Skip to content

A Will Eternal 137

บทที่ 137 สัตว์รบของข้า!

ยามนี้ดูเหมือนคนทั้งชายฝั่งทิศเหนือล้วนพุ่งความสนใจมายังแห่งนี้ แม้แต่บนเขาจ้งเต้าก็ยังมีสายตาหลายเส้นรวมตัวกันจับจ้องมองมา

“นี่คือ…หืม?”

ขณะที่มีเสียงอุทานเบาๆ ดังแว่ว ทันใดนั้นน้ำวนกลางอากาศพลันกลายเป็นสีชาด ไม่นานแม้แต่ท้องฟ้าก็ยังถูกย้อมให้เป็นสีแดงฉานทั้งหมด

และชั่วขณะนี้เอง เสียงร้องโหยหวนเศร้ากำสรดดังลอยออกมาจากดอกกำเนิดสัตว์ที่แห้งเหี่ยว ตามมาติดๆ ด้วยปราณชีวิตที่อยู่ๆ เกิดพลิกผันลดฮวบลงอย่างกะทันหัน พริบตาเดียวก็ร่วงลงต่ำจนถึงขีดสุด ยิ่งไปกว่านั้นคือมีกลิ่นอายความตายแผ่กระจายออกมา

คล้ายว่ายังไม่ทันได้ถือกำเนิดก็จะสิ้นใจตายไปเสียก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม ผู้นำของทั้งสี่เขาเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน

“นี่เป็นเพราะสายเลือดปะปนกัน จิตใจมิอาจค้ำประคองร่างกายเอาไว้ได้!”

“สมควรตายเอ๊ย ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้!!”

“สัตว์ตัวนี้มิอาจถือกำเนิดขึ้นมาได้แล้ว…” ท่ามกลางเสียงร้องตกตะลึงของผู้นำเขาทั้งสี่ ร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทา จ้องเขม็งไปที่ดอกกำเนิดสัตว์ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าในดอกกำเนิดสัตว์นี้มีชีวิตหนึ่งที่ต้องการจะถือกำเนิดขึ้นมา แต่กลับยังไม่ทันทำสำเร็จก็จะดับสูญลงไปเสียก่อน เพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วลมหายใจ กลิ่นอายความตายเข้มข้นก็แผ่กระจายออกไปรอบด้าน

เวลานี้เอง เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งพลันปรากฏกายอยู่กลางอากาศเหนือดอกกำเนิดสัตว์อย่างเงียบเชียบ มองไม่เห็นรูปร่างที่แน่ชัด เห็นแค่เพียงว่านั่นดูเหมือนจะเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว ตลอดทั้งร่างราวกับไร้ซึ่งลมปราณใดๆ ปรากฏกายขึ้นมาอย่างไร้ซุ่มเสียง

ตบะ…ลึกล้ำจนมิอาจคาดเดา!

การปรากฏตัวของเขาทำให้คนรอบด้านใจสั่นกันหมด ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือไม่เคยพบเห็นผู้เฒ่าผู้นี้มาก่อน ส่วนผู้นำของทั้งสี่เขาหลังจากที่อึ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หน้าก็พลันถอดสี รีบคุกเข่าคำนับทันที

“บุรพาจารย์รุ่นที่สาม…”

พริตาที่ลูกศิษย์รอบด้านได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ ในสมองทุกคนก็เกิดเสียงดังอื้ออึง แต่ละคนตัวสั่นรีบคุกเข่าคำนับ

ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายคนทึ่มทื่อ เขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงการปรากฏตัวของเงาร่างนั้น ในสายตาของเขามีเพียงดอกกำเนิดสัตว์ที่เหี่ยวเฉาและชีวิตที่อยู่ด้านใน ใจของเขาสั่นไหว ดวงตามีน้ำตาคลอ

