ตอนที่ 32
ชินอ๋อง
ภายในอาณาเขตของแคว้นต้าหลี่ในส่วนของสถานที่โล่งแจ้งกว้างขวางด้านหลังของพระราชวังต้าหลี่นั้น
บัดนี้ปรากฏภาพของขบวนเหล่าทหารกล้าแต่งกายเต็มยศสวมชุดเกราะหนักพร้อมด้วยอาวุธในมือกำลังยืนตัวตรงอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าของสตรีนางหนึ่ง
สตรีนางนั้นแต่งกายด้วยชุดสีเข้มในตำแหน่งแม่ทัพหญิงอย่างงามสง่าทรงพลัง ใบหน้าแม้งดงามอ่อนหวานแต่ท่วงท่าของนางช่างน่าเกรงขามดั่งนางพญา
นางกำลังยืนนิ่งๆเพื่อประเมินความพร้อมของเหล่าทหารกล้าทั้งหลายด้วยดวงตางดงาม วงคิ้วเรียวสวย
ริมฝีปากได้รูปของนางยกยิ้มตรงมุมปากด้วยมาดนิ่งขึงไม่มีล้อเล่น
เจินเจินในยามนี้
นางพร้อมแล้ว…
นางพร้อมแล้วที่จะเดินทางไปสร้างอาณาจักรของตนเอง
นางเพียรพยายามวางแผนมานาน จนลืมไปหาหมอ จนแล้วจนรอดนางก็ยังมิได้ไปหาหมอ
แม้ว่านางจะรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่เมื่อนางนึกถึงอาณาจักรที่นางต้องการจะสร้าง เลือดในกายพลันสูบฉีดทะลุทะลวง จนเรี่ยวแรงก่อกำเนิดอย่างล้นปรี่
“ทหารกล้าทั้งหลาย” เจินเจินตวาดเสียงหวานดังก้อง
“พร้อมหรือไม่” จบคำของหญิงสาวเสียงหอกกระแทกพื้นดังสนั่นเป็นจังหวะ เสียงดาบกระทบกับโล่โลหะดังกระหึ่มตอบรับกันอย่างพร้อมเพียงจากบรรดาเหล่าทหารที่องค์ชายน้อยหลี่หงจินหยางให้หยิบยืม ตามด้วยเสียงครางกระหึ่มกังวานจากเหล่าสมุนตัวโตในอาณัติของพรรคมารที่แฝงตัวอยู่โดยรอบพลันดังตาม
“เพื่ออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ เพื่อลูกหลานที่กำลังเติบโต เพื่อพวกเราทุกคน!” เจินเจินยังคงส่งเสียงคำรามดังกึกก้องเพื่อปลุกใจเหล่าลูกน้องของตน
“เพื่อเกียรติยศอันเกริกไกร ไป!!” จบคำหญิงสาวจึงเตรียมตัวพุ่งทะยานขึ้นนั่งบนหลังอาชาตัวใหญ่อย่างสวยงาม
วูบ!
พลันเสียงลมพาดผ่านใบหู
ตามด้วยร่างนุ่มนิ่มของเจินเจินถูกโอบอุ้มก่อนจะถึงหลังม้า
“เจ้ากำลังทำอะไร” ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูเอ่ยออกมาอย่างขัดเคือง
เจินเจินถึงกับงุนงงกระพริบตาปริบๆเมื่อตกอยู่ในวงแขนกำยำของหลี่เซียวเหยา
หลี่เซียวเหยานั้น หลังจากจัดการกับหลิงอวิ๋นด้วยวิธีการนุ่มนวลมิให้ต้องกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นต้าหลี่กับเสด็จพ่อที่แคว้นหลี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายังต้องคอยดูแลมารดาที่ป่วยอยู่
ซึ่งต่อมาเขาได้รับรู้ความจริงว่ามารดาของเขาถูกพิษชนิดหนึ่งจึงเพียรพยายามหายาถอนพิษมาให้มารดา จนไม่มีเวลาไปหาเจินเจิน
มิคาดว่า เจินเจินของเขากำลังคิดการใหญ่ โดยการจะไปสร้างอาณาจักรเพื่อที่นางกับเขาจะได้ปกครองด้วยกัน เพื่อลดช่องว่างของฐานันดรระหว่างเขากับนาง
แน่นอนเขาย่อมเห็นด้วย
มารดาของเขายิ่งเห็นด้วย
แต่….
