บทที่ 14 ศิษย์พี่สาม? ศิษย์พี่หญิงสาม?
มองเห็นภาพนี้ พวกเฉินเฟยสามคนเกิดความยินดีในความโชคร้ายของเขาทันที แต่ละคนมองป๋ายเสี่ยวฉุน มีความรู้สึกว่าตาข่ายสวรรค์แผ่กว้าง ถึงแม้ตาจะห่างแต่ไม่โหว่รั่ว ส่วนลูกศิษย์นอกฝ่ายที่รับผิดชอบอยู่ตรงนี้สองคนนั้นก็เผยสีหน้าของคนที่ความแค้นได้รับการชำระเช่นกัน พวกเขาไม่เคยมีอารมณ์เช่นนี้ต่อฝ่ายนักการมาก่อน
“ข้าไม่ไปนะ…” ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนร่วงลงพื้น ร้องเสียงโหยหวน เสียงพิลาปรำพันดังลอยมา ในเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนพอทำให้คนฟังร้องไห้ตามได้
จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งที่อยู่บนเส้นทางทดสอบในตอนนี้ หลังจากมองเห็นหลี่ชิงโหวแล้ว ร่างกายก็สั่นไหวเล็กน้อย รีบก้มหน้าลง คิดจะถือโอกาสตอนหลี่ชิงโหวเผลอหนีไป
“ศิษย์น้องเก้าเอ๋ย ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ไม่ช่วยเจ้านะ แต่ถึงขนาดที่ท่านผู้นำเขาเซียงอวิ๋นปรากฏตัวแล้ว เจ้าก็คงทำได้เพียงลำบากอยู่นอกฝ่ายแล้วล่ะ…” จางต้าพั่งถอนหายใจในใจติดๆ กัน ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาจะแอบหนีไป ทันใดนั้น หูเขาก็ได้ยินเสียงของหลี่ชิงโหวลอยมา
“แล้วก็พวกเจ้าสองคน มาด้วยกันสิ” แทบจะทันทีที่จางต้าพั่งได้ยินประโยคนี้ แรงดึงดูดมหาศาลก็แผ่มาถึงอย่างฉับพลัน ม้วนเอาตัวจางต้าพั่งและเฮยซานพั่งไปโดยตรง พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสคว้ากอดต้นไม้ ก็ถูกโยนไปอยู่บนยอดเขาเสียแล้ว
“ข้าไม่อยากขึ้นเขานะ ยอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งนอกฝ่ายงาน…” จางต้าพั่งร้องโหยหวน น้ำเสียงน่าเวทนายิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหลายเท่าตัวนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินถึงกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ลืมร้องโหยหวนต่อ
เฮยซานพั่งไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา แต่ใบหน้ากลับระทมทุกข์ ทำปากยื่น มองลงไปด้านล่างเขาเงียบๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ลึกล้ำ
“หุบปาก!” หลี่ชิงโหวได้ยินเสียงร้องโหยหวนของจางต้าพั่ง สีหน้าก็ดุดัน
ชั่วพริบตานั้นป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนในทันที สีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งสงบ มองไม่เห็นท่าทางเป็นทุกข์เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเขาอีกแล้ว เหมือนว่าได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จางต้าพั่งเองก็อึ้งไป รีบลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน แต่ความไม่เป็นธรรมในใจกลับเหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่ดึงให้ตัวเองจมดิ่ง ก่อนหน้านั้นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน อีกฝ่ายไม่ว่ากระไร แต่ทำไมพอตนเองร้องบ้างถึงได้ถูกตำหนิในทันที
“จางต้าไห่ เจ้าไปที่ภูเขาจื่อติ่ง นับแต่วันนี้ไป เจ้าก็คือศิษย์นอกฝ่ายของภูเขาจื่อติ่ง!”