ผู้เฒ่าชุดขาวมองดอกกำเนิดสัตว์เงียบๆ มือขวาทำมุทราชี้ไป พลังชีวิตระลอกหนึ่งไหลทะลักเข้าไปด้านในทันที แต่ไม่นานพลังชีวิตนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายแห่งความตายยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

ผู้เฒ่าชุดขาวลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นพรวด มองไปยังหุบเหวสัตว์โบราณ

ในหุบเหวสัตว์โบราณ มังกรนิลเขาสวรรค์พลันอ้าปากกว้าง เลือดสีทองหยดหนึ่งลอยออกมาทันใด ร่างกายของมันดูแก่ชราลงไปเล็กน้อย มองจากที่ไกลๆ มายังดอกกำเนิดสัตว์ นัยน์ตาเผยความตึงเครียดและคาดหวัง

เลือดสีทองหยดนั้นพุ่งผ่าอากาศกลายเป็นรุ้งเส้นยาวสีทองหนึ่งเส้น ดิ่งทะยานมายังที่แห่งนี้ แล้วหลอมรวมเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์ ขณะเดียวกันผู้เฒ่าชุดขาวผู้นั้นก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเฉียบคม ขณะที่ยกมือทั้งคู่ทำมุทรา ชั้นเมฆบนท้องฟ้าโถมซัดไล่หลังเป็นระลอกคลื่น พละกำลังมหาศาลก่อตัวขึ้นมากลายร่างเป็นอักขระตัวหนึ่งปรากฏอยู่กลางมือของผู้เฒ่าคนนี้ จากนั้นอักขระตัวนั้นก็พุ่งผ่านดอกกำเนิดสัตว์เข้าไปหลอมรวมกับเลือดสีทองที่อยู่ภายใน

“สายเลือดปะปนกัน มีโอกาสรอดน้อยนิด ข้าทำได้เพียงรักษาชีวิตไว้ให้มันเก้าวัน จะมีชีวิตรอดและดิ้นรนออกมาจากดอกกำเนิดสัตว์ดอกนี้ได้หรือไม่นั้น คงต้องดูที่ความตั้งใจของสัตว์ตัวนี้ ถ้าไม่ได้ก็เสียดายที่ต้องเสีย…สัตว์วิเศษที่มีพลังแฝงถึงระดับห้าไป” ผู้เฒ่าถอนหายใจเสียงเบา ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิต จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของสัตว์ตัวนี้

ด้วยความเสียดาย เขาผินหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยความเวทนาสงสาร สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งร่างก็เลือนรางกลายเป็นจุดเล็กๆ สุกสกาวก่อนจะสลายหายไป

จนกระทั่งผู้เฒ่าจากไป ผู้นำทั้งสี่เขาถึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แต่ละคนหันมองไปยังทิศทางที่ผู้เฒ่าหายไปด้วยความเคารพยำเกรง แล้วจึงก้มหน้าลงมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่เหม่อลอยอยู่ข้างดอกกำเนิดสัตว์

นัยน์ตาของแต่ละคนเผยแววเห็นใจ เปลี่ยนเป็นใครก็ตาม หากทุ่มเทไปมากมายขนาดนี้ สุดท้ายแล้วสัตว์รบกลับไม่สามารถถือกำเนิดออกมาได้ก็ต้องเสียใจกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะนี่คือดอกกำเนิดสัตว์ซึ่งเกรงว่าตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้คงมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว

ผู้นำเขาทั้งสี่ถอนหายใจเบาๆ ความโกรธที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนมลายสิ้น พากันจากไป ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือที่อยู่รอบด้านมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายลงเช่นนี้ก็ไม่คิดจะไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลาอย่างนี้อีก แม้จะมีคนไม่น้อยที่ในใจยังคงแค้นเคือง แต่กลับค่อยๆ แยกย้ายกันจากไปท่ามกลางความเงียบงัน

