Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1412

ตอนที่ 1412

เหยื่อ

ก่อนหน้านี้เมื่อเกราะป้องกันพุ่งกระจายออกไปอยู่รอบๆ ดาวชางหมาง หญิงสาวเยาว์วัยที่ไม่ค่อยฉลาดนัก ก็รีบรวบรวมสิ่งของและซากศพทั้งหมด รวมทั้งเมิ่งฮ่าวใส่เข้าไปในถุงสมบัติของตนเอง นางกระทำด้วยความรวดเร็วจนน้องชายไม่มีเวลาที่จะขัดขวางได้

ในความคิดที่เรียบง่ายของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเก็บรวบรวมมามีคุณค่าที่จะต้องรักษาไว้ แต่นางก็เกรงกลัวว่าผู้คนอาจจะดูถูกที่เก็บรวบรวมสิ่งของจิปาถะมามากมาย ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เกิดเป็นปัญหาเมื่อต้องพูดถึงสัญญาวิวาห์

เมื่อได้เห็นลำแสงจำนวนมากใกล้เข้ามา หญิงสาวเยาว์วัยก็ตื่นเต้นขึ้นเป็นอย่างมาก รีบจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และแสดงสีหน้าเย่อหยิ่งออกมา จากนั้นก็มองกลับไปยังน้องชายที่กำลังวิตกกังวล จ้องเขม็งไปและกล่าวว่า “เชิดหน้ายืดอก! จดจำไว้ เจ้าคือทายาทของตระกูลอวิ๋น!”

ไม่มีเวลาที่จะพูดอะไรอีก ขณะที่ลำแสงพุ่งมาด้วยความรวดเร็ว และมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้ายานบินของคนทั้งสอง

ผู้นำคือชายชราที่สวมใส่ชุดยาวสีม่วงทอง มีเส้นผมที่ยาวและขาวโพลน หน้าตาสูงส่งสง่าราวกับเซียนผู้วิเศษ พร้อมกับดวงตาที่สาดประกายราวกับเป็นสายฟ้า มองไปยังพี่สาวน้องชายทั้งคู่ กวาดมองไปยังบุรุษหนุ่มเพียงชั่วขณะ ก่อนที่จะเพ่งมองไปยังหญิงสาวเยาว์วัยด้วยความสนใจ จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

ด้านหลังมันเป็นผู้ฝึกตนนับหมื่น คนทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง แทบจะราวกับว่าพวกมันกำลังมาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง

แรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาจากผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังทั้งหมดเหล่านั้นช่างน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าพวกมันจะเก็บกักพลังของตนเองไว้ แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็ยังคงสั่นสะท้าน

และคนทั้งหมดที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันเหล่านั้น บุรุษหนุ่มที่อยู่บนยานบินกำลังสั่นสะท้าน จนแทบไม่อาจจะยืนตัวตรงได้ โลหิตของมันกำลังเดือดพล่าน รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะระเบิดออกไป

เท่าที่เห็นถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ปลดปล่อยพลังออกมามากกว่านี้ ร่างของบุรุษหนุ่มผู้นี้ และผู้ฝึกตนอื่นๆ อีกมากมายในบริเวณนั้น คงจะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ตกตายไปในทันที

พี่สาวของมันดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกัดฟันแน่น สั่นสะท้านไปทั้งร่างและจิตใจ แต่ดูเหมือนว่านางจะยังคงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่า…นางไม่เห็นประกายดุร้ายในแววตาของผู้แข็งแกร่งจากชางหมางพ่ายเหล่านี้

นางประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ กล่าวว่า “ข้าคืออวิ๋นซานแห่งตระกูลอวิ๋น นี่คือทายาทในตอนนี้ของตระกูล, อวิ๋นฟง ขอน้อมพบผู้อาวุโสทั้งหมดแห่งชางหมางพ่าย!” จากนั้นนางก็รีบหยิบเอาเหรียญแสดงตัวตนของตระกูลอวิ๋นออกมา และชูสูงขึ้นไปเหนือศีรษะ

