Skip to content

Tales of Herding Gods 259

ตอนที่ 259 เกวียนวัว

ผืนดินอันห่างจากเมืองป้าโจวไปร้อยลี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร แม้แต่อากาศก็ดูเหนียวเหนอะหนะ ปราณชีวิตรอบๆ เหล่านักพรตชราและหลวงจีนเฒ่าก่อรูปขึ้นมาเป็นเทพยดาที่มีรัศมีอันใหญ่โต กลืนภูเขา

สํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามมีมรดกสืบทอดอันยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าลัทธิมารฟ้า สําหรับ 2 แดนศักดิ์สิทธิ์นี้ลัทธิมารฟ้านับได้ว่าเป็นแค่ลัทธิเยาว์วัย

จากเทพยดาที่ก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิตของนักพรตและหลวงจีนเฒ่านี้ สามารถเห็นได้ถึงทวยเทพทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ มันมีทั้งเทพ 3 เศียร 6 กร เทพที่มีหลังเต่าและแส้หางม้า เทพที่เป็นนกหลากสีมีหางเสือดาว เทพที่เป็นยักษ์วัชรา และอื่นๆ อีกมากมาย

สําหรับอาจารย์ยากจน ผู้เที่ยงแท้เถียนและคนอื่นๆ พวกเขาสร้างภาพตระการที่แตกต่างออกไป แม้ว่ามรดกสืบทอดของพวกเขาจะไม่โบรํ่าโบราณเท่ากับสํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคําราม แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เทพบางองค์ที่ปรากฏเบื้องหลังพวกเขาเป็นนักปราชญ์ผู้ทรงปัญญา บ้างก็เป็นสตรีที่กําลังถือแมลงทองคํา บ้างก็เป็นเทพยาจกที่เสื้อผ้าปุปะขาดวิ่น

รูปปราณของเหล่าขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูงนั้นแตกต่างจากพวกเขา อย่างเช่นข้างหลังแม่ทัพแผนสวรรค์ฉินเป๋าเยว่นั้นเป็นตะบองทองคําหลายด้าม พวกมันส่องแสงเจิดจ้า และบนตัวตะบองมีใบมีด 8 อันที่หมุนติ้วๆ อย่างน่ากลัว ชายผู้นี้เข้าร่วมศึกสงครามบ่อยครั้งและมิได้ฝึกบําเพ็ญเพื่อกลายเป็นเทพเจ้าหรือพุทธองค์ ดังนั้นเขาจึงใช้อาวุธประหนึ่งเทพเจ้าที่บุกตะลุยเข้าไปในสนามรบ

เทพเจ้าหลังจอมทัพหลวงจีนหยวนคงก็มิใช่พุทธองค์เช่นกันแต่เป็นหลวงจีนธุดงค์ที่ถูกมัดไว้ด้วยโซ่มากมายและถือมีดพระ เขามีท่าพร้อมจู่โจมและดูหน้าตารูปร่างคล้ายกับหยวนคงเอง

ข้างหลังอ๋องไท่ซาน หลิงจู้ฮวาคือเก้ามังกรที่กระหวัดพันรอบเขาไท่ซาน โดยเอาเขาไท่ซานเป็นแท่นบูชาพวกมัน เขานั้นรับหน้าที่เป็นผู้บวงสรวงสักการะบรรพบุรุษ

ขุนนางซีคง เว่ยพิงป๋อ รับหน้าที่ชลประทานของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นปราณชีวิตของเขาจึงไม่ก่อรูปเป็นเทพเจ้า แต่เป็นเขื่อนแม่นํ้ายาวเหยียดที่ก่อสร้างขึ้นมาจากดิน ไม้ และนํ้า เทพของเขาคือการชลประทาน

ขุนนางซีถู จุ้ยเล่อชิงเป็นขุนนางหญิงซึ่งรับหน้าที่ดูแลการคลังของจักรวรรดิ นางนั้นเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการเงินทั้งโลกหล้า เทพเจ้าที่ปราณชีวิตของนางก่อรูปขึ้น มาจึงไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็น