ไม่นานยามสายัณห์ก็มาเยือน บริเวณโดยรอบหอร้อยสัตว์มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียวที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองเหม่อไปยังดอกกำเนิดสัตว์ ดอกไม้ดอกนี้เหี่ยวเฉาลงไปเกินครึ่งแล้ว สามารถมองเห็นร่างกายเล็กแห้งร่างหนึ่งที่อยู่ด้านในกำลังดิ้นรน คล้ายต้องการท้าทายกับชีวิต

น้ำตาของป๋ายเสี่ยวฉุนร่วงหล่นลงมาโดยไร้เสียง เขาเดินขึ้นหน้าไปอย่างเชื่องช้า นั่งลงอยู่ตรงนั้น ลูบคลำดอกกำเนิดสัตว์เงียบๆ

เขาเสียใจมาก สีหน้าโศกสลด ไม่ยินดียอมรับความจริงเช่นนี้ สิ่งที่เขาคิดในเวลานี้ไม่ใช่สัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรอีกแล้ว ความต้องการเพียงอย่างเดียวก็คือให้ชีวิตน้อยๆ นี้มีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้จะไม่มีพรสวรรค์ใดเลยก็ตาม

นี่คือชีวิตที่เขาเพาะเลี้ยงขึ้นมาด้วยตัวเอง ความรู้สึกที่ต้องเห็นอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าต่อตานั้นทำให้ใจเขาเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด แต่เขากลับอับจนหนทาง ต่อให้ตอนนี้เขามีพลังรวมลมปราณขั้นสิบ ทว่าก็ยังไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้ การที่ทำอะไรไม่ได้เลยเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดหายใจไม่ออก

เมื่อรัตติกาลมาเยือน ความรู้สึกไร้ความสามารถและอาการหายใจไม่ออกเพราะต้องเห็นชีวิตหนึ่งดับสลายไปต่อหน้าต่อตาตัวเองทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้มและหวาดกลัว เขานึกถึงตอนที่อยู่ในหมู่บ้านปีนั้น ก่อนหน้าที่บิดามารดาจะป่วยและเสียชีวิตจากไป พวกเขาจับมือของตน บอกกับตนว่าให้…มีชีวิตอยู่ต่อไป

หกคำนี้ตราตรึงอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนตราบนิจนิรันดร์

“มีชีวิตอยู่ต่อไป…ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้…”

“เถี่ยตั้น อย่าตายนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนน้ำตาไหลริน พึมพำเสียงเบา ลูบคลำร่างของสัตว์น้อยที่นูนขึ้นมาจากใต้ดอกกำเนิดสัตว์ เรียกชื่อของมันที่เขาเป็นคนตั้งให้ สัตว์น้อยคล้ายจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงขยับตัวเล็กน้อย

“ต้องยืนหยัด เจ้ายังไม่ได้เห็นโลกใบนี้ เจ้ายังไม่ได้เห็นข้าเลย ต่อไปข้าจะพาเจ้าห้อทะยานไปบนโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร…”

“ยืนหยัดต่อไป!” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่วเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาพูดอย่างนี้ตลอดทั้งคืน มือก็คอยลูบคลำร่างของสัตว์ตัวเล็กที่นูนขึ้นมาจากดอกกำเนิดสัตว์อย่างต่อเนื่อง ใช้ความจริงใจของเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนเพื่อทำทุกอย่างเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นให้กำลังใจหรืออธิษฐานขอพร

จนกระทั่งฟ้าสว่าง เที่ยงวัน สายัณห์ แสงจันทร์กระจ่าง…

ไม่นานวันที่หนึ่งก็ผ่านไป การดิ้นรนของสัตว์น้อยในดอกกำเนิดสัตว์อ่อนแอลงไปเล็กน้อย แต่คล้ายว่ายังคงไม่ยอมแพ้ และกำลังพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้แตกสลายออกจากกันเนื่องจากสายเลือดที่ปะปนกัน

