บทที่ 1008 ทำไมพวกเจ้าถึงได้เห็นแก่ตัวกันขนาดนี้
หัวใจของเทียนฉุนเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกฉีกกระชาก ดูเหมือนว่าเรื่องราวบางอย่างที่สำคัญมากในชีวิตซึ่งเดิมทีจางหายไปแล้วได้หวนคืนมาอีกครั้งตามหลังคำพูดของตู้หลิงเฟย
สิ่งที่ลอยขึ้นมาในสมองคือภาพตอนที่ตู้หลิงเฟยยังเด็ก ภาพที่นางจับชายเสื้อของตนแล้วร้องเรียกตนว่าท่านพ่อด้วยเสียงอ้อแอ้…ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำเรียกขานซึ่งเฟยเอ๋อร์มีต่อตน…ไม่ใช่คำว่าท่านพ่ออีกต่อไป แต่เป็นคำว่า…บิดา
“เฟยเอ๋อร์…” ร่างของเทียนจุนสั่นสะท้านน้อยๆ ลมหายใจของเขาหอบหนักถี่กระชั้น ดวงตาของเขาฉายแสงแห่งการดิ้นรน
จะอย่างไรซะ…นางก็คือบุตรสาวของเขา คือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขา
แม้ชีวิตนี้เทียนจุนจะเป็นถึงนายแห่งโลกทงเทียนผู้สูงศักดิ์
ทว่าคู่บำเพ็ญกลับมีไม่มาก อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขายังไม่เคยมีลูกมาก่อนแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งตู้หลิงเฟยลืมตาขึ้นมาดูโลก นางจึงกลายมาเป็นบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ส่วนมารดาของตู้หลิงเฟย สำหรับเทียนจุนที่ใจคิดแต่จะออกไปจากโลกใบนี้ อีกฝ่ายจึงไม่ตำแหน่งใดๆ อยู่ในใจของเขา และนางก็จากโลกนี้ไปนานแล้ว
การดิ้นรนนี้รุนแรงยิ่งนัก เป็นดั่งสงครามระหว่างความเป็นมนุษย์กับความปรารถนา ตอนนี้จิตสำนึกของเทียนจุนแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่ายที่กำลังพยายามกำราบอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง
“เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย เพื่อออกไปจากโลกที่เป็นเหมือนกรงขังใบนี้ ถึงขนาดต้องสละเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง…มันคุ้มแล้วหรือ…” จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์กำลังร้องคำรามอย่างร้อนใจอยู่ในสมองของเขา
ภายใต้สถานการณ์ที่ด้านหนึ่งคือลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง ด้านหนึ่งคืออายุขัยที่เหลืออยู่อีกไม่มาก ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อรวมไปถึงความบ้าคลั่งที่อยากจะฝ่าออกไปจากโลกที่ปานประหนึ่งกรงขังใบนี้…
ตู้หลิงเฟยกำลังดิ้นรน เทียนจุนเอง…ก็กำลังดิ้นรนเช่นเดียวกัน!