พวงเหรียญสมบูรณ์พูนสุขที่เลื้อยไปมาราวกับงูเหลือมยักษ์ เทพเจ้าของนางคือเงินตรา

ขุนนางชั้นสูงสวีอวิ๋นซื่อก็เป็นขุนนางหญิงเช่นกัน นางสามารถเปิดกระทรวงใหม่ขึ้นมาตําแหน่งของนางจึงอยู่ทัดเทียมกับเสนาบดีทั้ง 3 นางนั้นเป็นขุนนางพลเรือนอิสระ แต่ได้ก้าวมาถึงตําแหน่งขั้นสูงสุดของเจ้าหน้าที่ในสายนั้น นางดูแลรับผิดชอบโรงเรียนประถมฐานและวิทยาลัยทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิตของนางจึงมิใช่เทพเจ้า แต่เป็นหนังสือและไม้บรรทัด

ข้างหลังแม่ทัพใหญ่แห่งม้าขาว กวนติ่งหวูเป็นม้าศึกที่มีเปลวเพลิงโหมกระพือ และบนหลังม้าคือเทพยดาที่ลุกเป็นเพลิงไฟสงคราม เขามี 8 แขนอันถือดาบโล่ ทวน หอก กระบี่ และง้าว เขา มี 4 หน้าอันสามารถมองไปได้ทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งหมดของเขาราวกับลําแสง ทั้ง 4 หน้านั้นเป็นใบหน้าของแม่ทัพใหญ่แห่งม้าขาวทั้งสิ้น

จากนี่ จึงเห็นได้ว่ายอดยุทธ์ระดับจ้าวลัทธิแห่งสภาราชสํานักนั้นแตกต่างจากค่ายสํานักในยุทธภพ สํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามนับถือพุทธบูชาเทพ ดังนั้นเทพยดาเบื้องหลังพวกเขาจึงเป็นทวยเทพและเหล่าพุทธองค์ ในทางกลับกันยอดยุทธ์แห่งสภาราชสํานักใช้งานภาระหน้าที่ที่ตนเองจัดการ แต่ละคนมีหน้าที่ต่างๆ กันและก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตน

แม้แต่หลวงจีนหยวนคงที่มาจากฝ่ายพุทธก็ถือตนเองเป็นพระธุดงค์ซึ่งฝึกปรือมาในการสู้รบและไม่เผยทีท่าน่าเกรงขามของพุทธองค์

หลวงจีนหูยานผู้หนึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนและกล่าวด้วยเสียงเบา “การปฏิรูปของราชครูสร้างมรรคาเต๋าอันชั่วร้ายไม่เที่ยงแท้อันไม่บูชาทวยเทพ! พวกเขาหันไปเคารพบูชาขยะไร้ค่าแทนที่จะเป็นพุทธองค์หรือเทพเจ้า!”

แม่ทัพใหญ่แห่งม้าขาวได้ยินที่เขาพูดจึงยิ้มหยัน “ใช้สิ่งที่เจ้ารํ่าเรียน กระทําด้วยความรู้ของเจ้า หลวงจีนหูยาว วิชาของเจ้าที่ได้มาจากการฝึกบําเพ็ญในศาสนานั้นยังตื้นเขิน เจ้าคงยากจะรอดตายในวันนี้”

“การฝึกบําเพ็ญตลอดทั้งชีวิตของเจ้าจะด้อยไปกว่าเทพและพุทธได้อย่างไร” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าว อย่างสบายๆ “นี่คือความสามารถของคนทุกคน ดังนั้นการอิงอยู่กับเทพและพุทธต่างหากที่เป็นมรรคาเต๋าอันเฉเป๋ไป๋ ด้วยการกระทําการงานให้เหมาะสมถูกต้องและฝึกบําเพ็ญพวกมันไปถึงขีดขั้นเทพและพุทธต่างหากล่ะ พวกเขาจึงจะบรรลุเป็นเทพและพุทธได้!”

