ตอนที่ 211 ประตูน้อมสวรรค์
ฉินมู่สอนฮู่หลิงเอ๋อถึงวิธีควบคุมกลไกเขาได้ซ่อนแผงควบคุมเอาไว้ที่หน้าอกของราชามารตู้เถียนและเมื่อกดปุ่มลับเบาๆ แผงควบคุมก็จะเด้งออกมา
เทวรูปหุ่นพยนต์นี้สร้างขึ้นจากเหล็กผลึกเหมันต์อันสูงใหญ่ 2 ช่วงตัวคน ฉินมู่เผาเงินทองไปกับมันก็มาก เพียงแค่เหล็กผลึกเหมันต์อย่างเดียวเขาก็ต้องจ่ายไปเป็นหมื่นเหรียญสมบูรณ์พูนสุข
ชิ้นส่วนประกอบของเทวรูปหุ่นพยนต์นี้มีหลายพันชิ้น แค่ฟันเฟืองอย่างเดียวก็มี 800-900 ชิ้น ทําให้กลไกของหุ่นพยนต์ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าราชามารตู้เถียนจะไม่ยอมขยับเขยื้อนเอง พวกเขาก็สามารถควบคุมให้เทวรูปขยับเดินด้วยแผงควบคุมนั้น เทวรูปหุ่นพยนต์มี 8 แขนและ 4 หน้าดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง และแข็งแกร่งอย่างสุดๆ ผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วไปนั้นยากที่จะทะลวงการป้องกันของเหล็กผลึกเหมันต์
ที่ใจกลางของเทวรูปหุ่นพยนต์ มีเตาไฟหลอมยาเล็กๆ คล้ายๆ กับที่ฉินมู่หลอมสร้างให้แก่ฝานอวิ๋นเสี้ยว ทว่าในตอนที่เขาหลอมสร้างเตาให้เรือพังๆ ของฝานอวิ๋นเสี้ยวนั้นนับเป็นครั้งแรกและเขาขาดประสบการณ์ แต่คราวนี้เตาไฟที่เขาหลอมขึ้นมาทั้งเล็กและประณีตกว่าเดิมมาก
เมื่อฮู่หลิงเอ๋อนั่งข้างในช่องแผงควบคุม นางก็สามารถใส่หินยาเข้าไปในเตาเล็กจิ๋วนั้นและใช้ปราณชีวิตของนางควบคุมเปลวไฟที่นั่นแม้ว่าจะไม่มีราชามารตู้เถียนสิงอยู่ นางก็สามารถใช้เทวรูปหุ่นพยนต์ต่างอาวุธหนักหุ้มเกราะได้
หากว่าราชามารตู้เถียนใช้เทวรูปหุ่นพยนต์นี้ต่างร่างกายของตนและช่วยในการต่อสู้อีกแรง พลังที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมานั่นมิใช่น้อยเลย ผู้วิชาเทวะขั้นหกทิศจะมิใช่คู่มือเขาอีกต่อไป แม้แต่ขั้นเจ็ดดาวก็ยากจะกล่าวว่าสามารถเอาชนะเขาได้อย่างมั่นใจ
ฉินมู่เรียนวิธีการสร้างเทวรูปหุ่นพยนต์นี้จากเฒ่าใบ้ เฒ่าหนวก และเฒ่าหม่า เขาเพียงแต่หลอมรวมสิ่งที่ 3 ผู้เฒ่านั้นสั่งสอนเขาเข้าด้วยกัน มิได้สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ถอดด้าม
สิ่งที่เขาทํานั้นเพียงแต่ประกอบสร้างสิ่งที่เขาเรียนรู้มาเข้าด้วยกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เทวรูปหุ่นพยนต์นี้ก็ถือเป็นผลงานระดับอาจารย์ช่างตีเหล็ก อาจารย์กลไก และอาจารย์อักษรรูน เขาได้ริเริ่มวิธีการต่อสู้แบบแผนใหม่โดยสิ้นเชิง
ฮู่หลิงเอ๋อเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเมินเฉยไม่สนใจราชามารตู้เถียนที่สิงในร่างหุ่นพยนต์ นางรีบนั่งลงในห้องแผงควบคุมเล็กๆ นั้น เพื่อควบคุมหุ่นพยนต์นี้ให้ขยับไปมาเป็นการซ้อมมือ
ฉินมู่รีบกล่าว “มังกรใหญ่ รีบตามนางไป อย่าปล่อยให้นางไปสร้างเรื่อง!”