“ท่านพ่อ…ขอร้องท่านล่ะ…” ตู้หลิงเฟยร้องไห้
เรือนกายของนางสั่นเทา เมื่ออยู่ภายใต้ตราผนึกทาส ทุกครั้งที่นางดิ้นรนก็เหมือนมีลมพายุพัดกระหน่ำอยู่ในจิตวิญญาณ ท่ามกลางลมพายุนั้น จิตวิญญาณของนางเป็นเหมือนระฆังโบราณที่อยู่ท่ามกลางคลื่นพิโรธซึ่งสามารถถาแหลกสลายได้ทุกเมื่อ
แต่นางก็ยังคงพยายาม ยังคงยืนหยัด นางไม่อยากทำร้ายป๋ายเสี่ยวฉุน นางไม่ต้องการให้บิดาของตนกลายมาเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ หัวใจนางเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด จึงทำได้เพียงร้องไห้อ้อนวอนราวกับเด็กเล็กคนหนึ่งที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้…
บิดาในความทรงจำของนางไม่ใช่อย่างนี้ ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่…
ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เขากลายมาเป็นคนที่นางไม่คุ้นเคย กลายมาเป็นคนที่ทำให้นางหวาดกลัว หลังจากที่นางแยกกับป๋ายเสี่ยวฉุนในแม่น้ำสายเหนือแล้วกลับมายังเกาะทงเทียน ตู้หลิงเฟยก็รู้สึกได้ว่าความสามารถในการคิดของตัวเองเริ่มเชื่องช้าลง จนกระทั่งได้ยินเสียงคำรามด้วยความซับซ้อนของบิดาที่ดังมาจากในตำหนักแห่งเต๋า นางก็สูญเสียการควบคุมเรือนกายไป ทว่าจิตสำนึกของนางยังคงอยู่ นางต้องทนเห็นตัวเองกลืนกินพลังชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนกับตา มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังตายไปช้าๆ เห็นสภาพที่น่าเวทนาของเขา หัวใจนางก็แหลกสลาย
“ท่านพ่อ…” ร่างของตู้หลิงเฟยยิ่งสั่นเทิ้มรุนแรง ตราผนึกทาสในดวงตาของนางกะพริบถี่อย่างถึงที่สุด จิตสำนึกที่พอจะฟื้นคืนมาได้น้อยนิดค่อยๆ ถูกแทงทะลุเป็นรูนับร้อยนับพันท่ามกลางการต่อต้านนี้ ทว่าคำพูดของนางเพิ่งจะดังออกมา เทียนจุนกลับเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แดงฉานของเขาเผยให้เห็นความบ้าคลั่ง
“หุบปาก! หุบปากเดี๋ยวนี้!!” เทียนจุนคำรามกร้าวหอบหายใจหนักหน่วง เสียงของเขาดังราวอสนีที่ระเบิดออกไปสี่ทิศ ความคลุ้มคลั่งในดวงตายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ความอ่อนโยนของความเป็นมนุษย์บัดนี้ก็ได้ถูกความปรารถนากำราบลงอย่างอยู่หมัด!
ภาพเหตุการณ์ในสมองที่เกี่ยวกับตู้หลิงเฟยถูกเขาลบทิ้งไปโดยตรง!
วินาทีนี้เขาไม่ใช่บิดาของตู้หลิงเฟยอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นเทียนจุนที่เพื่ออายุขัยของตัวเอง เพื่อความปรารถนาของตัวเองแล้ว ทุกค่าตอบแทนก็ล้วนไม่มีค่าสำหรับเขา!
“ผสานรวมกับป๋ายเสี่ยวฉุน เพื่อให้อมตะและมิวางวายกลายเป็นหนึ่งเดียวกันถึงจะเป็นภาระหน้าที่ของเจ้า แล้วก็เป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการมีตัวตนอยู่ของเจ้า!” ลมหายใจของเทียนจุนเริ่มสงบนิ่ง สีหน้าที่ดุร้ายของเขาเผยความเย็นชาไร้ปราณี ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วชี้ไปอย่างเฉยชา
ทันใดนั้นตราผนึกที่อยู่ในดวงตาของตู้หลิงเฟยก็กะพริบถี่รัวจนกลายมาเป็นสีชาด ราวกับว่าจิตสำนึกของนางได้ถูกกำราบลงไปแล้ว
และเมื่ออยู่ภายใต้ตราผนึกทาส มือขวาที่สั่นระริกของนางจึงยกขึ้นแล้วค่อยๆ กดลงไปกลางกระหม่อมของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
แต่ขณะที่กำลังจะเข้าไปใกล้ มือขวาของตู้หลิงเฟยกลับสั่นรุนแรงมากกว่าเดิม ต่อให้ดวงตาทั้งคู่จะแดงฉานเพราะตราผนึกทาส แต่แววดิ้นรนในดวงตาของนางกลับยังเปล่งวาบขึ้นมาอีกครั้งอย่างดื้อดึง แสงผลึกใสก็ยิ่งระเบิดออกมาจากร่างของนางรัวเร็วยิ่งขึ้น
