Skip to content

A Will Eternal 1094

บทที่ 1094 กล้าเล่นงานข้างั้นรึ

ภายนอกป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งมองซือหม่าอวิ๋นหัวด้วยสายตาคลางแคลงใจ

ส่วนกู่เทียนจวินที่ทำหน้าเหมือนคู่บำเพ็ญตนตายอยู่ตลอดเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจของอีกฝ่ายหรือไม่ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่าตัวเองมองร่องรอยอะไรจากสีหน้าของกู่เทียนจวินไม่ออกมากนัก

“ไม่รู้ว่าคู่บำเพ็ญตนของเจ้ากู่เทียนจวินผู้นี้ตายไปจริงๆ หรือเปล่า หากไม่ใช่ล่ะก็ วันๆ เอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดแบบนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งที หากเปลี่ยนมเป็นเวลาอื่นเขาคงต้องพยายามทำทุกวิธีทางเพื่ออยู่ให้ห่างจากซือหม่าอวิ๋นหัวผู้นี้แล้ว

แต่ตอนนี้เขามีความมั่นใจมากพอ เรื่องอื่นไม่กล้าพูด แต่ยี่สิบด่านแรกบนซากพัดแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถตบอกอย่างวางใจและมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับตนแน่นอน

อีกทั้งเพื่อไม่ให้คนอื่นเกิดความกังขาโดยที่ไม่จำเป็น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงแสร้งทำท่าคิดหนักกว่าจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยอมตอบรับ ซือหม่าอวิ๋นหัวก็โล่งอกได้ในที่สุด รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งจริงใจ หลังจากคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง คนทั้งสามก็พากันเหยียบลงไปบนซี่พัดของซือหม่าอวิ๋นหัว พอเข้ามาถึงที่ตั้งของด่านที่สิบแปด กู่เทียนจวินนั้นยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ดุจเดิม แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด แม้ว่าก่อนหน้านี้ซือหม่าอวิ๋นหัวและกู่เทียนจวินจะเข้าไปในด่านของเขาอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งล้วนเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่เข้าไปก่อนแล้วพวกเขาค่อยตามไปทีหลัง

ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงใคร่รู้อย่างยิ่งว่าซือหม่าอวิ๋นหัวทำแบบนี้ได้อย่างไร

เพียงแต่ว่ามองอยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมองเส้นสนกลในอะไรไม่ออก เพียงแค่สังเกตเห็นว่าเมื่อมือทั้งสองข้างของซือหม่าอวิ๋นหัวทำมุทราเรียกกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันเห็นได้ชัดเจน

กลุ่มแสงนี้ก็พลันเปล่งวาบแล้วแผ่ปกคลุมคนทั้งสามเอาไว้

นาทีถัดมาข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงกัมปนาทกึกก้อง เมื่อทุกอย่างเบื้องหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง พวกเขาสามคนก็ออกมาจากเส้นทางซี่พัด มาปรากฏตัวอยู่ใน…ด่านที่สิบแปดแล้ว!

เม็ดทรายสีเหลืองฟุ้งตลบ ลมเย็นๆ ที่พัดกระโชกให้ฝุ่นผงลอยคลุ้งดังหวีดหวิว หากออกไปไกลยังมีพายุทรายที่กำลังหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว ทอดสายตามองออกไป สี่ทิศเปลี่ยวร้างวังเวง มีเพียงกรวดทรายเต็มพื้นดินที่กำลังเคลื่อนขยับราวกับว่าใต้เนินทรายได้ซุกซ่อนปราณสังหารบางอย่างเอาไว้

“สหายนักพรตป๋าย มองวิธีการที่ตัวข้าใช้ออกหรือไม่?”

มุมปากของซือหม่าอวิ๋นหัวขยับยกเล็กน้อย เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แต่ในใจนั้นหัวเราะหยัน ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากรู้ความลับในการที่ตนพาคนอื่นเข้ามาในด่าน ซึ่งตัวเขาเองก็ได้เตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้ว และในความเป็นจริง อย่าว่าแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลย ต่อให้เป็นกู่เทียนจวินที่เห็นซือหม่าอวิ๋นหัวร่ายใช้วิธีนั้นกับตาตัวเองอยู่หลายครั้งก็ยังมองไม่ออกเหมือนกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ กำลังจะอ้าปากตอบกลับ ทว่าเวลานี้เอง ในพายุทรายที่ห่างไปไกลก็พลันมีเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน

ผืนแผ่นดินรอบด้านสะเทือนเลือนลั่น มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพายุทรายที่อยู่ห่างไปไกลซัดตลบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวกะโหลกยักษ์หัวหนึ่งจะก่อตัวขึ้นมา

เสียงคำรามนั้นก็มาจากหัวกะโหลกนี้ อานุภาพสยบที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของมันไม่ต่างอะไรไปจากพลานุภาพของเทียนจุน!