กิเลนมังกรรับคําสั่งและรีบตามฮู่หลิงเอ๋อที่กรีดร้องอย่างตื่นเต้นและขยับแขนเทวรูปไปมา ฉินมู่มองไปยังด้านหลังของกิเลนมังกรและเห็นว่าพุงมันย้อยลงมาจนแทบจะติดพื้น
“เห็นทีเจ้านี่คงต้องลดนํ้าหนักแล้ว”
ฉินมู่ส่ายหน้า แต่ก่อนกิเลนมังกรตัวนี้มิได้อ้วนพีขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะอดอยากหิวโหยอยู่เรื่อย แต่ก็ยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ทําให้ผู้คนขยาดมิกล้าเข้าใกล้เมื่อมันเฝ้าประตูภูเขา
ทว่าตั้งแต่เมื่อมันติดตามเขา กิเลนมังกรก็ได้กินยาวิญญาณเพลิงฉานและดื่มนํ้าจากทะเลสาบมังกรหยกทุกๆ วันจนกว่าจะสมใจ นี่ทําให้เขายิ่งอ้วนพีอ้วนพีขึ้นทุกที และร่างกายก็ขยายขนาดอย่างล้นเหลือ
หากว่ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป กิเลนมังกรก็คงกลายเป็นลูกชิ้นลูกกลมๆ ก้อนยักษ์ในไม่ช้า และเท้าของมันก็คงลอยเท้งเต้งบนตัวกลมๆ จนไม่ติดพื้น
“ในอดีต ปรมาจารย์คงมิได้ให้อาหารเจ้านี่เป็นยาวิญญาณเพลิงฉานหนึ่งถังแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเจ้านี่คงอ้วนกลมมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาโกหกเรื่องปริมาณอาหารที่เขาได้กิน สงสัยว่าลดอาหารเขาเหลือแค่มื้อละครึ่งถังน่าจะดีกว่า”
ฉินมู่กลั้นลมหายใจด้วยจิตจดจ่อ และขับเคลื่อนกายาจ้าวแดนดินอีกครั้ง เขาแปลงร่างเป็นเทวาจําแลงของเทพครองดาวเสาร์ซึ่งมีศีรษะมนุษย์และลําตัวงู รูปเงาม้วนคัมภีร์ปรากฏในมือของเขา และประตูก็ค่อยๆ ปรากฏข้างหลัง
ฉินมู่หันหลังกลับไป และวิญญาณของเขาสั่นไหว สร้างเสียงแปลกประหลาด มันคือภาษาแดนใต้พิภพที่ราชามารตู้เถียนสอนเขา ราชามารเรียกสิ่งนั้นว่าประตูพสุธากําเนิด ถึงเขาจะไม่รู้จริงๆ หรอกว่ามันแปลว่าประตูพสุธากําเนิดจริงหรือไม่ แต่เขาก็เรียนรู้การออกเสียงประโยคดังกล่าวมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
เขากล่าวถ้อยคํานั้นที่หน้าประตู และประตูพสุธากําเนิดก็ค่อยๆ แง้มออกเผยให้เห็นห้วงมิติอันมีความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง
ฉินมู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาเดินอ้อมไปข้างหลังประตูนั้นแต่พบว่าตัวเขาก็ยังอยู่ในลานบ้านของตน ประตูนี้บางเฉียบจนเหลือเชื่อดู เหมือนไม่มีความหนาเลยแม้แต่น้อย จากมุมมองสายตาของเขา เขาเห็นแผ่นความมืดบางๆ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
กระนั้นเมื่อเขายืนหน้าประตู เขาก็สามารถมองเห็นความมืดมิดไร้ก้นบึ้งเบื้องหน้า
“นี่คือประตูที่เชื่อมต่อไปยังโลกอื่น?”
