บทที่ 1213 จุดเริ่มต้น!
ไม่มีใครรู้ความหงุดหงิดใจของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองในเวลานี้ก็เหมือนว่าจะว่างงานยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนครจักรพรรดิหรือการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับพวกคนที่มาจากนครจักรพรรดิเซิ่งและนครจักรพรรดิแส ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนมีคนรับไปจัดการโดยเฉพาะ
และเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนทำการแลกเปลี่ยนกับจักรพรรดิแส เมื่อหยวนเยาจื่อและซื่อหลิงซ่างเหรินที่ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงถูกคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสมารับตัวไป นักพรตของโลกทงเทียนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก
ไม่นานตลอดทั้งดินแดนเซียนโลกทงเทียนก็เต็มไปด้วยความคึกคัก นครหลายแห่งผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เทือกเขาหลายสายก่อตัวกลายมาเป็นปราการป้องกันที่จัดเรียงไปทั่วบริเวณของดินแดนเซียนแห่งนี้
เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะไปคุยเล่นกับโหวเสี่ยวเม่ยอยู่เหมือนกัน
ทว่าตั้งแต่ที่โหวเสี่ยวเม่ยมาถึงที่นี่ก็ถูกซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่จับตามองอย่างไม่ให้คลาดสายตา แม้ว่าต้าเทียนซือจะส่งคนไม่น้อยมาปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนางอย่างที่หนึ่งในนางสนมควรจะได้รับ แต่หากพูดกันถึงระดับของความอิสระเสรีแล้ว นางกลับไม่มีมากเท่าตอนที่อยู่ข้างกายกงซุนหว่านเอ๋อร์
สำหรับเรื่องนี้ลึกๆ ในใจโหวเสี่ยวเม่ยก็โกรธเคืองอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะพอคิดถึงท้องของซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่นางก็ยิ่งยอมไม่ได้ ภายนอกจงใจไม่แยแสป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าลับๆ แล้วกลับใคร่ครวญคิดหาวิธี
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าโหวเสี่ยวเม่ยไม่สนใจตน ด้วยความจนใจจึงไปหากงซุนหว่านเอ๋อร์ แต่ในฐานะที่กงซุนหว่านเอ๋อร์เป็นถึงเทียนจุน แม้ตำแหน่งฐานะจะเหนือเกินกว่าผู้ใด แต่นางกลับไม่ยินดีมีส่วนข้องเกี่ยวกับมรสุมที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจผิด บวกกับที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี นางจึงเลือกปิดด่านโดยตรง
“มีเมียคนเดียวดีกว่าจริงๆ ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอย่างหดหู่
มองคนในดินแดนเซียนที่ยุ่งวุ่นวาย ส่วนตัวเองได้แต่ถอนหายใจเบื่อหน่ายอยู่คนเดียวในตำหนักใหญ่ ยังดีที่ทุกอย่างนี้ไม่ได้ดำรงอยู่นานนัก เพราะเมื่อจำนวนคนในดินแดนเซียนเพิ่มมากขึ้น หนึ่งเดือนต่อมา นครจักรพรรดิที่โอ่อ่าสง่างามซึ่งตั้งอยู่ใจกลางดินแดนเซียนก็ถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ!
พลังอำนาจของนครจักรพรรดิแห่งนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร มองไปไกลๆ จะเห็นได้ว่าเกิดจากการรวมตัวกันของเทือกเขาเก้าสาย! โดยเฉพาะตรงจุดที่เทือกเขาทั้งเก้าตัดสลับกันซึ่งมีรูปปั้นหนึ่งตั้งตระหง่าน
รูปปั้นนี้ก็คือรูปปั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนที่สวมชุดคลุมจักรพรรดิ มือซ้ายของเขายกขึ้นประคองนครขนาดมหึมาแห่งหนึ่งเอาไว้ มือขวาก็ยกขึ้นสูงเช่นกัน และบนฝ่ามือก็ประคองหยดน้ำขนาดมโหฬารไว้หยดหนึ่ง!
น้ำในหยดน้ำนี้ไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่เป็นน้ำทะเลจากมหาสมุทรหย่งเหิง!
