บทที่ 1053 สหายนักพรตป๋ายเชิญ
สําหรับคนจากโลกทงเทียน กู่เทียนจวินไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา หากก่อนหน้านี้ตอนที่ร่าง ของผู้บงการขุยยังไม่ระเบิดแตกแล้ว เขายังพอจะมีความคาดหวังต่อราชวงศ์จักรพรรดิขุยอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นเมื่อเรือนกายของผู้บงการขุยแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคนไม่น้อยมาปรากฏตัวอยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง
เขาจึงเริ่มได้รู้เรื่องของโลกทงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ก็แค่โลกใบหนึ่งที่ภายในมีแต่ปัญหาวุ่นวาย แม้แต่มหายานที่แท้จริงสักคนก็ยังไม่เคยถือกําเนิด ก็แค่โลกใบหนึ่งที่แตกออกช้าหลายปีขนาดนี้ ย่อมถูกกําหนดมาให้กลายเป็นเพียงผู้พึ่งพาเท่านั้น แล้วจะมีคุณค่าอะไรให้ต้องเห็นความสําคัญอีก”
ในใจของกู่เทียนจวินนิ่งเฉย แม้เขาจะเลื่อมใสผู้แข็งแกร่ง ทว่าในใจกลับมีความคิดที่จะเข้าไปแทนที่ ข้อนี้ต่อให้เป็นจักรพรรดิเซิ่งเองก็ยังว่าอะไรเขาไม่ได้
เพราะอย่างไรซะ…หากจะพูดถึงสายเลือดจริงๆ เขากู่เทียนจวินก็ถือเป็นสายเลือดของจักรพรรดิเซิ่งเช่นกัน
และสําหรับคนที่อ่อนแอก็ยิ่งถูกเขามองเป็นเหมือนมดตัวเล็กๆ ซึ่งในสายตาของเขา มดตัว กระจิ๊ดริ๊ดที่อยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งนับว่ามีอยู่ไม่น้อยแล้ว นับประสาอะไรกับคนของโลกทงเทียน…ที่แม้แต่มดสักตัวก็ยังเทียบไม่ติด
ต่อให้ฝึกวิชาแห่งการหลอมพลังจิต ซึ่งพอเรื่องนี้แพร่ออกมาก็ทําให้เขาสนใจอยู่บ้าง แต่เขาก็มองว่านี่เป็นเพียงวัตถุนอกกายเท่านั้น ไม่ต่างอะไรไปจากการหลอมโอสถหรือหลอมอาวุธ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเป็นได้แค่ผู้พึ่งพาของสองอิทธิพลใหญ่อยู่ดี
ชะตาชีวิตที่ถูกกําหนดมาแล้วว่าต้องกลายเป็นทาสของพวกเขา!
ต่อให้เป็นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ในสายตาของเขาอีกฝ่ายก็ยังเป็นแค่มดตัวหนึ่ง ที่โผล่ออกมาจากในบรรดาสวะจํานวนนับไม่ถ้วนของโลกทงเทียนที่เทียบไม่ติดแม้แต่มดสักตัว เท่านั้น ซึ่งอีกฝ่ายอาจจะแค่ประสบโอกาสเหมาะ หรือไม่ก็ใช้วิธีการอะไรบางอย่างถึงจับตัวเทียนจุนมาได้ ทว่าในใจเขากลับยังคงดูแคลนและเย็นชาไม่เปลี่ยน
“สุดท้ายแล้วก็มาเพื่อพึ่งพาราชวงศ์จักรพรรดิเซ่งของข้า!” กู่เทียนจวินเริ่มไม่สบอารมณ์ นับแต่ที่เขาพูดประโยคก่อนหน้านั้นออกไปจนมาถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ
เท่านั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่มีท่าทีใดๆ
ก้าวออกไปหนึ่งก้าว กู่เทียนจวินไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์ ปราณกระบี่สะท้านฟ้าที่แผ่ออกมาจากร่าง ฟันเข้าใส่ชั้นป้องกันของเรือรบกิ้งก่ากระดูกขาวโดยตรง ครั้นจึงบุกเข้าไปกลางเรือรบ มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายกงซุนหวานเอ๋อร์
