Skip to content

A Will Eternal 1100

บทที่ 1100 ข้าต้องถ่อมตัว

“นี่คือปราณอะไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ รับสัมผัสกับปราณที่แผ่ออกมาจากด้านในอย่างละเอียด เขาพบว่าตนถือป้ายแผ่นนั้นเพียงแค่ครู่เดียว ความเหนื่อยล้าทั้งหมดในกายก็หายไปเองเกินครึ่งโดยอัตโนมัติ

นี่ไม่ใช่พลังของการฟื้นตัวทางเลือดเนื้อ เพราะอย่างไรซะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหนื่อยล้าก็คือจิตใจ ทว่าตอนนี้เขากลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเรี่ยวแรงของตนกำลังหวนคืนสู่ระดับสูงสุดอย่างรวดเร็ว

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจระคนยินดี เอาป้ายคำสั่งมาวางไว้ตรงหน้า หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด แม้ว่ายังคงมองเส้นสนกลในอะไรไม่ออก แต่ก็แน่ใจแล้วว่าปราณที่แผ่ออกมาจากในป้ายนี้สามารถทำให้กำลังวังชาของเขาฟื้นกลับคืนมาได้จริงๆ!

“ไม่ใช่ปราณวิญญาณ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ได้แต่วิเคราะห์ให้มันเป็นปราณวิญญาณในโลกของผู้บงการที่เคยเป็นเจ้านายของซากพัดเล่มนี้ซึ่งคล้ายคลึงกับพลังฟ้าดินบางประเภทในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล

“ดูสิว่าปราณนี้จะมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือไม่” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย ทดลองอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายตอนที่ถือป้ายแล้วนั่งเข้าฌาน เขาก็ค้นพบด้วยความตะลึงระคนยินดีว่าเมื่อตนเข้าฌาน ปราณที่อยู่ในป้ายแผ่นนี้ก็ลิงโลดขึ้นมาทันที และหลังจากที่ปราณนั้นผสานรวมเข้ามาในร่างก็ทำให้ความเร็วในการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นพรวดพราด

ไม่เพียงแต่ความเร็วในด้านการไหลเวียนของพลังวิญญาณ ยังมีความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินด้วย สรุปก็คือการฝึกตนทุกอย่างล้วนมีความเร็วเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะจิตใจที่คึกคักกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลาที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนได้สมบัติมาครอง

“ปราณในป้ายแผ่นนี้เทียบเคียงได้กับยาทุกชนิดเลยทีเดียว แค่ป้ายแผ่นเดียวก็มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้แล้ว พัดวิเศษนั่นต้องยิ่งร้ายกาจมากกว่าแน่นอน น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้มีคนอยู่เยอะเกินไป ข้าเลยไม่ทันได้ศึกษามันดีๆ” เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นในเช้าตรู่วันที่สอง จิตใจของเขาก็พลันห้าวเหิม ยิ่งยืนกรานในความคิดที่ว่าจะต้องแย่งซากพัดมาจากปณิธานแห่งพัดมาให้ได้

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเก็บแผ่นป้ายลงไป ก่อนจะมองสำรวจทิศทาง ครั้นจึงขยับกายบินทะยานไปยังเขตปกครองหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สองด้วยความเร็วราวกับแหวกอากาศไปตลอดทาง

สามวันต่อมาเขาก็มองไกลๆ ไปเห็นนครโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนแผ่นดินเบื้องหน้า อาณาเขตของนครแห่งนี้กว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด รอบด้านมีเทือกเขาตัดสลับกัน ตัวนครประหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งที่นอนหมอบอยู่ตรงนั้น

นักพรตที่อยู่ในนครแห่งนั้นมีเยอะมาก ต่อให้ตอนนี้จะเป็นยามสนธยา แต่ผู้คนคลาคล่ำก็ยังสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสาย เสียงดังจอแจ