แต่ว่านางกำลังตั้งครรภ์
นางกำลังมีลูกน้อยอยู่ในท้อง
นางจะไปทำการใหญ่อย่างนี้ได้อย่างไร
ถ้านางกับลูกเป็นอะไรไป
แล้วเขาจะอยู่ได้อย่างไร
“มันใช่หรือไม่” หลี่เซียวเหยายังคงเอ่ยเสียงดุไปทางสตรีในอ้อมแขน
เขายังคงเอ่ยต่อโดยไม่สนใจใคร “ข้าจะพาเจ้าไปเปลี่ยนชุด”
“หา!” เจินเจินถึงกับขมวดคิ้วอุทานอย่างพิศวง ขณะถูก หลี่เซียวเหยาอุ้มตัวลอยเดินไปตามทาง
เหล่าทหารที่ยืนอยู่เต็มขบวนและเหล่าสมุนที่แฝงตัวอยู่เต็มพื้นที่เพียงมองตามอย่างงุนงงเงียบกริบ
เพียงไม่นานต่อมา หลังจากที่เจินเจินถูกหลี่เซียวเหยาโอบอุ้มพาเข้ามายังตำหนักแล้ว
นางก็ถูกเหล่าผู้คนมากมายรุมล้อมพาอาบน้ำขัดเนื้อขัดตัวเพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์จากชุดเกราะสีเงินและชุดคลุมสีเข้มให้กลายเป็นชุดสีแดงมงคลตามด้วยผ้าคลุมปิดหน้าต่อด้วยถูกยกขึ้นเกี้ยวหลายคนหาม
และมาสุดทางที่มีหลี่เซียวเหยายืนรออยู่ด้วยชุดสีแดงมงคลไม่ต่างกัน โอบล้อมด้วยเหล่าสหายและลูกน้องคนสนิท
เบื้องหน้าสูงขึ้นไปมีฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน ฮองเฮาหงเหม่ยหลง และเซียงหวงกุ้ยเฟยมารดาของหลี่เซียวเหยา นั่งกันอยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอบอุ่น
อา…
นี่ใช่งานแต่งงานหรือไม่
งานแต่งงานของ…
หลี่เซียวเหยาในชุดเจ้าบ่าวรีบเดินอย่างงามสง่าเข้าไปประคองร่างระหงของเจินเจินในอาภรณ์สีมงคลพลางกระซิบ
“ข้าแอบเตรียมการเพื่อเจ้ากับลูกของเรา”
“หา!” เจินเจินยังคงอุทาน สมองของนางเริ่มคิดสิ่งใดไม่ออกอีกแล้ว
หลายวันมานี่นางมัวแต่คลุกอยู่กับเหล่าแม่ทัพและหัวหน้าเหล่าสมุนเพื่อเตรียมแผนการไปถล่มเมืองรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างอาณาจักรโดยไม่รู้เอาเสียเลยว่า หลี่เซียวเหยาของนางกำลังเตรียมงานแต่งงานให้นางอยู่
แต่…
เดี๋ยวนะ
เขาเตรียมงานแต่งงานนี้เอาไว้ให้นางกับใครนะ
กับลูก
ลูกของเรา
หือ!?
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เจินเจินเอ่ยถามออกมาอย่างโง่งมไม่สร่างซาผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดง “ลูกของเรารึ”
ครานี้เป็นหลี่เซียวเหยาบ้างที่งุนงง
“อะไรของเจ้า” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ยามนี้ เช่นนั้นแล้ว งานแต่งงานก็ต้องทำเพื่อเจ้าและลูกของเราในคราวเดียวกัน”
“ข้ารึ” เจินเจินอุทานออกมาอีก “ข้าตั้งครรภ์รึ”
“อะไรของเจ้า” หลี่เซียวเหยาเริ่มฉุนเฉียว
“มานี่เลย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดุขณะประคองกอดเจินเจินให้รีบเดินเข้ามาเพื่อทำพิธีแต่งงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นางกำลังจะบิดพลิ้วหาเรื่องเบี่ยงเบนเล่นตัวไม่ยอมแต่งงานกับเขาอีกแล้ว ฮึ่ม!
