บทที่ 1263 ขั้นที่หกของบทมิวางวาย
เดิมทีในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน เส้นชีพจรที่เป็นเส้นทางของตราผนึกแห่งสายเลือดเหมือนจะกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตสิ้นสุด ทว่าตอนนี้เมื่อบรรพบุรุษขุยลุกขึ้นยืนช้าๆ แม้ว่างร่างของเขาจะไม่สูงใหญ่ถึงขั้นค้ำฟ้า แต่กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกลวงตาเหมือนเห็นร่างของอีกฝ่ายยืนค้ำฟ้าดิน!
เรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬาร พลังที่เปี่ยมล้นไปด้วยความพลุ่งพล่านซึ่งเกิดจากความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ รวมถึงสีหน้าไร้อารมณ์และดวงตาเย็นชาคู่นั้น ทั้งหมดนี้ล้วนก่อตัวขึ้นเป็นพลังโจมตีที่เหมือนจะทำให้ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น ทำให้โลกทั้งใบสั่นไหว ทำให้ช่องทางเส้นชีพจรของตราผนึกสายเลือดเหมือนจะระเบิดพังทลาย!
อีกทั้งลำพังเพียงแค่การลุกขึ้นยืนก็เหมือนจะสร้างพายุคลั่งให้ซัดตะลุยไปรอบด้าน และเมื่อพายุลูกนี้หมุนคว้างออกไป เงามืดที่ยังหลงเหลืออยู่ทั่วแปดทิศก็ไม่สามารถยืนหยัดได้แม้เพียงครึ่งชั่วลมหายใจ ร่างของพวกมันเหมือนถูกฉีกกระชากจึงลบเลือนไปในเสี้ยววินาที แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันหลุดออกมาจากปาก
พละกำลัง พลานุภาพสยบ ความพลุ่งพล่าน ความดุร้ายโหดเหี้ยม!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสถึงสี่คำนี้จากบนร่างของบรรพบุรุษขุยได้ทันที
ลมหายใจของเขาเปลี่ยนมาเป็นหอบรัว ร่างของเขาก้าวถอยออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวาก็คือ ริ้วคลื่นที่แผ่ออกมาจากในสายเลือดของบรรพบุรุษขุย ยังมาสร้างอิทธิพลให้กับแสงเลือดบนร่างของเขาอีกด้วย
ราวกับว่า… บรรพบุรุษขุยในเวลานี้กำลังช่วงชิงต้นกำเนิดตราผนึกทางสายเลือดอยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุน แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบรรพบุรุษขุยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ถูกจำแลงขึ้นด้วยภาพมายา ไม่มีทางที่จะกลายมาเป็นต้นกำเนิดของตราผนึกทางสายเลือดไปได้ หาไม่แล้วเส้นใยตราผนึกเส้นนี้ก็คงไม่อาจยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ และเกรงว่าคงจะแหลกสลายไปนานแล้ว
แต่กระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังสัมผัสได้ถึงวิกฤตร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอยู่ดี!!
วิกฤตการณ์ในอดีตมักจะมาจากศัตรูที่เขาไม่รู้จักและไม่เข้าใจ ทว่าวิกฤตอันตรายในวันนี้กลับมาจากบรรพบุรุษแห่งสายเลือดของเขาเอง
“ที่จักรพรรดิเซิ่งล้มเหลว บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้เจอกับ… บรรพบุรุษเซิ่ง?”
สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจกระจ่างแจ้งในเสี้ยววินาที เดาได้ถึงสาเหตุที่ทำให้จักรพรรดิเซิ่งล้มเหลว ต่อให้จะเป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมั่นใจถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว
“ให้ต่อสู้กับบรรพบุรุษของตัวเองหรือนี่?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองบรรพบุรุษขุยแวบหนึ่งด้วยความไม่มั่นใจ ขณะที่ความสะท้านสะเทือนของเขายังไม่ทันจางหาย และเป็นนาทีเดียวกับที่ปวดหัวแปล๊บขึ้นมา ดวงตาของบรรพบุรุษขุยพลันฉายแสงคมกริบพร้อมกับระเบิดปณิธานการต่อสู้ที่เหี้ยมหาญ ประหนึ่งมีดวงอาทิตย์สองดวงที่ส่องแสงเจิดจ้า ส่วนร่างของเขาก็ยิ่งเดินพรวดออกมา ท่ามกลางเสียงครืนๆ ดังอึกทึก เรือนกายที่ใหญ่โตของเขาก็เหมือนกับภูเขาลูกหนึ่งที่ทะยานจากทิศไกลพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
และวินาทีที่ขยับเข้ามาใกล้ ร่างของบรรพบุรุษขุยก็พลันเพิ่มความเร็ว ราวกับว่าไม่ใช่แค่จะขยับมาหา แต่เป็นว่า…ต้องการจะพุ่งชน!