และเนื่องจากในร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์มีตราผนึก การป้องกันของเรือรบนี้จึงลดฮวบตามไปด้วย นั่นถึงได้ทําให้กู่เทียนจวินบุกเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“มารดาผี” กู่เทียนจวินคลี่ยิ้ม มารดาผีต่างหากถึงจะเป็นคนที่เขาสนใจที่สุด ปีนั้นก็เป็นเขาที่ลงมือตัดแขนของอีกฝ่าย ตอนนี้พอได้เจอกันอีกครั้ง ต่อให้อีกฝ่ายยังอ่อนแอกว่าตนเยอะมาก ทว่าจะอย่างไร นี่ก็คือเทียนจุนท่านหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกับมดตัวอื่นๆ ในสายตาเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงมองกู่เทียนจวิน ด้วยสายตาเยียบเย็นโดยไม่เอ่ยคําใด
ลมหายใจของราชาผียักษ์ชะงักค้าง เขามีชีวิตอยู่มายาวนานมากแล้ว ย่อมมองออกถึงความเย็นชาและความดูแคลนที่ฝ่ายตรงข้ามมีต่อตนและป๋ายเสี่ยวฉุน และยิ่งเข้าใจด้วยว่า คนผู้นี้แสดงท่าทีชัดเจน ที่จะไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาไปยังนครจักรพรรดิเซิ่ง และต้องการพาตัวมารดาผีไปตั้งแต่ตอนนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การสร้างใบเบิกทางเพื่อสวามิภักดิ์ของพวกเขา ก็เป็นเพียงเรื่องตลกเรื่อง หนึ่งเท่านั้น!
ด้วยความร้อนใจ ราชาผียักษ์จึงสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะปรี่ขึ้นหน้าไปคารวะกู่เทียนจวิน
“คารวะใต้เท้าเทียนจุน สําหรับมารดาผีผู้นี้ พวกข้าคิดว่าจะนํานางไปส่ง…”
“หุบปาก!” กู่เทียนจวินโบกมือตัดบทคําพูดของราชาผียักษ์ด้วยความรําคาญ
“พวกเจ้าอยากได้ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่หรือ กลับไปรอก็ได้แล้ว ของรางวัลย่อมต้องส่งไปให้พวกเจ้าแน่นอน!”
กู่เทียนจวินยกมือขวาขึ้นเตรียมจะพาตัวกงซุนหว่านเอ๋อร์ไป ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหัวเราะขึ้นมา
เสียงหัวเราะของเขาเย็นชาอย่างยิ่ง แต่อันที่จริง ใจเขากลับตึงเครียดมาก
ความแข็งแกร่งของกู่เทียนจวิน ลําพังเพียงแค่ปราณของอีกฝ่าย ก็ทําให้เขาสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบที่ต่างจากมารดาผีแล้ว
เมื่อเทียบกับมารดาผี คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่ามาก!
ทว่าต่อให้แข็งแกร่งถึงขนาดไหน แต่หากอีกฝ่ายมีจิตใจที่คิดจะเหยียบย่ำคนอื่น รวมไปถึง การกระทําที่ไม่เห็นหัวใครเพียงนี้ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะข่มกลั้นได้ไหว แต่หากจะให้กงซุนหว่านเอ๋อร์ถูกจับตัวไปทั้งอย่างนี้ มีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยอมได้
เขาไม่ได้พูดอะไรให้มากความ แทบจะขณะเดียวกันกับที่กู่เทียนจวินยกมือขึ้น แสงสีฟ้าก็เปล่งวาบขึ้นมาในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน กระบี่ใหญ่โลกสายเหนือพุ่งทะยานออกไปด้วยพลานุภาพสยบสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกระโจนไปข้างหน้า กระบี่ในมือก็ถูกยกขึ้นแล้วฟาดฟันเข้าใส่กู่เทียนจวินอย่างแรง!
