Skip to content

A Will Eternal 10

บทที่ 10 ศิษย์พี่อย่าเพิ่งไป

สายตามองเห็นว่าศิษย์พี่อ้วนทั้งหลายที่อยู่รอบกายล้วนมองมายังตนเองตาไม่กะพริบ ในดวงตาเล็กๆ แต่ละคู่เหมือนหินวิเศษที่เปล่งประกาย โดยเฉพาะจางต้าพั่งที่ประกายตาดั่งเปลวไฟยามมองมายังตนเอง…ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกภูมิใจอยู่นิดๆ

“ศิษย์พี่ พวกท่านคิดดูนะ ทุกเดือนยอดเขาทั้งสามแห่งของสำนักธาราเทพเราล้วนเปิดให้มีการทดสอบ มอบโอกาสให้พวกเราชาวนักการเป็นปลากระโดดข้ามประตูมังกร ถูกไหม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวสะอาดขึ้นมา มองยังไงก็ดูเป็นเด็กดีน่าเอ็นดูอย่างล้นเหลือ

ได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างนี้ พวกจางต้าพั่งก็พยักหน้า

“แต่สำนักต้องการเลือกผู้ที่ยอดเยี่ยมในผู้ที่ยอดเยี่ยมอีกที ดังนั้นไม่ว่าแต่ละเดือนจะมีคนเข้าร่วมการทดสอบสักเท่าไหร่ ทุกยอดเขาก็จะเลือกแค่สามคนแรกที่เดินไปสุดเส้นทางทดสอบได้เร็วที่สุดเท่านั้น ถูกไหม” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก นัยน์ตาเริ่มเปล่งประกาย ขณะที่เขาพูดมาถึงตรงนี้ จางต้าพั่งก็เริ่มมีความคิดบางอย่างแล้ว

และเฮยซานพั่งเองก็เช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ ยังคงพยายามทำความเข้าใจกันอยู่

“เจ้าหมายความว่า…” จางต้าพั่งมองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน แววตาค่อยๆ เผยความปิติยินดี

“ด้วยพลังที่พวกศิษย์พี่ฝึกฝนมาได้ บวกกับข้าเข้าไปอีกหนึ่งคน ในความเป็นจริงแล้วพวกเราล้วนสามารถเดินขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดของเส้นทางทดสอบของแต่ละยอดเขาได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองศิษย์พี่ทั้งหลายที่อยู่ข้างกาย คนเหล่านี้ทุกคนล้วนฝึกได้ถึงขั้นที่สามของการรวมลมปราณ โดยเฉพาะจางต้าพั่งและเฮยซานพั่งที่ฝึกได้ถึงจุดสุดยอดของขั้นที่สามการรวมลมปราณแล้ว หากไม่ใช่เพราะจงใจปิดบัง ไม่ต้องการให้เป็นที่จับตามองจนต้องออกไปจากฝ่ายครัวไฟ ก็สามารถบรรลุไปอีกขั้นได้นานแล้ว

“ดังนั้นขอแค่ทุกครั้งที่การทดสอบเริ่มขึ้น พวกเราทุกคนเดินไปให้ถึงยอดเขาให้เร็วที่สุด ยึดสามตำแหน่งแรกไว้ได้ ก็จะสามารถ…ขายตำแหน่งให้กับคนข้างหลังได้ยังไงล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูดให้จบอย่างรวดเร็ว มองไปที่พวกจางต้าพั่ง

กายของจางต้าพั่งสั่นไหว

“ร้ายกาจมาก…” เขาสูดหายใจเข้าหนึ่งที ตบลงไปที่หน้าขาแรงๆ นัยน์ตาเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน วิธีนี้ไม่ซับซ้อน ง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่เปลี่ยนแนวคิดให้เป็นอีกแบบ พูดออกมาแล้วทุกคนล้วนเข้าใจดี แต่ตอนที่ไม่ได้พูดออกมา กลับกลายเป็นว่าผู้คนคิดไปเป็นอีกด้านหนึ่ง