ตลอดหนึ่งวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมสิ้นทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย ในสายตาเขามีเพียงสัตว์น้อยที่อยู่ใต้ดอกกำเนิดสัตว์เบื้องหน้านี้เท่านั้น เขาพึมพำเสียงเบา ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดไปปลอบโยน ใช้ใจของเขาไปให้กำลังใจ เขาคอยพูดอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังถึงขั้นลองใช้พลังวิญญาณหลอมรวมเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์ด้วย ต่อให้เขาจะรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ แต่เขาก็ยังคงทำเช่นนี้

ไม่นานเวลาก็ผ่านไป วันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พลังวิญญาณในร่างของเขาถูกปลดปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่อง ร่างกายเขาทรุดโทรมลงไปนานแล้ว ทว่ายามใดก็ตามที่พลังวิญญาณฟื้นขึ้นใหม่ก็จะต้องถูกเขาหลอมรวมเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์เสียทุกครั้ง

ในพลังวิญญาณนั้นแฝงไปด้วยการอวยพรจากเขา แฝงไปด้วยความเศร้าโศกของเขา และที่มากกว่านั้นคือแฝงไว้ด้วยกำลังใจและการปลอบโยนจากเขา เวลาสี่วันเขาคอยพูดคุย คอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่สัตว์น้อยตัวนี้ดิ้นรนอย่างรุนแรงจนส่งเสียงร้องไห้กระซิกเบาๆ คล้ายว่าได้รับความเจ็บปวด การปลอบโยนของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนทำให้มันได้รับความอบอุ่น จึงค่อยๆ สงบลงไปได้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับค้นพบอย่างผิดหวังว่าลมหายใจของมันยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ และกลิ่นอายความตายก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

“เถี่ยตั้น เจ้ารู้ไหม ตอนที่ข้ายังเด็ก ตอนที่ท่านพ่อท่านแม่ข้ายังอยู่ ข้าไม่ได้กลัวตายขนาดนี้…แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรคือความตาย”

“รอเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านอาหลี่ เขาดีกับข้ามากเลยนะ เหมือนพ่อแท้ๆ ของข้าเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา เล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง เล่าทุกเรื่องตอนที่ตัวเองอยู่ในหมู่บ้านและในสำนัก

กลางดึกของคืนวันที่สี่ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ภูเขาของยอดเขาทั้งสี่ หรือมังกรเขาสวรรค์ในหุบเหวล้วนค่อยๆ ดึงสายตากลับคืนไปพร้อมด้วยอาการถอนหายใจ ไม่จับตามองที่นี่อีก ทว่าคืนนี้กลับมีสุนัขใหญ่สีดำตัวหนึ่งแอบเข้ามาในหอร้อยสัตว์เงียบๆ หลังจากมาถึงด้านหลังหอเรือนมันก็มาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน นอนหมอบอยู่ข้างดอกกำเนิดสัตว์ มองไปยังชีวิตซึ่งอยู่ในดอกกำเนิดสัตว์ เลียเบาๆ ด้วยความเศร้าอาลัยเช่นเดียวกัน

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน สายัณห์ของวันที่ห้า ป๋ายเสี่ยวฉุนเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย สำหรับเขาแล้วห้าวันมานี้ราวกับการหลอมยาโดยไม่ได้พักผ่อนห้าเดือน ทว่าเขากลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขายังคงให้กำลังใจ เล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองอย่างต่อเนื่อง คอยปลอบโยนอยู่ตลอดเวลา แต่การดิ้นรนของสัตว์น้อยตัวนี้กลับยิ่งอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เมื่อถึงกลางดึกของวันที่ห้า อยู่ๆ มันก็ดิ้นรนอย่างรุนแรงหลายครั้ง จากนั้นการดิ้นรนก็ช้าลง เริ่มชักกระตุกเป็นพักๆ ไม่นานก็ค่อยๆ แน่นิ่งไป กลิ่นอายความตายปกคลุมไปทั่วดอกกำเนิดสัตว์ ทั้งยังปกคลุมไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและสัตว์รัตติกาล

