บทที่ 1019 ปราณของบรรพบุรุษขุย
นั่นคือดวงตาคู่หนึ่งที่…ฝั่งซ้ายเป็นสีทอง ฝั่งขวาเป็นผลึกใส!
นั่นคือดวงตาคู่หนึ่งที่…ไม่มีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างที่เคยเป็นในอดีต!
นั่นยิ่งเป็นดวงตาคู่หนึ่งที่…พอลืมตาขึ้นก็ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน ขณะเดียวกันก็แฝงเร้นไว้ด้วยความเคียดแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด!
ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาโพลง ซากปรักหักพังของนครสามชั้นใต้ดินก็มีพายุบ้าคลั่งลูกหนึ่งโถมกระหน่ำ พายุลูกนี้ตรงเข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดของนครสามชั้นเบื้องล่าง ขณะเดียวกันก็ได้ระเบิดทะยานขึ้นไปบนนครจักรพรรดิขุยเช่นกัน!
ความแข็งแกร่งของคลื่นระลอกนี้ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนที่อยู่ในโลก…สั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง!
บนเกาะทงเทียน บรรพบุรุษโลหิตที่ประหัตประหารอยู่กับเทียนจุนซึ่งอาการบาดเจ็บสาหัสจนอาจตายดับได้ทุกเมื่อ แต่กลับยังคงยืนหยัดต่อไป บัดนี้พอสัมผัสได้ถึงคลื่นของโลกที่ส่งมาจากในแดนทุรกันดาร เสียงหัวเราะที่แหบเครือของเขาก็ดังก้องไปสี่ทิศ
“โจรชั่วทงเทียน เจ้าสัมผัสได้หรือยัง…”
เทียนจุนที่เดิมทีหน้าก็เขียวอยู่แล้ว ตอนนี้สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่สุดขีด ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น พลันเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่ตั้งของนครจักรพรรดิขุยในแดนทุรกันดาร ก่อนจะเค้นคำสามคำลอดไรฟันออกมา…
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…”
กลางนครจักรพรรดิขุย ราชาผียักษ์ตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พลันก้มหน้าลงมองเบื้องล่างด้วยสายตาเหลือเชื่อคล้ายตื่นตะลึงยิ่งกว่าตอนที่สัมผัสได้ถึงการตายของคนเฝ้าสุสานก่อนหน้านี้เสียอีก
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ราชาเทพจุติ ราชาเก้านรกภูมิและราชาชิงชัยสามคนต่างก็สูดลมหายใจดังเฮือก ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึงมองลงไปยังพื้นดินอย่างพร้อมเพรียงกัน
ต้าเทียนซือเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ขนาดเขาที่เป็นคนมีสติมั่นคง บัดนี้ก็ยังอดร้องอุทานด้วยความตกใจไม่ได้
“ปราณนี้…”
ฟ้าดินดังสะเทือนเลือนลั่น เมื่อคลื่นระลอกนั้นผุดผงาดขึ้นมา ท้องฟ้าที่เป็นสีเทาหม่นเพราะกำลังเดินสู่ความตายก็มีน้ำวนขนาดมโหฬารปรากฏขึ้น ราวกับว่าโลกทั้งใบที่กำลังจะตายได้ใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายมากู่ร้องด้วยความยินดีเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต…
บุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักต้นแม่น้ำทั้งสี่ในแผ่นดินทงเทียน รวมไปถึงองค์รักษ์เทพสองคนของเกาะทงเทียนต่างก็หน้าเผือดสี ในใจของคนทั้งหกบังเกิดความกระวนกระวายรุนแรงถึงขีดสุด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอารมณ์ซึ่งควบคุมไม่ได้นี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความหวาดกลัว!