ในเวลานี้จางต้าพั่งรู้สึกถึงขั้นที่ว่าเหมือนได้กรอกสติปัญญาเข้าไปในมันสมอง นับจากนี้ไปชีวิตของเขาเหมือนได้เปิดประตูกว้างบานใหม่ หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่อยู่

“วิธีนี้เด็ดสุดๆ ไปเลย ฮ่าๆ !” เฮยซานพั่งกระทืบเท้า ใบหน้าปรากฏริ้วสีแดง ไม่รู้ว่าเขินอายหรือว่าตื่นเต้น

ศิษย์พี่ตัวอ้วนคนอื่นๆ ในเวลานี้ก็ล้วนมีปฏิกิริยาตอบสนอง พากันตื่นเต้นฮึกเหิม ทุกคนสูดลมหายใจถี่กระชั้น เมื่อมองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกนับถืออย่างอดไม่ได้

“วิธีนี้ใช้ได้ ทำเลย!”

“แม่งเอ้ย เจ้าพวกสารเลวฝ่ายตรวจการกลุ่มนั้น ทำเอาหลายปีมานี้พวกเราจนกันจะตายอยู่แล้ว ยังดีที่มีศิษย์น้องเก้ามาอยู่ด้วย ทำเลย!” ทุกคนตื่นเต้นดีใจกันทันควัน ร่วมด้วยช่วยกันปรึกษารายละเอียดในจุดต่างๆ

รอจนกระทั่งทุกคนคิดว่าไม่มีช่องโหว่ เตรียมการว่าเมื่อเส้นทางการทดสอบของเดือนหน้าเริ่มขึ้นจะทำเช่นนี้ จางต้าพั่งก็ตบท้องอย่างมีความสุข

“คืนนี้เพิ่มมื้ออาหาร!”

เสียงหัวเราะยินดีปรีดาดังลอดออกมาจากในฝ่ายครัวไฟ เวลาที่เหลือของเดือนนี้ ทุกคนในฝ่ายครัวไฟล้วนทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ และเพื่อป้องกันความผิดพลาด ยังถึงขั้นที่ว่าพากันฝึกฝนติดกันหลายวันซึ่งถือเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง สุดท้ายทุกคนต่างก็รอคอยให้วันนั้นมาถึง

ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงแล้ว

เช่าตรู่ แสงอาทิตย์ส่องสว่าง ตีนเขาของยอดเขาทั้งสามของชายฝั่งทิศใต้สำนักธาราเทพ ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เห็นแค่เพียงว่าทางเข้าเส้นทางทดสอบตรงตีนเขาของยอดเขาแต่ละลูก เมื่อมองไกลๆ จะมีหม้อใบใหญ่สีดำสามใบโผล่ขึ้นมา

เมื่อมองอย่างละเอียด ด้านล่างหม้อใบใหญ่สีดำแต่ละใบมีชายอ้วนตัวใหญ่ไม่ธรรมดายืนอยู่ตรงนั้น ลักษณะท่าทางน่าตกตะลึง

และนั่นก็คือเก้าคนจากฝ่ายครัวไฟ สามารถพูดได้ว่าพวกเขาคือฝ่ายนักการกลุ่มแรกที่มาถึงเส้นทางทดสอบของยอดเขาทั้งสาม จากการจัดวางก่อนหน้านี้ คือสามคนต่อหนึ่งยอดเขา

ในเวลานี้เหล่านักการจำนวนมากต่างกำลังเร่งรุดมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างรวดเร็ว นักการเหล่านี้ทุกคนล้วนเตรียมแรงกายมาอย่างเต็มที่ สีหน้าท่าทางเตรียมพร้อม พวกเขามีทั้งผู้ที่ล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง และก็มีทั้งผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมเป็นครั้งแรก ต่างก็รอคอยด้วยความตื่นเต้น วาดหวังว่านับจากนี้ไปตนเองจะสามารถเฟื่องฟูขึ้นมาอย่างพรวดพราด เลื่อนตำแหน่งจากนักการขึ้นไปเป็นศิษย์นอกฝ่าย

แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนมาถึงยอดเขาที่ตนเองเลือกเอาไว้ ก็เห็นคนอ้วนทั้งหลายจากฝ่ายครัวไฟได้ในทันที

“ฝ่ายครัวไฟ? พวกเขามาได้ยังไง?”