“มีชีวิตอยู่ต่อไป! เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับเข้าที่ร่างกายของสัตว์น้อยเบื้องล่างดอกกำเนิดสัตว์ ตะโกนเสียงดังพร้อมน้ำตาไหลพราก

“คนตระกูลลั่วเฉินไล่ฆ่าข้า คนสิบกว่าคนต้องการฆ่าข้า ข้ายังมีชีวิตรอดมาได้เลย ข้าใช้บาดแผลแลกมาด้วยการฆ่า ข้าหักกระดูกตัวเองเพื่อดิ้นรนจะมีชีวิตรอด เจ้าก็ต้องทำแบบเดียวกัน มีชีวิต!! มีชีวิตอยู่ต่อไป!!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง เขาถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปให้อย่างต่อเนื่อง คอยให้กำลังใจไม่หยุดยั้ง หรือแม้แต่ตวาดกร้าวเขาก็ยังทำ สัตว์น้อยที่เดิมทีแน่นิ่งไปแล้ว ค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา ค่อยๆ เริ่มดิ้นรน การดิ้นรนครั้งนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ วินาทีนี้เหมือนว่าความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ของมันถูกกระตุ้นให้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วยคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน

“แผ่พลังในการร้องขอชีวิตของเจ้า นำมันไปควบคุมร่างกายของเจ้า แล้วฝ่ามันออกมาให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเช็ดน้ำตา ตะโกนพูดเสียงดัง

สัตว์ตัวน้อยในดอกกำเนิดสัตว์ยิ่งพยายามดิ้นรนมากขึ้น เปล่งเสียงร้องครางฮือออกมา ทุกครั้งที่ดิ้นรนจะต้องตามมาด้วยความเจ็บปวดมหาศาล ทำให้ร่างของมันสั่นเทิ้ม ทว่ามันไม่ยอมแพ้อีกต่อไป ประหนึ่งมีความตั้งใจระลอกหนึ่งคอยประคับประคองมันไว้ ความตั้งใจนี้แข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุด อยู่เหนือความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ของมัน กลายมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตมันในเวลานี้

“เจ้าจะเป็นสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าคือคู่หูของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไปตลอดชีวิต ข้าสร้างเจ้าขึ้นมา ข้าปลูกฝังเจ้า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย!!” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแหบแห้งคล้ายคนสติวิปลาส

เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา สัตว์น้อยที่ถูกเขาให้กำลังใจมาตลอดห้าวันเต็มไม่ส่งเสียงร้องครางฮือๆ อีกต่อไป แต่กลายมามีเสียงคำรามแหบแห้ง แม้ฟังดูแล้วจะอ่อนเบามาก แต่ก็เป็นเสียงคำรามอย่างแท้จริง เวลาเดียวกันนี้ ชีวิตที่มืดสลัวของมันพลันเปล่งแสงวาบขึ้นมาอย่างรุนแรง คล้ายกำลังลุกไหม้ ระเบิดตัวอย่างต่อเนื่อง ขยายขนาดให้มโหฬารขึ้นเรื่อยๆ บนท้องฟ้าปรากฏชั้นเมฆหมุนเคลื่อนดังครั่นครืนขึ้นมาอีกคำรบ ราวกับว่าความตั้งใจที่ช่วยค้ำชูมันอยู่นั้น ทำให้มันท้าทายกับชะตาชีวิตได้อีกครั้ง

กระแสเคลื่อนไหวนี้ดึงความสนใจของชายฝั่งทิศเหนือ ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยถูกปลุกให้ตื่น ผู้นำทั้งสี่เขาเองก็ตกตะลึง ตรงดิ่งมายังหอร้อยสัตว์ของป๋ายเสี่ยวฉุน และยังมีลูกศิษย์อีกมากที่ล้วนหน้าเปลี่ยนสี รีบถลาออกมา เมื่อคนจากทั้งสี่ด้านแปดทิศพากันมาถึงหอร้อยสัตว์ ปราณชีวิตที่อยู่ในดอกกำเนิดสัตว์ก็โหมซัดสาดขึ้นมาอีกครั้ง กระตุ้นนภากาศ ทำให้ชั้นเมฆหมุนวนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

