Skip to content

A Will Eternal 1043

บทที่ 1043 เรือรบอันน่าครั่นคร้าม

บนเรือกระดูก ดวงตานางหงส์ของมารดาผีหดลงน้อยๆ แม้ว่านางจะอยู่ในโลกทงเทียนมานานหลายปี และเคยสัมผัสกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน ทว่าด้านหนึ่งก็เพราะนางถูกกักขังอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามแห่งชีวิต ด้านหนึ่งก็คือตอนที่นางหลุดพ้นมาจากที่นั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนี้

ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้นางไม่เข้าใจวิชาอภินิหารทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงขั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าไม้ตายหรือไพ่ตายอะไร และนางก็ไม่คิดจะทำพลาดเพราะประเมินศัตรูต่ำเกิน สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว แม้นางจะไม่มองว่าอีกฝ่ายคือคนที่มีระดับเดียวกับนาง แต่นางก็วางตำแหน่งของเขาในใจไว้เหนือนักพรตทงเทียน

ยามนี้พอมองเห็นน้ำวนเหนือมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุน ประกายสายตาของนางก็พลันเปล่งวาบ

และเวลานี้เอง เสียงคำรามกร้าวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังออกมา เมื่อเรือนกายสูงใหญ่ภายใต้สภาวะการจำแลงคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยของเขาก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว เมื่อมือขวายกขึ้น น้ำวนสีดำที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหมัดก็ชกเข้าใส่ลำแสงสีดำที่เยื้องกรายเข้ามาใกล้…อย่างแรง!

หมัดจักพรรดิไม่ดับสูญห้าเท่า!

เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี เงาร่างจักรพรรดิที่อยู่ด้านหลังเขาก็ยกหมัดแล้วเหวี่ยงไปเบื้องหน้าเช่นกัน เมื่อสองภาพนี้ซับท้อนกันก็ก่อตัวขึ้นเป็นพลังพลิกภูเขาตลบมหาสมุทรที่ระเบิดปะทะเข้ากับลำแสงสีดำอย่างจัง!

เสียงเกริกก้องดังสนั่นหวั่นไหว ลำแสงสีดำนั่นมิอาจต้านทานหมัดจักพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ได้ และเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มันก็แหลกทลายไปทีละชุ่น ก่อนจะถูกม้วนตลบกลับคืนไป ส่วนหมัดจักพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งเข้าชนกับทะเลเพลิงเป็นอันดับต่อมา

ราวกับมังกรพิโรธตัวหนึ่งที่บุกกระโจนใส่กองไฟ ฉีกทึ้งทะเลเพลิงผืนใหญ่ออกเป็นสองส่วน และท่ามกลางการแหลกลาญของทะเลเพลิง

หมัดจักพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงบุกราบเป็นหน้ากลองตรงเข้ากระแทกชนกับใบหน้าผีทั้งสอง

คล้ายกับสูญเสียความคมกริบทั้งหมดไป เสมือนพลังจู่โจมถูกผลาญสิ้น บวกกับที่เดิมทีใบหน้าผีทั้งสองก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ท่ามกลางเสียงกระแทกชนที่ดังสะเทือนเลือนลั่น ใบหน้าผีดุร้ายทั้งสองแผดเสียงร้องคำราม

หมัดจักพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนแหลกลาญแทบจะทันทีทันใด

ทว่าสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่แปรเปลี่ยนไปสักเท่าใดนัก แม้ลมหายใจจะถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย แต่ดวงตากลับยังเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยียบ

“ห้าเท่าไม่พอ ก็เอาไปสิบเท่า!!”

พริบตาเดียวบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีพลังกล้ามเนื้อที่น่าตกใจยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ระเบิดทะลักทลายออกมา แล้วก่อกลายมาเป็นพายุทำลายล้างที่เชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าด้วยกัน ครั้นจึงซัดกระแทกลงบนร่างของใบหน้าผีทั้งสองอย่างแรง

ยามนี้แม้แต่มารดาก็ยังต้องนิ่วหน้า

เพราะด้วยความเหี้ยมหาญกร้าวแกร่งของหมัดจักพรรดิไม่ดับสูญสิบเท่าของป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ ขนาดวิชาอภินิหารของแผ่นดินหย่งเหิงก็ยังมีแค่ไม่กี่วิชาที่จะเทียบเท่าได้

