Skip to content

A Will Eternal 1009

บทที่ 1009 ไฟยี่สิบสองสี

นี่เป็นวิกฤตอันตรายที่รุนแรงที่สุดในชีวิตนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เขามิอาจหยุดยั้ง แล้วก็ไม่มีเรี่ยวแรงให้ดิ้นรน เมื่อเทียนจุนลงมือบังคับให้เขาผสานรวมกับตู้หลิงเฟย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เหมือนจะกลายมาเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

กำหนดให้พลังการฝึกตนตลอดชีวิตของเขาต้องมาผสานรวมกับตู้หลิงเฟยในท้ายที่สุด ซึ่งเมื่ออยู่ภายใต้ค่ายกลที่เป็นดั่งเตาหลอมนั้น ทั้งเขาและตู้หลิงเฟยล้วนต้องกลายมาเป็นโอสถเม็ดใหญ่ล้ำโลกที่จะพาเทียนจุนหนีออกไปจากกรงขังอย่างที่เขาต้องการ

จุดจบเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยคิดถึงมาก่อน ต่อให้บุรพาจารย์หันเหมินจะพูดด้วยถ้อยคำที่แฝงความหมายลึกล้ำไว้นานแล้วว่า ไม่ช้าก็เร็ว เขากับเทียนจุนต้องแตกหักกัน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเชื่ออย่างไร้เดียงสาว่ามีตู้หลิงเฟยอยู่ ตนกับเทียนจุนไม่มีความแค้นลึกล้ำอะไรต่อกัน ทั้งเบื้องหลังเขายังมีคนเฝ้าสุสาน ยังมีลูกศิษย์ป๋ายฮ่าว ไพ่ตายมากมายที่มีอยู่ในมือจึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เพียงแต่ว่า…ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพียงบุปผาในกระจก จันทราในสายน้ำเท่านั้น…

จิตสำนึกของเขาพร่าเลือนไปนานแล้ว ทว่าปราณที่ส่งมาจากร่างของตู้หลิงเฟยขณะที่คนทั้งสองรวมร่างเป็นหนึ่งกลับทำให้สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนแจ่มชัดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง

“บางทีทุกอย่างนี้ อาจเป็นแผนการของ…คนเฝ้าสุสาน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ก่อนที่จิตสำนึกจะพร่าเลือนไปอีกครั้ง

แทบจะขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ว่าคนเฝ้าสุสานน่าจะเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่งที่ทำให้ตนตกอยู่ในอันตรายครั้งนี้ ในแดนทุรกันดาร กลางซากปรักหักพังของนครสามชั้นเบื้องล่างซึ่งอยู่จุดลึกใต้ดินของนครจักรพรรดิขุย บนเจดีย์ที่ผุพังหลังนั้น คนเฝ้าสุสานที่นั่งขัดสมาธิลืมตาที่ขุ่นมัวทั้งคู่ขึ้นมา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน หวังว่าเจ้า…จะไม่เกลียดข้า นี่คือภาระหน้าที่ของข้า…แล้วก็เป็นภาระหน้าที่ของจักรพรรดิหมิงเช่นกัน” คนเฝ้าสุสานขมขื่น พอเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังความว่างเปล่าอย่างเชื่องช้า

ปลายทางของความว่างเปล่าในแดนทุรกันดารมีแม่น้ำใหญ่ที่คนนอกมองไม่เห็นอยู่สายหนึ่ง น้ำของแม่น้ำสีดำสนิทแห่งนี้ไหลรินต่อเนื่องไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นตัวแทนที่ตรงกันข้ามกับความมีชีวิตชีวาของมหาสมุทรทงเทียน แม่น้ำสายนี้เป็นตัวแทนของ…ความตาย

ในแม่น้ำมีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนว่ายวน วิญญาณพวกนี้ร้องคำรามขัดขืน แต่กลับไม่สามารถไปจากแม่น้ำสายนี้ได้ ได้แต่ไหลไปไกลตามกระแสน้ำ ถูกส่งเข้าไปยังวัฏจักรสังสาร…

นามของแม่น้ำสายนี้คือ แม่น้ำอเวจี

ปลายทางของความว่างเปล่า ต้นกำเนิดของแม่น้ำอเวจี…มีตำหนักสีดำทะมึนใหญ่โตโอ่อ่าตั้งอยู่หลังหนึ่ง ตำหนักหลังนี้แผ่ปราณแห่งความตายอบอวล มีแต่ความเย็นเยียบอึมครึมรายล้อม ไม่มีแสงไฟอยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว

นี่ก็คือ…ตำหนักหมิง!