“เฉินชิงโหรว เจ้าไปที่ภูเขาชิงเฟิง!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าอยู่ที่ภูเขาเซียงอวิ๋นของข้า เป็นศิษย์นอกฝ่ายของภูเขาลูกนี้ ตามข้ามา!” หลี่ชิงโหวมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาแค่ปิดด่านบำเพ็ญตบะครั้งเดียวเท่านั้น พอออกมาก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคนของฝ่ายครัวไฟ เรื่องนี้ไปเข้าหูพวกผู้เฒ่าในสำนัก เพียงแต่ว่าในสายตาของคนเหล่านั้น เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องสนุกที่นานๆ จะมีให้เห็นสักทีในช่วงการบำเพ็ญเพียร ไม่คิดจะลงโทษอะไรพวกเขา
แต่ตนกลับรู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่ดี ดังนั้นหลี่ชิงโหวจึงได้มาที่นี่
เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ เดินขึ้นไปบนยอดเขาเซียงอวิ๋นที่อยู่สูงขึ้นไปโดยไม่สนใจพวกเฉินเฟยสามคน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อย ถอนหายใจหนึ่งครั้ง บอกลาจางต้าพั่งและเฮยซานพั่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มองเฮยซานพั่งด้วยสายตาประหลาดใจ ถามด้วยความไม่แน่ใจออกมาหนึ่งประโยค
“ชื่อจริงของศิษย์พี่สามคือ…เฉินชิงโหรว ฮ่าๆ ชื่อดี ฟังแล้วเหมือนชื่อสาวงามคนหนึ่งเลย”
เฮยซานพั่งกำลังกลัดกลุ้ม พอได้ยินก็ทำเสียงหึหนึ่งที หมุนตัวเดินลงเขาไป
“เป็นอะไรของเขา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังจางต้าพั่ง
จางต้าพั่งเองก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาแปลกประหลาดหนึ่งครั้ง ตบไหล่ของเขา พูดด้วยประโยคที่อัดแน่นไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
“ศิษย์น้องเก้า ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อน เฮยซานพั่งที่เป็นศิษย์พี่ของเจ้า แท้ที่จริงแล้ว…นางคือศิษย์พี่หญิงของเจ้า” จางต้าพั่งกระแอมไอแห้งๆ หนึ่งที ก็รีบวิ่งไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนถูกฟ้าดินลงโทษหลังทำเรื่องชั่ว ดั่งว่าโลกทั้งใบพลิกคว่ำคะมำหงาย
“ศิษย์…ศิษย์พี่หญิง?” เงียบไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อ้าปากพะงาบๆ กำลังจะมองไปยังแผ่นหลังของเฮยซานพั่ง หูก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของหลี่ชิงโหวลอยมา
“พิรี้พิไรอยู่นั่น ยังไม่รีบตามมาอีก!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยอีกครั้ง รีบวิ่งเร็วๆ ตามหลี่ชิงโหวไป เดินได้สามก้าวก็หันกลับไปมองฝ่ายครัวไฟที่อยู่ตีนเขาไกลๆ ทอดถอนหายใจอยู่ในใจ
เขาสืบข่าวเรื่องตัวตนของหลี่ชิงโหวมานานแล้ว รู้ว่าชายฝั่งทิศเหนือของสำนักธาราเทพมีสี่ยอดเขา ชายฝั่งทิศใต้มีสามยอดเขา หลี่ชิงโหวก็คือผู้นำเขาเซียงอวิ๋นหนึ่งในสามเขา ดังนั้นตำแหน่งในสำนักจึงสูงส่งและมากด้วยอำนาจ
เขาเซียงอวิ๋นนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเดินเข้ามาข้างใน รอบทิศมีเสียงนกร้อง กลิ่นบุปผาหอมกำจาย ไม่ต้องพูดถึงว่าเหมือนเขตแดนของเซียน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือขนาดใหญ่มากกว่าภายนอกที่มองเห็นหลายเท่าตัวนัก