สีหน้าของกู่เทียนจวินและซือหม่าอวิ๋นหัวเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดในบัดดล ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอกะพริบตาปริบๆ หนึ่งทีก็แสร้งทำท่าเอาจริงเอาจัง แต่ปากกลับเอ่ยตั้งคำถาม

“แค่หัวกะโหลกทรายหัวเดียวก็สกัดพวกเจ้าเอาไว้ได้แล้วหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบดี ซ้ำยังปรายตามองกู่เทียนจวินกับซือหม่าอวิ๋นหัวอย่างดูแคลนด้วย

“สหายนักพรตป๋ายอย่าได้ดูถูกด่านที่สิบแปดนี้ หากด่านนี้มีแค่หัวกะโหลกทรายหัวเดียว ข้าและสหายนักพรตกู่ย่อมต้องผ่านมันไปได้ แต่เมื่อโจมตีให้หัวกะโหลกทรายนี้แตกทลายลงไปได้แล้ว มันกลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกสิบหัวในชั่วพริบตา ทั้งยังมียักษ์ไร้หัวอีกสิบตนโผล่ออกมาจากผืนทราย หลังจากเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้วก็จะกลายเป็นยักษ์ทรายที่สมบูรณ์แบบ ศักยภาพไม่เป็นรองพวกเราเลยแม้แต่น้อย!”

“และจุดที่สำคัญของด่านนี้ก็คือต้องทำลายยักษ์ทรายทั้งสิบตนให้แหลกสลายเสียก่อนถึงจะผ่านไปได้!” ซือหม่าอวิ๋นหัวเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หัวกะโหลกทรายที่อยู่ห่างไปไกลก็พุ่งเข้าใส่คนทั้งสาม

ดวงตาของกู่เทียนจวินเปล่งแสงวาบ ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและซือหม่าอวิ๋นหัวลงมือ เขาก็พลันเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พอยกมือขวาขึ้นก็มีเงากระบี่มายาเล่มหนึ่งจำแลงขึ้นมาในมือ เวลาเพียงชั่วพริบตากระบี่มายานี้ก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นของจริง เป็นกระบี่ใหญ่ที่เก่าแก่และดูขลังเล่มหนึ่ง!

หลังจากกู่เทียนจวินจับกระชับไว้ในมือ พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็พลันระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา

ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจนี้แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังใจสั่นสะเทือนรุนแรง รู้สึกเพียงว่ากู่เทียนจวินในเวลานี้ไม่ต่างจากกระบี่ที่เขาถือในมือ คมกริบไร้ทัดทาน

ขณะเดียวกันกับที่พลังอำนาจนี้ผุดพุ่งขึ้น หัวกะโหลกทรายก็กระโจนเข้ามาถึงด้วยสีหน้าดุร้าย กู่เทียนจวินหรี่ตาทั้งคู่ลง กระบี่ในมือยกตวัดฟาดฟันเข้าใส่หัวกะโหลกทรายที่ยังอยู่ห่างไปไกลผ่านอากาศ…อย่างไม่ลังเล!

เสียงกระบี่คำรามพลันกลายมาเป็นเสียงหนึ่งเดียวของทะเลทรายแห่งนี้ นภากาศทั้งผืนคล้ายจะปริแตก ปราณกระบี่ไร้ที่สิ้นสุดระเบิดตูมแล้วซัดแผ่ไปรอบด้าน ทุกที่ที่ผ่าน กรวดทรายทุกเม็ดป่นปี้แหลกลาญ!

ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน บนพื้นพลันมีร่องลึกร่องหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับว่าเมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่น่าครั่นคร้ามนี้ แม้แต่ผืนแผ่นดินก็ยังมิอาจต้านทานได้ อีกทั้งความเร็วของปราณกระบี่ยังรวดเร็วยิ่ง มันทะยานไปเบื้องหน้าพร้อมเสียงหวีดแหลมแสบแก้วหู พริบตาเดียวก็ฟันแสกหน้าลงบนหัวกะโหลกทราย

หัวกะโหลกใหญ่ยักษ์สั่นสะเทือนรุนแรง ก่อนจะเริ่มปริแตกจากกลางหว่างคิ้วลงมา และแค่ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น หัวกะโหลกท่าทางดุร้ายที่เพิ่งจะปรากฏตัวก็ถูกกระบี่เดียวของกู่เทียนจวินฟันแหลกลาญท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง!

เมื่อเงื้อกระบี่ฟันไปหนึ่งครั้ง ขนาดกู่เทียนจวินที่แข็งแกร่งก็ยังหอบหายใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการร่ายใช้กระบี่ท่านี้ไม่ธรรมดาเลยสำหรับเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างๆ อึ้งงันไปอย่างสิ้นเชิง สูดลมหายใจเฮือกๆ ติดกันไม่หยุด

ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นเทียนจุนจักษุไพศาลประมือกับหัวกะโหลกนี้มาก่อน ในสายตาของเขา แม้จักษุไพศาลจะแข็งแกร่ง แต่ก็ถือว่าอยู่ในขอบข่ายปกติ แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นกู่เทียนจวินลงมือ ความเฉียบคมของกระบี่เมื่อครู่นี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกชาที่หนังหัวเล็กน้อย

