Skip to content

A Will Eternal 13

บทที่ 13 เจ้าก็มาด้วยสิ

การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายตรวจการและฝ่ายครัวไฟยืดเยื้อติดต่อกันมาหลายปี ข้อขัดแย้งระหว่างกันมีมากมาย แต่ต่างฝ่ายกลับรักษาระดับไว้อย่างพอดี ไม่สร้างเรื่องให้ใหญ่โต อย่างมากที่สุดก็แค่บาดเจ็บกันเท่านั้น

และการต่อสู้ที่เกิดจากเรื่องเส้นทางทดสอบในวันนี้ก็นานแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ภายใต้มือต่อยเท้าเตะของพวกจางต้าพั่ง พวกเฉินเฟยจากฝ่ายตรวจการแต่ละคนล้วนหน้าเขียวปูดบวม จำต้องหยิบเอาหินวิเศษหลายก้อนออกมาชดเชยค่าประตู จากนั้นฝากคำอาฆาตแค้นไว้หนึ่งประโยคค่อยข่มกลั้นความเจ็บใจจากไป

ก่อนจากไป เฉินเฟยหันกลับไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่แสร้งยืนทำท่าครุ่นคิดลึกซึ้งอยู่ตรงกำแพงรั้ว ความโกรธแค้นในใจยิ่งมากขึ้น เขาพบว่านับแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ฝ่ายครัวไฟ นับวันฝ่ายครัวไฟแห่งนี้ก็ยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้น

การต่อสู้ในครั้งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของนักการทั้งหมด เมื่อนักการของชายฝั่งทิศใต้หลายคนพบว่าฝ่ายตรวจการจำต้องยอมฝ่ายครัวไฟอย่างจนใจนั้น ในใจของแต่ละคนล้วนแค้นเคือง แต่ก็มีพวกนักการบางส่วนที่เป็นเหมือนโหวเสี่ยวเม่ย รู้สึกว่าการกระทำของฝ่ายครัวไฟถือเป็นการสร้างโอกาสดีอย่างหนึ่งให้กับตัวเอง

จนกระทั่งเดือนที่สองมาถึง การทดสอบเปิดขึ้นอีกครั้ง กลุ่มคนจากฝ่ายครัวไฟก็พุ่งทะยานไปถึงก่อนใคร ยืนหน้าเชิดอกตั้งเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเส้นทางทดสอบ

นักการที่อยู่รอบทิศล้วนมองมาที่พวกเขาด้วยความโกรธเคือง

“สหายร่วมสำนักทุกท่าน หากพวกท่านปีนขึ้นเขาได้เร็วกกว่าพวกเรา แน่นอนว่าไม่ต้องมาซื้อตำแหน่งจากพวกเรา พวกเราทำเช่นนี้ก็เพื่อสำนักทั้งสิ้น เพื่อให้ทุกคนมีแรงผลักดันในการแข่งขัน เลือกคนเก่งจากคนเก่ง!” จางต้าพั่งกระแอมไอแห้งๆ หนึ่งที เอ่ยปากพูดกับนักการที่อยู่รอบกาย ประโยคนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนบอกเขา เมื่อพูดออกมาในเวลานี้ ทำให้พวกนักการกัดฟันในทันที

จนกระทั่งเสียงระฆังดังก้อง พริบตาที่เส้นทางการทดสอบเปิดขึ้นนั้น กลุ่มคนจากฝ่ายครัวไฟรวมไปถึงพวกนักการทุกคนล้วนพุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต คล้ายว่าสะสมพลังเท้ากันมาอย่างเพียงพอเพื่อที่จะมาแข่งกับฝ่ายครัวไฟ

แต่ไม่นาน หลังจากที่พวกเขามองเห็นเบื้องหลังของเจ้าอ้วนหลายคนรวมถึงป๋ายเสี่ยวฉุนจากฝ่ายครัวไฟหายลับไปจากสายตา ทันใดนั้นทุกคนก็ยิ้มขื่น แต่กลับกัดฟันเดินหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสอดคล้องกับคำพูดของจางต้าพั่งไม่มากก็น้อย…

หลังจากที่ประสบความสำเร็จอีกหนึ่งครั้ง กลุ่มคนของฝ่ายครัวไฟก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกร สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเขตงานนักการอย่างแท้จริง ทำให้นักการจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินข่าวแทบจะหน้าเปลี่ยนสีกันในทันที แค่วิชาขั้นสูงที่พวกเขาฝึกได้ บวกกับขนาดรูปร่างที่น่าตกใจก็ทำให้พวกเขาได้แค่โกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมาแล้ว

