Skip to content

A Will Eternal 16

บทที่ 16 ประณีตลึกซึ้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนอยู่ในลานที่พักพร้อมกับพกพาความมุ่งมั่นนี้ แม้ว่าร่างกายจะปวดเมื่อยไม่มีแรง แต่ก็พอมองเห็นว่าผิวหนังเหมือนจะมีความแข็งขึ้นเล็กน้อย ภาพนี้ทำให้เขายิ่งคาดหวังกับการได้เป็นอาจารย์ด้านโอสถ

เขานอนอยู่ในลานที่พักอย่างนั้นจนผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ความรู้สึกปวดเมื่อยถึงได้หายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ หยิบเอาขวดยาและธูปหอมที่ได้รับหลังจากเป็นศิษย์ฝ่ายนอกออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย

หลังจากพินิจดูอย่างละเอียดแล้วเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็จ้องเขม็งไปรอบทิศอีกหนึ่งครั้ง ถึงได้เดินกลับเข้าไปในบ้านไม้แล้วเอาหม้อกระดองเต่าออกมา

“ยาพวกนี้ตอนนี้สามารถใช้ได้แล้ว หลังจากหลอมพลังจิตน่าจะทำให้การรวมลมปราณขั้นที่สามของข้าทะลุขึ้นไปเป็นการรวมลมปราณขั้นที่สี่ เสียดายก็แต่ไฟสองสีแพงเกินไป แม้ว่าที่ครัวไฟจะมี แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่นักการฝ่ายครัวไฟอีกแล้ว จะไปเอาก็ไม่ค่อยสะดวกนัก” ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสนใจในตัวยาเป็นอย่างยิ่ง ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็หยิบเอาฟืนไฟหนึ่งสีออกมาอย่างไม่ลังเล

“งั้นหลอมพลังจิตแค่ครั้งเดียวก็พอ!” เขารีบจุดไฟที่ฟืนทันที พลันไฟหนึ่งสีก็ลุกไหม้ ลายเส้นแรกบนหม้อกระดองเต่าปรากฏแสงวาบขึ้นอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดขวดยาออก ด้านในมียาขนาดใหญ่เท่าลูกลำใยอยู่สามเม็ด แบ่งออกมาหลอมพลังจิตทีละเม็ดรวมสามครั้ง

แสงสีเงินส่องสว่างวูบวาบ ไม่นานยาที่มีเส้นสีเงินทั้งสามเม็ดก็มาอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน สุดท้ายเขาก็เอาธูปหอมนั้นมาหลอมพลังจิตเช่นกัน มองดูยาวิเศษสี่ชนิดตรงหน้าที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิ หลังจากนำธูปเขียววางไว้ด้านหน้าแล้ว ก็หยิบยาสามเม็ดขึ้นมาโยนเข้าปากทั้งหมดทีเดียว

จากนั้นก็ตั้งท่าตามภาพที่สี่ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ฝึกฝนไปตามสูตรที่มี ไม่นานพลังวิญญาณในร่างเขาก็โหมซัดสาด คราวนี้เขายืนหยัดทำได้นานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พลังในร่างกายก็โลดแล่นขึ้นมาในชั่วพริบตา เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้น

เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป สายธารพลังวิญญาณสายเล็กในร่างกายเขาก็ไหลเชี่ยวกรากไปทั่วร่าง เขาเริ่มบุกทะยานไปยังการรวมลมปราณขั้นที่สี่

“ยืนหยัดอีกหนึ่งร้อยลมหายใจก็สามารถไปถึงการรวมลมปราณขั้นที่สี่ได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันอดทนทำท่าตามภาพที่สี่ ทั้งร่างขดเข้าหากันเหมือนลูกหนังกลมดิก มีเสียงดังกร๊อบแกร๊บดังออกมา เม็ดเหงื่อหยดไหลลงพื้นไม่ขาดสาย

แต่ในช่วงจังหวะนั้นจู่ๆ พลังวิญญาณในร่างเขาก็ขาดห้วงไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องเขม็ง พลันอ้าปากคายพลังวิญญาณออกไปยังธูปที่อยู่ด้านหน้าหนึ่งคำ

