Skip to content

A Will Eternal 1005

บทที่ 1005 ครั้งที่สอง

“บทมิวางวายไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย!”

เทียนจุนผู้แข็งแกร่งเห็นกับตาตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกตัวเองกำไว้ในกำมือ ภายใต้ตบะของตนที่เหนือกว่าอีกฝ่ายไปไกลโข แต่กลับไม่สามารถบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างแท้จริง นี่ทำให้เขาอดรู้สึกประทับใจไม่ได้

“ยังดีที่ข้าไม่ได้เพิ่งเห็นคนที่ฝึกบทมิวางวายสำเร็จเป็นครั้งแรก…”

บนเกาะทงเทียน หลังจากเอ่ยพึมพำ ดวงตาของเทียนจุนก็พลันมีแสงผลึกใสเสี้ยวหนึ่งเปล่งประกายออกมา

ขณะเดียวกันกับที่แสงนี้ปรากฏ ตู้หลิงเฟยที่อยู่บนเกาะซึ่งมีใบหน้านิ่งเฉยคล้ายคนไม่มีจิตวิญญาณ ก้าวเดินราวผีดิบพลันตัวสั่นสะท้าน ดวงตาของนางก็มีแสงผลึกใสปรากฏขึ้นเช่นกัน จุดลึกในดวงตาทั้งสองมีอักขระประหลาดสองตัวที่กำลังกะพริบวูบวาบอย่างรวดเร็ว

ราวกับว่าในร่างของนางมีพลังงานบางอย่างที่กำลังถูกเทียนจุนดูดเอาไปส่วนหนึ่งผ่านทางอักขระในดวงตา ขณะเดียวกันนอกนครผียักษ์ของแดนทุรกันดาร มือใหญ่ที่กำร่างป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ก็มีแสงผลึกใสนี้เปล่งวาบขึ้น

แทบจะชั่วพริบตา…มือใหญ่น่าครั่นคร้ามนี้ก็พลันกลายมาเป็นมือผลึกใสที่บีบรัดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรุนแรงอีกครั้ง!

เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในหมัดผมเผ้ายุ่งเหยิง เขายังถึงขั้นเรียกขานหาสมบัติแห่งโลกของสายเหนือมาแล้วด้วยซ้ำ ทว่าบุรพาจารย์หันเหมินกลับหลับสนิท ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมาแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาแดงฉานราวสีเลือด ร่างพลันหยุดชะงักราวกับถูกสยบเอาไว้!

เวทลับที่เป็นเหมือนผลึกใสนี้พิชิตบทมิวางวายของเขา!

ไม่มีการฟื้นตัวของเลือดคงกระพัน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มิอาจแบกรับพละกำลังมหาศาลที่มาจากเทียนจุนได้เลย แทบจะชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างของเขาก็ระเบิดกระจายออกดังปัง!

และเมื่อร่างแตกสลาย จิตสำนึกของเขาก็มิอาจยืนหยัดต่อไปได้อีก จึงหมดสติไปทันที

จนกระทั่งบัดนี้ มือใหญ่ของเทียนจุนถึงได้ค่อยๆ หดกลับเข้าไปในน้ำวน…มองไกลๆ ภาพนี้ทำให้หัวใจของทุกคนที่ได้เห็นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

คนฟ้าก็ดี ครึ่งเทพก็ช่าง ไม่มีใครที่ไม่ตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุด!

ทุกคนของสำนักสยบธารตัวสั่นเทิ้ม คนไม่น้อยกำหมัดแน่น ซ่งจวินหว่านน้ำตาอาบหน้า แต่นางจนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้ภาพทุกอย่างนี้เกิดขึ้นคาตาของตัวเอง จนกระทั่งมือใหญ่หายเข้าไปในน้ำวน นางก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างโอนเอนทรุดฮวบลงไป

ขณะเดียวกันกับที่มือใหญ่ของเทียนจุนหายไป น้ำเสียงเย็นชาที่แสดงให้เห็นถึงความอำมหิตไร้ปราณีของเทียนจุนก็ดังก้องไปทั่วทั้งแผ่นดินแดนทุรกันดาร

“นักพตทงเทียนทุกคน จงร่วมกันโจมตี…กำจัดทุกชีวิตของแดนทุรกันดาร!”