หลี่เซียวเหยานึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจขณะพาร่างบางให้เดินเข้ามาตรงด้านหน้าของผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาว
ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินและฮองเฮาหงเหม่ยหลงเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว และมารดาของเขาย่อมเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว
แม้พิธีแต่งงานจะเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่สมเกียรติแต่ยังคงเป็นไปแบบรวบรัดเพราะหลี่เซียวเหยาไม่อยากเสียเวลาให้เนิ่นนานมากไปกว่านี้อีกแล้ว
โดยบรรยากาศในงานนั้นตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่นอย่างท่วมท้น เรียกรอยยิ้มของทุกผู้คนได้อย่างชื่นมื่นถ้วนหน้า
ยามนี้มารดาของหลี่เซียวเหยายอมรับเจินเจินแบบเต็มหัวใจ นางแอบสังเกตการกระทำและความเป็นไปของเจินเจินมาโดยตลอดหลังจากที่หายจากพิษร้ายอย่างดีแล้ว นางไม่แปลกใจแต่อย่างใด ว่าทำไมหลี่เซียวเหยาถึงได้ตกหลุมรักเจินเจิน
และแล้วเวลาแห่งพิธีการต่างๆก็ได้ผ่านและลุล่วงไปได้เป็นอย่างดี
ทุกฝ่ายต่างส่งยิ้มให้กันและกันอย่างรื่นรมย์เปรมปรีดิ์
เมื่อถึงเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอจนกระทั่งเสร็จสรรพลำดับสุดท้าย เจินเจินจึงได้มีโอกาสพูดคุยเพียงลำพังกับหลี่เซียวเหยา
“ท่านบอกว่าข้ากำลังตั้งครรภ์รึ” เจินเจินยังคงติดใจเรื่องสำคัญ
นางกำลังตั้งครรภ์ กำลังจะมีลูก นางไม่คาดคิดมาก่อนเลย
หลี่เซียวเหยาที่กำลังเปิดผ้าคลุมหน้าของเจินเจินออกตามพิธีการถึงกับชะงักงัน
ชายหนุ่มถึงกับหรี่ตามองอย่างไม่สบอารมณ์ยามเอ่ย
“มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะเล่นตัวเพื่อประโยชน์อันใด”
เจินเจินยังคงขมวดคิ้วเรียวสวยของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางกำลังตั้งครรภ์หรอกหรือ ความผิดปกติก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางกำลังตั้งครรภ์นี่เอง ทำไมนางถึงคาดไม่ถึงกันนะ
“อา… ข้าอยากไปหาหมอ” หญิงสาวกล่าวออกมาพลางลุกขึ้นเพื่อเดินไปทางประตูห้องหอ
หลี่เซียวเหยาเห็นหญิงสาวลุกขึ้นพรวดพราดทำท่าจะออกจากห้องหอในคืนแรกของการแต่งงานจึงรีบดึงมือของนางเอาไว้ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เจินเจิน…”
“หืม…” เจินเจินขานรับเสียงเนือยเพราะกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง นางกำลังโง่งมที่สุดในชีวิต
หลี่เซียวเหยาเริ่มแปลกใจกับกิริยาของเจินเจิน เขาจึงดึงร่างบางของนางให้ลงนั่งบนตักแข็งแกร่งของเขา
“อย่าบอกนะว่า เจ้าไม่รู้จริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มใส่หน้าหญิงสาวที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่น เขาจึงยกนิ้วมือขึ้นมากดตรงหว่างคิ้วของนางเพื่อให้มันคลายตัวเองออก
“มิน่าเล่า ข้าจึงรู้สึกว่าร่างกายของข้ามันแปลกๆ อีกทั้งพวกของเสี่ยวเหมยมักจะวนเวียนนำยามากมายมาให้ข้าดื่ม ข้ามัวแต่ห่วงเรื่องวางแผนจึงไม่ได้ไปหาหมอเสียที ข้าผิดเอง”
เจินเจินกล่าวออกมาอย่างรู้สึกผิดมหันต์พลางยกมือเรียวงามของตนขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองขณะซุกซบอยู่ตรงแผงอกของหลี่เซียวเหยา
นางยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแว่วหวาน “ข้าขอโทษ เซียวเหยา ข้าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย” กล่าวจบน้ำตาก็พลันร่วงริน นางร้องไห้อีกแล้ว ช่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาเสียเลย ร้องไห้ได้ตลอดสิน่า
หลี่เซียวเหยาก้มหน้ามองสตรีในอ้อมแขนอย่างนึกเอ็นดูอย่างมากมายเหลือคนา
นางมัวแต่ห่วงเรื่องของเขา จนละเลยตนเองถึงเพียงนี้ เขาเองที่เป็นสามีและพ่อที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลไม่เปลี่ยนแปลง
“เรื่องสร้างอาณาจักรข้าจะจัดการเอง เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกของเราที่กำลังจะเกิดมา”
ประโยคนั้นของหลี่เซียวเหยายิ่งเพิ่มปริมาณน้ำตาให้ไหลออกมาอาบแก้มนวลของเจินเจิน
หญิงสาวถึงกับเม้มริมฝีปากได้รูปเอาไว้แน่นจนแก้มป่องพองแดงเปล่งปลั่งออกมา
“ลำบากท่านแล้ว” เจินเจินเปล่งเสียงอู้อี้อยู่ตรงแผงอกของหลี่เซียวเหยาขณะซุกซบกดใบหน้างามอยู่อย่างนั้นพลางกอดกระชับชายหนุ่มอย่างรักใคร่
“ลำบากท่านแล้ว…เซียวเหยา”
“ข้ายอม…เพื่อเจ้า” หลี่เซียวเหยากล่าวเสียงเบาขณะกดริมฝีปากลงบนเรือนผมดาขลับของนางอย่างรักใคร่ไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มหญิงสาวยังคงประคองกอดกันอย่างนัวเนียคลอเคลียจากโต๊ะจนกระทั่งถึงเตียงนอน
แม้จะมิได้ทำสิ่งใดรุกล้าล่วงเกินที่อาจจะกระทบกระเทือนต่อเด็กในครรภ์
แต่ทั้งสองกลับสุขสมอารมณ์หมายด้วยไออุ่นจากกันและกันที่มอบให้แก่กันอย่างต่อเนื่อง
หลี่เซียวเหยายังคงโอบกอดเจินเจินเอาไว้อย่างแนบแน่นพลางก้มหน้าลงเพื่อหอมแก้มซ้ายขวาของเจินเจินก่อนจะจับกดศีรษะของนางไว้ตรงซอกคอบนแผงอกของเขา ฝ่ามือร้อนลวกของเขายังคงลูบแผ่นหลังให้นางอย่างต้องการกล่อมนางให้หลับไหลไปอย่างฝันดี
เพียงไม่นานเจินเจินก็หลับไหลไปอย่างว่าง่ายภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่น กลิ่นกายของหลี่เซียวเหยาช่างเป็นอะไรที่ทำให้นางหลับตาลงได้อย่างสบายอกสบายใจ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่เจินเจินได้ฝันร้ายและนอนร้องไห้จนหลี่เซียวเหยาต้องตื่นขึ้นมากล่อมนางให้หลับอยู่พักใหญ่
ในวันนั้นหลี่เซียวเหยาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินพระเชษฐาของตนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งแคว้นต้าหลี่
“มาหาข้าตั้งแต่เช้า มีธุระอันใดรึ น้องพี่” ฮ่องเต้หลี่ซื่อ หมินเอ่ยทักทำยหลี่เซียวเหยาพระอนุชาของตนอย่างเป็นกันเองเมื่อมองเห็นเขาเดินเข้ามายังห้องทรงอักษรแห่งนี้
“กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลขอพะย่ะค่ะ” หลี่เซียวเหยารีบเอ่ยขึ้นไปทางหลี่ซื่อหมิน
“กระหม่อมอยากขอสมรสพระราชทาน พะย่ะค่ะ” หลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นโดยไม่มีการอ้อมค้อมแต่อย่างใด
หลี่ซื่อหมินถึงกับชะงักเพียงนิดก่อนวางงานในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองหลี่เซียวเหยาแบบเต็มตา
“สมรสพระราชทานระหว่างกระหม่อมกับเจินเจิน พะย่ะค่ะ เสด็จพี่” หลี่เซียวเหยาย้ำประโยคเดิมอีกรอบกับฮ่องเต้
ภายในห้องทรงอักษรแห่งนี้พวกเขามักจะเรียกกันอย่างสนิทสนมแตกต่างจากเวลาอยู่ภายในท้องพระโรง