“ข้าเป็นนักการมาเก้าปี เข้าร่วมการทดสอบไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคนของฝ่ายครัวไฟปรากฏตัวขึ้นที่นี่…” ขณะที่พวกนักการพากันสงสัย จนร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน จึงได้รู้ว่าทั้งสามยอดเขาล้วนมีเจ้าอ้วนจากฝ่ายครัวไฟเข้าร่วม ก็ส่งเสียงดังเอะอะกันขึ้นมาในทันที

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คนฝ่ายครัวไฟจะมาแย่งตำแหน่งศิษย์นอกฝ่ายกับพวกเรา นี่มันเป็นไปได้ยังไง…”

เผชิญหน้ากับคำถกเถียงอย่างตกตะลึงของพวกนักการรอบทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุน จางต้าพั่ง และเฮยซานพั่งที่อยู่ตีนเขาของยอดเขาที่สาม ล้วนมีสีหน้านิ่งเฉย ประหนึ่งว่าจิตใจล่องลอยไปไกล ไม่สนใจเสียงพูดคุยที่อยู่รอบกายเลยแม้แต่นิด

พวกเขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปไว้ที่ทางเข้าเส้นทางทดสอบข้างกายหมดแล้ว รอแค่เวลาเริ่มแข่งเท่านั้น ในสายตาของพวกเขา นี่ไม่ใช่เส้นทางทดสอบอะไรอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่านี่คือเส้นทางที่โรยไปด้วยหินวิเศษระยิบระยับ

โดยเฉพาะป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าของเขายิ่งเคร่งขรึมกว่าใคร ตามองนิ่งไม่กะพริบ

ไม่นานก็มีเงาร่างสามร่างลอยลงมาจากยอดเขาทั้งสาม ผู้ที่ลงมาจากยอดเขาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีรัศมีของเซียนผู้บำเพ็ญตบะอันองอาจ ขณะที่เพิ่งเดินมาถึงด้านข้างเส้นทางทดสอบ ก็มองเห็นร่างกายเหมือนภูเขาเนื้อลูกย่อมของจางต้าพั่ง

สายตากวาดมองไปบนร่างของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งสามคน ขนาดผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนผู้นี้ที่เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมเส้นทางทดสอบเองยังรู้สึกประหลาดใจ

“ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร? คนของฝ่ายครัวไฟ ปกติให้ตายยังไงก็ล้วนไม่มีใครยอมเป็นศิษย์นอกฝ่าย วันนี้ทำไมถึงมาที่นี่กันได้?”

เขาหันมามองอีกหลายครั้งอย่างอดไม่อยู่ นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววให้กำลังใจ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที เสียงก็ดังไปทั่วทุกสารทิศ

“การทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์นอกฝ่าย เริ่มขึ้นแล้ว!” คำพูดของเขาเพิ่งเปล่งออกมา เสียงตีระฆังก็ดังก้องขึ้นในสำนักทันที และในเวลาเดียวกันนี้ แสงตรงทางเข้าเส้นทางทดสอบวาบขึ้นหนึ่งครั้ง เส้นทางก็เปิดออกในบัดดล

ชั่วเวลาที่การแข่งเพิ่งเริ่มขึ้นนั้น จางต้าพั่งผู้มีสีหน้าแน่วแน่ สูดลมหายใจเข้าร่างหนึ่งที ก่อให้เกิดลมพัดวูบใหญ่ แล้วจึงวิ่งห้อตะบึงไปตามขั้นบันไดขึ้นเขาด้วยความเร็ว ประหนึ่งดั่งเบื้องหลังมีสัตว์ร้ายไล่ล่าอยู่

เฮยซานพั่งก็เป็นเช่นเดียวกัน นัยน์ตาเขาปรากฏความเหี้ยมเกรียม เหมือนว่าหากใครกล้าแย่งเส้นทางทดสอบกับเขา ก็เท่ากับคิดจะแย่งชีวิตของเขาไปด้วย รีบตามหลังจางต้าพั่งไปติดๆ