พลังวิญญาณนี้เพิ่งจะกระทบกับธูปเขียว ธูปนั้นก็ลุกไหม้ด้วยตัวเองทันใด แผ่ควันสีเขียวออกมา ควันสีเขียวเหล่านี้เหมือนงูเขียวหลายตัวที่พอปรากฏตัวขึ้นก็เลื้อยตรงมายังป๋ายเสี่ยวฉุน มุดเข้าเจ็ดทวารรวมทั้งแทรกลงรูขุมขนของเขา แปรเป็นพลังวิญญาณเข้มข้นอยู่ในร่างกายเขา ทำให้สายธารพลังวิญญาณสายเล็กนั้นขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว

เสียงตูมดังขึ้นหนึ่งที คลื่นลมปราณแตกซ่านออกมาจากร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุน กระจายไปทั่วห้องไม้ แผ่อยู่ในลานที่พัก คล้ายกับว่าที่แห่งนี้เกิดลมวูบใหญ่พัดเข้ามา ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความปิติยินดีพลางหัวเราะออกมา

“การรวมลมปราณขั้นที่สี่!”

เขาสัมผัสได้ทันทีว่าเวลานี้พลังวิญญาณในร่างแฝงไว้ซึ่งพลังชีวิตที่เข้มข้นนั้น ไหลเวียนอยู่ในร่างกายไม่หยุด รู้สึกเบาสบายและคล่องตัวไปหมด เมื่อก้มหน้าลง เขามองเห็นคราบสกปรกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนติดอยู่บนร่างกาย รู้ว่านี่คือสิ่งเจือปนในร่างกายที่ถูกขับออกมาอีกครั้ง

เขาสะบัดร่าง เดินตัวปลิวออกมาจากบ้านไม้แล้วชำระล้างตัวอยู่ในลานที่พักหนึ่งรอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชา มือขวาทำมุทรา กระบี่ไม้เล่มหนึ่งก็ลอยออกมาจากถุงเก็บของทันที ตรงดิ่งมายังด้านหน้าด้วยความรวดเร็วจนบังเกิดกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวหนึ่งเส้น

หลังจากควบคุมกระบี่ไม้ให้บินไปมาอยู่ในลานหลายต่อหลายครั้ง ความพอใจในแววตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเข้มข้น กระบี่ไม้ของเขาเล่มนี้เดิมทีก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อบวกเข้ากับพลังขั้นที่สี่ จึงทำให้มีความน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น

“หลอมพลังจิตได้ไม่เลวเลย หากมีไฟสามสีก็คงดี แต่ยาก็สุดยอดเหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกทึ่งในตัวยาวิเศษมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดหรือธูปหอม ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีในการฝึกวิชา

“ต้องเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่ กลั่นยาอมตะออกมาให้ได้ จากนั้นก็หลอมพลังจิตสิบครั้ง…ไม่สิ หลอมพลังจิตสักร้อยครั้ง!” ความคิดที่จะกลายเป็นปรมาจารย์โอสถของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเข้มข้นมากขึ้น คิดมาถึงตรงนี้ เขาตบถุงเก็บของหนึ่งที หยิบเอาแผ่นหยกจากด้านในออกมาหนึ่งแผ่น

แผ่นหยกนี้ได้มาตอนที่โหวอวิ๋นเฟยพาเขาไปที่หอหมื่นโอสถก่อนหน้านี้ ด้านในมีคำแนะนำรวมไปถึงรูปภาพของพืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิด นี่คือตำราพิเศษที่มีอยู่ในเขาเซียงอวิ๋นเท่านั้น เป็นสิ่งที่ผู้เป็นหลิงถงจำเป็นต้องรู้และเข้าใจ

แต่รู้แค่พืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิดยังไม่เพียงพอ ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกขึ้นได้ว่าโหวอวิ๋นเฟยเคยบอกว่า ต้องจำพืชหญ้าหมื่นชนิดนี้ให้ได้ก่อนเท่านั้น ถึงจะสามารถนำไปแลกตำราเล่มต่อไปมาได้