นี่ยังไม่เท่าไหร่ ภายใต้การวางแผนร่วมกันของพวกต้าเทียนซือ ทั้งยังเพื่อเป็นที่ระลึกถึงจักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่ง พวกเขายังใช้แรงงานคนมากมายอย่างไม่เสียดาย เพียงเพื่อให้ไปค้นหาและรวบรวมหินเลือดเนื้อของจักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่งซึ่งแตกกระจายเป็นเสี่ยงยามที่โลกทงเทียนระเบิดแหลกสลายโดยไม่สนว่าจะอยู่บนพื้นดิน อยู่ในน้ำทะเล หรืออยู่บนเกาะหย่งเหิงก็ตาม!
ต่อให้จะหาเจอไม่ครบ แต่ก็ได้กลับมาเกินครึ่ง หินเลือดเนื้อพวกนี้ล้วนผสานรวมเข้าไปในรูปปั้นยักษ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งสิ้น ซึ่งนั่นทำให้เรือนกายของรูปปั้นหินมีพลังมหัศจรรย์บางอย่างแฝงเร้นอยู่!
ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสายเลือดของโลกทงเทียน หากขยับเข้ามาใกล้รูปปั้นนี้ พลังสายเลือดของพวกเขาจะยิ่งร่าเริงลิงโลด ความเร็วในการฝึกตนของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันพลังการต่อสู้และการหลอมพลังจิตของพวกเขาก็จะแตกต่างไปจากตอนอยู่ในพื้นที่อื่นอย่างสิ้นเชิง!
และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือนครจักรพรรดิที่อยู่บนมือขวาของรูปปั้นป๋ายเสี่ยวฉุน!
นครจักรพรรดิแห่งนี้ต่อให้มองไกลๆ ก็ยังไม่เล็ก ขนาดของมันโอฬารกว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด และยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในนครสามารถรองรับนักพรตได้มากนับสิบล้านคน สิ่งปลูกสร้างแต่ละหลัง ถนนหนทางแต่ละสาย เมื่อนักพรตมากมายมารวมตัวกัน บรรยากาศก็เปลี่ยนมาเป็นครึกครื้นรื่นเริงอย่างถึงที่สุด
อีกทั้งเมื่ออยู่ในนครจักรพรรดิแห่งนี้ยังจะยิ่งเพิ่มระดับสายเลือดให้เข้มข้นได้มากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายใต้การวางแผนของพวกต้าเทียนซือ พวกเขาก็ย่อมไม่ลืมที่จะจัดวางค่ายกลหลายชั้นล้อมป้องกันไว้รอบด้าน เมื่อรวมกับพลังของตัวรูปปั้นเองจึงเป็นเหตุให้ค่ายกลของที่นี่ที่แม้จะสู้นครจักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เทียนจุนจะสามารถเขย่าคลอนได้ง่ายๆ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เดิมทีก็ทำให้ผู้คนพากันจับตามองอยู่แล้ว ทว่าสิ่งที่น่าตะลึงยิ่งกว่าพวกมันก็คือตำแหน่งกลางหว่างคิ้วของรูปปั้นป๋ายเสี่ยวฉุนที่…เดิมทีคือตำแหน่งของเนตรทงเทียน!
ตรงจุดนั้นเมื่อมองมาจากที่ไกลๆ ก็ราวกับว่าฝังผลึกใสสีม่วงขนาดมหึมาเอาไว้ หากมองในระยะใกล้จะมองออกว่า…นั่นไม่ใช่ผลึกใสอะไรทั้งนั้น แต่เป็นแสงสีม่วงที่ก่อเกิดจากวิชาอภินิหารที่พิเศษบางอย่างซึ่งแทบจะดำรงอยู่ได้ตลอดกาล!
ในแสงสีม่วงซึ่งเป็นตัวแทนของความสูงส่งไร้ผู้ใดทัดเทียมนี้ ก็คือ…วังหลวงสีม่วงหลังหนึ่ง!!
วังหลวงแห่งนี้ประณีตงดงามทั้งยังหรูหรา ขณะเดียวกันก็ยิ่งมีพลังอำนาจที่เพียงแค่ทุกคนมองไปก็อดเกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาในหัวใจไม่ได้!
บัดนี้ในวังหลวง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ว่างงานมานานมากกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแห่งเดียวในตำหนักใหญ่
เบื้องล่างถัดจากบัลลังก์ของเขาคือเก้าอี้หงส์สามตัวซึ่งมีซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่และโหวเสี่ยวเม่ยนั่งอยู่ตรงนั้น พวกนางสามคนคอยมองประเมินกันเองอยู่เป็นระยะ และบางครั้งก็เงยหน้าขึ้นเหลือบตามองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ มองคนนับร้อยที่กำลังถกเถียงกันอยู่กลางท้องพระโรงใหญ่เบื้องล่างด้วยความหน่ายใจ
“ถ้าจะถามข้า พวกเราควรจะชื่อว่าราชวงศ์จักรพรรดิป๋าย!”