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่กระบี่ใหญ่โลกสายเหนือปรากฏตัว
สีหน้าของกู่เทียนจวินก็แปร เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก ตอนที่หันขวับกลับมา ม่านตาทั้งคู่ของเขาหดตัวเข้าหากัน มือขวาที่เดิมที่ยกขึ้นคว้าร่างกงซุนหว่านเอ๋อร์ รีบเปลี่ยนทิศทางหันมาคว้ากระบี่ใหญ่ที่พุ่งมาใกล้ ผ่านความว่างเปล่าทันควัน!
พริบตานั้นกระบี่ใหญ่และมือของกู่เทียนจวินก็ปะทะกัน เสียงกัมปนาทพลันเกริกก้อง ครั้นจึง ก่อให้เกิดแรงโจมตีอย่างไร้ที่สิ้นสุดซึ่งซัดตะลุยไปรอบด้าน ร่างของกู่เทียนจวินถอยกรูดไปข้างหลังอย่างที่มิอาจควบคุม ถูกกระบี่นั้นกระเทือนจนกระเด็นออกไปนอกเรือรบ!
เลือดลมในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนซัดตลบปั่นป่วน พลังที่ย้อนกลับมาจากตัวกระบี่คล้ายจะฉีกทิ้งร่างของเขาให้ขาดออกจากกัน หากเปลี่ยนมาเป็นครึ่งเทพคนอื่น หรือต่อให้เป็นว่าที่เทียนจุนคนอื่น ยามนี้ร่างคงต้องระเบิดหรือบาดเจ็บสาหัสกันบ้าง
ทว่าวิชาอมตะมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุน กลับทําให้บาดแผลทั้งหมดในร่างของเขาฟื้นตัวกลับมาเพียงชั่วพริบตา เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาที่ยืนอยู่บนเรือรบยังคงมองไปยังกู่เทียนจวิน ที่สีหน้ามืดคล้ำด้วยสายตาเย็นชาดุจเดิม!
“ใจกล้ายิ่งนัก!” ดวงตาของกู่เทียนจวินฉายความเยียบเย็นอึมครึม ในใจตกตะลึงกับพลัง การฟื้นตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งแรก ทั้งยังหรี่ตาที่มีประกายเย็นเยียบวาบผ่านลง ตอนที่มองเห็นกระบี่ใหญ่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน จุดลึกในดวงตาก็ฉายความละโมบออกมาเสี้ยวหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ทําเอาหัวใจของราชาผียักษ์แล่นมาจุกอยู่ตรงคอหอย กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็เกิดความซับซ้อนในหัวใจ ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นางก็พอจะมองออกว่า ในเรือนกายที่คล้ายจะหยัดยืนอย่างมั่นคงของป๋ายเสี่ยวฉุน ซุกซ่อนอาการตัวสั่นและตื่นตระหนกเอาไว้
นางรู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี รู้จักดียิ่งกว่าราชาผียักษ์ ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งตกตะลึงไปกับการเปลี่ยนแปลงของป๋ายเสี่ยวฉุน นางรู้ว่าในความเป็นจริงแล้วเขากลัวตายขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง หากเป็นเมื่อก่อน บางทีเขาอาจเลือกที่จะคลี่คลายปัญหาอย่างอะลุ่มอล่วย ทว่าสิ่งที่เขาเลือกในวันนี้กลับเป็นการชักกระบี่ ออกมาประจัญหน้าศัตรู!