นิสัยของเทียนจุนไม่เคยชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ เขาชอบที่จะกุมอำนาจของผู้กระทำมากกว่า ข้อนี้พอจะมองออกได้จากการเปลี่ยนแปลงที่เคยเกิดขึ้นบนเรือผี

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้ว่าความหวังทั้งหมดที่อยู่บนตัวป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำให้เขามีความมั่นใจมากถึงแปดส่วนขึ้นไป แต่เขาก็ยังคงไม่วางใจ จึงเตรียมความพร้อมทั้งสองทาง เมื่อเป็นเช่นนี้ จะอย่างไรก็ต้องมีสักเส้นหนึ่ง…ที่เดินผ่านไปได้!

“หากเดินผ่านไปไม่ได้…ในเมื่ออายุขัยของข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้โลกใบนี้ตายไปพร้อมกับข้าด้วยเลยแล้วกัน!” หัวใจของเทียนจุนเฉยชา หลังจากหดมือกลับเข้ามา น้ำวนบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ จางหายไป

นักพรตทงเทียนทุกคนที่อยู่ในแดนทุรกันดารล้วนตัวสั่นสะท้าน คำสั่งที่มาจากเทียนจุน พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกเหนื่อยล้าไปกับสงครามครั้งนี้ เพราะยังมีคนไม่น้อยที่เลื่อมใสเทียนจุนจนถึงขั้นกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง พอได้ยินคำสั่ง จิตสังหารจึงพวยพุ่ง สงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง!

ทว่าความกล้าหาญของผู้ฝึกวิญญาณแดนทุรกันดารกลับลดดิ่งฮวบฮาบไปตามการเสื่อมสภาพของคนเฝ้าสุสาน

เพียงแต่ว่าเบื้องหน้าพวกเขาไม่มีทางที่สองให้เดินอีกแล้ว…

แผ่นดินทงเทียนไม่ยอมรับเชลยศึก เจตจำนงของเทียนจุนก็คือต้องการกวาดล้างทุกชีวิตในแดนทุรกันดารให้เหี้ยนเตียน!

ไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมืองหรือผู้ฝึกวิญญาณ แม้กระทั่งสัตว์ร้ายของแดนทุรกันดารก็ยังเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

ดังนั้นทางเดียวที่พวกเขามีก็คือ…สู้จนตัวตาย!!

เสียงแห่งการเข่นฆ่า เสียงหัวเราะขมขื่น เสียงคำราม เสียงการระเบิดตัวเอง…ดังกึกก้องไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินแดนทุรกันดารอีกครั้ง เลือดสดไหลนองเป็นสาย ความตายเพิ่มทบทวี…ราวกับว่าวันสิ้นโลกมาถึง ท้องฟ้าหม่นมัว แผ่นดินพังภินท์ เมื่อนครผียักษ์ถูกยึด เมื่อนครอีกสามแห่งถูกตีจนแตกพ่าย ไม่นานสนามรบของแดนทุรกันดารก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้…นครจักรพรรดิขุย!

และเวลานี้บนมหาสมุทรทงเทียน บนเกาะทงเทียน ใต้ดินของเกาะมีตำหนักใต้ดินขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง!

ในตำหนักใต้ดินมีบ่อน้ำสีดำสนิท รอบๆ บ่อน้ำแห่งนี้มีค่ายกลใหญ่โตมโหฬารอยู่แห่งหนึ่งซึ่งขนาดของมันมากพอหมื่นจั้ง ที่ประกอบรวมกันขึ้นเป็นค่ายกล หาใช่หินวิเศษ แต่เป็นกระดูกหลายท่อน!

กระดูกเหล่านี้บ้างก็เป็นสีทอง บ้างก็เป็นเหมือนผลึกใส…เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเน่าเปื่อยผุพัง ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ด้วย!

นอกจากนี้บริเวณรอบๆ บ่อน้ำยังมีหลุมลึกอยู่อีกสามแห่ง หลุมลึกทั้งสามนี้มีโครงกระดูกที่สมบูรณ์แบบวางไว้สามโครง!