“ข้า…ไม่…” น้ำตาของตู้หลิงเฟยไหลพรากมากกว่าเดิม แต่ละหยดที่ไหลลงมาล้วนร่วงกระทบลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ปากของนางเปล่งสองคำนี้ออกมาอย่างยากลำบาก ต่อให้เส้นเอ็นจะปูดนูนขึ้นมาบนหน้าผาก
ต่อให้จิตสำนึกในร่างที่กำลังต่อต้านตราผนึกทาสนี้จะทำให้เรือนกายของนางมีรอยเลือดเป็นเส้นๆ ปรากฏคล้ายร่างกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ต่อให้จิตวิญญาณของนางกำลังจะแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่านางกลับยังคงดิ้นรนและต่อต้านไม่หยุด
ความเด็ดเดี่ยวของตู้หลิงเฟยแสดงออกมาหมดในเวลานี้ การยึดมั่นของนาง การตัดสินใจที่เด็ดขาดของนางก็แสดงออกมาในเวลาเดียวกัน นี่คือการยอมให้ตัวเองแหลกลาญ แต่ไม่มีทางยอมทรยศต่อปณิธานของตัวเอง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่เหม่อมองทุกภาพเหตุการณ์นี้ ภายใต้สถานการณ์ที่สูญเสียพลังชีวิตแทบทั้งหมดไป จิตสำนึกของเขาจึงขุ่นมัวเต็มที เขาอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
เพียงแต่ว่าเมื่อน้ำตาที่หลั่งลงบนร่างแล้วแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังที่แห้งแตก หัวใจของเขากลับมีริ้วคลื่นเป็นวงๆ กระเพื่อมออกไปอย่างที่มิอาจลบเลือน…
“ลูกทรพี!” เมื่อเห็นว่าเพื่อต่อต้านตน ตู้หลิงเฟยถึงกับย่อมให้ร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเองแหลกสลาย ไฟโทสะของเทียนจุนก็ระเบิดออก เขาเดินออกไปหนึ่งก้าว มาปรากฏตัวอยู่ในบ่อน้ำสีดำโดยตรง
การมาของเขาทำให้น้ำวนในบ่อน้ำโคจรเร็วยิ่งกว่าเดิม ทว่าอักขระสีดำพวกนั้นกลับไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้เขา ได้แต่ว่ายวนไปรอบด้าน
ไม่ได้สนใจอักขระพวกนั้น ดวงตาของเทียนจุนเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง พอขยับเข้ามาใกล้เขาก็พลันยกมือซ้ายขึ้นแล้ววางลงไปบนกระหม่อมของตู้หลิงเฟย ขณะเดียวกันมือขวาก็ยกขึ้นไปวางบนกะโหลกศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เปราะบางจนใกล้จะแหลกสลายเต็มที
ก่อนจะจับหน้าผากของตู้หลิงเฟยและป๋ายเสี่ยวฉุน…เข้ามาแนบชนกันอย่างแรง!
“เดิมทีข้ายังวางแผนว่าเมื่อหลอมยาอมตะมิวางวายนี้เสร็จและออกไปจากโลกใบนี้ได้ สักวันหนึ่งที่ข้าได้กลายเป็นบุพกาล จะยังคิดหาวิธีช่วยให้เจ้าฟื้นคืนชีพอีกครั้ง…”
“แต่เจ้ากลับกล้าทรยศต่อเจตจำนงของข้า ทำไม!!”
“ทำไมเจ้าต้องทรยศต่อเจตจำนงของข้า!!”
สีหน้าของเทียนจุนดุร้ายน่ากลัวอย่างถึงที่สุด ทั่วทั้งร่างของเขาแผ่ความวิปลาสออกมา ไม่ว่าตู้หลิงเฟยจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ผล นางคิดจะทำลายตัวเอง ทว่าเมื่อมือใหญ่ของเทียนจุนกดลงบนกระหม่อม ความคิดนั้นจึงถูกทำลายย่อยยับ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ แม้แต่การดิ้นรนของจิตสำนึกก็ยังไม่มีประโยชน์ใดๆ
ยามนี้เมื่อถูกเทียนจุนบังคับ เรือนกายที่แห้งเหี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะท้าน ร่างของตู้หลิงเฟยเองก็สั่นเทิ้มเช่นกัน แสงสีทองและแสงผลึกใสบนร่างของพวกเขาเปล่งประกายออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และมีลางว่าจะผสานรวมเข้าด้วยกัน
“ข้าก็แค่ให้เจ้ากลืนกินเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่เท่านั้น ก็แค่ต้องการเอาพวกเจ้ามาหลอมเป็นยาอมตะมิวางวายเท่านั้น…หากมีทางเลือกอื่น ข้าก็ไม่อยากทำอย่างนี้!”