ท่ามกลางเสียงอึกทึก ใบหน้าผีทั้งสองที่แข็งแกร่งใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง เมื่ออยู่ภายใต้พายุหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกมันก็จำต้องหลบเลี่ยงรัศมีอันแหลมคมนี้อย่างห้ามไม่ได้

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ เมื่อเห็นว่าใบหน้าผีทั้งสองเบี่ยงหลบ เห็นว่ากิ้งก่ากระดูกขาวมาโผล่อยู่ตรงหน้า พริบตานั้นความเร็วของเขาก็พลันเพิ่มพูน ผนึกมิวางวายถูกร่ายใช้พร้อมกัน ร่างทั้งร่างกลายมาเป็นเพียงภาพติดตาที่จู่ๆ ก็มาโผล่อยู่บนท้องฟ้าเหนือเรือรบ เหนือศีรษะกิ้งก่ากระดูกขาว ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นแล้วต่อยหมัดจักพรรดิไม่ดับสูญสิบเท่าเข้าใส่มารดาผี!

มารดาผีเงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา จุดลึกในดวงตาฉายความตกตะลึง แต่ก็มีความดูแคลนด้วย

แทบจะวินาทีเดียวกับที่หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนเหวี่ยงลงมา ปราณเลือดเข้มข้นผืนหนึ่งก็แผ่จากร่างของกิ้งก่ากระดูกขาว พริบตาเดียวปราณเลือดก็กลายมาเป็นหมอกเลือดที่ก่อตัวเป็นชั้นป้องกัน

นี่ไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นวิชาอภินิหารที่ซ่อนแฝงอยู่ในตัวของเรือกระดูกลำนี้ ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึง หมอกเลือดก็ปะทะกับหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างจัง

ไม่มีฟ้าถล่มดินทลาย แต่กลับมีเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหวที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี พลังสะท้อนกลับขุมหนึ่งที่แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังตกใจพลันปะทุออกมาจากในหมอกเลือดนี้

เมื่อเทียบกับลำแสงสีดำและทะเลเพลิงที่ถูกร่ายออกมาก่อนหน้านี้ แรงดีดกลับและการป้องกันของหมอกเลือดกลับเหนือกว่าหลายขุม ทั้งยังเหมือนว่าไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน ภายใต้แรงตีกลับนี้ ทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ส่งเสียงดังลั่นเปรี๊ยะๆ ถูกดีดกระเด็นไปไกล อีกทั้งขณะที่ร่างปลิวละลิ่ว อวัยวะในร่างของเขายังกระเทือนพลิกตลบ แรงดีดสะท้อนแต่ละระลอกนั้นเหมือนจะบดขยี้ทั้งร่างของเขาให้ย่อยยับอย่างไรอย่างนั้น

“สามหาว!” แววดูแคลนในดวงตาของมารดาผียิ่งเข้มข้น โบกมือขวาหนึ่งครั้ง รอบด้านนางก็พลันมีมือผีขนาดใหญ่ยักษ์สองมือเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้าแล้วคว้าจับไปที่ร่างป๋ายเสี่ยวฉุน

ขณะเดียวกันทะเลเพลิงที่กิ้งก่ากระดูกขาวพ่นออกมาก็ม้วนตลบไปสี่ทิศ คล้ายต้องการปิดผนึกทุกทางหนีของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยามนี้บาดเจ็บสาหัส

ทว่าวินาทีที่มารดาผีและกิ้งก่ากระดูกขาวลงมือ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปลิวลิ่วไปข้างหลังกลับระเบิดพลังการฟื้นตัวอันน่าครั่นคร้าม บาดแผลทั้งหมดที่เกิดจากการแรงดีดสะท้อนกลับฟื้นตัวกลับมาดีดังเดิม เพียงขยับร่างวูบเดียวก็ลอดทะลวงผ่านทะเลเพลิงออกไป จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นกำเป็นหมัดต่อยเข้าใส่มือผีทั้งสองข้างที่พุ่งมาใกล้อีกครั้ง

เสียงกัมปนาทระบือลือลั่น ทุกบาดแผลบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถอยร่นไปด้านหลังหายวับไปในพริบตา ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนทำให้ม่านตาของมารดาผีที่อยู่บนเรือหดตัวเป็นครั้งที่สอง ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมาอีกเล็กน้อย

“ฟื้นตัวได้ไวปานนี้เชียวรึ!!!” จิตวิญญาณของมารดาผีพลันบังเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักพรตทงเทียนถึงได้พ่ายแพ้ ระดับการฟื้นตัวเช่นนี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!