ในตำหนักหมิง ป๋ายฮ่าวที่เป็นจักรพรรดิหมิงองค์ปัจจุบันนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดจักรพรรดิ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้น

ทว่าบนใบหน้าของเขากลับไร้ความน่าเกรงขามอย่างที่เคยมี

แต่เต็มไปด้วยความร้อนรน ระดับความร้อนใจนี้ของเขารุนแรงจนแทบจะส่งผลกระทบต่อตำหนักหมิง ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำอเวจี ทำให้แม่น้ำที่รายล้อมอยู่รอบด้านมีเสียงคลื่นลูกใหญ่โถมกระหน่ำดังขึ้นมาเป็นระยะ

ในดวงตาของป๋ายฮ่าวเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ก่อนหน้านี้เขาเห็นกับตาตัวเองว่าคนเฝ้าสุสานพ่ายแพ้ให้กับมือใหญ่ของเทียนจุน ส่วนการลงมือของเขาก็ถูกเทียนจุนทำลายจนย่อยยับไปเช่นกัน

และต่อให้ป๋ายฮ่าวจะไม่รู้จุดประสงค์ทั้งหมดที่เทียนจุนซึ่งมาเยือนด้วยเจตนาร้ายพาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไป แต่เขาก็พอจะเดาได้บางส่วน เขารู้ว่าตอนนี้อาจารย์ของตนต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน!

เขาเข้าใจดีว่า เมื่อทอดสายตามองไปทั่วโลกใบนี้ ตอนนี้คนเดียวที่จะช่วยอาจารย์ได้…มีเพียงตนเท่านั้น!

เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนเฝ้าสุสานอ่อนแอมากแค่ไหน แล้วเขาก็รู้ด้วยว่าตอนนี้คนเฝ้าสุสานอาจกลับคืนสู่ความว่างเปล่าได้ทุกเมื่อ อีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว และเขาก็ยิ่งเข้าใจดีว่าต่อให้ตนเป็นจักรพรรดิหมิง ทว่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทียนจุนอยู่ดี…

“อาจารย์…” ป๋ายฮ่าวเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงขมขื่น ในใจมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่ตนเคยอยู่ร่วมกับอาจารย์ในแดนทุรกันดารผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

นั่นคือญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา นั่นคือคนที่เขาซาบซึ้งใจที่สุดในชีวิตนี้ นั่นคือคนที่เขาป๋ายฮ่าวเคยสาบานว่าจะปกป้องด้วยชีวิต…

และนั่นก็คือ…ช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตนี้ของเขา

ไม่นานภาพเหตุการณ์ในสมองก็จางหายไป สุดท้ายหลงเหลืออยู่เพียงภาพที่…ตราตรึงลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขา ภาพที่ชีวิตนี้เขามิอาจลบเลือนไปได้

ในภาพเหตุการณ์นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนหันหลังให้กับตนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป จะรับตนเข้าเป็นศิษย์…

“อาจารย์…” ทว่าคราวนี้ป๋ายฮ่าวกลับยิ้มออก รอยยิ้มของเขามีความเด็ดเดี่ยว มีความเฉียบขาด ทั้งยิ่งมากด้วยความยืนหยัดแกร่งกร้าว!

เขาเข้าใจดีว่าคิดจะช่วยอาจารย์ออกมาจากเทียนจุนที่อยู่บนเกาะทงเทียน…มีเพียงวิธีเดียวที่พอจะทำได้!

นั่นก็คือ…หลอมไฟยี่สิบสองสีที่…ฝ่าทะลุขีดจำกัดของโลกใบนี้!

ก่อนหน้านี้ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นคนฟ้าได้แล้ว แต่ป๋ายฮ่าวกลับไม่เคยหยุดศึกษาและอนุมานตำรับไฟยี่สิบสองสี มาจนถึงท้ายที่สุด ภายใต้การอนุมานอย่างต่อเนื่องของเขา เขาก็ได้บรรลุแล้วว่าขีดจำกัดของโลกใบนี้ก็คือไฟยี่สิบเอ็ดสี

เว้นเสียแต่ว่ามีสถานการณ์ที่พิเศษ หาไม่แล้วห้ามให้ไฟยี่สิบสองสีปรากฏขึ้นเด็ดขาด เพราะไฟยี่สิบสองสีอยู่เหนือขีดจำกัดของโลก สามารถมองไฟหลากสีทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่ามันเป็นไฟธรรมดาได้ เพราะไฟยี่สิบสองสีก็คือไฟแห่งเซียน!