“ชักกระบี่งั้นหรือ…” กงซุนหว่านเอ๋อร์พึมพําอยู่ในใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร่างกายไม่สูงใหญ่ ทว่าบัดนี้เงาร่างของเขาที่อยู่ในสายตานาง กลับเป็นดั่งขุนเขาตั้งตระหง่าน
“ใจกล้า? กู่เทียนจวินงั้นหรือ? ข้าผู้แซ่ป๋ายใจกล้าจริงๆ นั่นแหละ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจ เข้าลึกหนึ่งครั้ง ดวงตาฉายประกายแสงคมกริบ เขารู้ดีว่าตอนนี้เสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความยากลําบาก มาตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่แดนทุรกันดารแล้ว ยามนี้จึงสะกดความตื่นเต้นในใจลงไป แล้วพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานไปสี่ทิศ
“หากไม่ใจกล้าจะสามารถเข่นฆ่าผ่านลมคาวฝนเลือดมาตลอดทาง ตั้งแต่ในราชวงศ์จักรพรรดิแสได้อย่างไร! หากไม่ใจกล้าจะสามารถจับตัวหนึ่งเทียนจุนเก้าครึ่งเทพได้อย่างไร! หากไม่ใจกล้า ข้าผู้แซ่ป๋ายก็คงยอมให้เจ้า แย่งความดีความชอบโดยไม่มีปากมีเสียงไปแล้ว!”
“ดังนั้น ข้าผู้แซ่ป๋ายใจกล้าอย่างแท้จริง ทว่าเจ้าเองก็ใจกล้าไม่เบาเหมือนกัน!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งนานก็ยิ่งดังราวเสียงฟ้าคํารณ
กู่เทียนจวินหน้าเปลี่ยนสี นั่นเป็นเพราะคําพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนทุกคําเป็นความจริง ที่เขามิอาจโต้กลับได้ ยามนี้สายตาจึงยิ่งเย็นชา กําลังจะอ้าปาก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเปล่งเสียงที่ดังกังวานและทรงอานุภาพออกมาเสียก่อน
“ข้าผู้แซ่ป๋ายพาตัวเทียนจุนแห่งราชวงศ์จักรพรรดิแสมา แต่เจ้ากลับขัดขวางข้า กู่เทียนจวิน นี่เป็นเพราะใจเจ้าคิดไม่ซื่อ! ข้าขอถามเจ้าหน่อย นายของเจ้าคือจักรพรรดิแสหรือจักรพรรดิเซิ่งกันแน่!”
ขาดคำของป๋ายเสี่ยวฉุน ความเย็นเยียบก็ระเบิดออกมาจากทั่วร่างของ
กู่เทียนจวินทันที ทว่าเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดังเพิ่มขึ้นในทุกๆ ประโยค กลับระเบิดออกมาอีกครั้ง
“ข้าผู้แซ่ป๋ายให้การยอมรับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งตั้งใจมาเยี่ยมเยียนจึงไม่มามือเปล่า ถึงได้หอบเอาของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ แต่เจ้ากลับมาชิงของขวัญของข้า ขัดขวางให้ข้าอยู่แค่ภายนอก กู่เทียนจวิน นี่คือความไร้มารยาทของเจ้า! ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ใต้หล้ามีเหตุผลแบบนี้อยู่ด้วยหรือ!” ระหว่างที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ข้าผู้แซ่ป๋ายประหัตประหารกับคนมากมายของราชวงศ์จักรพรรดิแสมาตลอดทาง กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แต่เจ้ากลับมาดักชิงผลแห่งชัยชนะของข้า กู่เทียนจวิน นี่คือความไร้คุณธรรม ของเจ้า! ข้าจึงขอถามเจ้าเป็นครั้งที่สาม กล้ามาแย่งชิงของขวัญชิ้นใหญ่ของข้า เจ้า กู่เทียนจวินมีสิทธิอะไร!”
หนึ่งเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวลงมาอยู่นอกเรือรบ ยืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน พลางโบกตวัดกระบี่ใหญ่ในมือ
“และข้าผู้แซ่ป๋ายก็เป็นถึงบรรพบุรุษขุยแห่งโลกทงเทียน หากนับกันตามฐานะแล้ว บนแผ่นดินหย่งเหิงแห่งนี้ ก็มีเพียงจักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งเท่านั้นที่เทียบเคียงกับข้าได้ เจ้ากล้าทําตัวโอหังต่อหน้าตัวข้า กู่เทียนจวิน นี่คือเป็นเพราะเจ้าไร้ความเคารพยําเกรง! ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งที่สี่ สวะที่ไร้มารยาท ไร้คุณธรรม ไร้ความเคารพยําเกรง ทั้งจิตใจคดโกง ไม่ซื่อตรงอย่างเจ้า ไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากไหน!”