โดยเฉพาะบุรพาจารย์ซิงคงที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงหนักยิ่งกว่าใคร เขาจ้องเขม็งไปยังพื้นดิน ในใจมีคลื่นลูกยักษ์กลบทับ นั่นเป็นเพราะว่าปราณนี้แข็งแกร่งจนทำให้ตบะในกายของพวกเขาสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดด้วย
“ป๋าย เสี่ยว ฉุน…”
ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนตะลึงพรึงเพริด จักรพรรดิขุยที่อยู่ในวังหลวงก็ลืมตาโพลง ดวงตาฉายความตื่นตะลึง การรับสัมผัสของเขาชัดเจนยิ่งกว่าผู้ใด สิ่งที่เขาสัมผัสได้เป็นอันดับแรกก็คือจุดลึกของใต้ดินในเวลานี้มีปราณ…ที่คล้ายกับว่ามาจากต้นกำเนิดเดียวกับสายเลือดของเขาส่งผ่านออกมา!
อีกทั้งความแข็งแกร่งของสายเลือดอีกฝ่ายยังเหนือกว่าตัวเขาเอง…ในสายตาของจักรพรรดิขุย นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ทว่ามันกลับ…เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง จุดลึกของพื้นดินในนครจักรพรรดิขุย ในพายุโหมกระหน่ำที่รุนแรงถึงขีดสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น แต่เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืนทันที แค่ค่อยๆ สูดลมหายใจ…เข้าลึก
การสูดลมหายใจครั้งนี้ทำให้วิชาอมตะมิวางวายในร่างของเขาผสานรวมเสร็จสิ้นเพียงชั่วพริบตา มันไหลเวียนทะลุไปทั่วทั้งร่างของเขาโดยที่ไม่มีอุปสรรคและการติดชะงักใดๆ อีก กายเนื้อครึ่งเทพขั้นสูงสุด ตบะครึ่งเทพช่วงต้นผสานรวมเป็นหนึ่ง ปราณที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจึงแผ่ความเก่าแก่โบราณ กลายมาเป็นพลังอำนาจที่ทำให้โลกทั้งใบ…ซึ่งพออยู่ต่อหน้าเขาก็คล้ายจะต้องยอมก้มหัวให้อย่างยินยอมพร้อมใจ!
นั่นคือความรู้สึกอย่างหนึ่ง…ที่ราวกับว่าตนได้กลายมาเป็นนายของโลก นั่นคือความรู้สึกอย่างหนึ่ง…ที่ราวกับว่าได้รับการยอมรับจากโลกทั้งใบ!
หนึ่งความคิดก็ทำให้สรรพชีวิตก้มหัว หนึ่งสายตาก็ทำให้ภูเขาแม่น้ำแปรเปลี่ยน!
ความแข็งแกร่งเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่ในใจของเขากลับไร้ซึ่งความปิติยินดี เขามีแต่ความขมขื่น ซับซ้อนและหนักอึ้งในหัวใจ
หากค่าตอบแทนที่แลกมาด้วยความแข็งแกร่งนี้คือต้องสูญเสียตู้หลิงเฟย ต้องเสียสละป๋ายฮ่าว เสียสละสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในโลกใบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางเลือกมันเด็ดขาด
ทว่าคนเฝ้าสุสานได้ช่วยเขาเลือกแล้ว สำหรับคนเฝ้าสุสานที่แอบผลักดันเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างลับๆ แต่สุดท้ายกลับต้องสละทุกอย่างเพื่อทำให้ตัวเองสมปรารถนา ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งซาบซึ้งในพระคุณทั้งเกลียดแค้น เป็นความรู้สึกที่ตัดสลับซับซ้อนกันอยู่ในใจ เขาซาบซึ้งในบุญคุณที่คนเฝ้าสุสานช่วยชีวิต ซาบซึ้งในบุญคุณที่คนเฝ้าสุสานมอบโชควาสนาครั้งใหญ่ให้
แต่ความซาบซึ้งในบุญคุณไม่ได้หมายความว่าเขาจะมองข้ามความตายของป๋ายฮ่าว หลงลืมหยาดน้ำตาของตู้หลิงเฟยไปได้
ดังนั้นเขาจึงมีความเกลียดแค้น ชิงชังที่ตัวเองไร้ความสามารถ เกลียดที่คนเฝ้าสุสานผลักดันเรื่องทุกอย่างนี้ให้เกิดขึ้นเพื่อทำภาระหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ ทว่าความเกลียดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมบุญคุณช่วยชีวิตของอีกฝ่าย ลืมการที่อีกฝ่ายมอบโชควาสนาให้ สุดท้ายเขาจึงแยกความรู้สึกของตัวเองไม่ออกอีกต่อไป…ได้แต่จมอยู่ในความสับสนและความขมขื่นอย่างลึกล้ำ!