“สมรสพระราชทานหรือ” หลี่เซียวเหยาลุกขึ้นจากโต๊ะทรงงานเพื่อเดินมาทางหลี่เซียวเหยาพลางเอ่ย “กับเจินเจิน”
“พะย่ะค่ะ” หลี่เซียวเหยาตอบรับ
“เรื่องนั้นย่อมได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข” หลี่ซื่อหมินนึกเป็นห่วงเรื่องระหว่างเจินเจินกับเซียงหวงกุ้ยเฟยจึงเอ่ยออกไปอย่างนั้น
“ย่อมได้ เสด็จพี่” หลี่เซียวเหยาไม่มีเกี่ยงงอน
“มานั่งทางนี้ก่อน” หลี่ซื่อหมินเอ่ยพลางเดินนาทางไปที่ห้องรับรองภายในตำหนักทรงอักษรแห่งนี้
เมื่อทั้งสองนั่งจิบชาตามอัธยาศัยตามประสาพี่น้องยามอยู่กันเพียงลำพังโดยปลอดคนนอกแล้วจึงเอ่ยต่อในเรื่องสำคัญ
“ข้าอยากให้เจ้ารับตำแหน่งชินอ๋องแล้วพาทหารกับพวกพ้องสมุนของฝ่ายอิทธิพลมืดไปรวบรวมดินแดน” หลี่ซื่อหมินเอ่ยตามสิ่งที่ตนได้ตั้งใจเอาไว้นานแล้ว
เขายังคงเอ่ยต่อ “ข้าอยากให้เจ้าปกครองแผ่นดินที่ได้ทำการรวบรวมและที่นั่นเจ้าใหญ่ที่สุด แม้แต่มารดาของเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เสด็จพี่” หลี่เซียวเหยาถึงกับอึ้งด้วยคาดไม่ถึงเกี่ยวกับเงื่อนไขอย่างนี้ของฮ่องเต้
“เจ้าควรจะรับตำแหน่งนี้เสียที เจ้าปฏิเสธข้ามานานมากแล้วนะ เซียวเหยา” หลี่ซื่อหมินยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาเคยพยายามจะแต่งตั้งตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ให้กับน้องชายอันเป็นที่รักของเขาเป็นนานแล้ว แต่น้องชายของเขาผู้นี้กลับไม่นิยมอำนาจ สนใจแต่ธรรมะและจมปลักอยู่กับอดีต คิดแต่จะกลับไปอยู่เป็นเพียงองค์ชายที่แคว้นหลี่
หลี่ซื่อหมินยังคงเอ่ยต่อ “ฝีมือการต่อสู้ของเจ้านับได้ว่ามีดีเหนือผู้ใด ความสามารถทางการทหารก็มิได้ยิ่งหย่อน อีกทั้งความรู้เชิงบุ๋นของเจ้าก็หาใครเทียบชั้นได้ไม่ เซียวเหยา…ข้าดีใจที่เจ้าตื่นจากฝันร้าย เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจินเจิน” จบคำก็หัวเราะออกมา
“เสด็จพี่” หลี่เซียวเหยายังคงทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อถูกเอ่ยเย้า
“หรือเจ้าคิดว่าข้าพูดคำเท็จ” หลี่ซื่อหมินยังไม่หยุด
“เจินเจินของกระหม่อมย่อมไม่ธรรมดา” หลี่เซียวเหยาถือโอกาสยกยอสตรีของตน
“ฮึ! เช่นนั้นแล้ว ฮองเฮาของข้าก็เช่นเดียวกัน” หลี่ซื่อ หมินถือโอกาสเอ่ยถึงหงเหม่ยหลงภรรยาของตนบ้าง
“กับผู้อื่นแล้วนางกลับได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมไร้เมตตาปราณีได้ชื่อว่าเป็นราชสีห์เพศเมีย แต่นางมักจะน่าเอ็นดูเฉพาะกับข้า เวลาอยู่กับข้านางกลับกลายเป็นแม่กระต่ายน้อย” จบคำก็หัวเราะชอบใจอย่างรื่นเริงที่ได้นินทาเมียรักให้น้องชายฟัง
“เช่นนั้นเจินเจินของกระหม่อมก็คงเช่นเดียวกัน นางเป็นเพียงลูกแมวน้อยของกระหม่อม” หลี่เซียวเหยาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะพลางเอ่ยกระเซ้าถึงสตรีของตนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
นั่นจึงทำให้องค์ชายน้อยหลี่หงจินหยางได้ถูกเรียกตัวเข้าหาบุคคลทั้งสองด้วยเรื่องดินแดนที่ต้องการให้ไปรวบรวมในเวลาต่อมาในอีกหลายวันให้หลัง
และต่อมาหลังจากที่หลี่เซียวเหยาได้จัดการเรื่องของ หลิงอวิ๋นเสร็จสรรพแล้วนั้น เขาจึงได้รับรู้ว่าเจินเจินของเขาก็กำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่เช่นเดียวกัน…..