เขารวบรวมสมาธิ พลังวิญญาณในร่างกายหมุนเวียน ในสมองค่อยๆ มีพืชหญ้าหลากหลายชนิดลอยปรากฏขึ้นมา ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใหม่ ราวกับได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับชีวิต ในนี้ยังมีแม้แต่ยาสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับกลั่นยาเพิ่มอายุที่เขาเคยไปแลกเอามาด้วย

หลังจากดูผ่านๆ จนครบหมดแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าหากคิดจะจำพืชหมื่นชนิดนี้ให้ได้หมดก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร แต่ว่าเขาเป็นใครล่ะ เป้าหมายของเขาคือได้เป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่กลั่นยาอมตะออกมาได้

ดังนั้นความมุ่งมั่นที่แฝงอยู่ในนิสัยของเขาจึงระเบิดออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงแค่จำแบบง่ายๆ แต่ต้องศึกษาสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างละเอียดจนถึงที่สุด ต้องเข้าใจสมุนไพรแต่ละชนิดให้ได้ถึงระดับสูงสุดก่อน จึงจะศึกษาชนิดต่อไป

ปีนั้นที่ต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันของสวีเป่าไฉ ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่งมาได้ถึงครึ่งปี เวลานี้เมื่อตกอยู่ภายใต้อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ เขาจึงระเบิดศักยภาพที่แฝงเร้นประเภทเดียวกันนั้นออกมา

ภาพยาสมุนไพรแต่ละรูปถูกเขาศึกษาจนแทบจะใกล้เคียงกับระดับที่เรียกว่าประณีตลึกซึ้ง เพียงแค่หลับตาลง ในสมองก็สามารถวาดเค้าโครงรูปร่างของยาสมุนไพรนั้นออกมาได้เลย

แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เสียดายที่ไม่มีสมุนไพรจริงๆ มิเช่นนั้นเขาก็อยากเอาพวกมันมากรีดออกดูเพื่อศึกษาจากภายในให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่พินิจดูให้ละเอียดกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นหรือกิ่งและใบ หากไม่ได้ศึกษาจนทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ก็ไม่มีทางหยุดเด็ดขาด

สุดท้ายก็ยังรู้สึกไม่พอ ดังนั้นแม้แต่ส่วนลำต้นหรือผลของมันป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ละเว้น ราวกับว่าเอาสมุนไพรเหล่านั้นมาขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่าตัว แล้วขุดค้นไปทีละจุดๆ

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ ท้ายที่สุดแล้ว เขาถึงขั้นเอาขนอ่อนรวมไปถึงรูเล็กๆ ใต้ขนที่อยู่บนพืชทุกชนิดมาศึกษาสืบเสาะอย่างลึกซึ้งด้วย

เวลาผันผ่าน หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ทุกวันป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนฝึกวิชาขั้นที่สี่ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ในที่สุดพลังในร่างกายก็คลายลงมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยุดฝึกวิชาอมตะมิวางวาย ยังคงทนข่มกลั้นความเจ็บปวดรุนแรงทุกวัน วิ่งกระโดดไปมาอยู่ในลานที่พักไปด้วย มือหนึ่งก็ถือแผ่นหยกพืชหญ้าคอยท่องจำยาสมุนไพรทุกชนิดไปด้วย เขาในเวลานี้สามารถทำได้ถึงขั้นที่ว่าเอาสมุนไพรที่อยู่ในหัวมาเปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีบันทึกเอาไว้ในแผ่นหยก เขาทำได้แค่คลำหาหนทางศึกษาเอาเอง

นอกจากนี้ ทุกครั้งที่วิ่งกระโดดอยู่ในลานที่พัก เขามักจะมาหยุดอยู่ตรงมุมบนขวาของลานครู่หนึ่ง ที่นั่นมีที่นาวิเศษอยู่หนึ่งผืน ในที่นาวิเศษผืนนี้เขาเพาะเมล็ดพันธ์สมุนไพรเอาไว้สิบเม็ด