ทว่าสำหรับนักพรตทงเทียนที่สร้างทุกอย่างนี้ขึ้นมากับมือของตัวเอง ความเกลียดแค้นของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรุนแรงอย่างถึงที่สุด รุนแรงจนพวยพุ่งเทียมฟ้า!
เขาสัมผัสได้แล้วว่า…เมื่อคนเฝ้าสุสานตายไป โลกใบนี้ก็กำลังเดินเข้าสู่ความตาย…เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ โลกใบนี้คงต้องโรยรา เมื่อถึงเวลานั้น…ทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกจะต้องตายไปพร้อมกับมันทั้งหมด
เขาสัมผัสได้ว่าบนเกาะทงเทียนกำลังมีศึกล้ำโลกปะทุอยู่…แล้วก็สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่อันตรายล่อแหลมในนครจักรพรรดิขุย
“ตายกันหมดแล้ว…เทียนจุน ทำไมเจ้า…ถึงยังมีชีวิตอยู่!!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก็พลันเงยหน้าขึ้นแล้วแผดเสียงที่ดังเกินกว่าอสนีบาตให้ระเบิดกังวานไปทั่วโลกทั้งใบ
พลังอำนาจบนร่างของเขาก็ยิ่งผงาดพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การระเบิดที่สะเทือนเลือนลั่นปฐพีนี้ ร่างของเขาค่อยๆ ผุดลุกขึ้นจากการนั่งขัดสมาธิ!
เมื่อเขาลุกขึ้นยืน แผ่นดินก็เหมือนมีมังกรดินพลิกตัว นักพรตสองฝ่ายทั้งในและนอกนครจักรพรรดิขุยต่างก็จิตวิญญาณว่างเปล่า ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดนี้พวกเขาไม่ลงมือต่อกันอีกต่อไป แต่ต่างคนต่างถอยห่างออกจากกันด้วยลมหายใจติดขัด
ความรู้สึกหวาดกลัวและกริ่งเกรงอย่างหนึ่งที่เป็นไปตามสัญชาตญาณได้บังเกิดขึ้นมาในใจพวกเขาโดยที่มิอาจควบคุม ไม่ว่าจะมีตบะอะไร ต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ยังรู้สึกแบบเดียวกัน!
แผ่นดินสั่นสะเทือนด้วยเสียงครืนครั่น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว!
วินาทีที่เท้าเหยียบลงพื้น ร่างของเขาก็หายไปจากสามนครเบื้องใต้ เมื่อปรากฏตัว…ก็มาอยู่กลางอากาศของนครจักรพรรดิขุยแล้ว!
การปรากฏตัวของเขาทำให้น้ำวนบนท้องฟ้ายิ่งโคจรเร็วจี๋ดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม ทำให้โลกทั้งใบที่กลายเป็นสีเทาหม่นคล้ายจะมีแสงสว่างหวนกลับคืนจึงปลดปล่อยประกายแสงหลากสี ซึ่งแสงที่สาดส่องไปแปดทิศนี้มีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลาง!