ฉินมู่อึ้ง เขายื่นฝ่ามือออกไป และผลักเข้าไปในประตูอย่างระมัดระวัง แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
“นี่หรือคือแง่อัศจรรย์ของขั้นห้าธาตุ? ขั้นห้าธาตุของผู้อื่นมีประตูนี้ด้วยไหม มีใครเคยเปิดและเข้าไปในนั้นมาก่อนหรือเปล่านะ”
เขาลังเลเล็กน้อย เขาจะเจอเข้ากับอะไรหากว่าเดินเข้าประตูนี้ไปจริงๆ ในความมืดนั้นมีแดนใต้พิภพในตํานานอยู่หรือไม่
หลังจากเขาก้าวเข้าไป เขาจะยังมีชีวิตรอดกลับมาไหม
ในขณะนั้นเอง ฉินมู่ก็มองเห็นแสงที่ส่องออกมาจากโลกแห่งความมืดมิด มันมาจากคนผู้หนึ่งกับเรือลําหนึ่ง บนกราบเรือนั้นแขวนตะเกียงริบหรี่ เปล่งแสงภูตผีเรื่อเรือง เรือน้อยนี้กําลังลอยเลื่อนมาทางเขา
ภายใต้แสงตะเกียงที่กราบเรือ มีผู้เฒ่าหนึ่งกําลังพับคนกระดาษและม้ากระดาษ ท่ามกลางแสงขมุกขมัว ภาพที่เห็นทําให้รู้สึกเงียบสงัดอย่างยิ่ง
ฉินมู่ลองยื่นหัวเข้าไปในประตูและพลันเห็นผู้เฒ่านั้นยกตะเกียงออกมาและฉายแสงส่องมายังตัวเขา เมื่อฉินมู่ถูกแสงตะเกียงทาบทอ เขาก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขาถูกตรึงให้แน่นิ่ง อยู่กับที่ไม่อาจกระดิกกระเดี้ย
ผู้เฒ่าบนเรือแขวนตะเกียงกลับไปที่กราบเรือ และเมื่อแสงนั้นละจากร่างของฉินมู่ไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงค่อยระบายลมหายใจโล่งอก
ทันใดนั้น เขาก็ขนหัวลุกวูบ เพราะเมื่อเขาก้มลงมองดู ก็พบว่าตัวเขานั้นหยัดยืนอยู่บนเรือ ประชิดติดข้างผู้เฒ่านั้น!
เรือน้อยหันหลังกลับไปอย่างไม่เร่งร้อนและฉินมู่ก็เอี้ยวคอกลับไปดู เขามองเห็นแสงส่องออกมาจากประตูไกลลิบๆ และข้างหน้าประตู มีตัวเขาอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นในท่าหันมองเข้ามา!
ร่างของเขาที่หน้าประตูดูจะถูกแช่แข็ง ไม่สามารถขยับเขยื้อน หากว่ามีตัวเขาอยู่ที่หน้าประตู แล้วตัวเขาตรงนี้คือใครกัน
เขามองไปรอบๆ แต่สภาพแวดล้อมนั้นมีแต่ความมืดมิด แสงนั้นมาแต่จากตะเกียงและจากแสงที่ก่อรูปเป็นประตูพสุธากําเนิด
หัวใจเขาพลันเย็นเยียบ ผู้เฒ่าที่นั่งพับคนกระดาษและม้ากระดาษเมื่อครู่ ฉายตะเกียงใส่เขา และกระชากวิญญาณออกจากร่างมายืนอยู่บนเรือ!
เขาที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นคือร่างไร้วิญญาณ!
“ทําไมท่านถึงเอาวิญญาณข้ามาทั้งที่ข้ายังไม่ตาย” ฉินมู่ถามผู้เฒ่า
ผู้เฒ่านั้นเมินเขา และยังคงจดจ่ออยู่กับการพับม้ากระดาษและคนกระดาษ
ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปมองและเห็นว่าประตูพสุธากําเนิดนั้นไกลจากเขาไปทุกทีๆ อันทําให้เขาหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง ราชามารตู้เถียนได้ซุกงําเรื่องบางอย่างจากเขาจริงๆ ประตูนี้อาจจะมิใช่ประตูพสุธากําเนิด มิเช่นนั้น ผู้เฒ่านี้คงไม่กระชากวิญญาณเขามา!
เขากระโดดลงจากเรือ ตอนนี้เขายังอยู่ห่างจากประตูไม่ไกลเกินไปนัก และอาจจะกลับเข้าคืนร่างได้!
