ตอนที่ 146 : ยุบพองหิวโหย
“สมบัติวิเศษของคีลิงเกอร์มีพลังและคุณสมบัติอย่างไรบ้างคะ”
ออเดรย์ถามด้วยสีหน้าสนใจ
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เธอตระหนักว่าตนเชี่ยวชาญการค้นหาผู้คนภายในเบ็คลันด์
ประการแรก บิดาของเด็กสาวคือผู้ทรงอำนาจลำดับต้นของอาณาจักร มีเส้นสายมากมาย แถมยังมั่งคั่งร่ำรวย ในบรรดาชนชั้นสูงรุ่นใหม่ของอาณาจักรโลเอ็น เธอนับว่ามีชื่อเสียงค่อนข้างมาก การจะตามหาใครสักคนภายในเบ็คลันด์จึงไม่ใช่เรื่องยาก
ประการสอง ออเดรย์มีเพื่อนในเบ็คลันด์เป็นผู้วิเศษสองคน แต่ละคนต่างมีเครือข่ายข้อมูลเป็นของตัวเอง ผู้ฝึกหัดฟอร์สเคยเป็นแพทย์ในคลินิกมาก่อน ปัจจุบันมีอาชีพหลักเป็นนักแต่งนิยาย เส้นสายภายในโลกวรรณกรรมจัดว่ากว้างขวาง รวมถึงแวดวงคุณหมอนายแพทย์ชนชั้นกลาง
ด้านผู้ตัดสิน ซิล·เดียร์ชา ในอดีตเคยสร้างบุญคุณไว้กับกลุ่มชนชั้นกลาง แถมยังเป็นนักไกล่เกลี่ยชื่อเสียงโด่งดังของเขตตะวันออก เคยเจรจาธุรกิจกับมาเฟียหลายกลุ่ม ย่อมมีเครือข่ายข้อมูลด้านมืดมากพอสมควร
หรือต่อให้สองผู้วิเศษไม่มีเส้นสาย ลำพังพลังพิเศษส่วนตัวก็ช่วยให้ตามหาเบาะแสใครสักคนได้ไม่ยาก
เมื่อได้ยินคำถามจากจัสติส อัลเจอร์รีบอธิบายรายละเอียดโดยไม่ลังเล
“ไม่มีใครทราบชื่อจริงของสมบัติวิเศษในมือคีลิงเกอร์ แต่จากประสบการณ์ของบุคคลเคยเผชิญหน้า มันจะถูกว่า ‘ยุบพองหิวโหย’ เงื่อนไขการทำให้ยุบพองหิวโหยพึงพอใจคือ ต้องเซ่นสังเวยดวงวิญญาณและเลือดเนื้อมนุษย์วันละหนึ่งคน หากไม่แล้ว มันจะสูบชีวิตของผู้ถือครองแทน”
“ลักษณะพลังเด่นชัดแบบนี้ คงสะดุดตาไม่น้อยหากตั้งใจค้นหาให้ดี”
ออเดรย์กล่าวพลางขมวดคิ้ว สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ารังเกียจและอึดอัดกับพลังของสมบัติวิเศษ
กลืนกินดวงวิญญาณและเลือดเนื้อมนุษย์เป็นอาหารอย่างนั้นหรือ
“นั่นก็จริง แต่ในเมืองใหญ่ ประชากรร่วมห้าล้านอย่างเบ็คลันด์ หากคนจรจัดหายตัวไปสักคนสองคนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก”
อัลเจอร์ออกปากเตือนว่าไม่ง่าย
“นับตั้งแต่คีลิงเกอร์ได้ครอบครองยุบพองหิวโหย มันก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลอันตรายค่าหัวสูงลิบทันที”
“เดิมที คีลิงเกอร์เป็นเพียง ‘ผู้รับใช้วายุ’ ธรรมดา มีพลังเกี่ยวข้องกับน้ำ กระแสลม และสภาพอากาศ แต่หลังจากมีข่าวลือได้ครอบครองยุบพองหิวโหย มันเริ่มกระตุ้นให้เป้าหมายขาดสติ เข้าฝันเหยื่อ อัญเชิญแสงชำระล้างเพื่อปัดเป่าวิญญาณร้าย ขับขานบทเพลงเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย หรือแม้กระทั่งแปลงโฉมอย่างสมบูรณ์แบบ…ทุกฝ่ายต่างสงสัยว่า พลังแปลกประหลาดของมันคงมีต้นกำเนิดจากสมบัติวิเศษดังกล่าว…”
ขณะอัลเจอร์ยังเล่าไม่ทันจบ เดอร์ริคพลันโพล่งขึ้นหลังจากเงียบงันอยู่นาน
“คนเลี้ยงแกะ!”