แสงหลากสีปกคลุมโลกทั้งใบ นักพรตสองฝ่ายที่อยู่บนสนามรบไม่มีใครที่เสียงอึงอลสะท้านฟ้าไม่ดังก้องอยู่ในหัวใจและหัวสมอง พวกเขามองเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนท้องฟ้าด้วยลมหายใจหอบหนัก ตบะของพวกเขาบัดนี้ก็พลันสั่นสะท้าน แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังไม่มั่นคง ราวกับว่าจุดลึกในจิตวิญญาณของทุกคนมีปณิธานบางอย่างที่สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าผ่านสายเลือดของพวกเขาผุดขึ้นมา!
นั่นคือ…ความกริ่งเกรงที่มีต่อจักรพรรดิขุยรุ่นแรก!
ในวังหลวง จักรพรรดิขุยองค์ปัจจุบันตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาทั้งคู่ของเขาสาดประกายเจิดจ้า ปฏิกิริยาตอบสนองของเขารุนแรงกว่าทุกคนมากนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในสายตาของเขาเหมือนไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดิมอีกต่อไป แต่เหมือนกับว่าเขาได้เห็น…จักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่งมากกว่า!
“บรรพบุรุษขุย…”
ความเคารพยำเกรงและความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อนที่มาจากในสายเลือดทำให้จักรพรรดิขุยองค์ปัจจุบันทะยานตัวขึ้นไปกลางอากาศโดยตรง ครั้นจึงคุกเข่าให้แก่…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
แม้ว่าเขาจะถูกต้าเทียนซือกำราบเอาไว้จนเป็นได้แค่หุ่นเชิด
แต่ต่อให้เป็นต้าเทียนซือก็ยังมิอาจบังคับให้เขาคุกเข่าคำนับให้ได้ บนโลกใบนี้ คนที่มีคุณสมบัติมากพอจะให้เขายอมคุกเข่าได้ ก่อนหน้านั้นมีแค่คนเฝ้าสุสาน แต่ตอนนี้…กลับมีเพียงแค่ป๋ายเสี่ยวฉุน!
“ขุยซือเต้าคารวะบรรพบุรุษขุย!”
เมื่อจักรพรรดิขุยคุกเข่าคำนับ เงาร่างมากมายก็ทยอยกันทะยานขึ้นไปกลางอากาศ แต่ละคนล้วนเป็นลูกหลานที่มีสายเลือดของจักรพรรดิขุยไหลเวียนอยู่ในกาย บัดนี้พวกเขาที่กระตือรือร้นล้วนพากันกราบคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
เสียงร้องเรียกขานเหล่านั้นกลายมาเป็นคลื่นเสียงที่แผ่กระจายไปแปดทิศ ในนครจักรพรรดิขุย ผู้ฝึกวิญญาณทุกคน พระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์ทั้งหมด…ล้วนทำตามความยำเกรงที่มาจากจุดลึกของของจิตวิญญาณ โดยการพากันคุกเข่าคำนับป๋ายเสี่ยวฉุน
“คารวะบรรพบุรุษขุย!”
“คารวะ…บรรพบุรุษขุย!!”
เมื่อทุกคนพร้อมใจกันร้องตะโกนเต็มเสียงด้วยความกระตือรือร้น
พวกราชาผียักษ์ รวมไปถึงครึ่งเทพหกท่านของแผ่นดินทงเทียนต่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรง ต่อให้พวกเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพ ทว่าตอนนี้เมื่อจิตวิญญาณสะท้านไหว ดวงตาก็ยังเผยความตะลึงลานออกมาอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตราประทับที่คล้ายจะถูกตราตรึงไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณทุกคนมานับตั้งแต่โลกถือกำเนิด นับตั้งแต่ทุกชีวิตก่อเกิดกำลังบอกพวกเขาอย่างเร่งร้อนว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตอนนี้ ก็คือเจ้าเหนือหัวของพวกเขา!