และแล้วเวลาค่ำคืนแห่งการเข้าหอของสองสามีภรรยาก็ผ่านพ้นไปอย่างหวานชื่น เมื่อตื่นขึ้นมาก็ถึงเวลาของพิธีการยกน้ำชาตามธรรมเนียมปฏิบัติ
เจินเจินอยู่ในชุดอาภรณ์สวยงามเรียบร้อย เพื่อทำหน้าที่ของลูกสะใภ้ให้แก่แม่สามี
เซียงหวงกุ้ยเฟยตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้าเริ่มสว่างเช่นเดียวกัน นางกำลังนั่งรอรับน้ำชาจากลูกสะใภ้ที่ครั้งหนึ่งนางได้ทำความผิดเอาไว้อย่างไม่น่าให้อภัย
เวลาผ่านไปพร้อมกับบรรยากาศชื่นมื่นระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้
หลี่เซียวเหยาจึงถือโอกาสบอกกล่าวแก่มารดาถึงเรื่องลูกในครรภ์ของเจินเจิน
ยิ่งสร้างความปลื้มปริ่มให้แก่เซียงหวงกุ้ยเฟยเป็นอย่างมาก เพราะว่าเมื่อครั้งที่หลี่เซียวเหยาตบแต่งชายาคนแรกนั้น สตรีนางนั้นยังมิทันได้ตั้งครรภ์ ก็พลันทำเรื่องงามหน้าขึ้นมาเสียก่อน
“ช่างดียิ่ง ดีจริงๆ เปิ่นกงดีใจยิ่งนัก แต่งเมื่อคืนตั้งครรภ์เมื่อเช้า ช่างดียิ่ง” เซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยออกมาอย่างมิได้คิดสิ่งใด แต่กลับทำให้ทั้งหลี่เซียวเหยาและเจินเจินถึงกับทำหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว
พระนางถึงกับเกิดใจกระตุกสั่นไหวรุนแรงฉับพลัน เมื่อคิดย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นางคิดจะวางแผนทำขนมอาบยาพิษให้เจินเจินกิน
ถ้าหากว่าครานั้น นางทำสำเร็จ และเจินเจินได้กินขนมอาบยาพิษนั่น หลานของนางจะเป็นอย่างไร
อา… ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดยิ่งนัก รู้สึกผิดเสียนี่กระไร…
เวลาผ่านไปอย่างชื่นมื่นเรียบเรื่อย เมื่อถึงเวลาที่หลี่เซียวเหยาพร้อมด้วยองค์ชายน้อยหลี่หงจินหยางพระโอรสหนึ่งเดียวของแคว้นต้าหลี่ต้องนำกำลังลูกน้องทั้งเหล่าทหารและเหล่าสมุนพรรคมารเดินทางไปจัดการรวบรวมดินแดนที่ยึดครองเอาไว้ให้กลายเป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน เจินเจินที่กำลังตั้งครรภ์ก็อยู่ในความดูแลของเซียงหวงกุ้ยเฟยพร้อมทั้งพวกของเสี่ยวเหมยรวมถึงเหล่าอนุชายาทั้งหลายเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปร่วมปี หลังจากรวบรวมดินแดนและก่อสร้างพระราชวังภายในอาณาจักรเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย
หลี่เซียวเหยาที่สถาปนาตนเองเป็นหวังคนใหม่ของแผ่นดินจึงส่งคณะเดินทางมารับตัวภรรยาและลูก
เจินเจินจึงได้เวลาพาลูกน้อยที่คลอดออกมาได้เพียงสี่เดือนเดินทางไปสมทบกับหลี่เซียวเหยาที่รออยู่แล้วภายในพระราชวังแห่งใหม่
การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่พร้อมทั้งการแต่งตั้งสถาปนาตำแหน่งต่างๆที่สำคัญและจำเป็นของอาณาจักรผ่านก็พ้นไปอย่างไร้ปัญหา
เซียงหวงกุ้ยเฟยนั้น แม้จะต้องกลับไปประจำอยู่ที่แคว้นหลี่ตามหน้าที่สนมขั้นสูงแต่ก็ยังคงส่งของขวัญของกำนัลมาให้เจินเจินและลูกน้อยไม่เคยขาดสาย
บนเตียงใหญ่ภายในห้องนอนกว้างขวาง เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำนุ่มนวลอย่างมีเสน่ห์ของบุรุษเพศอยู่เต็มเปี่ยมกำลังเอ่ยคำบางอย่างขณะกำลังแนบชิดอยู่ตรงซอกคอขาวผ่องหอมกรุ่นของเนื้อนวลนาง เขากำลังเริ่มต้นบทรักให้ภรรยาของเขาได้เป็นอย่างดี