“ไม่นึกเลยว่าไอ้หมอนี่จะร้ายกาจขนาดนี้…แต่ว่าก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เจ้าโจรเฒ่าจักษุไพศาลปิดบังไว้…อีกทั้งกู่เทียนจวินยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ บางทีในด้านการระเบิดพลังของกระบี่ก็อาจมีความพิเศษเฉพาะตัว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามข่มกลั้นริ้วคลื่นในจิตวิญญาณ แล้วก็สังเกตเห็นทันทีว่าเมื่อหัวกะโหลกแตกสลาย พายุรอบด้านก็พลันโหมกระหน่ำ เสียงหวีดหวิวดังอื้ออึง พายุหลายลูกระเบิดแตก พอจะมองเห็นได้รำไรว่าด้านในพายุกำลังมีหัวกะโหลกก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แผ่นดินยิ่งสั่นไหวหนักกว่าเดิม ทั้งยังมีเสียงคำรามกร้าวดังแว่วมาจากใต้ดิน ก่อนที่มือยักษ์หลายข้างจะโผล่พรวดออกมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบทำท่าตื่นตะลึง ทว่าเวลานี้เอง กู่เทียนจวินที่เลิกหอบหายใจกลับยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง กระบี่มายากลายเป็นของจริง เมื่อเขาจับด้ามกระบี่ไว้ได้มั่นคง คราวนี้…เขากลับหันกระบี่มาทางป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วตวัดฟันลงมา!

“กู่เทียนจวินเจ้าหมายความว่าอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนผงะตกใจ ระเบิดความเร็วในชั่วพริบตา เขาย่อมเคลื่อนที่ปราดเปรียวกว่าหัวกะโหลกหัวนั้นอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อถอยหนีจึงหลบปราณกระบี่ที่แม้จะคมกริบ แต่ความเร็วกลับด้อยกว่าเขามาได้

เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวถอยหลังนั้นเอง ซือหม่าอวิ๋นหัวกลับแสยะยิ้ม มือทั้งคู่ทำมุทรา ครั้นกลางมือก็พลันมีแสงสว่างบาดตาเส้นหนึ่งปรากฏ

“แสงตัวนำ!” ซือหม่าอวิ๋นหัวคำรามต่ำ ผลักกระแทกมือทั้งคู่ไปทางป๋ายเสี่ยวฉุน กลุ่มแสงในมือเขาจึงพุ่งฉิวเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเขาคำนวณเส้นทางการถอยหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนมาเป็นอย่างดีถึงได้สอดคล้องกับกระบี่ของกู่เทียนจวินที่พุ่งมาอย่างเหมาะเจาะ

ไม่ให้โอกาสป๋ายเสี่ยวฉุนได้หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า ทว่าบัดนี้หัวกะโหลกในพายุทรายที่อยู่รอบด้านกลับพากันร้องคำรามแล้วกระโจนออกมาผสานต่อลำคอกับยักษ์สิบตนซึ่งผุดออกมาจากใต้ดิน

ครั้นจึงระเบิดพลังอำนาจเทียมฟ้า และดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจกู่เทียนจวินกับซือหม่าอวิ๋นหัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อได้รับการชักนำจากแสงตัวนำ พวกมันก็พร้อมใจกันบึ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!

ท่ามกลางแผ่นดินที่สะเทือนไหว ความเร็วของยักษ์สิบตนนี้มีมากเกินไป เพียงชั่วพริบตาก็มาเผยกายรุมล้อมป๋ายเสี่ยวฉุน

ภาพเหตุการณ์ที่เทียนจุนจักษุไพศาลเคยต้องเผชิญในครานั้นกลับมาแสดงอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้กลับเกิดขึ้นกับป๋ายเสี่ยวฉุนเสียเอง

หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้หลอมพลังจิตให้กับซากพัด ถ้าต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างนี้เขาคงหมดปัญญาและได้แต่เลือกสละด่านนี้ทิ้งอย่างแสนเสียดาย ทว่าวันนี้ทุกอย่างกลับต่างออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดแค้นขึ้นมาทันควัน แม้จะเดาเรื่องทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ถึงเจ็ดแปดส่วน

“ซือหม่าอวิ๋นหัว นี่ไม่เหมือนกับที่เจ้าเคยพูดไว้เลยนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันคำรามคลั่งแค้น

“สหายนักพรตป๋ายไม่ต้องตื่นตระหนกไป บอกตามตรง การนำส่งของด่านที่สิบแปดนี้เกิดปัญหา หากไม่ยืนหยัดสักครู่ก็จะไม่สามารถถูกนำส่งออกไปได้ หากข้าเป็นเจ้าจะพยายามต้านทานมันไว้นะ เพราะหากทำอย่างนั้นก็เท่ากับช่วงชิงเวลาให้กับพวกข้าสองคน และแน่นอนว่าข้อตกลงของพวกเราก็ยังคงดำเนินต่อไปได้อีก”

ซือหม่าอวิ๋นหัวอมยิ้มพลางถอยกรูดออกห่างอย่างว่องไวพร้อมกับกู่เทียนจวิน คนทั้งคู่ต่างทำมุทราแล้วเริ่มร่ายวิชาอภินิหารของตัวเองออกมา

“เจ้ากล้าเล่นงานข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาดุดัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!