ประโยคนี้ยิ่งทรงพลัง กระบี่ใหญ่สายเหนือก็ยิ่งแผ่แสงสีฟ้าเจิดจ้า ส่งเสียงกึกก้องไปสี่ทิศ
ได้ยินประโยคเหล่านี้ พวกครึ่งเทพของแผ่นดินเซียนนิรันดร์กาลที่ติดตามมาด้วย ถึงกับจิตใจสั่นสะเทือน ส่วนกู่เทียนจวินก็ถูกสี่คําถามของป๋ายเสี่ยวฉุนที่คมกริบประหนึ่งกระบี่ แทงทะลุจิตวิญญาณแล้วครั้งเล่า
“เจ้า!!” ไม่ว่าอย่างไรกู่เทียนจวินก็คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าจะมีฝีปากคมกริบเพียงนี้ แต่ละประโยคของอีกฝ่ายทําเอาตนโต้กลับไม่ได้ และหากยังดึงดันจะโต้คืน ก็มีแต่จะกลายเป็นฝ่ายที่เถียงข้างๆ คูๆ เท่านั้น
หากสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง หรือไม่มีใครจับตามองอยู่ เขาสามารถมองเป็นอีกฝ่ายไปได้เลย ทว่าตอนนี้กลับมีเทียนจุนหลายคนจับจ้องมองมา และจะอย่างไรซะ ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็ยังมียางอายอยู่บ้าง นี่จึงทําให้เขาที่เจอกับความปากคอเราะร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทําอย่างสมบูรณ์แบบ เขาที่หน้าแดงก่ำหายใจถี่รัว ไอสังหารในดวงตาเข้มข้นสุดประมาณ
ราชาผียักษ์และกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ถึงกับอึ้งงันไปเช่นกัน คนทั้งสองมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเหม่อลอย นั่นเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ กลับมีกลิ่นอายของความเผด็จการบางอย่าง ที่มิอาจใช้คําพูดมาบรรยายได้ แผ่อวลออกมาทั่วร่าง!
“จักรพรรดิเซิ่ง นี่หรือคือวิธีรับรองแขกของเจ้า!”
ไม่แม้แต่จะชายตามองกู่เทียนจวิน ป๋าย เสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ระหว่างฟ้าดินสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โบกกระบี่ใหญ่ไปทางที่ตั้งนครจักรพรรดิเซิ่ง เสียงที่เกินอสนีบาตดังกึกก้องไปสี่ทิศ จนเกิดคลื่นเสียงซัดออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทว่าอันที่จริงลึกๆ ในใจ เขากลับตึงเครียดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่า หากไม่ได้จริงๆ ก็จะคลายตราผนึกในร่างกงซุนหว่านเอ๋อร์ออก แล้วพวกเขาสามคนจะโดยสารเรือรบหนีไปในชั่วพริบตา
ทว่าความเคยชินที่ฝึกฝนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทําให้เขาไม่เผยความหวั่นไหวใดๆ ในหัวใจออกมาให้คนอื่นเห็น ความเย่อหยิ่งของผู้สูงศักดิ์ก็ยิ่งแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ผ่านไปนานจนป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้นทุกที หัวใจของเขาเต้นเร็วราวรัวกลอง หนังหัวเริ่มชาเตรียมจะเผ่นหนี
ทว่าจู่ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่กลับไม่ขาดความน่าเกรงขาม กลับพลันดังขึ้นเนิบช้าก้องฟ้าดิน
“เพราะข้าผู้เป็นจักรพรรดิไม่รอบคอบเอง สหายนักพรตป๋าย เชิญ!!”