คนเลี้ยงแกะ? ลำดับห้าของเส้นทางผู้วิงวอนความลับและผู้สดับอย่างนั้นหรือ
หากจำไม่ผิด เจ้าหนูซันเคยเล่าว่า สภาอาวุโสคนใหม่ของเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นคนเลี้ยงแกะ หล่อนแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับสี่อย่างนักล่าอสูร และสามารถปราบวิญญาณร้ายระดับใกล้เคียงโดยไร้บาดแผล
สีหน้าไคลน์ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ถูกม่านหมอกหนาทึบบดบังไว้ และจัสติสกำลังเพ่งสมาธิไปทางอื่น
“คนเลี้ยงแกะ?”
“คนเลี้ยงแกะ?”
จัสติสและแฮงแมนส่งเสียงประหลาดใจพร้อมเพรียง สีหน้าคนหนึ่งกำลังสับสน ส่วนอีกคนกำลังตกตะลึงสุดขีด คล้ายกับเคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนเลี้ยงแกะมาแล้วก่อนหน้า แต่เป็นเพียงรายละเอียดผิวเผิน
เมื่อเห็นทุกสายตาจับจ้องตน เดอร์ริคเริ่มแสดงท่าทีตื่นตระหนก ไม่ว่าจะมีบุคลิกเงียบขรึมหรือเย็นชาอย่างไร แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก
เดอะซันรีบอธิบายอย่างตะกุกตะกัก
“ผ…ผมหมายถึง คำอธิบายของแฮงแมนตรงกับผู้วิเศษคนเลี้ยงแกะ คนเลี้ยงแกะทุกคนสามารถดูดกลืนดวงวิญญาณเข้าไปในร่าง ไม่เว้นกระทั่งวิญญาณอาฆาตและวิญญาณร้าย พวกเขาจะมีเทคนิคพิเศษสำหรับขู่เข็ญดวงวิญญาณให้กลายเป็นข้ารับใช้ซื่อสัตย์ ความพิเศษของคนเลี้ยงแกะคือ สามารถปลดปล่อยวิญญาณในครอบครองให้เป็นอิสระได้ทีละหนึ่งดวง และหยิบยืมพลังพิเศษของวิญญาณดังกล่าวมาใช้ได้ ลักษณะคล้ายการปล่อยแกะในฟาร์มออกมากินหญ้า ฉะนั้น พวกเราไม่มีทางทราบความแข็งแกร่งแท้จริงของคนเลี้ยงแกะ ขึ้นอยู่กับจำนวนดวงวิญญาณในครอบครอง และความสอดคล้องกันของพลัง ส่งผลให้คนเลี้ยงแกะแข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างมาก ทรงพลังเทียบเท่าผู้วิเศษขั้นสูงเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีการคาดเดาว่า จำนวนวิญญาณในครอบครองของคนเลี้ยงแกะมีขีดจำกัด แต่ก็สามารถสับเปลี่ยนวิญญาณเดิมได้เช่นกัน เหมือนกับการฆ่าแกะตัวเก่าทิ้ง และนำแกะตัวใหม่มาเลี้ยงแทน”
จึงถูกเรียกว่าคนเลี้ยงแกะสินะ…
สมกับเป็นชุมนุมแสงเหนือ เส้นทางผู้วิเศษของพวกมันทั้งลึกลับและชั่วร้าย ไม่แปลกเลยกับการเทิดทูนบูชาพระผู้สร้างแท้จริง…ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ ถึงจะถูก
ไคลน์ได้รับความรู้ใหม่ แต่มันนิ่งเฉยไว้ราวกับทราบมานานแล้ว
ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เพราะเจ้าหนูเดอะซันเล่าข้อมูลเมื่อครู่ให้ทุกคนฟังอย่างง่ายดาย ในความเป็นจริง ข้อมูลดังกล่าวมีมูลค่ามหาศาล สามารถใช้แลกเปลี่ยนวัตถุดิบเลื่อนระดับได้ไม่ยาก
เด็กก็ยังเป็นเด็ก
หลังจากได้ยินคำอธิบายของเดอะซัน อัลเจอร์พยักหน้าเงียบงัน คล้ายกับความคาใจถูกสะสาง
ด้านออเดรย์ยังคงสับสนไม่เลิก
“คนเลี้ยงแกะเป็นผู้วิเศษเส้นทางใดหรือ แล้วอยู่ลำดับเท่าไรกัน”
“เส้นทางผู้วิงวอนความลับ ลำดับห้า”
ไคลน์ฉวยโอกาสตอบ เป็นจังหวะสำคัญสำหรับสร้างภาพลักษณ์น่ายกย่องให้เดอะฟูล
ประธานชุมนุมไพ่ทาโรต์ต้องรอบรู้ทุกสิ่ง!
“ผู้วิงวอนความลับ…ชุมนุมแสงเหนือ?”
ออเดรย์พลันนึกถึงมิสเตอร์ A บุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นหนึ่งในห้านักบุญของชุนนุมแสงเหนือ เมื่อตระหนักว่ามนุษย์ชั่วช้าเช่นนั้นอาศัยใกล้แค่เอื้อม หัวใจพลันกระวนกระวาย
เด็กสาวกำลังครุ่นคิดจริงจัง ว่าต้องจ้างด้วยเงินทองเท่าไร มิสเตอร์ฟูลจึงจะยอมลดตัวลงมาจัดการไอ้เศษสวะนั่นให้พ้นหูพ้นตา
แต่ออเดรย์ทำเพียงคิด ไม่มีเจตนาดึงตัวตนระดับใกล้เคียงเทพลงมาแปดเปื้อนกับมดปลวกเพียงตัวเดียว บุคคลอย่างมิสเตอร์ฟูลคงไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้กระมัง
ออเดรย์ถอนหายใจด้วยสีหน้าดำมืด
จากนั้น เด็กสาวสลัดความคิดฟุ้งซ่าน หันไปผงกศีรษะให้เดอะซันเป็นนัยว่า ขอบคุณสำหรับข้อมูลคนเลี้ยงแกะ เพราะตนได้รับเบาะแสสำคัญเพื่อตามหาตัวคีลิงเกอร์
“มิสเตอร์แฮงแมน ดิฉันจะรับทำภารกิจนี้ แต่ไม่สัญญาว่าจะพบเบาะแสของพลเรือโทแห่งพายุ คีลิงเกอร์ หรือไม่”
ออเดรย์เงยหน้ามองบุรุษฝั่งตรงข้าม
“แค่ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ขอรับประกันว่าจะตอบแทนให้ตามผลงาน ทางเรายินดีรับฟังเบาะแสเล็กน้อยทุกชนิด หรือหากคุณมีส่วนร่วมสำคัญจนนำไปสู่การจับกุม อาจได้รับโอสถนักอ่านใจสำเร็จรูปโดยไม่ต้องเสียเวลาหาวัตถุดิบ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนประเมินรางวัลตอบแทน ผมต้องได้รับเบาะแสจากคุณอย่างเป็นรูปธรรม”
อัลเจอร์ก้มศีรษะขณะกล่าว ออเดรย์ไม่เคยเห็นแฮงแมนนอบน้อมเช่นนี้กับตนมาก่อน
“ตกลงค่ะ”
ออเดรย์ตอบยิ้มแย้ม
ถัดมา อัลเจอร์ขออนุญาตมิสเตอร์ฟูลเพื่อวาดภาพเบาะแสของคีลิงเกอร์ รูปลักษณ์สมกับเป็นหนึ่งในเจ็ดพลเรือโจรสลัดอันโด่งดัง