ยอดเขาทางออกของเส้นทางทดสอบ แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ยอดเขาหนึ่งที่แยกออกไปของเขาเซียงอวิ๋นเท่านั้น เมื่อเทียบกับเขาเซียงอวิ๋นทั้งหมดแล้ว ถือว่าเป็นเพียงแค่ตีนเขา
เมื่อเดินเข้ามาในเขาเซียงอวิ๋น เมฆหมอกรอบกายลอยหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นไป และยิ่งมีกลิ่นเครื่องหอมลอยแทรกเข้ามาในกลุ่มเมฆหมอกด้วยแล้ว แค่สูดดมทีเดียวก็ทำให้เป็นสุขทั้งดวงตาและจิตใจ เหมือนดั่งว่าร่างทั้งร่างอุ่นซ่านไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาในทันที รีบสูดดมเข้าไปเฮือกใหญ่ วิชาการรวมลมปราณขั้นที่สามในร่างกายซึ่งไม่กระเตื้องมาหลายแล้วเดือนก็คึกคักขึ้นมาไม่น้อย
หลี่ชิงโหวที่เดินอยู่ด้านหน้า ถึงแม้ไม่ได้หันกลับมาแต่สายตากลับเผยความปิติยินดี รู้สึกพึงพอใจกับความเร็วในการฝึกฝนวิชาของป๋ายเสี่ยวฉุนในหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา
“หลังจากเจ้ากลายเป็นศิษย์นอกฝ่ายแล้วห้ามไปก่อเรื่องอีก พวกเราบำเพ็ญเพียร เหมือนดั่งพายเรือทวนน้ำ ต้องให้กำลังใจตนเองตลอดเวลา” หลี่ชิวโหวเอ่ยปากเนิบๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าพูดอะไรคัดค้านอีกฝ่าย ทำได้แค่ทำตัวเป็นเด็กดี พยักหน้าติดๆ กัน
“การฝึกวิชาของศิษย์นอกฝ่าย ทรัพยากรในสำนักเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ยังจำเป็นต้องมีความมุมานะของตัวเองและโชควาสนา ดังนั้นในสำนักจึงมีภารกิจมากมายรอให้ไปทำ เดี๋ยวอีกครู่เจ้าลงไปดู เลือกบางภารกิจมาฝึกฝนตนเองซะ” หลี่ชิงโหวพูดกำชับอีกที
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ในใจก็กระตุกทันที เขานึกถึงก่อนหน้านี้ที่ศึกษากฎของสำนัก เคยอ่านเจอกฎข้อหนึ่งสำหรับศิษย์นอกฝ่าย เหมือนว่าทุกครั้งที่เว้นระยะเวลาไปช่วงหนึ่ง ศิษย์นอกฝ่ายอย่างน้อยต้องทำภารกิจให้สำเร็จหนึ่งภารกิจ หากทำไม่สำเร็จจะถูกลงโทษ ยึดฐานะศิษย์นอกฝ่ายกลับคืน ลดขั้นให้เป็นนักการ
ในใจเขาตกตะลึงระคนดีใจในทันที แต่ขณะที่กำลังคิดถึงข้อนี้ หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านหน้าดูเหมือนจะเดาความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ พูดเนิบนาบประโยคหนึ่ง
“ไม่ต้องไปคิดถึงกฎของสำนักหรอก คนอื่นทำภารกิจไม่สำเร็จถูกลดขั้นเป็นนักการ แต่หากเจ้าเกียจคร้าน ข้าจะไล่เจ้าออกจากสำนัก ส่งกลับไปยังหมู่บ้าน ร้อยปีให้หลัง หากข้านึกได้จะไปจุดธูปให้เจ้าสักดอก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ หากไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นดินแดนของเซียนมาก่อนก็ว่าไปอย่าง ในเวลานี้ได้รู้ได้เห็นเรื่องพวกนี้ ได้เดินขึ้นมาบนเส้นทางของการเป็นอมตะแล้ว หากถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้าน เท่ากับว่าต้องตัดความคิดในการเป็นอมตะไปเลย ดังนั้นจึงรีบตบหน้าอกตัวเองหนึ่งที รับประกันว่าตนเองสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้แน่นอน