ความรุ่งโรจน์แบบนี้ หลายปีมานี้ฝ่ายครัวไฟไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายครัวไฟจะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มากในเขตงานนักการ แต่ตอนนี้ความยิ่งใหญ่ของชื่อเสียงได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของประวัติศาสตร์ฝ่ายครัวไฟไปแล้ว

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกสองเดือน แค่เส้นทางการทดสอบเริ่มขึ้น แต่ละคนของฝ่ายครัวไฟก็ล้วนคึกคักฮึกเหิม พากันพุ่งทะยานออกไป ในสายตาของพวกเขา วันนี้ของทุกเดือนก็คือวันที่พวกเขาจะรวยหินวิเศษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าหินวิเศษของตัวเองมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะพอกับจำนวนที่สามารถเอาไปซื้อสมุนไพรได้แล้ว เส้นทางการทดสอบก็ได้เปิดขึ้นอีกครั้ง

เช้าตรู่วันนี้ จางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง และศิษย์พี่อ้วนคนอื่นๆ ตื่นกันแต่เช้า พร้อมด้วยป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งเก้าคนดิ่งทะยานออกไป แบกแย่งกันไปเส้นทางละสามคน พวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนตรงดิ่งไปที่ยอดเขาเซียงอวิ๋น

แต่ขณะที่อยู่กลางทาง คนของฝ่ายตรวจการก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน พูดจาเปะปะตามอำเภอใจหาเรื่องมาต่อสู้กับพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน อีกฝ่ายคนมากกว่าจึงได้เปรียบ ทำให้การต่อสู้ตะลุมบอนครั้งนี้ใช้เวลานานเล็กน้อย จนกระทั่งเสียงระฆังดัง จางต้าพั่งจึงร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน แม้แต่ดวงตาแดงยังก่ำ

และในเวลานี้เอง กลุ่มคนของฝ่ายตรวจการกลับแยกย้ายกันไปหลังจากถ่วงเวลาสมใจแล้ว ทำให้จางต้าพั่งโกรธเสียจนยกเท้ากระทืบแรงๆ ไม่ทันตามไปเอาเรื่องต่อก็รีบพุ่งทะยานไปยังเส้นทางทดสอบของยอดเขาเซียงอวิ๋นพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน และเฮยซานพั่ง เมื่อไปถึงที่นั่นก็เห็นว่าบริเวณโดยรอบเหลือคนอยู่แค่ไม่กี่คน ทั้งสามคนต่างร้อนใจ รีบเร่งขึ้นเขาไป

“เจ้าพวกสารเลวฝ่ายตรวจการกลุ่มนั้น เดี๋ยวรอข้าลงเขาไปก่อนเถอะ จะเรียกรวมศิษย์น้องของฝ่ายครัวไฟเราทุกคนไปพังฝ่ายตรวจการให้เละเลย!” จางต้าพั่งหอบฮัก ขณะที่เอ่ยปากด้วยความโกรธแค้น พลังแฝงทั้งหมดระเบิดออกมา ไขมันในร่างกายถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง เนื้อบนร่างซูบผอมลงไปเป็นเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดไม่มีหยุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เจ็บใจเช่นกัน อีกแค่นิดเดียวหินวิเศษของเขาก็จะพอแล้ว ในเวลานี้จึงกัดฟันกรอด ความเร็วที่แต่เดิมก็เร็วมากอยู่แล้วเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวในทันที พร้อมด้วยจางต้าพั่งและเฮยซานพั่ง ทั้งสามคนวิ่งทะยานอยู่บนเส้นทางทดสอบและวิ่งเลยพวกนักการแต่ละคนที่นำหน้าไป

จนกระทั่งใกล้จะถึงยอดเขา สีหน้าของทั้งสามคนก็บิดเบี้ยวขึ้นมาทันที เพราะว่าบนยอดเขา ตำแหน่งที่ใกล้กับทางออกมากที่สุดปรากฏเงาร่างของสามร่างยืนอยู่ตรงนั้น

ผู้นำคือเฉินเฟยจากฝ่ายตรวจการ ด้านหลังของเขามีชายร่างใหญ่อีกสองคน และท่าทางก็ล้วนฝึกพลังได้ถึงขั้นที่สามแล้ว ทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อสัมผัสได้ถึงเงาร่างของพวกป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“จางต้าพั่ง ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว! แต่ว่าไม่เป็นไร ที่ข้ามีตำแหน่งอยู่พอดี พวกเจ้าต้องการมั้ยล่ะ”

“ต่ำช้า หน้าด้าน คนถ่อย!” ดวงตาทั้งคู่ของจางต้าพั่งแดงก่ำ กัดปากเค้นฟัน

“ในเมื่อไม่ผิดกฎสำนัก พวกเจ้าฝ่ายครัวไฟมาได้ พวกเราฝ่ายตรวจการก็มาได้เหมือนกัน!”