อวิ๋นฟงที่อยู่ด้านหลังประสานมือและโค้งตัวลงด้วยความวิตกกังวล กำลังแอบก่นด่าอยู่ในใจ

ดวงตาของผู้แข็งแกร่งจากชางหมางพ่ายสาดประกายขึ้นเพื่อตอบรับคำพูดของอวิ๋นซาน ชายชราที่เป็นผู้นำขมวดคิ้ว มองไปยังหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าอวิ๋นซานอย่างละเอียดมากขึ้น สายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ถุงสมบัติของนาง ไม่สนใจเหรียญแสดงตัวตนนั้นโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ก็กล่าวว่า “ตระกูลอวิ๋น…”

ตลอดช่วงเวลานั้นสายตาของมันเพ่งนิ่งไปยังถุงสมบัติของนาง ราวกับว่าสามารถจะมองทะลุเข้าไปเห็นเมิ่งฮ่าวอยู่ข้างในได้จริงๆ หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะดวงตาก็สาดประกายขึ้น ส่ายหน้าไปมาและหัวเราะขึ้นในทันที

“ปลดผนึกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ยืดขยายเส้นทางดวงดาว ส่งคำสั่งไปยังศิษย์หนึ่งล้านคน ให้เปิดเส้นทางสวรรค์ เพื่อต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติ!”

เห็นได้ชัดว่าเมื่อชายชราผู้นี้กล่าวออกมา คำพูดของมันต้องถูกปฏิบัติตามราวกับเป็นกฎที่เคร่งครัด ผู้แข็งแกร่งทรงพลังอื่นๆ แห่งชางหมางพ่ายก้มศีรษะลง ขณะที่เสียงกระหึ่มจู่ๆ ก็ดังก้องออกไปทั่วทั้งดาวชางหมาง อย่างน่าตกใจยิ่งยักษ์สองตนปรากฏตัวขึ้น แบกดวงดาวที่เปล่งแสงอันเจิดจ้าอยู่บนไหล่ขณะที่ก้าวเดินตรงมา แสงนั้นเริ่มก่อตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเส้นทาง

เวลาเดียวกันนั้น ลำแสงจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังยักษ์ทั้งสอง ผู้ฝึกตนนับล้านปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งหมดนั้นใส่เครื่องแบบของศิษย์ชางหมางพ่าย ยืนเรียงแถวอยู่สองฟากข้างของเส้นทางแห่งดวงดาว เมื่อเป็นเช่นนั้น…เส้นทางสวรรค์ก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นแนวเส้นตรงพร้อมกับศิษย์นับล้าน

ผู้ฝึกตนเร่ร่อนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ถึงแม้ว่าในท่ามกลางพวกมันจะมีอยู่บางคนที่ไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเสียงระฆังเจ็ดครั้ง แต่คนทั้งหมดต่างก็รับรู้ได้ถึงความหมายของดาวชางหมางที่ถูกปลดผนึกออกเช่นนั้น พร้อมกับแสงแห่งดวงดาวที่กระจายออกมาจากยักษ์ทั้งสอง รวมทั้งศิษย์หนึ่งล้านคนที่รวมตัวกันเพื่อสร้างเป็นเส้นทางขึ้นมา

“นั่นคือพิธีการต้อนรับอันทรงเกียรติมากที่สุดของชางหมางพ่าย!”

“นานมาแล้วที่ไม่เคยเห็นชางหมางพ่ายจัดพิธีเช่นนี้มาก่อน เจี่ยตี้ (พี่สาวน้องชาย) สองคนนั้นมาจากไหนกันแน่?!”