แต่ทว่าเมื่อเขากระโดดลงไปจากเรือ เขามิได้ตกลงไปในนํ้าอย่างที่เขาคาดคิด รอบข้างเรือนี้มีแต่ความมืด ความมืดอันไร้ขอบเขต
เขานั้นเหมือนคนจมนํ้า แขนขาตะกายไปรอบๆ แต่ไม่มีที่ให้เขาหยั่งตัวสร้างแรงผลักให้เคลื่อนที่ไป เขาเห็นแต่ตนเองที่จมลงไปเรื่อยๆ จมลงไปในความมืดอันดําดิบและลึกลํ้ายิ่งกว่าเดิม
เขาเงยมองขึ้นข้างบนและเรือน้อยในความมืดก็ลอยห่างจากเขาไปเรื่อยๆ แสงที่กราบเรือนั้นก็กลายเป็นเล็กลงและริบหรี่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเล็กจนมองไม่เห็นอีกต่อไป
“ราชามารตู้เถียน ไอ้หลานเต่านั่น หลอกข้าจริงๆ ด้วย…” ฉินมู่รู้สึกเหมือนตกลงไปในฝันร้ายอันมืดมินไร้ก้นบึ้ง ไม่มีวิธีแหวกออกไป ไม่มีวิธีดิ้นรนช่วยชีวิตตนเองขึ้นมา
นี่คือความมืดมิดที่ทําให้ผู้คนสูญเสียทุกความหวังและจมลงไปในความท้อแท้อับจนหนทาง
ในเวลาเดียวกัน เรือที่สามารถบรรทุกวิญญาณเขาได้ก็แล่นไปไกลเสียแล้ว
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็รีดเร้นกําลังทั้งหมดเพื่อตะโกนออกไปด้วยดวงวิญญาณของเขา ตะโกนภาษาแห่งแดนใต้พิภพที่ราชามารตู้เถียนถ่ายทอดให้เขา สําเนียงอันลึกลับซ่อนเงื่อนนั้นทั้งอ่อนนุ่ม ทั้งแหบพร่าและไม่อาจสะกดออกมาได้ด้วยคอ นั่นเพราะว่ามันเป็นเสียงที่สามารถเปล่งออกมาจากดวงวิญญาณเท่านั้น!
เขากล่าวประโยคนี้จบ ก็พลันมีเสียงอันลึกลับซ่อนเงื่อนทั้งเก่าแก่โบราณดังมาจากความมืดไร้ประมาณ เสียงนี้ก็กล่าวถ้อยคําแดนใต้พิภพเช่นกันแต่สําเนียงเขาเหมือนกับกําลังสวดภาวนา
เสียงนั้นเหมือนส่งผ่านมาจากปางบรรพ์ ยุคสมัยอันถวายเลือดบูชาเนื้อแก่เทพยดาและคํ้ายันนํ้าหนักของโลกหล้า
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าร่างของเขาลอยขึ้นข้างบนและความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขากลายเป็นเส้นแสงที่พุ่งวาบไป
ลําแสงนั้นพุ่งหวีดหวือทะลวงความมืดและทะลวงเข้าไปในร่างของฉินมู่ซึ่งยืนคาอยู่หน้าประตู
ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างมิอาจควบคุมได้ และเขาก็สําลักเอาอากาศเข้าไปเพื่อหายใจ ร่างของเขาโชกไปด้วยเหงื่อราวกับว่าเพิ่งปีนขึ้นมาจากบ่อนํ้า
ในขณะเดียวกันนั้น ข้างหลังประตู เรือน้อยนั้นลอยมาอีกคราอย่างไม่เร่งร้อน ผู้เฒ่าบนเรือมองมายังเขา แต่คราวนี้เขาไม่ฉายตะเกียงส่องใส่
ฉินมู่ยืนอยู่ที่หน้าประตู พร้อมที่จะสลายเทวาจําแลงเทพครองดาวเสาร์ในทุกเวลาเพื่อให้ประตูหายวับไป จากนั้นเขาก็ถาม “พี่ทางเต๋า ประโยคของท่านนั้นหมายความว่าอย่างไร”
สายตาของผู้เฒ่าจับจ้องมายังร่างกายของเขา และเรือน้อยก็หันเหทิศทางวกลอยกลับไปยังความมืดมิด
“พสุธาเป็นบ่อกําเนิดอันยิ่งใหญ่ สรรพสิ่งจึงเกิดขึ้นมาได้ และน้อมตามวิถีฟ้า”
“พสุธา…ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของมันจึงแบกรับและคํ้ายันสรรพสิ่ง การโอบรับอันไร้ประมาณก็เสมือนพลังอํานาจอันไร้ขีดจํากัด ความเข้าใจสรรพสิ่งของมันกว้างขวาง ความเรืองรองก็ยิ่งใหญ่ สิ่งต่างๆ ที่อิงอาศัยอยู่ในมันก็สามารถวิวัฒน์จนพร้อมสมบูรณ์”