สีของโครงกระดูกทั้งสามคือสีทองและผลึกใสที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน แม้ว่าจะผสานรวมกันไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าอานุภาพสยบที่แผ่ออกมาจากบนร่างของพวกมันก็มากพอจะทำให้ครึ่งเทพตัวสั่นเทิ้ม เป็นพลังที่ขยับเข้าไปใกล้…ว่าที่เทียนจุนอย่างนักพรตแห่งทงเทียนมากแล้ว

ซึ่งแม้ว่ากระดูกทั้งสามนี้จะด้อยกว่านักพรตแห่งทงเทียนอยู่บ้าง ทว่ากลับอยู่ห่างจากขอบเขตเทียนจุนมหายานที่แท้จริงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น!

หากจักรพรรดิขุยองค์ปัจจุบันมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นสายเลือดของเขาก็จะต้องสัมผัสถึงและรู้ตัวตนของโครงกระดูกทั้งสามโครงได้ทันที

พวกเขาก็คือ…โครงกระดูกของจักรพรรดิขุยสามท่านที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละรุ่นซึ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้!

เห็นได้ชัดว่าเทียนจุนบุกเข้าไปในสุสานของพวกเขาแล้วขุดออกมา เอามาวางไว้ตรงนี้ เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลล้ำโลก!

ส่วนโครงกระดูกรอบด้านที่ให้ความรู้สึกถึงการเน่าเปื่อยทว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือโครงกระดูกของคนที่ฝึกบทมิวางวายและบทอมตะตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา!

และในบ่อน้ำสีดำอันเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่นี้ก็มีป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดแน่น แม้จะยังมีลมหายใจ แต่เห็นได้ชัดว่าหมดสติไปแล้ว น้ำสีดำรอบกายเขาที่อยู่ในบ่อกำลังหมุนคว้างอย่างต่อเนื่อง

เมื่อผิวน้ำกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่นทีหนึ่งก็จะมีอักขระแปลกประหลาดตัวแล้วตัวเล่าลอยขึ้นมา

อักขระพวกนี้เหมือนมีชีวิตจริงอย่างไรอย่างนั้น พอมันลอยขึ้นมาก็มีอักขระจำนวนไม่น้อยที่ไต่ปีนขึ้นไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วว่ายวนไปทั่วร่างของเขา…

ภาพนี้พิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด ยิ่งมาอยู่ใต้แสงมืดสลัวของเปลวเทียนในตำหนักใต้ดินก็ยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวงน่าขนลุกเข้าไปใหญ่

เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในบ่อน้ำพลันตัวสั่นสะท้าน เขาค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้น วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปิดออก อักขระที่อยู่บนร่างของเขาก็เหมือนจะตกใจจึงรีบบินกลับเข้าไปในบ่อน้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความเลื่อนลอยเล็กน้อย แต่ไม่นานลมหายใจของเขาก็หอบถี่ พอสายตามองเห็นได้ชัดเจน เขาก็รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในบ่อน้ำ แล้วก็เห็นว่ารอบกายมีค่ายกลรวมไปถึงโครงกระดูกอยู่อีกมากมาย

เขาคิดจะลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่ามิอาจลุกขึ้นยืนในบ่อน้ำได้ดั่งใจคล้ายร่างกายนี้สูญเสียการควบคุมไปแล้ว

อีกทั้งปราณของบทมิวางวายกับบทอมตะที่แผ่ออกมาจากโครงกระดูกเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถม

“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว ในบ่อแห่งนี้…คือเลือดของทุกคนที่มีสายเลือดของจักรพรรดิขุยซึ่งถูกข้าผู้อาวุโสจับมาหลังจากขับไล่ราชสำนักขุยออกไปจากแผ่นดินใหญ่ทงเทียน เลือดของพวกเขาแช่อยู่ในนี้มานานมากแล้ว”

น้ำเสียงแหบเครือดังก้องอยู่ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ก่อนที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะบิดเบือนและเงาร่างของเทียนจุนก็ค่อยๆ เดินออกมา

ดวงตาของเขาเผยความคาดหวังอย่างแรงกล้า ทั้งยิ่งมากด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ประกายเร่าร้อนในดวงตานั้นคล้ายกับคนที่มองเห็นยาเม็ดใหญ่ล้ำเลิศเม็ดหนึ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวด ลมหายใจของเขาหอบหนัก พอมองไปยังเทียนจุน ในใจเขาพลันบังเกิดความกระวนกระวายไม่เป็นสุขอย่างรุนแรง กำลังจะอ้าปากพูด แต่เทียนจุนเหมือนจะไม่สนใจการฟื้นตื่นของป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของเขามองไปยังโครงกระดูกที่อยู่รอบด้านแล้วพูดต่อไปว่า