“ชนาเขย่าภูเขา!”
ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหดตัว เขาเข้าใจบทมิวางวายดียิ่งนัก เพียงแค่มองปราดเดียวจึงรู้ถึงเวทลับที่บรรพบุรุษขุยร่ายใช้ ทั้งยังมองเห็นว่าหลังจากที่ความเร็วของบรรพบุรุษขุยเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ คลื่นที่เป็นของผนึกมิวางวายก็ได้แผ่ออกมา ยังไม่สิ้นสุด ที่สำคัญที่สุดก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่านิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบนมือขวาของบรรพบุรุษขุยเวลานี้แผ่แสงที่น่าหวาดกลัวออกมา!
“ตรวนสลายลำคอ!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากจะพาคอตัวเองไปรับกับตรวนสลายลำคอของบรรพบุรุษขุย เขารู้สึกว่าตัวเองก็ตัวเล็กแค่นี้ หากถูกอีกฝ่ายเล่นงาน เกรงว่าคงโดนบีบขยี้เป็นชิ้นเนื้อเละๆ แน่นอน
วิกฤตคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถอยกรูดไปข้างหลัง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะถอยได้เร็ว บรรพบุรุษขุยเองก็ไม่ช้าเหมือนกัน เขาไล่กวดตามมาติดๆ เพียงแค่ชั่วพริบตา คนทั้งสองที่คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลังก็เริ่มไล่ล่ากันอยู่ในเส้นชีพจรเส้นนี้
นอกดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเวลานี้ เสียงสูดหายใจดังมาจากคนนับไม่ถ้วน พวกเขามองเห็นว่าจุดแสงที่เป็นตัวแทนของป๋ายเสี่ยวฉุนในเส้นชีพจรที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เวลานี้ได้หยุดชะงักเป็นครั้งแรก… แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทะยานไปข้างหน้าต่อ แต่กลับถอยไปด้านหลัง
นี่จึงทำให้ทุกคนใจสั่น ความสิ้นหวังก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกที่ราวกับว่าฟ้าดินจะแหลกสลาย โลกจะเดินไปสู่ความตายทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของวันสิ้นโลก!
“เขาต้องไปเจอเข้ากับบรรพบุรุษขุยแน่นอน!”
มีเพียงจักรพรรดิเซิ่งเท่านั้นที่พอหายตัวสั่นก็พอจะคาดเดาได้ถึงคำตอบ ส่วนลึกในหัวใจเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่กลับมิอาจให้ความช่วยเหลือได้ ได้แต่มองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นคาตาของตัวเอง
ซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่ โหวเสี่ยวเม่ย หลี่ชิงโหว ต้าเทียนซือ พวกคนมากมายของราชวงศ์จักรพรรดิขุยต่างก็หน้าซีดขาว ความรู้สึกอ่อนแอไร้ที่พึ่งทำให้ความสิ้นหวังผุดขึ้นมาในใจพวกเขาอย่างห้ามไม่ได้
และขณะที่คนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตาพร้อมๆ กับอารมณ์หลากหลายที่ผุดขึ้นกลางใจ เสียงกัมปนาทรุนแรงก็ดังก้องขึ้นมาจากในช่องทางเส้นชีพจร หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังห่างไปได้ระยะหนึ่ง เมื่อค้นพบว่าไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้พ้น เขาก็พลันกลั้นหายใจ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย และพลังอำนาจก็ระเบิดตูมออกมาจากทั้งร่างของเขาในวินาทีนั้น
“บรรพบุรุษขุยแล้วอย่างไร ท่านยายเจ้าเถอะ รังแกกันมากเกินไปแล้ว!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาแล้วแผดเสียงตะคอกใส่ ร่างของเขาไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับยังกระโจนเข้าใส่อีกต่างหาก
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยน!”