“ชื่อนี้ไม่ดี ไม่สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม พวกเราควรจะชื่อว่าราชวงศ์จักรพรรดิทงเทียน!”
“พวกเจ้าลืมบรรพบุรุษของพวกเราแล้วหรือ บรรพบุรุษของพวกเราคือขุย พวกเราก็ควรจะสืบทอดเกียรติยศความรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษ ตั้งชื่อว่าราชวงศ์จักรพรรดิขุย!!”
ในบรรดาคนมากมายที่ถกเถียงกันมีทั้งต้าเทียนซือ ทั้งราชาผียักษ์ มีราชาเก้านรกภูมิ ราชาเทพจุติ ราชาชิงชัยและยังมีอดีตครึ่งเทพของสายตะวันออกและสายเหนือ นอกจากครึ่งเทพที่เป็นคนของโลกทงเทียนเหล่านี้แล้ว ยังมีครึ่งเทพอีกสิบกว่าคนที่มาจากสองราชวงศ์ใหญ่ซึ่งหันมาสวามิภักดิ์แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน
กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้เข้าร่วมกับเรื่องทั้งหมดนี้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นกำลังโต้เถียงกันไม่หยุด แม้แต่บุรพาจารย์ธาราเทพเองก็ยังเสนอความคิดเห็นของตนออกมา
และตัวตนของเขาก็พิเศษ เมื่อเสนอความเห็นจึงมีคนไม่น้อยให้การสนับสนุน
แต่ยังดีที่หลี่ชิงโหวไม่ได้พูดอะไร หาไม่แล้วด้วยความพิเศษของตัวตนเขา เกรงว่าเพียงแค่พูดคำเดียว แม้แต่ต้าเทียนซือก็ยังต้องให้ความสำคัญ
เมื่อเห็นว่าการถกเถียงของทุกคนไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจอีกครั้ง เพราะการโต้เถียงเรื่องชื่อของราชวงศ์นี้ยืดเยื้อติดต่อกันมาสองวันแล้ว
สองวันมานี้ ทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วก็พยายามจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยให้ได้ เพราะอย่างไรซะดินแดนเซียนที่เป็นของโลกทงเทียนในทุกวันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องก่อตั้งบ้านเมืองกันแล้วจริงๆ
หากยังไม่ก่อตั้งบ้านเมืองขึ้นมา เกรงว่าคงเกิดปัญหาขึ้นในใจผู้คน
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นประกายวาบ ยกมือขวาขึ้นช้าๆ แล้วกดลงไปยังทิศไกลหนึ่งที ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่ายตบะและปราณออกมา แต่พวกคนที่อยู่เบื้องล่างซึ่งมองดูคล้ายกำลังถกเถียงกัน ทว่าอันที่จริงแล้วกลับสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ทุกขณะ
และทันใดนั้น…ทุกคนก็พากันเงียบเสียงลง เงยหน้าขึ้นมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยชินกับการเป็นที่จับตามองของผู้คนมานานแล้ว หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง น้ำเสียงทุ้มหนักของเขาก็ดังก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรงของวังหลวง
“ในอดีต…ก่อนหน้าที่จักรพรรดิขุยองค์ก่อนจะสิ้นใจ ได้ส่งต่อการสืบทอดให้แก่ข้า…”
“วันนี้ชาวโลกทงเทียนอย่างพวกเราที่ผ่านการดิ้นรนจากความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนยืนหยัดได้มั่นคงในที่สุด พวกเราก็ควรจะแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิขุย แล้วก็ยิ่งควรจะแสดงความเคารพต่อ…บรรพบุรุษขุยของพวกเรา!”
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว นับแต่บัดนี้ไป…เราจะกลับมาเรียกว่าราชวงศ์จักรพรรดิขุยเหมือนเดิมอีกครั้ง ให้ชะตาชีวิตของผู้คนที่เคยเปลี่ยนแปลงไปเพราะนักพรตทงเทียนหวนคืนสู่วิถีเดิมอันเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง!”