สัตว์ภูเขาทั้งสี่ มังกรเขาสวรรค์ในหุบเหวลึก และยังมีสายตาบนยอดเขาจ้งเต้า หรือแม้แต่กลางอากาศ เงาเลือนรางของผู้เฒ่าชุดขาวคนนั้นก็ยังปรากฏกายขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

และขณะที่วันที่ห้าผ่านไป วันที่หกมาถึงนั้นเอง เสียงคำรามจากในดอกกำเนิดสัตว์ก็ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทั้งยังมีพลังโจมตีระลอกหนึ่งแผ่กระจาย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่โรยแรงเต็มทีถูกผลักจนกระเด็นออกไปพิงแหมะเข้ากับผนังด้านหนึ่ง สัตว์รัตติกาลเองก็ถูกผลักออกไปเช่นกัน

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ดอกกำเนิดสัตว์ปริแตกออกโดยพลัน กรงเล็บของสัตว์น้อยตัวหนึ่งยื่นพรวดออกมา กรงเล็บนี้แหลมคมเกินสิ่งใดจะเทียบเคียง ราวกับสามารถกรีดผ่าความว่างเปล่า ทั้งยังมีเปลวไฟผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนกรงเล็บของมันอีกด้วย ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นล้วนใจสั่นสะท้าน หวาดผวาพรั่นพรึง

เวลาเดียวกันนั้น กรงเล็บนี้ฉีกกระฉากไปรอบด้านอย่างรุนแรงหนึ่งครั้ง ในที่สุด…ก็มีศีรษะเล็กๆ ของสัตว์น้อยโผล่ออกมา!

คล้ายม้า คล้ายสุนัข คล้ายกิ้งก่า คล้ายจระเข้ คล้ายมังกร!

บนศีรษะมีเขาตั้งตระหง่านหนึ่งแท่ง มองเห็นได้ว่าบนแผ่นหลังมีขนสีขาวเรียงตัวกันเป็นแถว ทว่าบนร่างกลับมีเกล็ดสีดำ ฟันแหลมคม ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท

“นี่คือ…” นัยน์ตาของผู้เฒ่าชุดขาวที่อยู่กลางอากาศเผยแววแปลกใจ ใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาทันที เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าสัตว์น้อยตัวนี้จะมีชีวิตรอดมาได้จริงๆ อีกทั้งดูจากรูปร่างแล้วมีพลังแฝงไร้ที่สิ้นสุด หรือถึงกระทั่งเป็นสายเลือดที่สามารถเพิ่มระดับขึ้นไปได้อีก!

พริบตานี้ในหุบเหวสัตว์โบราณ มังกรนิลเขาสวรรค์ลืมตาโพลง สัตว์ภูเขาทั้งสี่ตัวสั่นพร้อมเพรียงกัน สัตว์รบทุกตัวตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือก็ตัวสั่นเทากันหมด

คนรอบด้านเปล่งเสียงอุทานตกตะลึง ไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกในปราดเดียวว่าสัตว์น้อยตัวนี้…ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!!

ผู้นำของทั้งสี่เขาสูดลมหายใจเฮือก นัยน์ตาเปล่งประกายแสงรุนแรง

“เกิดมาก็ใช้เวทคาถาได้ เปลวไฟบนกรงเล็บนั่น หมายความว่ามันคือ…สายเลือดระดับหก สวรรค์ สำนักธาราเทพของเรามีสัตว์วิเศษสายเลือดระดับหกปรากฏตัวแล้ว!!”

“นี่จะกลายเป็นสัตว์พิทักษ์สำนักในวันข้างหน้าของชายฝั่งทิศเหนือเรา!!”