เมื่อทอดสายตามองไปทั่วทั้งนคร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมหนึ่งที ครุ่นคิดว่าด้วยตัวตนของตน แม้ว่าการมาที่นี่จะต้องถ่อมตัว แต่ในฐานะที่เป็นเทียนจุน สามารถพูดได้ว่าในดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้ ผู้ที่มีอำนาจที่สุดมีแค่สองคนเท่านั้น ตัวตนเช่นนี้ หากจะเจียมตัวเกินไปเขาก็ไม่ค่อยจะคุ้นชินนัก

“ดูท่าข้าคงต้องตั้งใจเล่าเรียนสักหน่อยว่าควรจะต้องถ่อมตัวอย่างไรถึงจะดี”

ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ไม่ได้แผ่อำนาจจิตออกไปดึงดูดความสนใจจากผู้คน แต่เลือกจะสะบัดร่างทะยานไปยังประตูใหญ่คล้ายนักพรตธรรมดาคนหนึ่ง

นครยักษ์แห่งนี้มีประตูใหญ่ทั้งหมดแปดบาน ปกติจะเปิดไว้ห้าบาน นักพรตที่เข้าออกมีมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้รีบร้อน เขาไปยืนต่ออยู่ปลายแถวของคนที่ยืนเรียงกันรอเข้าไปในประตูเมืองพลางมองซ้ายมองขวา ในใจก็ให้สะท้อนใจไปกับความหรูหรารุ่งเรืองของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง

โดยเฉพาะสถานที่แห่งนี้คือเขตการปกครองหลักของดินแดนเซียน มีเทียนจุนนั่งเฝ้าบัญชาการณ์ ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องอาละวาดที่นี่ และตบะของทหารยามที่เฝ้าที่นี่ก็ล้วนไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นแค่ทหารยามเฝ้าหน้าประตูก็ยังสวมเกราะวิเศษกันทุกคน ดวงตาของทุกคนฉายแสงคมกริบ ตบะล้วนถึงระดับรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ

อีกทั้งในป้อมที่อยู่บนกำแพงเมืองยังมีคลื่นคนฟ้าขุมหนึ่งแผ่กำจายออกมาคอยตรวจสอบพวกคนที่สัญจรไปมาอย่างต่อเนื่อง พลานุภาพสยบนั้นทำให้กลุ่มคนที่เข้านอกออกในนครต้องระมัดระวังตัวกันมากขึ้น

“ถึงกับมีผู้แข็งแกร่งขอบเขตคนฟ้าคอยตรวจตราเชียวหรือนี่ ดูท่าแล้วบนโลกนี้คงวุ่นวายมากจริงๆ”

“เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าจะสงบสุขได้เมื่อไหร่”

“ได้ยินมาหรือยังว่าทางทิศเหนือเริ่มเปิดสงครามกันอีกแล้ว…”

“ราชวงศ์จักรพรรดิแสนั่นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ผ่านไปแค่ไม่กี่ปีก็ต้องมีสงครามเปิดฉากขึ้นทางฝั่งเหนือแทบจะตลอด…” พอเห็นการตรวจตราที่เข้มงวดขนาดนั้น นักพรตไม่น้อยที่เตรียมจะเข้าเมืองซึ่งอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของพวกเขาก็กะพริบตาปริบๆ เรื่องของดินแดนเซียนแห่งที่สองที่เขาเข้าใจมาส่วนใหญ่ล้วนมาจากในคัมภีร์ทั้งนั้น สำหรับรายละเอียดที่แน่ชัดเขากลับรู้อะไรไม่มาก แต่เรื่องของสงครามที่ทิศเหนือเขาก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก ยังคงมองซ้ายมองขวาหาชมเรื่องสนุกไปตามเรื่องตามราว