เดินไปไม่นานนักก็มาถึงช่วงกลางของเขาเซียงอวิ๋นนี้ ในระหว่างเมฆหมอกมีหอหนึ่งปรากฏขึ้น หอนี้ไม่ใหญ่ แต่กลับงดงามเรียบง่าย เมื่อมองไปที่หน้าต่างจะสามารถมองเห็นได้ว่าในนั้นมีคนหนุ่มคนหนึ่งกำลังอ่านตำราอยู่เงียบๆ
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมาชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา หลังจากมองเห็นหลี่ชิงโหว เขารีบลุกขึ้นเดินออกมาจากหอ ทำความเคารพหลี่ชิงโหว
“ศิษย์คารวะท่านผู้นำ”
“เด็กคนนี้ชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าพาเขาไปจัดการเรื่องฐานะของศิษย์นอกสำนัก” หลี่ชิงโหวมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที สะบัดร่างกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวหนึ่งเส้นพุ่งทะยานไปยังยอดเขา
สายตามองเห็นหลี่ชิงโหวจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา รู้สึกว่าแรงกดดันลดน้อยลงทันใด ถึงขั้นรู้สึกว่าอยู่ๆ ท้องฟ้าก็ยิ่งเป็นสีฟ้าสดใส
ชายหนุ่มคนนั้นมองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนสองสามที ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา
“เจ้าก็คือคนที่หลายเดือนมานี้ปิดขวางเส้นทางทดสอบเขาเซียงอวิ๋นของเราเพื่อขายตำแหน่ง…ป๋ายเสี่ยวฉุน?”
“ศิษย์พี่ชมผิดไปแล้ว เรื่องเล็กแบบนี้ ไม่ควรค่าให้พูดถึง” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะหยัน
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังกว่าเดิม นัยน์ตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความสนใจ ไม่พูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป แต่พาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปในเขาเซียงอวิ๋น เมื่อผ่านสิ่งปลูกสร้างก็จะแนะนำเขาอยู่ตลอดเวลา
“เขาเซียงอวิ๋นของเรามีฐานะที่อยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ในชายฝั่งทิศใต้ของสำนัก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเขาชิงเฟิงที่ฝึกเรื่องดาบ เขาจื่อติ่งที่ฝึกเวทคาถาแล้ว เขาเซียงอวิ๋นของเราถนัดในเรื่องการกลั่นหลอมยาวิเศษ”
“ถึงแม้ว่าจะอยู่บนเทือกเขาสาขาของแม่น้ำทงเทียน เป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ ภูเขาเซียงอวิ๋นของเราก็มีชื่อเสียงเกรียงไกร โดยเฉพาะท่านใต้เท้าผู้นำ ท่านคือหนึ่งในสองของปรมาจารย์ด้านโอสถที่มีอยู่ของทั้งเกาะตงหลิน
“ดังนั้น เมื่อเป็นศิษย์นอกฝ่ายของเขาเซียงอวิ๋นของเราแล้ว ก็ต้องเป็นหลิงถง[1]ด้วย จำเป็นต้องศึกษาความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพร ศึกษาวิธีกลั่นหลอมยา” ตลอดทางชายหนุ่มอธิบายให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังอย่างละเอียด แล้วจึงพาเขาไปรับชุดและเครื่องใช้ของศิษย์นอกฝ่าย ซึ่งรวมไปถึงถุงเก็บของหนึ่งใบด้วย
ถุงเก็บของใบนี้แม้ว่าจะมีพื้นที่น้อย แต่ก็ยังคงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจได้ หลังจากลองอยู่หลายครั้ง ก็รีบเก็บไว้เหมือนได้รับของล้ำค่า