“คืนนี้ เจ้าอย่าหวังว่าจะได้หลับเลย เจินเจิน” หลี่เซียวเหยายังคงเอ่ยเตือนเจินเจินด้วยเสียงแหบพร่าลมหายใจร้อนระอุขณะกำลังก้มหน้าฝังจมูกและริมฝีปากของตนอยู่ตามพวงแก้มและลำคอระหงอย่างโหยหาแสนคิดถึง
เขาใช้เวลานานร่วมปีเพื่อรวบรวมดินแดนและก่อสร้างอาณาจักร ทั้งยังต้องรอจนกระทั่งงานเฉลิมฉลองเสร็จสิ้นจึงจะหาโอกาสอยู่กันเพียงลาพังกับภรรยาของเขา
นานมาแล้วที่มิได้ใกล้ชิดกัน
นานมาแล้วที่ต้องเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่อย่างทรมาน
นานมาแล้วที่มิได้ทำอะไรอย่างลึกซึ้งกับเจินเจิน
อา… เขาทนไม่ไหวแล้ว
เจินเจินที่กำลังอ่อนระทวยด้วยสัมผัสของผู้เป็นสามีเพียงเอ่ยตอบคาเบาๆ “อืม…เซียวเหยา…ข้าคิดถึงท่าน”
หญิงสาวเอื้อมมือเรียวสวยของตนขึ้นเพื่อจับกระชับชายหนุ่มอย่างสุดแสนจะโหยหาและคิดถึงไม่ต่างกัน พลางช่วยเขาปลดอาภรณ์บนเรือนร่างกำยำออกอย่างรู้งาน
หลี่เซียวเหยายังคงพรมจูบเจินเจินไปทั่วเรือนกายขาวผ่องผิวพรรณนวลเนียนตามแนวอาภรณ์ที่เคลื่อนตัวออก
สาบเสื้อของเขาและของนางพลันร่วงหล่นออกอย่างพร้อมเพียง เพียงไม่นานเรือนร่างกำยำแข็งแกร่งและเรือนร่างขาวละมุนนุ่มนิ่มก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งส่วนบนและส่วนล่าง
หลี่เซียวเหยายังคงใช้ริมฝีปากและฝ่ามือร้อนลวกของตนสัมผัสไปถ้วนทั่วทุกอณูของเนื้อนวลนางคล้ายกับต้องการจะให้มันมอดไหม้ละลายไปพร้อมๆกัน
“อา…เซียวเหยา” เจินเจินเริ่มครวญครางเมื่อหลี่เซียวเหยาเริ่มสัมผัสหนักหน่วง
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากชุ่มชื้นออกจากทรวงอกอวบอิ่มก่อนเคลื่อนใบหน้าขึ้นมาหาใบหน้างามเพื่อหมายจะมอบจุมพิตที่แสนจะดูดดื่มลึกล้าให้
เจินเจินเหม่อมองริมฝีปากสีแดงสดของหลี่เซียวเหยาด้วยดวงตาทอประกายหวานล้ำพร้อมเผยอรับฝีปากได้รูปของตนออกเพื่อรับกลีบปากจากเขาอย่างเรียกร้อง
นางค่อยๆเค้นคลึงฝ่ามือเรียวงามของตนไปตามแผงอกบึกบึนเคลื่อนไล้ไปตามช่วงไหล่ล่ำสันก่อนจะจับกดอยู่ตรงแผ่นหลังแข็งแกร่ง
ฝ่ามือเรียวยาวของหลี่เซียวเหยายังคงลูบคลำเค้นคลึงอย่างสบายมืออยู่ตรงเนินอกหยุ่นนุ่มของเจินเจินในขณะที่ริมฝีปากของเขายังคงล้วงลึกอยู่ตรงริมฝีปากของนางอย่างต้องการควานหาความหวานล้ำนุ่มลึกจนเรียกเสียงครางในลำคอของกันและกันให้ครวญออกมาได้อย่างน่าชื่นชม
หลี่เซียวเหยาเคลื่อนฝ่ามือร้อนกรุ่นของตนออกจากทรวงอกนุ่มนิ่มเลื้อยพาดผ่านไปทางหน้าท้องราบเรียบก่อนจะล้วงลึกไปตามโคนขาของเจินเจินพลางจับยกต้นขาของนางให้แยกออก
เจินเจินเพียงยกขาเรียวงามของตนขึ้นเพื่อแยกออกพร้อมรองรับต้นขาเรียวยาวของหลี่เซียวเหยาที่พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนอันสำคัญ
“แง๊ แง๊” พลันเสียงลูกน้อยก็ดังขึ้น
“รอครู่เดียวนะเพคะ องค์หญิง ประเดี๋ยวเสด็จแม่ก็มาแล้วเพคะ” ตามด้วยเสียงของเสี่ยวเหมยดังอยู่หน้าประตูห้องนอน
“ประเดี๋ยวข้าน้อยเคาะประตูห้องก่อนนะเจ้าคะ” ซิงซิงและจิงเยว่รีบเอ่ยตาม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก และเสียงเคาะประตูก็ดังตามมา
โอว…สวรรค์!!!