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนขยายใหญ่ขึ้นในบัดดล เวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตา เมื่อเขากระโจนออกมาได้สามก้าว ร่างของเขาก็ขยายถึงหนึ่งร้อยจั้ง จากนั้นคาถาคนขุนเขาก็ถูกปล่อยตามมาติดๆ จนกระทั่งสูงสองร้อยกว่าจั้ง พอร่างเท่ากับยักษ์ตัวย่อม เขาก็ร่ายชนาเขย่าภูเขาต่อทันที!
ความเร็วของเขาที่ระเบิดในฉับพลันทำให้เกิดเสียงลมพัดคำรามดังอู้ ขยับเข้าไปใกล้บรรพบุรุษขุยที่พุ่งเข้าใส่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่าความเร็วเท่านี้ยังช้าเกินไป จึงร่ายผนึกมิวางวายเพิ่มเข้าไปอีก
ความเร็วของเขาจึงทะยานสู่จุดสูงสุดในทันที ก่อให้เกิดลมพายุหมุนคว้างทะยานฟ้าซึ่งซัดทำลายไปรอบด้าน พลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออกมาอย่างเต็มที่ครบถ้วน ซ้ำยังผสานรวมเข้ากับแรงสั่นสะเทือนของตบะ นั่นจึงทำให้อานุภาพของเขายิ่งกร้าวแกร่ง!
“มาเลยสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดัง กลายร่างมาเป็นภูเขาลูกยักษ์ที่พุ่งเข้าชนบรรพบุรุษขุย แล้วมือขวาก็ปล่อยตรวนสลายลำคอออกมาเช่นกัน เพียงแค่ชั่วกะพริบตาก็ตรงเข้าโรมรันปะทะกับบรรพบุรุษขุย!
มองไกลๆ ก็ราวกับว่ามีมังกรคลุ้มคลั่งในยุคบรรพกาลสองตัวกำลังต่อสู้พุ่งชนกัน เสียงตูมตามดังกึกก้อง แผ่นดินสะเทือนไหว เพียงแค่พลังโจมตีที่เกิดขึ้นก็ซัดคลื่นแผ่ไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด เป็นเหตุให้เงามืดจำนวนไม่น้อยที่เพิ่งก่อตัวขึ้นรอบด้าน ถูกแรงโจมตีนี้ซัดจนร่างแหลกสลายหายวับไปโดยตรง!
เสียงอึกทึกยังคงก้องสะท้อนไม่หยุด เสียงร้องคำรามเดือดดาลของป๋ายเสี่ยวฉุน ดังเคล้าไปกับเสียงแค่นในลำคอของบรรพบุรุษขุย เวลาเพียงสั้นๆ คนทั้งสองที่อยู่กลางอากาศก็ประมือกันเกินหนึ่งพันกว่ากระบวนท่าไปแล้ว!
ตรงจุดที่พวกเขาต่อสู้กัน ก้อนหินที่เกิดจากคาถาคนขุนเขาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนปริแตกและพังทลาย สาดกระจายไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง คาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนของเขาก็ถูกลดทอนกำลังลงเรื่อยๆ ร่างของเขาถดถอยจากสภาพใหญ่โตมโหฬาร ทว่าพลังการต่อสู้ของเขากลับยังคงสะท้านฟ้าอยู่เหมือนเดิม!
เรือนกายใหญ่ยักษ์ของบรรพบุรุษขุยเอง ก็เหมือนจะไม่อาจต้านรับแรงโจมตีหนึ่งพันกว่าครั้งนี้ได้อีก บนร่างจึงมีรอยปริแตกปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดลางว่าร่างกำลังจะพังทลาย
สุดท้ายเมื่อเสียงกัมปนาทสะเทือนแก้วหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดพรั่งพรู ถอยกรูดไปด้านหลัง พลังการฟื้นตัวของบทมิวางวายระเบิดปะทุอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นเหตุให้ตอนที่ถอยหลัง อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวกลับคืนในระดับที่มากที่สุด และหลังจากฝืนหยุดร่างเอาไว้ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แผดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง
“ที่แท้… เจ้ามันก็แค่ตัวปลอมที่สวมรอยมานี่เอง!”