เหล่านักพรตและหลวงจีนเฒ่าขมวดคิ้ว และเจ้าสํานักเต๋าเฒ่าก็ส่ายหน้า “ฝึกบําเพ็ญการงานจนถึงเขตขั้นเทพเจ้าหรือ ถ้าอย่างนั้น พวกเขายังต้องทํางานรับใช้มนุษย์ปุถุชนต่อไหมหลังจากที่กลายเป็นเทพแล้ว นี่ก็เป็นคําสอนของลัทธิมารฟ้าอีกแล้ว! ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการยังประโยชน์ให้คนทั่วไป จักรพรรดิ เจ้านั้นถูกครอบงําโดยราชครูและลัทธิมารฟ้า”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้ม “หากว่าข้าไปเข้าร่วมลัทธิมารฟ้า บางทีข้าอาจจะได้เป็นจ้าวลัทธิ”

“ในเมื่อเป็นฝ่ายมาร ก็ไม่จําเป็นต้องพูดอะไรอีก”

นักพรตเฒ่าจัดกระบี่ที่หลังของตนและทั้ง 2 คนตะโกนออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน “ตายซะ!”

เมื่อถ้อยคํานี้หลุดออกมา บรรยากาศแห่งการฆ่าฟันก็พวยพุ่งจนคลุมฟ้า และลมหนาวยะเยือกก็ยิ่งหนาวเสียดกระดูก แต่ในขณะนั้นเองก็มีชายชราเดินมาพลางลากเกวียนวัวอันแล่นเสียงออดแอดๆ

ทุกคนรั้งปราณสังหารของตนกลับและยืนอย่างเงียบงัน หลุบตาตํ่าโดยไม่ปริปาก

ชายชราผู้นั้นตื่นตระหนกเมื่อเห็นทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเทพเจ้าและพุทธองค์ วัวของเขาก็ตัวสั่นงันงก ไม่อาจจะลากเกวียนได้อีกต่อไปด้วยขาอันสั่นเทิ้ม ชายชราโมโหอย่างยิ่งจึงใช้แส้ฟาดวัวห้าหกทีจนกระทั่งมันรีดเร้นกําลังลากเกวียนออกไปจากสถานที่ที่พวกเขาไม่ควรอยู่

เมื่อชายชราและเกวียนวัวหายลับไปไกลๆ การต่อสู้ก็กําลังจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง!

แต่ทว่าเมื่อสุดยอดฝีมือทั้งหลายในขั้นสะพานเทวะกําลังจะลงมือ พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงออดแอดๆ ของล้อเกวียนที่หมุนไป เกวียนวัวอีกคันขับเข้ามา และทุกคนก็เห็นชายชราอีกคนเดินมา พลางลากเกวียนวัว เมื่อเขาเห็นทุกๆ คน เขาก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวและใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะลากเกวียนวัวออกไป

ทุกคนระบายลมหายใจโล่งอกและกําลังจะลงมืออีกครั้ง แต่พลันได้ยินเสียงออดแอดๆ ของล้อเกวียนที่บดกับพื้นดินมาอีกครา

นักพรตเฒ่าคนหนึ่งกล่าวอย่างเดือดดาล “อากาศหนาวผืนดินก็เป็นนํ้าแข็งไปหมดหลังภัยพิบัติ เกวียนวัวมันจะมาจากไหนมากมายหา”

ทุกคนตกตะลึง เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ในตอนนี้ภัยพิบัติแผ่ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า สัตว์ทั้งหลายที่เลี้ยงไว้ก็ย่อมถูกนํามากินจนหมดแล้ว เช่นนั้นทําไมถึงมีเกวียนวัวตั้ง 3 คันผ่านพวกเขาไปติดๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นทําไมต้องเป็นที่นี่ไม่ใช่ที่อื่น

ผัวเมียเฒ่าชราคู่หนึ่งนั่งอยู่บนเกวียนวัวคันถัดไป คนหนึ่งนั้นเป็นหญิงแก่ผมหงอกโพลน อีกคนหนึ่งเป็นชายแก่ที่ยังดูไม่แก่เท่าไรนัก ทุกคนรออย่างเงียบเชียบให้เกวียนวัวแล่นผ่านไป