“นี่ก็คือไพ่ตายของเขาแล้ว! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขายังมีท่าไม้ตายอย่างอื่นอีกหรือไม่!” มารดาผีเม้มปากเบาๆ ในใจบังเกิดความหวังอันเร่าร้อน ดวงตาฉายชัดถึงความละโมบ

“ช่างเป็นเรือรบที่เยี่ยมนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าจ้องเขม็งไปยังเรือรบที่อยู่บนศีรษะกิ้งก่ากระดูกขาว สำหรับเรือรบลำนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์ได้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นที่เคยสัมผัสกับมันแล้ว

“ตัวเรือรบลำนี้แข็งแกร่งกว่ามารดาผีเสียอีก…โดยเฉพาะการป้องกันของมันที่ต้องเรียกว่าน่ากลัวยิ่ง! ระดับความเร็วของมันก็สูงสุดเหมือนกัน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์ได้ทันใดว่าต่อให้เอากระบี่ใหญ่ของแม่น้ำสายเหนือออกมา คิดจะฟันเรือลำนี้ให้พังทลายก็ยังมิอาจทำได้ในเวลาสั้นๆ

อีกอย่างมารดาผีก็ย่อมไม่ให้เวลาตนเช่นกัน…

“ส่วนตัวของมารดาผีเอง พลังการต่อสู้ขอบเขตเทียนจุนของนาง…เหมือนจะไม่มากพอที่จะเอาชนะข้าได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ทันใดว่าหากตนกับราชาผียักษ์หนีไป มารดาผีไม่ใช่ตัวรั้งที่สำคัญที่สุด เรือรบลำนี้ต่างหาก…ถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ มารดาผีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ปกปิดแววละโมบในดวงตาของตัวเองแม้แต่น้อย มือของนางทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นใบหน้าผีทั้งสองที่อยู่หน้าเรือรบซึ่งเมื่อครู่เบี่ยงหลบหมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนมาได้ก็หวีดร้องโหยหวน ราวกับถูกทรมานด้วยตราผนึกบางอย่างในร่างของตัวเอง ตาของพวกมันจึงแดงก่ำ หันมาคำรามใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับเป็นบ้า

ขณะเดียวกันเรือรบลำนี้ก็สั่นสะเทือนครืนๆ ความว่างเปล่าโดยรอบบิดเบือนคล้ายกำลังมีวิชาอภินิหารอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าก่อตัวเตรียมปะทุออกมา

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงวาบ เขาไม่สามารถทำอะไรเรือรบลำนี้ได้ก็จริง แต่หากคิดจะกักมันไว้ก็ยังพอมีวิธี เขาจึงไม่แม้แต่จะชายตาแลใบหน้าผีทั้งสองที่คำรามเข้ามาใกล้ เพียงสะบัดร่างวูบหนึ่ง กระจกน้ำแข็งก็โผล่พรวดรายล้อมรอบกาย ระหว่างที่แสงสว่างเปล่งวูบวาบ เงาน้ำแข็งเก้าเงาพลันจำแลงกาย ครั้นจึงกระโจนเข้าใส่ใบหน้าผี แม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่ก็พอจะถ่วงเวลาไว้ได้สักระยะหนึ่ง

เวลาเดียวกันกับที่เงาน้ำแข็งทั้งเก้าพุ่งออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้องคำรามร่ายใช้หมัดจักรพรรดิมิดับสูญอีกครั้ง ปราณแห่งความเผด็จการทะยานสู่ท้องฟ้า ยังคงเป็นสิบเท่าเหมือนเดิม ทว่าทิศทางที่ร่วงลงมากลับไม่ใช่ตัวของเรือกระดูก แต่เป็นความว่างเปล่าเบื้องหน้ามัน!

หนึ่งหมัด กระแทกลงไป!

น้ำวนขนาดมหึมาลูกหนึ่งพลันปรากฏตัว!

ยังไม่หยุดยั้ง ภายใต้การโคจรของพลังการฟื้นตัวจากเลือดคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุน พลังเลือดลมของเขาจึงทะยานสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ครั้นจึงเหวี่ยงหมัดรัวติดต่อกัน หมัดที่สอง หมัดที่สาม หมัดที่สี่!