“ฮ่าๆ ต่อไปกิจการนี้ต้องตกเป็นของฝ่ายตรวจการของเรา!”

เสียงของพวกเฉินเฟยดังลอยมาเข้าหูของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน จางต้าพั่งโกรธจนควันออกหู เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนชั่วมาก่อนแล้ว ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้มีคนของฝ่ายตรวจการมาขวางทางพวกเขาสามคนไว้

จางต้าพั่งคำรามด้วยความโกรธแค้นหนึ่งที กำลังจะลงไม้ลงมือกับพวกเฉินเฟยสามคน ในความคิดเขา การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีทางเลี่ยงได้ อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งในภายหลัง นี่ไม่ต่างอะไรจากการแย่งหินวิเศษไปจากเขา ทำให้ไฟแค้นของจางต้าพั่งปะทุเดือดสุดๆ

เฮยซานพั่งก็โกรธแค้นเช่นเดียวกัน แต่ชั่วขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะลงมือนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลอกตาหนึ่งที พลันเอ่ยปากด้วยเสียงแผ่วเบา

“ศิษย์พี่ใหญ่ วิ่งให้เร็วที่สุด ผลักพวกเขาสามคนขึ้นเขาไป พวกเรายอมอดได้หินวิเศษครั้งนี้ แต่ต้องตัดหนทางที่วันหน้าฝ่ายตรวจการจะมาแย่งชิงกิจการของเรา!”

เขาพูดประโยคนี้ออกมา นัยน์ตาของจางต้าพั่งก็เผยความดีใจอย่างบ้าคลั่งโดยพลัน แล้วยิ่งให้รู้สึกว่าเล่ห์เหลี่ยมของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นมีมากมายเหลือเกิน พอเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ร่างกายก็พุ่งพรวดออกไป ดวงตาทั้งคู่ของเฮยซานพั่งเองก็เป็นประกายเช่นกัน หัวเราะคิกคัก โยกร่างวิ่งไปพร้อมกับจางต้าพั่ง

เส้นทางทดสอบนี้เดิมทีก็แคบมากอยู่แล้ว ในเวลานี้จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งวิ่งมาเคียงคู่กัน จึงเหมือนกำแพงหนึ่งด้านที่พุ่งเข้ามา พัดพาให้เกิดเสียงลมวืดวาด

ด้วยความเร็วที่พุ่งทะยานเข้าหาพวกเฉินเฟยนั้น พริบตาก็ใกล้ประชิดตัวแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ด้านหลังจางต้าพั่งร้องเสียงแหลมปรี๊ด

พวกเฉินเฟยทั้งสามคนเห็นภาพนี้เข้าก็พากันลงมืออย่างไม่ลังเล แต่ต่อให้พวกเขาทุกคนลงมือ ก็ยังสู้จางตาพั่งและเฮยซานพั่งที่ตาแดงเหมือนหมูป่าถูกทำให้ตกใจในเวลานี้ไม่ได้

การบุกโจมตีของทั้งสองคนในเวลานี้ พูดได้ว่าฟ้าดินยังตะลึงพญายมยังร้องไห้ พวกเขาพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งจนมากระแทกเข้ากับร่างของเฉินเฟย ร่างกายของพวกเฉินเฟยสามคนถอยหลังไปในทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของแต่ละคนตะลึงพรึงเพริด ตอนนี้พวกเขารู้ความตั้งใจของฝ่ายครัวไฟแล้ว แต่ละคนหัวร้อนจนแทบระเบิด

หากอยู่ที่อื่น พวกเฉินเฟยสามคนสามารถหลบเลี่ยงและจู่โจมกลับไปได้ แต่อยู่ที่นี่ การโจมตีกลับของพวกเขาไม่เพียงไม่ได้ผล ยิ่งทำให้ร่างกายถอยไปด้านหลังเร็วขึ้นอีกด้วย

ยิ่งถอยไปข้างหลัง สีหน้าของพวกเฉินเฟยสามคนก็ยิ่งหวาดกลัว

ต้องเข้าใจว่าพวกเขาเองก็ไม่อยากเป็นศิษย์นอกฝ่ายเร็วขนาดนี้ หากไปอยู่นอกฝ่ายแล้ว ก็ไม่ใช่ฝ่ายตรวจการอีกต่อไป อีกทั้งลูกศิษย์ทั่วไปก็จะไม่ได้รับค่าน้ำร้อนน้ำชาอีก…

“ศิษย์พี่จางอย่าเพิ่งใจร้อน มีอะไรก็พูดกันดีๆ …” เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากเฉินเฟยผุดออกมา รีบเปิดปากทันที เพิ่งจะพูดได้แค่ครึ่งเดียว เสียงแหลมเล็กของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทะลุขึ้นกลางปล้อง

“ศิษย์พี่ใหญ่ดันเข้าไป ผลักพวกเขาให้ขึ้นเขาไปเลย!”