“ศิษย์หนึ่งล้านคนรวมตัวกันเป็นเส้นทาง…ชางหมางพ่ายกำลังจัดพิธีให้กับใครบางคนที่ไม่ธรรมดาอย่างน่าเหลือเชื่อ!!” คนทั้งหมดสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง

“เชิญ!” ชายชราในชุดยาวสีม่วงทองกล่าวขึ้น โบกสะบัดชายแขนเสื้อและก้าวเดินไปอยู่ด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ ออกมา แต่สายตาจ้องนิ่งไปยังถุงสมบัติของอวิ๋นซาน ผู้แข็งแกร่งอื่นๆ แห่งชางหมางพ่ายมองไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะก้าวไปด้านข้างด้วยเช่นกัน เปิดเป็นเส้นทางของแสงแห่งดวงดาวที่กำลังยืดยาวออกไปอย่างไร้ขอบเขต อยู่ตรงเบื้องหน้าของยานบิน

ดวงตาของอวิ๋นซานเบิกโพลงขึ้นราวกับเป็นลูกหนัง ขณะที่จ้องมองไปยังภาพที่เบื้องหน้า เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น แม้แต่ในความฝันก็ตามที แต่ภาพนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าตนเอง ถึงแม้ว่านางจะโง่เขลา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย

“ในอดีตที่ผ่านมาตระกูลอวิ๋นช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ? ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลที่ตกต่ำเช่นพวกมัน…จะทำให้ชางหมางพ่ายต้องจัดพิธีเช่นนี้ขึ้นมา” นางกล่าวขึ้นกับน้องชาย

“อืม ข้าเดาว่าตระกูลอวิ๋นต้องมีความลับ ที่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนอยู่มากมาย หลังจากนี้ข้าคงต้องใช้หินลมปราณเพิ่มขึ้นเพื่อตรวจสอบพวกมันให้มากกว่านี้” แน่นอนว่าความคิดของนาง ทำให้ได้ข้อสรุปที่แปลกๆ นี้ขึ้นมาเหมือนเช่นเคย มีท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ก้าวเดินไปบนเส้นทางนั้นในทันที

นางวางท่าเดินไปเหมือนเช่นเคย พูดคุยกับน้องชายเป็นระยะ

“ตามข้ามา เชิดหน้าขึ้นด้วย อย่าลืมว่าพวกเรามาจากตระกูลอวิ๋น และเจ้าก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล!”

“เสี่ยวตี้มาดูกันว่าชางหมางพ่าย จะให้ความสำคัญกับพวกเราอย่างไร? ฮา ฮา ฮา!” ถึงแม้ว่าอวิ๋นซานจะรู้สึกวิตกกังวล แต่ดวงตาก็ยังคงสาดประกายเจิดจ้า และขณะที่นางเดินไป ศิษย์แห่งชางหมางพ่ายก็โค้งตัวลงด้วยความเคารพ สำหรับผู้ฝึกตนเร่ร่อนที่ถูกตรึงแน่นอยู่กับที่เมื่อครู่นี้ ต่างก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากมองไปด้วยความอิจฉา ขณะที่นางเดินเข้าไปยังดาวชางหมาง

น้องชายที่เดินอยู่ด้านหลัง มีความวิตกมากขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งแปลกๆ กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันตระหนักว่าแม้แต่ตรวจสอบดูเหรียญแสดงตัวตนของตระกูลอวิ๋น ชางหมางพ่ายก็ยังไม่ยอมทำ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อสรุปของพี่สาวมันแม้แต่น้อย

แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้กับสถานการณ์ในตอนนี้ ชายชราในชุดยาวสีม่วงทองติดตามมาทางด้านหลังไม่ไกลนัก และด้านหลังมันก็เป็นผู้แข็งแกร่งทรงพลังนับหมื่นแห่งชางหมางพ่าย

หนังศีรษะอวิ๋นฟงเริ่มด้านชา เดินตามหลังพี่สาวด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ติดตามมาด้วยกองกำลังแห่งชางหมางพ่ายอย่างใกล้ชิด มันเริ่มคิดขึ้นว่า “นี่…นี่ไม่ใช่พิธีการต้อนรับ นี่คือ…การควบคุมตัวนักโทษ!”

คนทั้งหมดเดินผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ในที่สุดก็บรรลุถึง…ดาวชางหมาง!

ดาวชางหมางมีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง กว้างใหญ่จนไม่อาจจะมองเห็นจุดสิ้นสุดของอีกฝั่งได้ ตำแหน่งที่คนทั้งหมดไปถึงก็คือดินแดนอันไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยภูเขา มีมากกว่าหนึ่งล้านลูก และยังมีอีกมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้กลุ่มหมอกและก้อนเมฆ กระจายออกไปในทั่วทุกที่

มีวิหารมากมายตั้งอยู่บนยอดเขา ทำให้สถานที่แห่งนั้นทั้งหมดให้ความรู้สึกว่าเป็นสำนักที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ยอดเขานับล้านถูกเชื่อมต่อกันด้วยสะพานนับไม่ถ้วน ทำให้มองเห็นอาณาเขตของชางหมางพ่ายได้อย่างง่ายดาย!

ในทันทีที่อวิ๋นซานและอวิ๋นฟงผ่านเข้าไปบนดวงดาว ก็มองเห็นภูเขานับล้านเหล่านั้น และจิตใจก็เริ่มหมุนคว้าง ห่างออกไปที่ด้านข้าง ชายชราในชุดยาวสีม่วงทองยิ้มออกมาและเริ่มอธิบายขึ้นว่า

“ดาวชางหมางมีตระกูลผู้ฝึกตนอยู่มากมาย แต่เมื่อพูดถึงสำนักแล้ว…ก็มีแค่ชางหมางพ่ายเท่านั้น! จริงๆ แล้วที่ตระกูลทั้งหมดเหล่านั้นยังคงอยู่ได้ก็เนื่องมาจากชางหมางพ่ายเท่านั้น”

“ชางหมางพ่ายคือรากฐานของดาวชางหมางทั้งมวล และพวกเราก็มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ทั้งหมดแปดวิหาร สิ่งปลูกสร้างที่เจ้ากำลังมองไปในตอนนี้คือวิหารที่แปด”

“สำหรับอาณาเขตของสำนัก ทุกสรรพสิ่งภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้เป็นของพวกเรา!”

“แต่สำนักที่แท้จริงอยู่ด้านในของดาวชางหมาง จริงๆ แล้วดาวดวงนี้ด้านในกลวง นอกจากนั้น…ที่ด้านในก็มีขนาดใหญ่โตกว่าด้านนอกมากนัก นั่นคือแกนที่แท้จริงของชางหมางพ่าย”

สองพี่น้องต้องอ้าปากค้างขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเสียงของชายชราดังก้องออกมา คนทั้งสองมองเห็นภูเขานับไม่ถ้วน มองเห็นเจดีย์และวิหารเป็นจำนวนมาก มองเห็นผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนกำลังบินไปมา ตอนแรกพวกมันคิดว่าสิ่งที่กำลังมองเห็นอยู่นี้คือชางหมางพ่ายทั้งหมด แต่ตอนนี้ก็ตระหนักว่าเป็นเพียงแค่…ส่วนเล็กๆ เท่านั้น

นี่คือหนึ่งในแปดของวิหารด้านนอกเท่านั้น

“ถ้าวิหารด้านนอกยังเป็นเช่นนี้ ก็พอจะคาดคิดได้ว่าแกนด้านในที่อยู่ใต้พื้นดินนี้จะน่าประหลาดใจสักเพียงใด…” อวิ๋นฟงคิดพร้อมกับหอบหายใจออกมา เป็นครั้งแรกที่แววตาอันแน่วแน่ปรากฏขึ้นในดวงตาของมัน

แม้ในขณะที่บุรุษหนุ่มกำลังสั่นสะท้าน จู่ๆ พี่สาวก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา

“ไม่เลว ไม่เลว ชางหมางพ่ายสมกับมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นกลุ่มเต๋าอันสูงสุดอย่างแท้จริง ตระกูลอวิ๋นเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ถึงแม้ว่าใบหน้านางจะซีดขาวเล็กน้อย แต่ก็พยายามทำเป็นไม่ค่อยประทับใจเท่าใดนัก แต่เสียงของนางก็ทำให้จิตใจของน้องชายที่กำลังเต้นรัว ต้องปวดศีรษะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ชายชราในชุดยาวสีม่วงทองหัวเราะเป็นเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยค ซึ่งประกอบไปด้วยพลังที่ทำให้อากาศในบริเวณนั้น จู่ๆ ก็หยุดชะงักนิ่งไม่ไหวติงไปโดยสิ้นเชิง

“ตอนนี้งานพิธีก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว สำนักก็มาพร้อมหน้ากันแล้ว สิ่งที่ควรพูดเหล่าฟูก็พูดออกไปแล้ว สหายเต๋า ถึงเวลาที่ต้องมาพบหน้ากันแล้ว!”