พลังทางสายเลือดที่มาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ในใจของพวกเขาบังเกิดความหวาดเกรงไร้ที่สิ้นสุด และพลานุภาพสยบที่มาจากบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
ราชาผียักษ์สูดลมหายใจเข้าลึก ในฐานะที่เป็นครึ่งเทพ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาโค้งตัวต่ำคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน!
“คารวะบรรพบุรุษขุย!”
จากนั้นก็เป็นราชาเทพจุติ ราชาเก้านรกภูมิและราชาชิงชัย สุดท้ายคือต้าเทียนซือ…ดวงตาของพวกเขาฉายแววสะท้อนใจ แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความยำเกรง ทุกคนล้วนก้มหน้า…คารวะ!
ทว่าเมื่อเทียบกับพวกราชาผียักษ์แล้ว บุรพาจารย์ครึ่งเทพของแผ่นดินทงเทียนกลับมีแรงกดดันมากยิ่งกว่า ปณิธานของพวกเขาเองก็สั่นคลอนอย่างถึงที่สุด ด้านหนึ่งเกิดจากอานุภาพสยบที่เทียนจุนมอบให้พวกเขามาอย่างยาวนาน อีกด้านหนึ่งกลับเป็นความเคารพหวาดเกรงที่ส่งมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้ร่างของคนทั้งหกล้วนโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ
พวกเขาดิ้นรนต่อสู้อยู่กับตัวเอง แต่ไม่นานเท่าไหร่ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ากวาดสายตามองมา ซึ่งสายตาที่เขากวาดผ่านร่างของคนทั้งหกคล้ายจะมองให้ทะลุไปถึงจิตวิญญาณ ก็ทำให้จิตใจของคนทั้งหกพลันบังเกิดคลื่นสะท้านฟ้าที่มากพอจะเขย่าคลอนชะตาชีวิตของพวกเขา
ท่ามกลางเสียงอึกทึกสนั่นหวั่นไหว คนทั้งหกที่รวมไปถึงบุรพาจารย์ซิงคงล้วนก้มหน้าแล้วคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน…อย่างนอบน้อม!
เมื่อพวกเขาคารวะ นักพรตแผ่นดินทงเทียนทั้งหมดที่อยู่ในสนามรบต่างก็นั่งลงคุกเข่าปฏิบัติตามตราประทับที่นาบอยู่ในจิตวิญญาณ…คลื่นเสียงดังสะท้านฟ้าจึงก้องกังวานไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร…
“คารวะ…บรรพบุรุษขุย!!”
ทุกสายตาที่มองไปล้วนมีแต่ความเคารพนอบน้อม ความมีเกียรติเช่นนี้คือความปรารถนาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใฝ่หาแม้ยามหลับฝัน ทว่าตอนนี้…เมื่อทุกอย่างล้วนปรากฎขึ้นอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กลับไม่มีความยินดีใดๆ เขามองทุกคนที่คุกเข่าคำนับตัวเองเงียบๆ เนิ่นนานหลังจากนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยัง…ทิศทางของเกาะทงเทียน!
วินาทีที่มองไป ดวงตาของเขาเปลี่ยนมาเป็นสีแดงก่ำ อีกทั้งยังมีปราณสังหารและความดุร้ายระเบิดตูมออกมา เขาไม่ได้สนใจคนที่อยู่รอบด้าน แค่ขยับร่างก็เหมือนจะกลายมาเป็นพายุบ้าคลั่งที่ทำให้ครึ่งเทพตัวสั่นซึ่งแหวกผ่าฟ้าดินตรงดิ่งไปยังทิศที่ตั้งของเกาะทงเทียน!
ทว่าเสียงกัมปนาทของการทะยานตัวที่ดังอึกทึกก็ยังมิอาจกลบทับเสียงแผดคำรามที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งและความเคียดแค้นไร้ขอบเขตสิ้นสุดซึ่งดังออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุนและก้องไปในหูของทุกคนได้!
“เทียนจุน ทำไมเจ้า…ถึงยังไม่ตาย!!”