คนที่สามคือป๋ายเสี่ยวฉุน ความเร็วของเขาก็ยิ่งเร็วกว่าใคร เหมือนกระต่ายตัวหนึ่ง ในสมองมีแต่คำว่ายาเพิ่มอายุ ก้าวกระโดดออกไป พริบตาเดียวทั้งสามคนก็ห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งอยู่บนเส้นทางของภูเขาลูกนี้

ในเวลานี้พวกนักการคนอื่นๆ เพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี กัดฟันพากันวิ่งขึ้นไปบนเส้นทางทดสอบ วิ่งไล่ตามไปทางยอดเขาด้วยความรวดเร็ว

ไม่เพียงแต่เขาลูกนี้เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ อีกสองยอดเขาที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกัน ผู้ที่ห้อตะบึงอยู่ด้านหน้าสุด ล้วนเป็นเจ้าอ้วนจากฝ่ายครัวไฟทั้งสิ้น

ยอดเขาที่สามนี้มีชื่อว่ายอดเขาเซียงอวิ๋น ในเวลานี้บนเส้นทางทดสอบ พวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนวิ่งทะยานได้เร็วที่สุด นำหน้าไปไกล แต่แล้วก็ค่อยๆ ช้าลง สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่บีบคั้นจากแปดทิศเยื้องกรายเข้ามาหาอย่างไม่หยุดหย่อน ดั่งว่าร่างกายมีแรงมหาศาลกดทับเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหันกลับไปมอง ขณะที่พบว่าเบื้องหลังมีคนเจ็ดแปดคนตามมาติดๆ เขาก็เริ่มร้อนใจ มีความรู้สึกเหมือนยาเพิ่มอายุกำลังจะถูกคนแย่งชิงไป

“แย่งยาเพิ่มอายุของข้า ก็เท่ากับแย่งชีวิตข้า!” เขากลั้นลมหายใจ ใบหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ พลันนั้นพลังวิญญาณในร่างกายก็กระจายไปทั่ว กลายมาเป็นแรงผลักดัน เหมือนหมูป่าที่ถูกเหยียบหาง ร้องตะโกนหนึ่งทีก็พุ่งทะยานออกไป วิ่งเลยเฮยซานพั่งและจางต้าพั่งไป ความเร็วเพิ่มพรวดขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว

ในเวลานี้เฮยซานพั่งเองก็คำรามขึ้นมาหนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าใช้คาถาอาคมอะไร ความเร็วถึงได้เพิ่มขึ้นเหมือนกัน และก็วิ่งเลยจางต้าพั่งตามหลังป๋ายเสี่ยวฉุนไปติดๆ เมื่อเห็นว่าเงาร่างของทั้งสองคนที่วิ่งอยู่กำลังจะลับหายไป จางต้าพั่งก็ร้อนรน

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เนื้อไขมันบนร่างกายมองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ว่าหดตัวลงไปไม่น้อย ดั่งว่าไขมันในร่างถูกเผาไหม้อย่างไรอย่างนั้น ความเร็วเพิ่มพรวดขึ้นมาในบัดดล เสียงตึงตังดังขึ้นแล้วไล่ตามไปทันเฮยซานพั่ง ทั้งสามคนวิ่งห้อตะบึงไปพร้อมกัน

พวกนักการที่อยู่ด้านหลังพวกเขา เห็นภาพนี้ล้วนอ้าปากค้างตะลึงงัน สีหน้าหมดหวังปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ยอมแพ้ พากันรวบรวมพละกำลังทั้งหมด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนไม่ทันสักที บางคนถึงกับโมโหเดือด ด่าเปิงออกมา

“ห่าเอ้ย แดกยาโป๊วกันมารึไง ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้วะ!”

หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่วิ่งนำหน้าสุดมาตั้งแต่แรกก็มาถึงยอดเขา ทั้งยังได้เห็นว่าตรงทางออกมีคนสองคนยืนรออยู่ตรงนั้น เพื่อเตรียมรอรับพวกนักการเข้าเป็นศิษย์นอกฝ่าย

“ยินดีด้วยศิษย์…” ตำแหน่งทางออกบนยอดเขา ศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้นมองเห็นการมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ้มน้อยๆ เพิ่งจะเอ่ยปากพูดได้ไม่กี่คำ ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องเบิกตากว้างในทันที ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

เห็นแค่เพียงว่าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักอย่างกะทันหัน โซซัดโซเซแล้วก็วิ่งออกไปอีกหลายก้าว จากนั้นก็หยุดฝีเท้าลงอีก ห่างจากทางออกยอดเขาของเส้นทางทดสอบแค่ก้าวเดียว

เขามองศิษย์นอกฝ่ายสองคนที่อยู่ตรงหน้า ศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้นก็มองเขา หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดูให้ ก็หมุนตัวกลับทันที

“หยุด!” ขณะที่หมุนตัวเขาก็ยกมือขึ้นห้ามไปที่ด้านหลัง ปากตะโกนเสียงก้อง ทันใดนั้นเฮยซานพั่งและจางต้าพั่งที่ตามมาติดๆ หอบหายใจฮักๆ ก็หยุดชะงักทันที ทั้งสามคนหอบหายใจรุนแรงอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับทางออก เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ล้วนดีใจจนหัวเราะออกมาเสียงดัง

ส่วนศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้นที่ยืนอยู่ตำแหน่งทางออกด้านหลัง ต่างมองหน้าสบตากัน ค่อนข้างงงงวยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าสมองของสามคนนี้มีปัญหาหรือเปล่า มาถึงที่นี่แล้ว แต่กลับไม่เดินขึ้นมา

“ศิษย์น้องทั้งสาม พวกเจ้ามาถึงเร็วที่สุด สามารถเดินมาได้เลย เดินมาตรงนี้ รายชื่อของผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์นอกฝ่ายก็จะเป็นของพวกเจ้าทั้งสามคน” หนึ่งในศิษย์นอกฝ่ายสองคน เอ่ยปากบอกด้วยความหวังดี

“ศิษย์นอกฝ่าย? ใครอยากจะเป็นศิษย์นอกฝ่ายกัน” จางต้าพั่งโบกมือ ถือโอกาสนั่งลงไปตรงนั้นพร้อมกับเฮยซานพั่งเสียเลย ภูเขาเนื้อทั้งสองลูกบังประตูทางออกเสียมิด

ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่หน้าพวกเขา เอามือท้าวคาง สีหน้ารอคอยอย่างทะนงตน

“หา? ไม่อยากเป็นศิษย์นอกฝ่าย แล้วพวกเจ้ามาที่นี่ทำไม? ประสาทหรือไง!” ศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้นเริ่มไม่สบอารมณ์

ได้ยินคำพูดของศิษย์นอกฝ่ายสองคนนี้ พวกจางต้าพั่งทำเป็นไขสือไม่สนใจฟัง ดวงตาเล็กหยีแต่ละคู่จ้องเขม็งไปด้านล่างภูเขา

จนกระทั่งธูปอีกดอกหนึ่งหมดไป ถึงได้เห็นไกลๆ ว่าบนขั้นบันไดมีนักการหน้ายาวเหมือนม้ากำลังหอบฮักเป็นวัวค่อยๆ เดินขึ้นมา ตอนที่มองเห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งสามคน เจ้านักการหน้ายาวคนนี้ก็ถอนหายใจหนึ่งที แววตาไม่ยอมคน นี่เป็นครั้งที่เก้าแล้วที่เขาเข้าร่วมการทดสอบ วันนี้คือความหวังครั้งสุดท้ายที่มี แต่กลับต้องมาเจอกับพวกฝ่ายครัวไฟ

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ขณะที่กำลังจะหมุนตัวยอมแพ้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบลุกขึ้นยืน เปิดปากตะโกนเสียงดัง

“ศิษย์พี่ท่านนี้อย่าเพิ่งไป มาๆๆ ข้ามาคิดดูแล้ว รู้สึกอาลัยอาวรณ์ฝ่ายครัวไฟยิ่งนัก อยู่ๆ ก็ไม่อยากเป็นศิษย์นอกฝ่ายซะแล้ว ถ้างั้นตำแหน่งนี้ก็…”

ชายนักการหน้ายาวตะลึง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายในฉับพลัน

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!