“โครงกระดูกพวกนี้มีบางคนที่ถูกข้าผู้อาวุโสสังหารในศึกนครจักรพรรดิขุย และยังมีคนไม่น้อย…ที่เป็นนักพรตซึ่งหลายปีมานี้ถูกข้าผู้อาวุโสจับมาทดลองบทอมตะมิวางวาย”

“น่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าใครก็ฝึกวิชาอมตะมิวางวายได้ แต่ไม่รู้ทำไม บางทีอาจเป็นเพราะข้าสังหารสายเลือดของจักรพรรดิขุยมากเกินไปจึงมิอาจฝึกมันได้”

“ข้าได้แต่ศึกษาและให้คนอื่นเป็นผู้ฝึก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถึงขั้นขุดเอาโครงกระดูกของจักรพรรดิขุยสามท่านที่ไม่รู้ว่าตายไปนานแล้วกี่ปีขึ้นมา แต่ช่างน่าเสียดายที่ได้ผลน้อยนิดเหลือแสน”

“บทมิวางวายยังดีหน่อย ราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่ถูกข้าขโมยบทอมตะไป ไม่ว่าคนเฝ้าสุสานทำไปเพื่ออะไรก็ตาม จะเพื่อเล่นงานข้าก็ดี หรือเพื่อสืบทอดราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็ช่าง แต่เขาก็ยังแพร่บทมิวางวายให้ถูกสืบทอดไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนข้าเองก็ทำการผลักดัน ปล่อยให้บทมิวางวายถูกสืบทอดในแผ่นดินทงเทียน…เพียงแต่ว่าสำหรับข้าแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบทอมตะ ทว่าบทอมตะช่างยากยิ่งนัก แทบจะไม่มีใครสามารถฝึกไปถึงได้ขั้นสุดท้าย ต้องล้มเหลวไปกลางคัน กระดูกของพวกเขาถูกข้าผู้อาวุโสเอามาวางไว้ที่นี่ เพราะหวังว่าบางทีอาจจะมีประโยชน์อะไรบ้าง”

“หลายปีที่ผ่านมา คนที่ฝึกบทอมตะมีแค่สองคนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ หนึ่งคือลูกศิษย์ที่ข้ารับไว้ และอีกคนหนึ่ง…ก็คือลูกสาวของข้า” เทียนจุนพึมพำเหมือนไม่ได้พูดกับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กำลังพูดอยู่กับตัวเอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาถึงตรงนี้ ในสมองก็มีคลื่นลูกใหญ่โถมตัวขึ้นมา จิตวิญญาณของเขาเหมือนมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดผ่า นั่นเป็นเพราะหลังจากวันนั้นที่เขาเห็นกระดูกของตู้หลิงเฟย ในใจของเขาก็มีข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนจุน ความลับทั้งหมดจึงได้ถูกตีแผ่ออกมาตรงหน้าเขาแล้ว…

“น่าเสียดายที่ด้านหนึ่งเป็นเพราะข้าเตรียมตัวไม่พร้อม ด้านหนึ่งก็เพราะมีประสบการณ์ไม่พอ หลังจากลูกศิษย์ใหญ่คนนั้นของข้าจับได้ การหลอมยาอมตะมิวางวายครั้งแรกของข้ายังไม่ทันดำเนินการเสร็จก็ล้มเหลวไปเสียก่อน”

“แต่ว่าไม่เป็นไร ข้ายังมีโอกาสครั้งที่สอง…” เทียนจุนสูดลมหายใจเข้าลึก หันหน้ากลับมา มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเป็นประกาย ครั้นจึงเอ่ยเบาๆ

“เฟยเอ๋อร์”

เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น ตู้หลิงเฟยก็เดินออกมาจากความว่างเปล่าช้าๆ

วินาทีที่มองเห็นตู้หลิงเฟย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สีหน้าเศร้าสลดก็ยิ้มขื่น เขาเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!