บางครั้งก็มีนักพรตบางส่วนที่คล้ายจะมีความสำคัญมากซึ่งพอบินทะยานมาจากทิศไกลแล้วพลิ้วตัวลงนอกประตูเมือง หลังจากปัดเศษฝุ่นที่อยู่บนร่างทิ้ง ภายใต้ความเกรงใจและเคารพนอบน้อมจากเหล่าทหารยามที่เฝ้าหน้าประตู คนเหล่านั้นก็สามารถเข้าไปในเมืองได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าแถว

ทุกครั้งที่คนแบบนี้ปรากฏตัวจะดึงดูดสายตาอิจฉาจากคนมากมายที่อยู่รอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทำท่าคันไม้คันมืออยากลองทำดูบ้าง แต่พอนึกว่าตนต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ก็ได้แต่ข่มกลั้นความวู่วามของตนอย่างเสียดาย

“ข้าต้องถ่อมตัวให้เคยชิน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามย้ำเตือนตัวเอง และไม่นานเมื่อแถวของผู้คนเริ่มขยับไปข้างหน้าช้าๆ ก็มาถึงคราวของป๋ายเสี่ยวฉุนบ้าง ทว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขึ้นหน้าไปจ่ายหินวิเศษ โดนอำนาจจิตของคนฟ้ากวาดผ่านและปล่อยให้เขาเดินต่อไป ตอนที่เขาเข้าไปในเมือง จู่ๆ กลับมีรุ้งยาวทะยานตรงเข้ามาในประตูเมืองด้วยความเร็วสูงสุด

พริบตาเดียวรุ้งยาวก็ขยับเข้ามาใกล้ ก่อกลายเป็นพลานุภาพสยบ ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบด้านตกอกตกใจ ทั้งยังมีลมกระโชกพัดพาให้ฝุ่นปลิวคลุ้ง และเมื่อรุ้งยาวหายไป ด้านในนั้นก็มีคนเดินออกมาหลายสิบคน!

ซึ่งคนส่วนใหญ่มีตบะเป็นก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งยังแผ่ปราณแห่งความดุร้ายกระหายเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่อยู่สนามรบมานานปี และยังมีห้าคนที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งคนฟ้า ส่วนคนที่เป็นผู้นำคนทั้งกลุ่มก็คือชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่ง

ชายฉกรรจ์คนนี้มีเรือนกายหนาใหญ่ล่ำสันอย่างมาก เขาสวมชุดคลุมยาวสีม่วง น่าเกรงขามทั้งที่ไม่แสดงความโกรธ การปรากฏตัวของเขาทำให้พวกทหารยามที่อยู่หน้าประตูหน้าเปลี่ยนสี ทั้งยังมีท่าทางเกรงใจยิ่งกว่าที่มีกับพวกคนซึ่งมีอภิสิทธิ์ก่อนหน้านี้เสียอีก

“คารวะพระยาจื่อหลิน!”

แม้แต่คนฟ้าที่อยู่ในป้อมเหนือกำแพงเมืองก็ยังเดินออกมาจากข้างใน ทั้งยังรีบปรี่ขยับเข้ามาใกล้แล้วคารวะชายฉกรรจ์ด้วยความเคารพนอบน้อม

“คารวะพระยาจื่อหลิน!”

เมื่อเห็นว่าขนาดคนฟ้าผู้นั้นก็ยังเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้คนที่เข้าแถวรอเข้าเมืองก็พากันตกตะลึง เมื่อได้ยินถึงคำเรียกขานที่ทหารยามรวมไปถึงคนฟ้าเรียกชายฉกรรจ์ผู้นั้น เสียงอุทานด้วยความแตกตื่นก็ดังออกมาจากในกลุ่มคนทันที

“นั่นคือต้าจุนผู้พิทักษ์เขตการปกครองสุดท้ายของทางทิศเหนือ…พระยาจื่อหลิน!!”