ที่ทำให้เขาดีใจที่สุดคือ หลังจากได้กลายเป็นศิษย์นอกสำนัก ในฝ่ายยังมอบหินวิเศษให้เป็นกำลังใจอีกยี่สิบก้อน นี่ทำให้จำนวนหินวิเศษที่สามารถนำไปซื้อสมุนไพรซึ่งขาดอยู่อีกนิดหน่อยของเขาพอขึ้นมาในทันที
จนกระทั่งถึงช่วงสายัณห์ ภายใต้การแนะนำของชายหนุ่มผู้นี้ หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจเรื่องราวของเขา เซียงอวิ๋นได้ค่อนข้างครอบคลุมแล้ว ชายหนุ่มก็พาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหอหมื่นโอสถ
ที่นี่ เขาได้รับแผ่นหยกมาหนึ่งใบ
“ในแผ่นหยกนี้มีพืชหญ้าอยู่หนึ่งหมื่นชนิด เจ้าจำเป็นต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ถึงจะแลกเปลี่ยนเอาแผ่นหยกแผ่นที่สองมาได้”
“ศิษย์น้องป๋าย เส้นทางการบำเพ็ญเพียรนั้นยาวไกล ยาวิเศษคือตัวช่วยที่มิอาจขาดได้ และหากได้เป็นอาจารย์ด้านโอสถจะทำให้เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะสูงส่งได้อย่างมั่นคง”
“หลิงถง ศิษย์โอสถ อาจารย์โอสถ…วันหน้าศิษย์น้องป๋ายจะเดินไปถึงก้าวไหน ก็ต้องดูที่โชคของเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ในช่วงพลบค่ำเขาพาป๋ายเสี่ยวฉุนไปส่งยังลานที่พักในสำนักซึ่งจัดเตรียมไว้ให้
“ศิษย์น้องป๋าย พรุ่งนี้ข้าต้องลงเขา คงไม่ไปหอคัมภีร์เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว เจ้าอย่าลืมว่าเช้าตรู่พรุ่งนี้ต้องไปที่นั่น ไปเอาเคล็ดวิชาระดับหลังๆ ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางมา แล้วก็ยังสามารถเลือกวิชายุทธ์นอกเหนือจากนั้นได้อีกหนึ่งวิชา นี่คือโอกาสในการเลือกวิชายุทธ์ที่มีเพียงครั้งเดียวของศิษย์นอกฝ่ายทุกคน นอกเหนือจากนั้นก็ต้องใช้คะแนนคุณความดีเอาแล้วล่ะ”
“วันหน้าหากมีตรงไหนไม่เข้าใจ เจ้าสามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลา ข้าชื่อโหวอวิ๋นเฟย ขอบคุณศิษย์น้องป๋ายที่วันนั้นดูแลน้องสาวให้ข้า” โหวอวิ๋นเฟยยิ้มบางๆ กำมือประสานบอกลาป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วหมุนตัวจากไป
“โหวอวิ๋นเฟย?” หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนคารวะกลับ จึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย หลังจากคิดไปคิดมา ทันในนั้นก็นึกถึงร่างของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา
“โหวเสี่ยวเม่ย!” เขากะพริบตา มีความรู้สึกเหมือนไม่ได้ตั้งใจปักกิ่งหลิวแต่ต้นหลิวดันขึ้นใหญ่โตเป็นร่มครึ้ม
เนิ่นนาน เขาสูดลมหายใจเข้า หมุนตัวหันไปมองลานที่พักของตนเอง ในดวงตาค่อยๆ เผยถึงพลังอันคึกคัก เงาร่างของเขาที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ในยามพลบค่ำตั้งตระหง่านดั่งยอดเขา
“ช่างเถอะ เป็นศิษย์นอกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่เลวร้ายเท่าไหร่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดชายเสื้อแขนสั้น เดินเข้าไปในลานที่พัก
———-
[1] 灵童 หลิงถง : เด็กที่มีความฉลาดรอบรู้