และหากไฟสิบสองสีปรากฏตัว มันก็จะกลายมาเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกใบนี้ ไฟยี่สิบสองสีนั้นจะสามารถเผาผลาญทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในโลกใบนี้ให้มอดไหม้

ซึ่งไฟแบบนี้ก็มากพอที่จะต้านทานเทียนจุน ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ป๋ายฮ่าวจะช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนออกมาจากเงื้อมมือของเทียนจุน!

เพียงแต่ว่า…คิดจะหลอมไฟยี่สิบสองสี บนโลกใบนี้กลับไม่มีวิญญาณที่เอามาหลอมไฟได้อีกแล้ว ต่อให้เอาวิญญาณทั้งหมดที่มีอยู่ในแม่น้ำอเวจีมา แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดอยู่แค่ไฟยี่สิบเอ็ดสีเท่านั้น

“มีเพียงวิธีเดียว…” ป๋ายฮ่าวพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ความยืนกรานในดวงตาของเขาเข้มข้นถึงขีดสุด เด็ดเดี่ยวเกินจะหาสิ่งใดเปรียบ!

วิธีการนี้ก็คือการอ้างอิงตามวิธีหลอมไฟของตระกูลเมี่ยวหลินเอ๋อร์ นั่นคือเอาวิญญาณของจักรพรรดิหมิงมาเป็นวัตถุดิบหลัก เผาไหม้ตัวเอง หลอมดวงวิญญาณของตัวเอง…ถึงจะสามารถหลอมไฟยี่สิบสองสี…ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนโลกใบนี้ออกมาได้!

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่ถึงจะทำได้!

เพราะอย่างไรซะเขาก็คือจักรพรรดิหมิง คือบุคคลที่เป็นดั่งทวยเทพแห่งดวงวิญญาณที่ควบคุมแม่น้ำอเวจี ควบคุมวัฏจักรสังสารของโลกใบนี้!

“อาจารย์…ข้าจะช่วยท่านเอง…” ป๋ายฮ่าวคลี่ยิ้ม ยิ้มไปยิ้มมา น้ำตาก็ไหลเป็นทาง ทว่ากลับมิอาจเขย่าคลอนการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของเขาได้

ต่อให้วิธีนี้จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลจนเขามิอาจแบกรับได้ไหว แต่เขาก็ยัง…ไม่เสียใจ!

ต่อให้วิธีนี้จะทำให้นับแต่นี้ไป…ทุกการดำรงอยู่ของป๋ายฮ่าวจะถูกลบทิ้ง แต่เขาก็ยัง…ไม่เสียดาย!

เพราะว่า นั่นคืออาจารย์ของเขา นับตั้งแต่วินาทีที่คุกเข่ากราบคำนับป๋ายเสี่ยวฉุนในปีนั้น เขาก็ตัดสินใจแล้วว่า..บุญคุณของอาจารย์ยิ่งใหญ่ดุจสวรรค์!

น้ำตาของเขาไม่ใช่ของจริงที่จับต้องได้ วินาทีที่มันไหลลงมาจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำอเวจี ป๋ายฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วพลันยกมือขวาขึ้นโบกอย่างแรง

“วิญญาณจงมา!”

ทันใดนั้นวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในแม่น้ำอเวจีนอกตำหนักหมิงก็พลันกรูเกรียวกันมาจากสี่ด้านแปดทิศ พอลอดทะลวงเข้ามาในตำหนักหมิงก็มาล้อมวนอยู่รอบกายป๋ายฮ่าว จนค่อยๆ กลายมาเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์

น้ำวนนี้เคลื่อนโคจรเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น มือซ้ายของป๋ายฮ่าวทำมุทราชี้มาที่หว่างคิ้วของตัวเอง พริบตาเดียวร่างของเขาก็ติดไฟ เปลวเพลิงพลันพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของเขา!

นี่คือไฟหนึ่งสี…

ยังไม่สิ้นสุด เมื่อมือทั้งคู่ของป๋ายฮ่าวทำมุทราว่องไว ทะเลวิญญาณที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งหมุนคว้างเร็วกว่าเดิม ดวงวิญญาณแต่ละดวงบินออกมาผสานรวมอยู่ในร่างของป๋ายฮ่าว ทำให้เปลวเพลิงบนร่างของเขาเพิ่มระดับขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง

ไฟสองสี ไฟสามสี ไฟสี่สี…

และเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ทะเลเพลิงบนร่างของป๋ายฮ่าวก็ยิ่งแผ่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ส่วนสีที่อยู่ในนั้นก็มีมากถึงสิบหกสีแล้ว!