จางต้าพั่งได้ยินก็เงยหน้าคำรามเสียงดัง ร่างกายเพิ่มความเร็วอีกเท่าตัว เฮยซานพั่งเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองคนเรียงหน้ากระดานช่วยกันดัน ขณะที่เสียงดังสนั่นลอยมา ชายร่างใหญ่ฝ่ายตรวจการคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเฉินเฟยเป็นคนแรกที่ไม่อาจต้านทานได้ ถูกผลักออกไปจากขั้นบันไดของเส้นทางแคบๆ ร่วงไปอยู่บนยอดเขา ตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเขาอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาถูกกระแทกออกไป ชายนักการร่างใหญ่ฝ่ายตรวจการอีกคนหนึ่งเปล่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกายถอยกรูด หลังจากที่เท้าข้างหนึ่งออกนอกเส้นทางทดสอบไปยืนอยู่บนยอดเขา เขาก็ทุบอกชกตัว ไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด

สุดท้ายคือเฉินเฟย บนทางภูเขาแคบๆ นี้ลำพังแค่ตัวเขาจะต้านทานเช่นไรไหว สุดท้ายเมื่อเสียงตึงดังขึ้น เขาก็ถูกกระแทกออกไป ดวงตาเขาแดงก่ำอย่างถึงที่สุด ขณะที่เหยียบลงบนยอดเขาแล้วมองไปที่พวกจางต้าพั่ง นัยน์ตาของเขาเปล่งแสงอยากฆ่าคน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ที่เขาเกลียดที่สุดไม่ใช่จางต้าพั่ง แต่เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ออกความคิดชั่วช้านี้

ในเวลานี้บนยอดเขา ศิษย์นอกฝ่ายสองคนที่รับผิดชอบอยู่ตรงนี้เห็นภาพเหตุการณ์เกิดขึ้นจะๆ ตา กระแอมไอแห้งๆ ให้กันหนึ่งทีแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวไม่พูดอะไร

บนเส้นทางทดสอบที่อยู่ใกล้กับทางออก จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ

“เฉินเฟย ลาก่อนนะ ฮ่าๆ ต่อไปไม่ได้เห็นเจ้าในเขตงานนักการ ข้าจะคิดถึงเจ้า อิจฉาเจ้าจริงๆ ที่ได้กลายเป็นศิษย์นอกฝ่ายเสียแล้ว” จางต้าพั่งตบท้อง เนื้อไขมันกระเพื่อมเป็นลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน

พวกเฉินเฟยสามคนแทบจะกระอักเลือด ความคิดอยากฆ่าคนเริ่มเกิดขึ้น

“ศิษย์พี่ทั้งสามไม่ต้องขอบคุณ ยินดีกับพวกท่านด้วยที่ได้เป็นปลากระโดดข้ามประตูมังกร กลายเป็นศิษย์นอกฝ่าย เลื่อนตำแหน่งพรวดพราด ศิษย์น้องอิจฉาเหลือเกิน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง ใบหน้าลำพองใจ

แต่ขณะที่คำพูดด้วยความลำพองใจของเขาเพิ่งจะเปล่งออกไป น้ำเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันบนยอดเขาเซียงอวิ๋นก็ลอยเนิบนาบมา

“ไม่ต้องอิจฉาหรอก เจ้าเองก็มาด้วยสิ”

พริบตาที่เสียงนี้กระทบใบหูป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างกายของเขาก็สั่นไหวทันที ขณะที่นัยน์ตาเผยความหวาดกลัว แรงดึงดูดมหาศาลก็ลอยลงมาจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว ปกคลุมไปทั่วร่างป๋ายเสี่ยวฉุน ม้วนเอาตัวเขาเข้าไป พริบตาเดียวก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ยอดเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน เอื้อมมือคว้าจับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเส้นทางทดสอบ กอดไว้แน่นไม่ปล่อย เสียงร้องก็น่าเวทนายิ่งกว่าเดิม

“ศิษย์พี่ช่วยข้าด้วย”

ภาพเหตุการณ์นี้กะทันหันเกินไป จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งยังไม่ทันตั้งตัว เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ต้นไม้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกอดอยู่หักออก ร่างกายของเขาเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ถูกม้วนเข้าไปยังยอดเขา ในเวลาเดียวกันนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากยอดเขา เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อน สีหน้าไม่โกรธเคืองแต่กลับดูเคร่งขรึม เขาก็คือ…

หลี่ชิงโหว

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!