“พวกเรามาดินแดนเซียนนิรันดร์กาลช้าไปหลายหมื่นปี วันนี้…พวกเราได้มาถึงแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน ใช้เรือนกายที่ลุกขึ้นมาของเขา ใช้น้ำเสียงของเขามาบอกกับทุกคนว่า…ราชวงศ์จักรพรรดิขุยได้หวนกลับคืนมาอีกครั้งแล้ว!
ลมหายใจที่หอบหนักดังออกมาจากปากของผู้คนนับร้อยที่อยู่เบื้องล่าง หัวใจทุกคนต่างสั่นไหว ก่อนหน้านี้แม้ว่าพวกเขาจะโต้เถียงกัน ทว่าความสูงศักดิ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมากพอจะทำให้ประโยคเดียวของเขาตัดสินเรื่องทุกอย่างได้!
ไม่มีใครเห็นต่างอีกต่อไป ซ้ำในใจของพวกเขาต่างก็ยอมรับว่าสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดก็คือหลักเหตุผลที่แท้จริง ต้าเทียนซือเป็นคนแรกที่เดินออกมา หน้าเขาแดงปลั่ง ประกายแสงในดวงตาเจิดจ้า รู้สึกว่าตลอดเวลาหลายปีที่ตนทุ่มเทไป นับว่าไม่เสียเปล่า!
ท่ามกลางความตื่นเต้นนี้ เขาจึงหันมาคารวะให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง
“ถวายบังคมจักรพรรดิขุย!”
ราชาผียักษ์ ราชาเก้านรกภูมิ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดอย่างครึ่งเทพสายเหนือและสายตะวันออก รวมถึงคนมากมายยิ่งกว่านั้นที่อยู่ด้านหลังพวกเขาต่างก็ทำเช่นเดียวกัน นั่นคือหันไปถวายบังคมป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ถวายบังคมจักรพรรดิขุย!!”
ต่อให้เป็นกงซุนหว่านเอ๋อร์ โจวจื่อโม่ ซ่งจวินหว่านหรือโหวเสี่ยวเม่ย บัดนี้ต่างก็จิตใจสะท้านไหวทั้งๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เผยตบะออกมา ทว่าร่างของกลับฉายประกายรัศมีหมื่นจั้ง พวกนางจึงลุกขึ้นยืนคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
บุรพาจารย์ธาราเทพและหลี่ชิงโหวปลาบปลื้มใจอย่างถึงที่สุด แต่พวกเขาเข้าใจดีว่านับแต่นี้ไป ในวังหลวงแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือจักรพรรดิขุย คือหนึ่งในสามจักรพรรดิใหญ่ของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล พวกเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกุมมือคารวะ!
และหลังจากที่เสียงแห่งการถวายบังคมในวังหลวงดังออกมา นักพรตโลกทงเทียนหลายล้านคนที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยและจับตามองมาอย่างใกล้ชิดก็ล้วนได้ยินเสียงนี้ พวกเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันควัน พากันนั่งคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง ปากก็ตะโกนเสียงดัง
“ถวายบังคมจักรพรรดิขุย!!”
“ถวายบังคมจักรพรรดิขุย!!!” และยิ่งมีคลื่นเสียงที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรซัดแผ่ออกไปจากในนครจักรพรรดิขุย จนนักพรตที่อยู่รอบรูปปั้นได้ยิน แล้วก็พากันเปล่งเสียงรับต่อเป็นทอดๆ คลื่นเสียงนี้ซัดออกไประลอกแล้วระลอกเล่า สุดท้าย…ก็ดังไปทั่วทั้งดินแดนเซียน!
บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิแสหรือจักรพรรดิเซิ่งต่างก็หันมาจับตามองนครจักรพรรดิขุยจากในวังหลวงของตัวเอง!
บัดนี้เทียนจุน ครึ่งเทพ คนฟ้าและนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสองราชวงศ์ใหญ่ต่างก็ใจสั่นสะท้านไปตามๆ กัน สัมผัสได้ว่าระหว่างสองราชวงศ์ใหญ่นี้กำลังมีพลังอำนาจสะท้านฟ้าที่เหี้ยมหาญขุมหนึ่งแผ่ทะยานขึ้นมา!!
บัดนี้แม้แต่มารดาแห่งนิรันดร์กาลผู้ลึกลับที่อยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…ก็คล้ายจะลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังบุตรชายคนที่สามของนาง…ซึ่งในที่สุดก็ได้กลับคืนมาอย่างแท้จริงแล้ว!