ดวงตาของชายชราสาดประกายขึ้น ขณะที่จ้องนิ่งไปยังถุงสมบัติของอวิ๋นซาน

เวลาเดียวกันนั้น เสียงกระหึ่มก็ได้ยินมา และสายลมอันทรงพลังก็พุ่งขึ้นไป ขณะที่ค่ายกลเวทจำนวนมากก่อตัวขึ้นมา ศิษย์นับล้านหมุนวนออกไปทั่วในอากาศ เรียงตัวกันเป็นค่ายกลเวทขนาดใหญ่

ผู้แข็งแกร่งทรงพลังนับหมื่นขยายตัวออกไปทั้งสองข้างของชายชราชุดม่วงทอง ปลดปล่อยพลังออกมาจนทำให้ท้องฟ้ามืดสลัวลงไป และทุกสรรพสิ่งก็สั่นสะท้านไปทั่ว

ที่ด้านล่างลงไป กลิ่นอายนับไม่ถ้วนปะทุออกมาจากภูเขานับล้าน ทำให้สถานที่แห่งนั้นทั้งหมดดูเหมือนกับเป็นนรกโลกันต์!

พลังที่ปะทุขึ้นมานั้นทำให้อวิ๋นฟงต้องกระอักโลหิตออกมา ขณะที่ถอยโซเซไปทางด้านหลังจนแทบจะหมดสติไป พี่สาวจ้องมองไปด้วยความตื่นตระหนก และกระอักโลหิตออกมาด้วยเช่นกัน ใบหน้ากลายเป็นขาวซีด เต็มไปด้วยความรู้สึกที่สับสนและตกใจ

นางมองไปรอบๆ ยังผู้ฝึกตนทั้งหมดที่กำลังกระจายพลังอันแข็งแกร่งออกมา และตระหนักว่าไม่เคยเห็นผู้แข็งแกร่งมากมายมารวมตัวกันในที่แห่งเดียวเช่นนี้มาก่อน

“ผู้อาวุโส, ท่าน…” นางกล่าว บังคับให้ตนเองเปล่งคำพูดออกมา

แน่นอนว่าชายชราชุดม่วงทองไม่ได้ระมัดระวังตัวมากจนเกินไปนัก มันสามารถจะสังหารพี่น้องคู่นี้ด้วยความคิดเพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะมันก็ขมวดคิ้ว เมื่อพิจารณาถึงระดับพื้นฐานฝึกตนและอายุของมัน จึงมีความเชี่ยวชาญในการตัดสินบุคลิกของแต่ละคน และรับรู้ได้ว่าผู้คนกำลังเสแสร้งอยู่หรือไม่ เท่าที่เห็นพี่น้องคู่นี้ไม่รู้ว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้นอยู่จริงๆ

จิตใจของชายชราสั่นสะท้าน ยื่นมือขวาออกไปทำท่าคว้าจับ ทำให้ถุงสมบัติของอวิ๋นซานลอยตรงมา แต่แทนที่จะคว้าจับไว้ มันแค่โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไปเท่านั้น

เสียงปังดังก้องขึ้น เมื่อถุงสมบัติเปิดออกมาในทันที ทำให้สิ่งของนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายออกไปในทั่วทุกที่ รวมทั้งซากศพด้วยเช่นกัน…

ดวงตาของชายชราสาดประกายขึ้น ไม่สนใจสิ่งของจิปาถะต่างๆ จิตใจสั่นสะท้านขณะที่สายตาเพ่งมองไปยังซากศพซากหนึ่งเป็นพิเศษ!

ในทันทีที่มันมองเห็น ดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!