แต่ทว่าเกวียนวัวนี้ขับมาจอดใกล้ๆ วัวที่ลากเกวียนดูกล้าหาญไร้ความกลัว และชายแก่หญิงชราก็กระโดดลงมาจากเกวียนอย่างสบายๆ ราวกับว่าพวกเขากําลังจะเล่นมายากล เขาเปิดผ้าผืนหนึ่งมาคลุมเกวียนเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ ทันใดนั้น ผู้คนรูปลักษณ์แตกต่างกันมากหลายจํานวนกว่า 10 คนก็ปรากฏขึ้นมาบนเกวียนวัว เติมเกวียนจนเต็มแออัดจนแทบล้น

“ทูตซ้ายขวาแห่งลัทธิมารฟ้า ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิ และ 2 เทวราช” เจ้าสํานักเต๋ามองลงไปด้วยสีหน้าจนปัญญา “พวกเราเห็นแค่คน 2 คนกับวัวหนึ่งตัวมาพร้อมกับเกวียนคันหนึ่ง ข้าเลยไม่คาดคิดว่าจะเห็นผู้คนถึง 16 คนผุดโผล่ขึ้นมา มายากลร้ายกาจอะไรแบบนี้ ลัทธิมารฟ้า”

ทูตซ้ายคงหลิงเสียนเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆ “พวกเราชอบเล่นมายากลระหว่างที่เดินทางร่อนเร่ในยุทธจักร เพื่อดํารงชีวิตจากเงินรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกขุนนางเจ้าหน้าที่ให้ พวกเราขออภัยด้วยที่แสดงกลอันตํ่าต้อยน่าอายต่อนายท่านทั้งหลาย”

ทูตขวาจั่วปี้อี่ยิ้มแฉ่งให้กับทุกคน “โจรหัวล้านเฒ่า จมูกโคเฒ่า จ้าวลัทธิสั่งให้พวกเราติดตามจักรพรรดิเมื่อเขากลับบ้านไปตอนปีใหม่ ในเมื่อตอนนี้จักรพรรดิกําลังตกที่นั่งลําบาก ข้าและพี่ชายเฒ่าจึงไม่อาจทนดูได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่อาจรับการลงโทษได้ไหวเมื่อจ้าวลัทธิกลับมา”

ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิทั้ง 12 และ 2 เทวราชแห่งลัทธิมารฟ้า กระโดดลงมาจากเกวียนวัว เทวราชฉื้อและเทวราชอวี้ยืดเหยียดร่างกายก่อนที่จะคารวะทักทายทุกๆ คนด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านในที่นี้ ล้วนแต่เป็นยอดคนผู้มีฐานะสูงส่ง ดังนั้นพวกเราชายแก่ผู้ตํ่าต้อยทั้งหลายจึงขอคารวะ จ้าวลัทธิส่งจักรพรรดิที่ยังมีชีวิตและมีลมหายใจให้พวกเราดูแล หากว่าพวกเจ้าสังหารเขาไปและให้พวกเราคืนจักรพรรดิที่ตายไปแล้วให้กับจ้าวลัทธิ เราคงได้แต่ชดใช้ชีวิตตนเองเพื่อบรรเทาโทสะของเขา”

เจ้าสํานักกระยาจกฉีต้าโหย่วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง “มรรคามารอันชั่วร้าย! สภาราชสํานักคลุกคลีกับลัทธิมารฟ้าอันฉาวโฉ่ เช่นนั้นสหายแห่งวัดใหญ่ฟ้าคําราม พวกเรามาปราบมารกําราบปีศาจกัน!”

“ตายซะ!”

เสียงตะโกนดังมา และฟ้าร้องก็คํารามครั่นครื้นในอากาศเมื่อการตะลุมบอนเปิดฉาก ในพริบตาเดียว ลมหมุนรุนแรงก็พวยพุ่งออกไปทุกทิศทางถล่มป่ารอบๆ ให้ราบเป็นหน้ากลอง

การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดยิ่งกว่าครั้งที่ราชครูสันตินิรันดร์ไปปราบปรามกบฏ แม้ว่าครั้งนั้นจะเต็มไปด้วยตัวตนระดับจ้าวลัทธิ แต่พวกเขาก็ล้วนแต่ตํ่าชั้นกว่ายอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิจาก 3 แดนศักดิ์สิทธิ์ ด้วยสภาราชสํานักเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งเช่นกัน ก็คงพอจินตนาการออกได้ว่ามหิทธานุภาพอันเปิดขึ้นจากการปะทะประมือของ 4 แดนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเป็นอย่างไร

แต่ทว่าวัดใหญ่ฟ้าคํารามและสํานักเต๋ายกพวกออกมาทั้งรังเพื่อต่อสู้ในครั้งนี้ ในขณะที่สภาราชสํานักและลัทธิมารฟ้ามียอดฝีมือขั้นหัวกะทิมาแค่ครึ่งเดียว ทั้งยูไลและเจ้าสํานักเต๋าก็อยู่ด้วยที่นี่ ฝ่ายจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงดูสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ชีวิตก็จะปลิดปลิว หลวงจีนหูยาวพุ่งไปใส่กวนติ่งหวูโดยพลันและ 2 ยอดฝีมือ

ระดับสะพานเทวะก็ปลุกเปิดสมบัติเทวะทั้งหมด สร้างรอยผ่าบนสวรรค์และรอยแยกบนพื้นปฐพี หลวงจีนหูยาวนั้นเป็นหัวหน้าโถงอรหันต์แห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามที่เชี่ยวชาญวิชาพุทธและวิชาบู๊ไพรี พ่ายฤทธิ์

ในขณะเดียวกัน กวนติ่งหวูเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งม้าขาว อยู่บนหลังม้าเข่นฆ่าผู้คนมาตลอดทั้งชีวิต ทําลายล้างประเทศและสํานักทุกที่ที่เขาย่างกรายไปทะลวงไฟและนํ้าเมื่อมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เพิ่งก่อตั้ง ราชครูสันตินิรันดร์ได้รวบรวมยอดฝีมือทั้งโลกหล้ามาเพื่อศึกษามรรคา วิชา ทักษะเทวะ หนึ่งในนั้นคือกวนติ่งหวู และเขากล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือของจักรวรรดิสันตินิรันดร์

เมื่อวิชาบู๊ไพรีพ่ายฤทธิ์ปะทะกับวิชาล้างสังหาร ทะเลเลือดก็โถมท่วมเหยียดฟ้า เพลิงสงครามโหมกระพือบนยอดทะเลโลหิต ภาพนี้กระจ่างชัดราวกับมีสสารตัวตนและมันก่อรูปขึ้นมาจากปราณสังหารของกวนติ่งหวู

พุทธรูปองค์ใหญ่ยืนอยู่เหนือทะเลเลือด และตรงหน้าพุทธองค์นั้นคือหลวงจีนหูยาว เมื่อเทียบกับพุทธรูปองค์ใหญ่ เขานั้นดูกระจ้อยร่อย ตะลุยผ่านทะเลเลือดและเพลิงศึก ผู้ที่บุกเข้ามาหาเขา คือกวนติ่งหวู ม้าศึกข้างหลังเขาเหยียบย่างมาบนเพลิงสงคราม และบุคคลที่อยู่บนหลังม้าก็ราวกับเทพเจ้าป่าเถื่อนแห่งการฆ่าฟัน ดูน่าหวาดสยองและเหี้ยมโหด!

“มรรคาชั่วร้ายนอกรีต! ผู้ที่ไม่ฝึกพุทธอันเที่ยงแท้ แม้ตายก็มิอาจไถ่โทษ!”

สีสันทองคําปรากฏไปทั่วร่างของหลวงจีนหูยาวเมื่อเขาประกบมือเข้าด้วยกันสวดท่องคาถาพุทธ เขาใช้มุทรา 2 แบบอันละเอียดพิสดารอย่างยิ่งและฟาดใส่จุดตายของกวนติ่งหวู!