ปังๆๆ …โจมตีถี่รัวไม่หยุดยั้ง!

น้ำวนยิ่งขยายใหญ่ทุกขณะ!

ท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของมารดาผี เวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต่อยหมัดจักรพรรดิมิดับสูญสิบเท่าออกไปแล้วถึง…สิบหมัด!

ต่อให้มีพลังการฟื้นตัวแข็งแกร่งแค่ไหน ทว่าเมื่อเผาผลาญพละกำลังมหาศาลติดต่อกันอย่างน่าตะลึงเช่นนี้ก็ยังต้องติดขัดบ้าง และน้ำวนที่เกิดจากสิบหมัด บัดนี้ก็ขยายใหญ่ไปหลายพันจั้ง ด้านในของมันที่มีแต่ความว่างเปล่าส่งแรงดึงดูดรุนแรงออกมา ทำให้เรือรบกระดูกขาวที่พุ่งมาถึงก่อนใครถูกแรงดึงดูดนี้กักตัวเอาไว้

แม้ว่าช่วงเวลาที่ถูกกักคงไม่เกินสิบชั่วลมหายใจ ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาไม่ได้หยุดรอดู แต่รีบถอยกรูดออกไป เพียงแค่ก้าวเดียวก็มาโผล่อยู่ข้างกายราชาผียักษ์ที่กำลังถอยร่นต่อเนื่องเพราะร่วมกับบุปผาจันทราโรมรันอยู่กับครึ่งเทพเจ็ดคน ก่อนที่เขาจะยกมือขวากดลงไปบนศีรษะของครึ่งเทพลูกน้องมารดาผีคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับราชาผียักษ์มากที่สุดด้วยท่าทางผ่อนคลาย

ครึ่งเทพผู้นั้นตะลึงลาน ป๋ายเสี่ยวฉุนโผล่มาเร็วเกินไป

แค่คิดจะหลบเขาก็ยังทำไม่ได้ มือของป๋ายเสี่ยวฉุนปานประหนึ่งพลานุภาพสยบจากฟ้าสำหรับเขา ยามนี้วิกฤตความเป็นความตายรุนแรงถึงขีดสุด ครึ่งเทพผู้นี้จึงแผดเสียงคำรามแล้วระเบิดกายเนื้อของตัวเองออกอย่างไม่เสียดาย หมายจะสกัดกั้นมือใหญ่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนวิญญาณเทพต้นกำเนิดของตนก็ถอยห่างหวังเผ่นหนี

ทว่าบุปผาจันทราที่อยู่ข้างกายเขาก็เร็วปานกัน พริบตาเดียวมันก็เขมือบกลืนวิญญาณต้นกำเนิดของครึ่งเทพผู้นี้ไปแล้ว

เวลาเดียวกับที่บุปผาจันทรากลืนวิญญาณต้นกำเนิดของนักพรตครึ่งเทพคนนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คว้าร่างของราชาผียักษ์ แล้วระเบิดความเร็วเสียงดังตูมตาม ห้อหนีไปไกลในชั่วพริบตา

เวลาเพียงแผล็บเดียวพวกเขาก็ห่างมาไกลนับหมื่นลี้ ครึ่งเทพหกคนที่ยังเหลืออยู่บนสนามรบต่างก็รู้สึกชาไปทั้งหนังหัว นั่นเป็นเพราะการลงมือเมื่อครู่นี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้พวกเขาตะลึงลานกันไปหมด ทั้งๆ ที่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไป แต่คนทั้งหกกลับลังเล ไม่กล้าไล่ตาม

และขณะที่พวกเขายังลังเลกันนั้นเอง เรือรบกระดูกขาวที่ถูกน้ำวนดูดเอาไว้ก็พลันระเบิดหมอกเลือดเทียมฟ้า ไม่ต้านทานแรงดึงดูดของน้ำวนอีก แต่พุ่งเข้าชนไปโดยตรง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง กิ้งก่ากระดูกขาวชนกระแทกจนน้ำวนแตกทลายออกเป็นเสี่ยงๆ และหลังจากที่หลุดพ้นมาได้ ดวงตาของมารดาผีที่สีหน้ามืดมึนก็ฉายเปลวเพลิงแห่งความละโมบออกมาอย่างเด่นชัด ก่อนที่จะยกมือขวาชี้ไปเบื้องหน้า

“ตาม! ไม่ตายไม่เลิก!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!