ศึกนี้ทำให้ความมั่นใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มมากขึ้น เขาสัมผัสได้ว่าบรรพบุรุษขุยที่อยู่ตรงหน้าแตกต่างไปจากบรรพบุรุษขุยที่ตัวเองคิดเอาไว้ อีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งจนยากจะต้านทาน
และสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาในตอนนี้ก็เป็นแค่พลังการต่อสู้ของบุพกาลเท่านั้น เขากลืนเลือดสดที่อยู่ในปากลงคอ แสงสีเลือดแผ่พวยพุ่งเทียมฟ้า วิชาพิฆาตเทพถูกร่ายออกมาในบัดดล!
ร่างของเขาระเบิดตูมแล้วกลายมาเป็นหมอกเลือดที่พุ่งเข้าหาบรรพบุรุษขุย!
ทว่าบรรพบุรุษขุยเองก็มีพลังของการฟื้นตัวเหมือนกัน หลังจากถอยร่นออกไป อาการบาดเจ็บของเขาก็ประสานตัวอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังร่ายใช้วิชาพิฆาตเทพ กลายร่างเป็นหมอกเลือดเช่นเดียวกัน ครั้นแล้วก็เริ่มเปิดฉากสังหารกับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่กลางอากาศ…อีกครั้ง!
ท่ามกลางเสียงตูมตามที่ดังเกริกก้องต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนหรือบรรพบุรุษขุยต่างก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุด คนทั้งสองต่างก็มีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง มีพลังการฟื้นตัวที่น่าตะลึง พอมาเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเล่นงานใครได้
จนกระทั่งเสียงกัมปนาทดังกังวานและคนทั้งสองถอยร่นไปอีกครั้ง ดวงตาของบรรพบุรุษขุยก็พลันฉายแสงคมกริบ มือขวาที่ยกขึ้นกลับมีปราณห้าธาตุอย่างทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินปรากฏขึ้น!
ปราณห้าธาตุนี้เหมือนจะสอดคล้องกับอวัยวะห้าอย่างในร่างของคน แล้วก็เหมือนว่าจะสอดคล้องกับตราผนึกห้าอย่างเช่นกัน วินาทีที่ถูกร่ายออกมา ตำแหน่งห้าอวัยวะตรงหัวใจของบรรพบุรุษขุยก็แผ่แสงห้าสี เมื่อแสงนั้นระเบิดออก ทั่วทั้งร่างของเขาก็แผ่คลื่นที่น่ากลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ออกมา!
“วิชาห้าอวัยวะงั้นหรือ? ปีนั้นข้าก็รู้สึกแล้วว่า เวทลับห้าอวัยวะที่ท่านปู่คนเฝ้าสุสานร่ายใช้มีความสอดคล้องกับบทมิวางวาย คาดไม่ถึงว่านี่ก็คือ… ขั้นที่หกของบทมิวางวายหลังจากการฝึกหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกและเลือดที่บรรพบุรุษขุยเป็นผู้สร้างขึ้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หากศึกครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น เกรงว่าเขาเองก็คงไม่อาจรู้ได้ว่าบทที่หกที่แท้จริงหลังจากห้าบทมิวางวายคืออะไรกันแน่
จนกระทั่งวินาทีนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าวิชามิวางวายมีห้าบท แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ห้าบท เหมือนกับที่ตนสร้างวิชาหลังบทอมตะมิวางวายขึ้นมาด้วยตัวเอง
บทที่หกของวิชามิวางวายนี้ก็คือพลังแห่งอวัยวะทั้งห้าในร่างที่มาจากบรรพบุรุษขุย ซึ่งคนเฝ้าสุสานเคยเอามาใช้ตอนที่สู้รบกับนักพรตทงเทียนในปีนั้น!!