“แม่น้ำนั้นเป็นชีวิตแห่งพสุธา พลังในการเคลื่อนที่ของมันบนผืนแผ่นดินนั้นไร้ขีดจํากัด มันนั้นเชื่องและอ่อนโยน มีประโยชน์ และมั่นคง ดังนั้นจึงเป็นหนทางแห่งผู้สูงส่ง หากว่าผู้ใดริเริ่มกระทําก่อน ผู้นั้นมักจะเฉผิดทางและพลาดสิ่งประสงค์ หากเขาน้อมตาม เขาจึงจะเชื่องและกลับสู่หนทางอันปกติสุข”
“ประโยคที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่มิใช่อื่นใดนอกจากว่า พสุธาเป็นบ่อกําเนิดอันยิ่งใหญ่ หากว่าเจ้ากล่าวเร็วกว่านี้ ข้าคงไม่เอาวิญญาณเจ้ามา”
เรือนั้นลอยไปไกลขึ้นและไกลขึ้นทุกที ก่อนที่จะหายลับไป เสียงของผู้เฒ่านั้นลอยมาจากที่ไกลลิบ ฟังแว่วแผ่วเบา “ประตูนี้คือประตูน้อมสวรรค์แห่งแดนใต้พิภพ มันคือพสุธากําเนิดน้อมสวรรค์ ภูตผีสามารถเข้ามาได้ แต่มิใช่ที่ที่เจ้าพึงเข้ามา…”
“ราชามารตู้เถียนหมายเล่นงานข้าจริงๆ!” ฉินมู่โมโหโกรธา แต่แล้วเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา “โชคยังดีที่ข้าไม่สูญเสียชีวิต เดี๋ยวข้าค่อยๆ จัดการเขาอย่างช้าๆ ละกัน เอ๊ะ วิญญาณของข้าเหมือนเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย”
เขารู้สึกว่าวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาหลังจากการเดินทางในแดนใต้พิภพครั้งนี้ ฉินมู่ตกตะลึง เมื่อเขาขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เขาก็รู้สึกถึงพลังอํานาจอันมิอาจบรรยายได้ไหลออกมาจากประตูน้อมสวรรค์มาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเขา!
เขาอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าราชามารตู้เถียนจะโกหกเขา แต่มิใช่ว่าถ้อยคําของมันจะเป็นความเท็จไปเสียหมด
ราชามารตู้เถียนกล่าวถูกต้อง เมื่อรู้ถ้อยคําบนประตูและผลักประตูเปิด ก็จะช่วยให้เสริมวรยุทธ์ของเขาในขั้นนี้ให้สมบูรณ์ไร้จุดอ่อนและนั่นจะทําให้เขาแข็งแกร่งกว่าราชครูสันตินิรันดร์ในขั้นวรยุทธ์นี้!
เทวาจําแลงเทพครองดาวเสาร์ในขั้นห้าธาตุของเขากลายเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด ในเมื่อมันเป็นหัวใจสําคัญในการฝึกปรือดวงวิญญาณ!
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขามั่นคงเปี่ยมด้วยเสถียรภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเขาก้มลงมองดูม้วนคัมภีร์ในมือ ถ้อยคําที่อยู่บนนั้นก็กระจ่างชัดขึ้นแสดงให้เขาเห็นอักษรอันแปลกประหลาดซึ่งมีทั้งรูปร่างของนก สัตว์ร้าย ปลา ดวงตะวันและดวงจันทร์
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักอักษรเหล่านั้นแต่สายตาของเขากวาดผ่านมันราวกับว่าเขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร แง่อัศจรรย์ของถ้อยคําบนม้วนคัมภีร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในความรู้ของเขาโดยอัตโนมัติ