เจินเจินและหลี่เซียวเหยาเจ้าของห้องนอนถึงกับหน้าถอดสี
เพียงไม่นานทั้งเจินเจินและหลี่เซียวเหยาที่ใช้เวลาเพียงน้อยนิดใส่เสื้อผ้ากันอย่างเร่งรีบก่อนจะเดินมาเปิดประตูห้องนอนให้บุตรสาวของตนได้เข้ามา
“องค์หญิงร้องไห้งอแงอยากหาเสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ” เสี่ยวเหมยที่รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ลูกของเจินเจินเอ่ยขึ้นอย่างนึกห่วงใยในสภาพจิตใจของธิดาหนึ่งเดียวของคนทั้งคู่ และยิ่งรู้สึกดีเมื่อองค์หญิงน้อยเงียบกริบเพียงเพราะมองเห็นหน้าของบิดามารดา
หลี่เซียวเหยารีบเอื้อมมือของตนขึ้นเพื่อรับตัวบุตรสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพวงแก้มเปล่งปลั่งเอามาอุ้มไว้แนบอกอย่างทะนุถนอมรักใคร่ตามด้วยเจินเจินช่วยจับประคองก่อนจะพากันเดินไปยังเตียงนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งสร้างแยกออกจากห้องนอนห้องใหญ่แต่ติดกันนี้
ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมเอาไว้ยามที่บุตรของนางโยเยร้องไห้เรียกหา
“คืนนี้ให้ลูกข้านอนห้องนี้ก็ได้ พวกเจ้ากลับไปนอนเสียเถอะ ถ้ามีสิ่งใดที่ข้าต้องการ ข้าจะเรียกหา” เจินเจินกล่าวออกไปเมื่อช่วยหลี่เซียวเหยาจับร่างนุ่มนิ่มตัวน้อยให้นอนลงบนเตียงอุ่นเรียบร้อยดีแล้ว
“พวกเราจะเฝ้าอยู่หน้าห้องไม่ไกลเพคะ” พวกของเสี่ยวเหมยเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงด้วยเพราะอยากทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้อย่างดียิ่งยวด
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเจ้ากลับไปห้องเถิด” เจินเจินรีบกล่าว
“ไม่เป็นไรเพคะ พวกเราไม่นอน พวกเรา…อ่ะ” เสียงของพวกเสี่ยวเหมยพลันต้องสะดุดลง เพราะสายตาพิฆาตของใครบางคน
“ไปแล้วเพคะ ไปแล้ว” สามสามรีบกระวีกระวาดจากไปอย่างไม่รีรอ เมื่อใครบางคนแผ่รังสีสังหารออกมาอย่างเข้มข้น
เจินเจินและหลี่เซียวเหยาใช้เวลาเล่นกับลูกน้อยจนลูกน้อยหลับใหลไปในที่สุด
เมื่อเห็นแล้วว่าลูกน้อยของพวกตนหลับสนิทโดยไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาอีก ทั้งสองจึงเงยหน้าจากลูกน้อยขึ้นมาแล้วจ้องตากันอย่างรู้ใจ
“ไปกัน” หลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆด้วยเกรงว่าลูกจะตื่น
“อืม…” เจินเจินตอบรับเบายิ่งกว่าด้วยเกรงว่าลูกจะตื่นเช่นกัน
เพียงไม่นานเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยของชายหนุ่มหญิงสาวก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงครวญครางบางเบาที่พยายามกดให้ต่ำที่สุดในชีวิตผสมผสานกับเสียงลมหายใจหอบหนักถี่รัวเป่ารดกันและกันอย่างกระชั้นชิดพร้อมด้วยเสียงหลากหลายผสมผสานกันอย่างลงตัว
โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงเหล่านั้นช่วยกล่อมลูกน้อยที่เตียงเล็กให้นอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุขจนตลอดทั้งคืน…