คางใหญ่เหลี่ยม ผมสีน้ำตาลยาว มัดจุกไว้ด้านหลังคล้ายกับนักรบสมัยอดีต นัยน์ตาเขียวคราม ดวงตาคล้ายกับกำลังเย้ยหยันผู้จ้องมอง ขณะเดียวกันก็แฝงความเย็นชา
หลังจากจบการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทรรศนะ ไคลน์อมยิ้มเล็กๆ พลางประกาศสิ้นสุดการชุมนุม ร่างแฮงแมนและจัสติสเริ่มโปร่งแสงก่อนจะเลือนหาย ส่วนร่างเดอะซันก็เลือนรางในลักษณะเดียวกัน แต่ช้ากว่าเล็กน้อย
เมื่อตัดการเชื่อมต่อกับทุกคน ไคลน์ยังคงไม่ส่งจิตตัวเองกลับโลกจริง
…
เมืองเงินพิสุทธิ์
บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคได้รับการมองเห็นกลับคืน ด้านนอกหน้าต่างยังคงส่องแสงกะพริบอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากพายุสายฟ้า เด็กหนุ่มนั่งเหม่อลอยเช่นนั้นเป็นเวลานาน
เมื่อได้สติกลับมา เดอร์ริครีบมองหาแผ่นกระดาษหนังสำหรับจดบันทึก สูตรโอสถนักขับขานถูกบรรจงเขียนลงไปโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
หลังจากอ่านทบทวนหลายรอบ มันมั่นใจว่าไม่มีส่วนใดผิดพลาด
เดอร์ริคมิได้กังวลว่า การเลือกเดินบนเส้นทางนักขับขานจะทำให้สภาอาวุโสของเมืองเกิดความสงสัย เพราะจากอดีตอันยาวนาน เหล่าหัวกะทิของคณะสำรวจมักแอบขโมยสูตรโอสถ วัตถุดิบวิเศษ รวมถึงสิ่งของมีค่าอีกมากมายจากซากปรักหักพัง จากนั้นก็นำไปขายในตลาดมืด
หากไม่ใช่สิ่งของสำคัญ ทางหัวหน้าทีมสำรวจหรือคณะอาวุโสมักปล่อยผ่าน ไม่ได้เข้มงวดมากนัก
เวลาผ่านไปนานหลายปี สูตรโอสถเส้นทางใหม่ได้กลายเป็นพลังประจำตระกูลของใครหลายคน แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม
หลายตระกูลกำชับให้ลูกหลานเดินบนเส้นทางเดียวกัน เนื่องจากส่งต่อเทคนิคและองค์ความรู้ได้ง่าย
สัตว์ประหลาดในความมืด รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ อยู่ในสภาพไม่เปลี่ยนแปลงมานานหลายสิบถึงหลายร้อยปี ส่งผลให้บรรดาวัตถุดิบโอสถพื้นฐานสามารถหาได้ง่ายจากเขตรอบเมือง แต่ก็มีวัตถุดิบบางโอสถ ต้องหาจากการออกสำรวจระยะไกลเท่านั้น
เด็กหนุ่มวางแผ่นกระดาษหนังลง หัวสมองพลันฉุกคิด ถึงถ้อยคำกำชับจากเดอะฟูล
แท่นบูชาอย่างเรียบง่ายถูกจัดเตรียมสำหรับประกอบพิธีกรรม
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
…
ภาษาคนยักษ์คือหนึ่งในภาษาเก่าแก่ของโลก เปี่ยมด้วยพลังสำหรับประกอบพิธีกรรมและร่ายเวทมนตร์ ฉะนั้น เดอร์ริคไม่จำเป็นต้องดัดแปลงภาษา สามารถใช้คาถาคนยักษ์ท่องหามิสเตอร์ฟูลได้ทันที