สมุนไพรชนิดนี้มีชื่อว่าไผ่เหมันต์วิเศษ เป็นภารกิจอย่างหนึ่งของสำนักที่ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งจากบนป้ายหินภารกิจของศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋น ที่เขาออกไปรับมาเมื่อครึ่งเดือนก่อน

คำพูดของหลี่ชิงโหว ป๋ายเสี่ยวฉุนมิกล้าเพิกเฉย กฎที่กำหนดไว้ว่าทุกครึ่งปีศิษย์ของสำนักต้องทำภารกิจสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนจดจำได้อย่างแม่นยำ

ภารกิจนี้ที่เขาเลือก คะแนนคุณความดีที่ให้ไม่ถือว่าน้อย สุดท้ายเมื่ออิงตามคุณภาพของสิ่งของที่นำไปส่งมอบ คะแนนคุณความดีก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แม้ว่าจะง่าย แต่กลับเปลืองเวลาอย่างมาก อย่างน้อยต้องปลูกพืชชนิดนี้กับมือตนเองให้ได้สามเดือนจึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์

อีกทั้งไผ่เหมันต์วิเศษนี้สามารถใช้พลังวิญญาณที่ตนเองมีไปเร่งให้มันเติบโตได้รวดเร็วขึ้น เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาดูแลมันเลยจริงๆ ดังนั้นหลังจากเอากลับมาแล้ว จึงโยนไว้ในที่นาวิเศษ

“โตช้าจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังที่นาวิเศษแล้วขมวดคิ้วมุ่น เขาเคยอ่านคำบรรยายที่เกี่ยวกับไผ่เหมันต์วิเศษจากแผ่นหยกพืชหญ้ามาก่อน รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณสูง หากเป็นที่ดินที่ไม่มีพลังวิญญาณเข้มข้น เช่นนั้นวิธีเพราะเลี้ยงที่ดีที่สุดก็คือนำพลังวิญญาณของผู้ฝึกวิชามาใช้ในการบำรุง

“น่าจะเป็นเพราะที่นาวิเศษในลานบ้านข้าพลังวิญญาณเหลืออยู่น้อยมากแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ไผ่เหมันต์วิเศษพวกนี้โตช้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งยองๆ ลงไป คว้าหยิบดินของที่นาวิเศษขึ้นมาหนึ่งกำมือ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พึมพำอยู่คนเดียว

“มีวิธีไหนสามารถทำให้พลังวิญญาณของที่นาวิเศษผืนนี้เข้มข้นขึ้นได้บ้างนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยน พอยกมือขวาขึ้นมาชี้ หม้อรูปกระดองเต่าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

มองหม้อใบนี้ แล้วก็มองที่นาวิเศษอีกที นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย

“หม้อใบนี้เอามาใช้หลอมพลังจิตอะไรก็ได้หมด ถ้างั้น…ดินวิเศษก็หลอมพลังจิตได้เหมือนกันหรือเปล่า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็อยากรู้ขึ้นมาในทันที หลังจากที่หยิบเอาเมล็ดพันธ์ของไผ่เหมันต์วิเศษขึ้นมาจากในดินแล้ว จึงรีบขุดเอาดินวิเศษจำนวนไม่น้อยโยนใส่เข้าไปในหม้อกระดองเต่า แล้วก็เอาไฟหนึ่งสีออกมาเริ่มทำการทดสอบ

ไม่นานแสงสีเงินเปล่งวาบ ดินวิเศษที่อยู่ในหม้อกระดองเต่าปรากฏลายเส้นสีเงินที่เกิดจากการหลอมพลังจิตหนึ่งครั้งขึ้นมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสีค่อนข้างทึบ แต่เห็นได้ชัดว่าดินที่อยู่ในหม้อนี้มีพลังวิญญาณเข้มข้นขึ้นมาเยอะมาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสุขโดยพลัน และก็ไม่ขี้เกียจ เทดินในหม้อแรกทิ้ง ก็เอาดินใหม่ใส่เข้าไปอีกหม้อ ทำเช่นนี้ซ้ำไปมา หลังจากใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ตอนที่ฟืนไฟหนึ่งสีของเขาถูกใช้ไปได้พอสมควรแล้ว ที่นาวิเศษทั้งผืนนั้นก็ได้ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วหนึ่งครั้ง