เทียนจุนคำรามเสียงแหบพร่า ราวกับว่ามีเพียงแผดเสียงออกมาให้ดังที่สุดเท่านั้นถึงจะโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อได้…แล้วก็เหมือนว่า ทุกอย่างที่เขาพูดไปในตอนนี้ ไม่ใช่พูดให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยฟัง แต่พูดให้ตัวเองฟัง
“แต่ข้าก็ไม่สามารถเดิมพันได้ว่าหลังจากที่คนเฝ้าสุสานตายไปแล้ว ประตูแห่งโลกจะเปิดออกด้วยตัวเอง หรือว่าปิดผนึกไปตลอดกาล หากมันถูกปิดตาย ถ้าเช่นนั้นต่อให้หลอมยาอมตะมิวางวายได้สำเร็จก็ยังไม่อาจเปิดมันออกได้ ทว่าขอแค่หลอมพวกเจ้า กินยาอมตะมิวางวายเข้าไป ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงมันให้กลายมาเป็นวิชาอมตะมิวางวายได้!”
“ด้านหนึ่งคือเหตุการณ์ที่ไม่ล่วงรู้ และหากมันเกิดขึ้นก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก ส่วนอีกด้านหนึ่งคือความสำเร็จที่แน่นอน หากพวกเจ้าเป็นข้า พวกเจ้าก็ต้องเลือกอย่างนี้!!”
“และหากข้าทำสำเร็จ เมื่อถึงเวลานั้น…ข้าก็จะไม่ใช่ว่าที่เทียนจุนอีกต่อไป แต่จะเป็นเทียนจุนที่แท้จริง สอดคล้องกับปณิธานแห่งโลก คิดจะออกไปจากโลกใบนี้ก็อยู่ที่แค่ความคิดเดียว!”
“ทำไมเจ้าต้องต่อต้าน!! เหมือนที่ปีนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้าต่อต้านข้า ทำไมกัน!! นางทำเพื่อบรรพบุรุษโลหิตผู้นั้น ส่วนเจ้าก็ทำเพื่อป๋ายเสี่ยวฉุน ทำไม!!”
“ขอแค่ข้าออกไปได้ ด้วยพรสวรรค์ของข้า ข้าต้องกลายมาเป็นบุพกาลได้แน่นอน แล้วข้าก็จะมีความสามารถที่จะฟื้นคืนชีพให้พวกเจ้า!!”
“ทำไม…พวกเจ้าถึงได้เห็นแก่ตัวกันขนาดนี้!!” เสียงคำรามของเทียนจุนทำให้โลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พายุโหมกระหน่ำ ก้อนเมฆกลิ้งซัดหลุนๆ ทั่วทุกมุมในมหาสมุทรทงเทียนมีแต่คลื่นลูกใหญ่โถมตัว
และตำหนักใต้ดินแห่งนี้ เมื่อพลังอำนาจของเทียนจุนแผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คลื่นอารมณ์ที่รุนแรงสุดโต่งของเขา ค่ายกลของตำหนักใต้ดินพลันหมุนโคจรถึงระดับสูงสุด ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง น้ำวนในบ่อน้ำสีดำยิ่งขยายใหญ่ โครงกระดูกทั้งหมดที่อยู่รอบด้านล้วนหลอมละลาย
ขณะเดียวกันร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยก็เริ่มผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน!
ราวกับว่าค่ายกลนี้ก็คือเตาหลอมขนาดใหญ่ยักษ์ยิ่งกว่า เป็นเตาหลอมที่กำลังจะหลอมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในค่ายกลให้กลายมาเป็น…
ยาอมตะมิวางวายเม็ดหนึ่ง!