ยังคงดำเนินต่อไป!

หากจะบอกว่าบนโลกใบนี้จะมีใครสักคนที่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟเทียบเท่าป๋ายเสี่ยวฉุน หรืออาจถึงขั้นล้ำหน้าเขาไปได้เล็กน้อย…ถ้าอย่างนั้นคนคนนี้ ก็มีแค่เพียง…ลูกศิษย์ของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิหมิงองค์ปัจจุบันอย่าง…ป๋ายฮ่าวเท่านั้น!

ท่ามกลางเสียงอึกทึกเกริกก้อง เปลวเพลิงยิ่งลุกท่วมร่างของป๋ายฮ่าว ในทะเลวิญญาณที่อยู่รอบด้านมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งเปลวไฟบนร่างของป๋ายฮ่าวกลายมาเป็นสิบเจ็ดสี สิบแปดสี จนถึงสิบเก้าสี…

แต่ก็ยังไม่สิ้นสุด!

ความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของป๋ายฮ่าวยิ่งมั่นคงหนักแน่น มือทั้งคู่โบกสะบัดออกไป วิญญาณทุกดวงที่ล้อมวนอยู่รอบกายเขาพลันตัวสั่นเทิ้ม หลังจากที่พวกมันกรูกันเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าเสียงหนึ่งก็กึกก้องอยู่ตรงต้นกำเนิดแม่น้ำอเวจี ที่ตั้งของตำหนักหมิงแห่งนี้

ยี่สิบสี!

ยี่สิบเอ็ดสี!

จนกระทั่งบัดนี้ ป๋ายฮ่าวถึงได้เงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าแล้วแผดเสียงร้องคำรามแหบโหยที่ดังที่สุดในชีวิตของเขา!

ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ ดวงวิญญาณของเขา…พลันลุกไหม้ อาศัยพลังของการลุกไหม้ อาศัยดวงวิญญาณจักรพรรดิหมิงของตัวเอง ใช้แม่น้ำอเวจีเป็นราก ใช้ดวงวิญญาณเป็นฐาน ในดวงตาทั้งคู่ของป๋ายฮ่าวก็มีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเช่นกัน และบัดนี้ไฟยี่สิบเอ็ดสีที่กำลังลุกไหม้ท่วมร่างของเขา…ก็เริ่มมี…สีเพิ่มขึ้นมาอีกสีหนึ่ง!

ซึ่งก็คือ…ไฟยี่สิบสองสี!!

วินาทีที่ไฟยี่สิบสองสีปรากฏตัว ฟ้าดินทั่วทั้งแดนทุรกันดารเป็นเหมือนปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่านักพรตของสองฝ่ายที่อยู่บนสนามรบต่างใจสั่นสะท้านอย่างไม่รู้สาเหตุ ราวกับว่ามีปราณขุมหนึ่งที่พวกเขามองไม่เห็น แต่กลับทำให้จิตวิญญาณสั่นคลอนกำลังเยื้องกรายลงมาบนโลกใบนี้กะทันหัน!

ก่อกำเนิดก็ดี คนฟ้าก็ช่าง ต่อให้เป็นครึ่งเทพ…บัดนี้ก็ยังใจแกว่ง สูดหายใจดังเฮือกด้วยความตะลึงพรึงเพริด!

ไม่เพียงแต่แดนทุรกันดารเท่านั้น ยังรวมไปถึงทุกสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินทงเทียนที่ไม่ว่าจะเป็นนักพรตหรือสัตว์ร้าย ต่อให้เป็นพืชพรรณ หรือแม้แต่คนธรรมดาเองก็ตาม ทุกคนล้วนรู้สึกแบบเดียวกันอย่างไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น

อีกทั้งขณะนี้บนท้องฟ้ายังมีตาข่ายแห่งโลกปรากฏขึ้นมาครอบคลุมแผ่นฟ้าเอาไว้ด้วยขอบเขตกว้างใหญ่อย่างที่…ไม่เคยปรากฏมาก่อน!!

และวินาทีนั้นข้างหูของทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกก็เหมือนจะได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ เสียงหนึ่งที่มาจากความว่างเปล่า มาจากอานุภาพสยบไร้คำบรรยายซึ่งดังก้องอยู่ในฟ้าดิน!

“อาจารย์…ข้ามาช่วยท่านแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!