นต้องคืนสิ่งของที่ต้มตุ๋นมาได้ด้วยกําลังตน”

หลิงอวี้ชู้เผยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม “แต่ที่นี่ไม่ใช่แดนโบราณวินาศ ตอนนี้เขาเป็นอธิการบดีและหากจะทวงความแค้นเจ้าก็ง่ายราวพลิกฝ่ามือ”

ฉินมู่ขบคิดอยู่นิดหนึ่งแล้วกล่าว “ข้าได้ยินกู่ลี่หนวนกล่าวว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์เยาว์ของรัชทายาท และผู้พิทักษ์เยาว์ของรัชทายาทแปลว่าเขาเป็นหนึ่งในครูผู้สอนสั่งรัชทายาทสมัยยังเยาว์ ข้าเข้าใจถูกไหมองค์ชายรอง เจ้าคิดว่ากู่ลี่หนวนจะไว้หน้าเจ้าจริงๆ น่ะรึ”

หลิงอวี้ชู้สะท้านใจ

ฉินมู่กล่าวต่อ “องค์ชายรอง หากเขายินดีคลี่คลายความบาดหมาง ข้าก็ไม่มีปัญหาที่จะละเมิดกฎของแดนโบราณวินาศสักหนและคืนกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้แก่เขา แต่ทว่าข้ารู้สึกว่าต่อให้ข้าคืนกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ไป เขาก็คงไม่ไว้หน้าเจ้า และไม่คลี่คลายความบาดหมางกับข้าอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายรอง เจ้าไม่กังวลว่าเขาจะตอแยเจ้าด้วยหรอกหรือ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!