ทว่าดินที่ผ่านการหลอมพลังจิตเป็นเพียงดินชั้นแรกด้านบนเท่านั้น เนื่องจากฟืนของเขามีไม่พอ ตรงจุดที่อยู่ลึกไปกว่านั้นจึงไม่ได้นำไปหลอมพลังจิต ทำให้ดินวิเศษนี้ไม่มีรากฐาน ยากที่จะคงอยู่ยาวนาน เมื่อเวลาผันผ่านก็จะค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พลังวิญญาณของที่นาวิเศษผืนนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า ความเข้มข้นของพลังวิญญาณถึงขั้นที่ว่าแค่สูดดมก็ได้กลิ่นหอมอบอวล

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอาเมล็ดพันธ์ไผ่เหมันต์วิเศษเพาะลงไป ยืนมองอยู่ด้านข้างตาไม่กะพริบ ไม่นาน เขาก็มองเห็นว่าหน่อสีเขียวแต่ละหน่อโผล่ทะลุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เติบโตขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

ความรวดเร็วของการเติบโตนั้น พริบตาเดียวก็สูงขึ้นมาเกือบถึงสามฉื่อ[1]แล้ว หากศิษย์ที่ปลูกสมุนไพรโดยเฉพาะมาเห็นเข้าต้องอ้าปากค้างแน่นอน เพราะต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรใช้พลังวิญญาณของตนเองมาบำรุง ก็ยากที่จะทำให้เติบโตได้เร็วเช่นนี้

และยังไงซะ…ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้ก็ยังไม่เคยมีใครนำการหลอมพลังจิตมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยกับผืนดิน เพียงเพื่อปลูกไผ่เหมันต์วิเศษแค่สิบกว่าต้นเท่านั้น…

ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน เพราะมันช่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าไผ่เหมันต์วิเศษเหล่านี้โตขึ้นมาได้ไม่เลวถึงได้รู้สึกพอใจ หมุนตัววิ่งกระโดดอยู่ในลานโดยไม่สนใจมันอีก ศึกษาความรู้ของพืชหญ้าที่อยู่ในแผ่นหยกอย่างละเอียดลึกซึ้งต่อไป

พระอาทิตย์ลาลับ สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ไผ่เหมันต์วิเศษในที่นาวิเศษของลานบ้านป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่านั้นขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วจนสูงเกือบสามฉื่อกว่า… อีกทั้งเมื่อมองดูแล้วเหมือนว่านี่ยังห่างจากจุดสูงสุดอีกไกลนัก ไม่รู้ว่าอีกสามเดือนให้หลังจะโตถึงระดับที่น่าตกใจแค่ไหน…

และในค่ำคืนนี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนวางแผ่นหยกพืชหญ้าที่อยู่ในมือลง พืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิดที่อยู่ในแผ่นหยกถูกเขาจดจำได้ทั้งหมดด้วยความแน่วแน่แล้ว อีกทั้งแต่ละชนิดก็ยังจำได้อย่างละเอียดถึงขั้นที่น่าตกตะลึง ถึงขนาดสามารถมองออกว่าคำบรรยายของสมุนไพรในแผ่นหยกนั้นเหมือนจะมีจุดที่ขัดแย้งกันอยู่ด้วย

“พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเอาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมา ไม่รู้ว่าหอหมื่นโอสถจะใช้วิธีไหนทดสอบว่าใครมีคุณสมบัติได้เรียนตำราเล่มที่สอง หรือว่าจะให้ท่องให้ฟัง?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนจับปลายคางแล้วสะบัดปลายแขนเสื้อ กำลังคิดจะพูดคำพูดโอ่อ่าผ่าเผย แต่ก็รู้สึกไม่วางใจ จึงกระแอมแห้งๆ หนึ่งทีและหยิบแผ่นหยกขึ้นมาศึกษาอีกหนึ่งครั้ง กังวลอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้ตอนที่ไปเปลี่ยนเอาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมาจะเกิดปัญหา

———-

[1] ฉื่อ(尺)หน่วยวัดความยาว มีระยะประมาณ 1 ฟุต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!