แต่ด้วยความตะลึงของหลวงจีน กวนติ่งหวูไม่หลบหลีกแต่ปล่อยให้วิชานั้นฟาดใส่ตนเอง แขนใต้รักแร้ของกวนติ่งหวูอันก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิตกวัดแกว่งเมื่อเขาเหวี่ยงดาบ โล่ ทวน หอก กระบี่ และง้าวโจมตี ดาบตัดแขนข้างหนึ่งของหลวงจีนหูยาว โล่ฟาดใส่กะโหลกเขา ทวนแทงทะลุหน้าอกยกร่างเขาขึ้น หอกทะลวงหัวใจ แสงกระบี่เฉือนคอหอย และง้าวก็งัดร่างเขาลอยสูง!

ข้างหลังพวกเขาเทพเจ้าแห่งการล้างสังหารปะทะกับพุทธรูปยักษ์ทําให้ทะเลเลือดปั่นป่วนหมุนวนรอบๆ พวกเขาราวกับวังนํ้าวน

“เจ้าไม่หลบ…” หลวงจีนหูยาวกล่าวอย่างเจ็บชํ้าใจเมื่อร่างของเขาถูกแขวนห้อยอยู่บนง้าว

โล่ใหญ่ฟาดลงมาและทําลายร่างเขาจนแหลกเหลว

“สังหารผู้คนในสนามรบใช้แค่หนึ่งหรือสองกระบวนท่า จะหลบไปทําไมกันล่ะ สนามรบต้องการทักษะในการล้างสังหาร หากว่าข้าเล่นตามจังหวะเจ้า เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเอาจุดอ่อนข้าไปรับกับจุดแข็งเจ้ามิใช่รึ”

กวนติ่งหวูกระอักเลือดออกมากํานึง มุทรา 2 ท่าจากหลวงจีนหูยาวแทบจะทําลายอวัยวะภายในเขาจนแหลกเหลว กระดูกซี่โครงและไหปลาร้าของเขาแตกยุบ ทําให้เขาสูดลมหายใจหนาวเหน็บ จากความเจ็บปวด

ทันใดนั้น ฝ่ามือทองคําอันแจ่มจรัสก็ฟาดซัดลงมา เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว หลวงจีนอีกคนรีบรุดเข้ามา มือหนึ่งเขาว่างเปล่าเมื่อเขาเขวี้ยงเจดีย์ 18 สวรรค์ในมือข้างนั้นใส่กวนติ่งหวู เจดีย์นี้เต็มไปด้วยเทวดาและพุทธเจ้าที่บดขยี้กระดูกของกวนติ่งหวู

“หลวงจีนหยวนคง เจ้าก็เป็นชาวพุทธ ทําไมเจ้าถึงเลือกหนทางมาร และกลายเป็นเหยี่ยวและสุนัขของราชสํานัก” แม่ชีหงหยินจากโถงมหาคําสอนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามก้าวเข้ามาขวางหน้า หลวงจีนหยวนคงและพยายามที่จะโน้มน้าวเขา “ได้เวลาที่เจ้าจะได้สติเสียที และเลิกกระทําผิดพลาด! หากว่าเจ้ายังคงทําเช่นนี้ เจ้าก็จะไม่มีวันบรรลุธรรม!”

หลวงจีนหยวนคงเบิกตากว้างและเขาตะโกนออกมา “อะไรคือการบรรลุธรรม ยังมีพุทธเจ้าในหัวใจคนผู้นั้นย่อมไม่อาจบรรลุธรรม ฝ่าบาทใช้ให้ข้าจัดการกฎกองทัพ ดังนั้นข้าถึงพันธนาการตนเองไว้ด้วยโซ่ เมื่อข้าทําลายโซ่ตรวนเหล่านี้ ข้าก็จะบรรลุธรรม!”

แม่ชีหงหยินเดือดดาลและฟาดแส้หางม้าใส่ “เจ้าถูกมารร้ายครอบงํา ให้ข้าขจัดมันให้เจ้า!”

มหารณยุทธ์ปะทุขึ้นและเหล่านักพรตเฒ่าแห่งสํานักเต๋าก็ส่งกระบี่ของพวกเขาออกไป ในพริบตาเดียว ทั่วทั้งท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยรังสีกระบี่ พวกมันมาจากวิชาแห่ง 14 นิพนธ์กระบี่เต๋า และแข็งแกร่งทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคมกล้าไร้ใดเปรียบ มิอาจสงสัยได้เลยว่าทําไมมันจึงเป็นเพลงกระบี่อันดับหนึ่งในสํานักเต๋า!