“ฮ่าๆ ชายฝั่งทิศเหนือของเรา ในที่สุดก็มีสัตว์วิเศษระดับหกที่เหนือกว่ามังกรนิลเขาสวรรค์กำเนิดขึ้นมาแล้ว!”

ทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนพุ่งถลาเข้าไปอย่างอดใจไม่ไหว คิดจะเข้าไปสังเกตดูใกล้ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งพิงผนัง ร่างกายถูกฝูงชนบดบังจนหมด เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ทำเพียงแค่ยิ้ม ยิ้มอย่างดีใจให้กับเถี่ยตั้น และก็ยิ้มอย่างดีใจให้กับตัวเอง

“มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว…”

เวลานี้ยามที่ศีรษะของสัตว์น้อยตัวนี้โผล่ออกมา มันพยายามลืมตาทั้งคู่ขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นมาได้ ดวงตาของมันกลมโตมาก มองดูแล้วน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ประกายแสงสีดำที่เผยแววเฉลียวฉลาดกลอกมองไปรอบด้านคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

นี่เป็นการกระทำแรกหลังจากที่มันโผล่ศีรษะออกมา การกระทำนี้มีความหมายยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่ผู้เฒ่าชุดขาวที่อยู่กลางอากาศกลับใจสะท้านไหวขึ้นมา

“มันกำลังมองหา…”

รอบด้านมีกลุ่มคนบดบัง เจ้าสัตว์น้อยคล้ายจะหาเงาร่างที่ในใจตนปรารถนาจะได้เห็นไม่เจอ สีหน้าจึงร้อนรน แสดงอาการพลุ่งพล่าน เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำออกมาเป็นระยะ

และเวลานี้เอง…

“เถี่ยตั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งพิงกำแพงอยู่ประคับประคองร่างกายตัวเอง ท่ามกลางความอ่อนล้า เขามองลอดผ่านช่องโหว่ระหว่างฝูงชนไปยังสัตว์น้อยตัวนั้นด้วยความตื่นเต้นและปิติยินดี เอ่ยปากเสียงเบา

คำพูดของเขาเพิ่งเปล่งออกมา สัตว์น้อยตัวนั้นก็ไม่พลุ่งพล่านอีกต่อไป ร่างของมันสั่นเยือกขึ้นโดยพลัน หันขวับมาหา นัยน์ตามีประกายแสงเจิดจ้ากะพริบพราว มันเองก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านช่องโหว่ระหว่างฝูงชนเช่นกัน ตอนที่ประสานสายตากันแน่นิ่ง ดวงตาของมันค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยน เผยให้เห็นถึงความตะลึงระคนดีใจคล้ายมองเห็นญาติของตัวเอง

มันหาเจอแล้ว!

ประหนึ่งว่า…ความตั้งใจเฮือกสุดท้ายที่ประคับประคองให้มันพยายามดิ้นรนอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจสิ่งใดนั้น ก็เพื่อที่เมื่อมันฝ่าออกมาจากดอกกำเนิดสัตว์ มันจะได้ลืมตาขึ้นมามองคนที่คอยมอบความอบอุ่นให้ตัวเอง คอยให้กำลังใจตัวเอง คอยปลอบโยนตัวเองคนนั้น ต่อให้ได้เห็นแค่แวบเดียวก็เพียงพอแล้ว!

ความตั้งใจที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากอารมณ์เช่นนี้อยู่เหนือกว่าความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่!

เวลาคล้ายจะหยุดลงในพริบตานั้น สำหรับเถี่ยตั้นแล้ว บัดนี้ไม่ว่าบนโลกที่แปลกหน้าใบนี้จะมีคนแปลกหน้ามากมายแค่ไหนบดบังอยู่เบื้องหน้าของมัน ทว่าชั่ววินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากออกมานั้นทุกอย่างก็พลันเลือนหาย มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมัน

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version