“เป็นท่านผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย ปีนั้นข้าแค่เคยมองเห็นเขาไกลๆ ครั้งหนึ่ง นี่คือพระยาจื่อหลินที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งพระยาจากจักรพรรดิเซิ่งเชียวนะ!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนดังเซ็งแซ่ เพียงแต่ว่าต่อให้ตัวตนของชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีม่วงผู้นั้นจะน่าตกตะลึงมากแค่ไหน แต่กลับไม่มีใครแปลกใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ได้บินตรงเข้าเมือง ทว่ากลับต้องมาเดินผ่านประตูเมืองเหมือนๆ กับทุกคน

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด ตระหนักได้ว่าบางทีในนครของเขตการปกครองหลักแห่งนี้อาจมีกฎระเบียบที่ต่อให้จะเป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพก็ถูกห้ามไม่ให้บินเข้าเมืองโดยตรงเหมือนกัน!

พระยาจื่อหลินเพียงยิ้มน้อยๆ หันไปพยักหน้าให้กับคนฟ้าจากในป้อมที่ออกมาคารวะตน ไม่ได้พูดอะไรมากความ แค่เดินตรงเข้าไปในประตูเมือง ส่วนพวกลูกน้องของเขาก็เดินตามหลังไปด้วยท่าทีดุดัน

เหล่าทหารยามที่อยู่รอบด้านไล่คนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงให้ถอยห่างออกไป ไม่ยินยอมให้มีใครขวางทางพระยาจื่อหลิน อันที่จริงไม่ต้องรอให้พวกเขาไล่ พวกกลุ่มคนที่อยู่ข้างประตูเมืองก็ยอมถอยห่างด้วยความนอบน้อมอยู่แล้ว

และป๋ายเสี่ยวฉุนที่…เดิมทีควรถึงคราวของเขาได้เข้าเมืองก็ย่อมต้องกลายมาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกขับไล่ด้วย นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด โดยเฉพาะพอคนข้างกายถอยหลังออกไป เขาจึงกลายเป็นคนเดียวที่ยืนเด่อยู่ตรงนั้นเด่นชัดเป็นพิเศษ

“ยังไม่หลีกไปอีก!” เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังยืนอยู่ตรงนั้น ทหารยามที่เฝ้าหน้าประตูก็ไม่พอใจ ตวาดกร้าวเสียงดัง ทั้งยังปรี่ขึ้นมาเตรียมจะผลักป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปให้พ้นทาง

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันมาถลึงตาใส่ ทหารยามคนนั้นอึ้งงันไปทันที ในสมองก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นขาวโพลนคล้ายสติเลือนหาย ไม่ใช่ว่าเขารู้ตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นเพราะสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงเร้นพลังที่เขย่าคลอนจิตวิญญาณคนเอาไว้ นี่จึงทำให้ทหารยามผู้นั้นอกสั่นขวัญหาย ได้แต่ยืนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น

“ข้าผู้แซ่ป๋ายจ่ายหินวิเศษไปแล้ว ทำไมต้องให้ข้าหลีกด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเสียงเรียบเฉย สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีแล้วเดินตรงเข้าไปในประตูเมืองโดยไม่สนใจใคร

ภาพนี้ทำเอาทุกคนที่อยู่รอบด้านตาค้าง แต่ละคนพากันหันไปมอง

แม้แต่พระยาจื่อหลินเองก็ยังกวาดตามามอง เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็มองตบะที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออก แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เพียงดึงสายตากลับมา แล้วมองไปยังผู้เฒ่าคนฟ้าที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู

ผู้เฒ่าคนฟ้าที่เฝ้าประตูพลันขมวดคิ้ว

เขารู้ดีว่าพระยาจื่อหลินเป็นญาติกับเทียนจุนวิเศษกาลนาน จึงไม่กล้าล่วงเกิน มือขวาเขาพลันยกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นก็มีม่านแสงหนึ่งปรากฏวูบขึ้นในประตูเมือง ขัดขวางฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ฝืนบุกเข้าไป แต่หันกลับไปมองผู้เฒ่าคนฟ้าที่เฝ้าประตูด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!