“ก่อตั้งค่ายกล ขจัดมารร้าย!” นักพรตเฒ่าผู้หนึ่งกู่ตะโกน

“วางค่ายกลพยุหะ และเคี่ยวกรําพวกจมูกโคนี่ให้ตาย!” จั่วปี้เอ๋อตะโกนอย่างเฉียบขาด และ 2 เทวราชกับ 12 ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิก็สร้างพยุหะขนาดใหญ่เพื่อรับมือกับฝูงนักพรตเฒ่า พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่คุ้น หน้าค่าตา ต่อสู้กันมานับครั้งไม่ถ้วนแต่รู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี

อีกฟากหนึ่ง แม่ทัพแผนสวรรค์ ขุนนางชั้นสูง ขุนนางซีคง ขุนนางซีถู และอ๋องแห่งไท่ซานล้วนแต่ถูกขัดขวางไว้โดยยอดฝีมือแห่งวัดใหญ่ฟ้าคําราม พวกหลวงจีนอาศัยที่ว่าจํานวนคนเยอะกว่า เพื่อล้อมสังหารพวกเขาหลีกเลี่ยงก็แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปและเห็นอาจารย์ยากจน ฉีต้าโหย่ว และผู้เที่ยงแท้เถียนก้าวเข้ามา ในขณะเดียวกัน ยูไลกับเจ้าสํานักเต๋าก็เดินมาใกล้พร้อมกับอุ้มบาตรและแบกกระบี่

ยูไลกล่าวด้วยสีหน้าอบอุ่น “อาจารย์ สหายเต๋าทั้งหลาย ไปช่วยคนอื่นๆ เถิด ปล่อยนี่ให้เป็นหน้าที่ของหลวงจีนเฒ่ากับ นักพรตเฒ่าเอง”

อาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ รับคําจากนั้นไปเข้าร่วมการต่อสู้ใกล้ๆ โดยทันที

ยูไลมองไปที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและกล่าว “ฝ่าบาทเชิญ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฟิงร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อยและปราณมังกรของเขาก็พุ่งกรีดฟ้าอย่างอลังการ เสียงคํารามมังกรกึกก้องมาจากนภากาศและเห็นมังกรแท้วับแวมในหมู่เมฆ มันเหยียดเศียรยื่นกรงเล็บออกมาจากนั้นหัวมังกรอันใหญ่มหึมาก็ก้มลงมามองยูไล

เจ้าสํานักเต๋าเดินเข้ามาและกวัดแกว่งกระบี่เต๋าของเขา แสงกระบี่คลี่คลุมน่านฟ้าและขับไล่มังกรให้ล่าถอย ชายชราผู้นี้จึงเอ่ยชม “ฝ่าบาทนั้นแทบจะเปลี่ยนจากภาพลวงเป็นของจริงแล้ว กลายเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง น่าเสียดายที่สะพานเทวะขาดสะบั้นสิ้นหวัง นักพรตเฒ่าผู้นี้ไร้ประโยชน์และฝึกปรือได้เพียงครึ่งของ 14 กระบวนท่าใน 14 นิพนธ์กระบี่เต๋าในวันนี้ข้าจะใช้นิพนธ์อันขาดพร่องไม่สมบูรณ์มารับประสบการณ์การปกครองอันทรงอํานาจและเปี่ยมด้วยเมตตาของฝ่าบาท”บาตรทองคําของยูไลก็ลอยขึ้นมาและครอบคลุมท้องฟ้า แสงทองกระผีกหนึ่งสาดส่องมา และในรังสีทองคําสายนั้นก็มีทวยเทพและพุทธเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ 20 ชั้น ชั้นบนสุดคือพระพรหม และมีบรรยากาศอันโอ่โถงทรงอํานาจ ยูไลกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะใช้เขตขั้นสูงสุดของพระสูตรมหายานยูไล เพื่อรับประสบการณ์วิชาเก้ามังกรราชันย์ของฝ่าบาท”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!