…
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”
…
ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้ประธานชุมนุม สายตาเหลือบเห็นดาวแดงตัวแทนเดอะซัน เกิดการกระเพื่อมยุบพองเป็นระยะ
แต่คราวนี้ ชายหนุ่มไม่ได้ยื่นมือออกไปสัมผัสเหมือนทุกที เจตนาปล่อยทิ้งไว้ ค่อยตอบเป็นข้อความกลับไปในภายหลัง ก่อนเริ่มชุมนุมรอบหน้าสักสิบนาที เพื่อให้เดอะซันมีเวลาเตรียมความพร้อมทัน
หากใช้วิธีดังกล่าว ไคลน์สามารถตัดปัญหาเรื่องระยะเวลาไม่ตรงกันออกไป แถมยังเป็นแผนรักษามาดลึกลับของเดอะฟูล ให้เดอะซันเข้าใจไปเองว่า เดอะฟูลสามารถส่งเสียงเรียกหาได้ทุกเมื่อ
หลังจากยืนยันพิธีกรรม ไคลน์ตัดการเชื่อมต่อของตัวเอง ห้วงจิตดำดิ่งกลับสู่โลกปรกติ รอบกายปรากฏภาพห้องนอนและกำแพงวิญญาณ
ชายหนุ่มสลายกำแพงวิญญาณทิ้ง ลากสังขารตัวเดินลงมายังชั้นล่าง
ว่ากันตามตรง ไคลน์ไม่ต้องสวมบทบาทเป็นนักทำนายแล้วก็ยังได้ การเดินทางไปยังสโมสรพยากรณ์เหลือจุดประสงค์เพียงสองข้อ
หนึ่ง เติมเต็มความว่างเปล่าของกระเป๋าสตางค์ และสอง ปฏิบัติภารกิจในฐานะเหยี่ยวราตรี
ด้วยเหตุนี้ แผนการเดิมของไคลน์คือนอนแผ่หลาบนเตียงอย่างสบายใจจนถึงช่วงเย็น แต่กลับฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน จึงต้องนำพาตัวเองออกจากบ้านอย่างไม่มีทางเลือก
จากข้อตกลงกับนักสืบเอกชนเฮนรี มันมีกำหนดการแวะไปตรวจสอบความคืบหน้าของอีกฝ่าย และหากคดีปล่องไฟสีแดงจบลง ก็ต้องจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายให้ลุล่วง
เฮ่อ…ได้ยินว่านักธุรกิจประสบความสำเร็จมักไม่มีเวลาว่างให้ตัวเอง คงจะจริงสินะ
ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังต้องหาเวลาว่างสำหรับเดินทางไปเลือกจ้างสาวใช้ประจำบ้าน พร้อมเบ็นสันและเมลิสซ่า
ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไม่เต็มใจนัก ชุดทักซิโด้ราคาแพงถูกหยิบมาสวม รวมถึงหมวกทรงกึ่งสูงและไม้ค้ำเลี่ยมเงิน
นักทำนายไคลน์เดินทางออกจากบ้านด้วยมาดสุภาพบุรุษ
ณ ถนนเบซิก
ก่อนถึงสำนักงานนักสืบเอกชนเฮนรี ชายหนุ่มรีบสวมผ้าปิดปาก ดึงหมวกลงปิดหน้า และเดินข้ามถนนไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม
เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดดังกังวาน
……………………