บทที่ 168 ปลอมตัวไปเยี่ยมเยือน…
ขณะเดียวกันกับที่สำนักธาราโอสถสั่งการให้สายลับทุกคนเคลื่อนพลตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนให้เจอก่อนใคร แล้วสังหารเขาโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน อีกสามสำนักที่เหลือต่างก็ส่งลูกศิษย์จำนวนมากเริ่มตามหาลูกศิษย์ของตัวเองตามอาณาบริเวณของแต่ละสำนัก
และเวลานี้เอง ในเกาะตงหลินใกล้กับเมืองตงหลิน มีเทือกเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใหญ่โตขึ้นหนาแน่น ข้างต้นไม้ขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง ความว่างเปล่าบิดเบือน หลังจากคลื่นนำส่งแผ่กระจายออกมาเบาๆ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิ่งโซซัดโซเซออกมาจากด้านใน
เพิ่งจะปรากฏตัวเขาก็คุกเข่าพรวดลงไปบนพื้น อาเจียนเสียงดังโอ้กอ้าก
“นี่มันค่ายกลนำส่งอะไรกัน ชีวิตน้อยๆ ของข้าแทบจะดับเพราะเจ้าค่ายกลนำส่งนี้เสียแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเซียว หอบหายใจฮักๆ เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ค่ายกลล้วนถูกเปิดใช้เพื่อการคุ้มกันจึงลดกำลังนำส่งลง ทว่าครั้งนี้หุบเหวกระบี่อุกกาบาตพังทลาย กำลังแข็งแกร่งของค่ายกลนำส่งขยายออกเต็มกำลัง ปีนั้นสี่สำนักล้วนมีการจัดวางค่ายกลเช่นนี้ไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่ง เน้นในเรื่องความรวดเร็วเมื่อเกิดวิกฤต แน่นอนว่าย่อมไม่มัวมาพิจารณาถึงการคุ้มกันที่ต้องใช้เวลานานยิ่งกว่า
ความแข็งแกร่งของค่ายกลนำส่งนี้ หากเป็นคนปกติทั่วไป เป็นไปได้มากว่าจะหมดสติโดยตรง
อาเจียนอยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเวียนหัวอยู่เช่นเดิม พยุงตัวกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง มองไปรอบด้าน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ตามคำบอกเล่าของผู้อาวุโสโอวหยางเจี๋ยก่อนหน้านี้ เขาเข้าใจว่าการนำส่งของค่ายกลก็เพราะมีพลังที่ไม่อาจต่อต้านได้ปรากฏขึ้น
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ข้าก็น่าจะกลับมาที่เกาะตงหลินแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลึงหน้าผาก ในใจยังหวาดผวาไม่หาย พอเขานึกถึงเสียงแปลกประหลาดรวมไปถึงมือเล็กๆ ตอนที่ตัวเองกำลังจะถูกนำส่ง ร่างก็สั่นเยือกขึ้นมา ตั้งใจมั่นแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางกลับไปที่หุบเหวกระบี่อุกกาบาตอีกเด็ดขาด
เวลานี้หายใจหอบหนัก เขานั่งลงบนรากไม้ มองเห็นว่าอาภรณ์ชำรุดเสียหายจนมองไม่ออกว่าเป็นอาภรณ์ของลูกศิษย์ฝ่ายในสำนักธาราเทพ สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง บนนั้นยังมีรอยเลือดเปรอะเปื้อน เขาอยากจะเปลี่ยนชุดใหม่ แต่กลับพบว่าในถุงเก็บของไม่มีอาภรณ์ที่เตรียมไว้สำหรับเปลี่ยน
“ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตโหดร้ายมากเหลือเกิน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์แต่ละภาพในโลกกระบี่อุกกาบาตก็รู้สึกชาไปทั่วหนังศีรษะ โดยเฉพาะนึกถึงคนพวกนั้นที่ตรงเข้าเข่นฆ่าตนราวกับคนบ้า และภาพความอำมหิตร้ายกาจของซ่งเชวียในตอนสุดท้ายนั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจเฮือก
“บำเพ็ญตบะ ทำไมต้องรบราฆ่าฟันกันด้วย…” ขณะที่กำลังทอดถอนใจ เขาก็สัมผัสถึงตบะของตัวเอง มองเห็นความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรวิญญาณในร่างกายกำลังเปลี่ยนเป็นสีทองอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เสร็จไปประมาณสามส่วนแล้ว
“ฮ่าๆ สร้างฐานรากวิถีฟ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ลืมความเสี่ยงและอันตรายในโลกกระบี่อุกกาบาตไปทันที ตื่นเต้นขึ้นมา โดยเฉพาะนึกถึงอายุขัยที่เพิ่มขึ้นมาห้าร้อยปี ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ยิ่งเปล่งประกาย สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง เชิดคางขึ้น เอ่ยปากอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างสมกับเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดของรุ่นอย่างแท้จริง ฮ่าๆ ฮ่าๆ…”
“ต้องไปจากที่นี่ ดูว่ารอบด้านนี้คือสถานที่ใด” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เขาพบว่าตบะของตัวเองในยามนี้เป็นปกติ ทั้งยังสัมผัสได้ว่ามันเพิ่มขึ้นทุกเวลา ทว่าปราณกลับอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ คล้ายว่าพลังของพลานุภาพสยบซึ่งแผ่ออกมาจากในร่างกายโดยไม่รู้ตัวกำลังหดลงอย่างต่อเนื่องเพราะการสร้างฐานรากวิถีฟ้าของมหาสมุทรวิญญาณ
คล้ายระงับเอาไว้ภายในและรอเปลี่ยนสภาพ
ตอนนี้ตบะของเขาเมื่อคนนอกมองมาจึงเท่ากับรวมลมปราณขั้นเก้า ทั้งยังลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามการคาดการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากที่ปราณของตบะนอกร่างหายไปหมดจนมองดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาแล้ว มันจะบีบตัวจนถึงขีดสุด การสร้างฐานรากวิถีฟ้าของเขาจึงจะสำเร็จลงในท้ายที่สุด จากนั้นก็จะเกิดการระเบิดรุนแรงดั่งผ่าฟ้าแหวกดินหนึ่งครั้ง
“คาดว่าอีกประมาณสองวันก็สำเร็จแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจ ไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงของปราณ เพราะยังไงซะตอนนี้ตบะของเขาก็ยังเท่าเดิม เวลานี้หยิบเอาแผ่นหยกออกมา กำลังจะส่งข้อความเสียงให้กับสำนัก กลับพบว่ายังมีพลังนำส่งหลงเหลืออยู่บนแผ่นหยก ทำให้สัญญาณยุ่งเหยิงไปหมด แม้ว่าพลังนำส่งนี้จะค่อยๆ หายไป แต่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่สามารถใช้ได้
เขาเก็บกลับไปพร้อมความรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย สะบัดร่างหนึ่งทีก็ลอยตัวกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งกลางอากาศ ดิ่งทะยานไปไกล
ไม่นานนัก ด้วยตบะในยามนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ความเร็วในการบินของเขาจึงเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก ค่อยๆ บินออกไปจากเทือกเขาแห่งนี้ และก็มองเห็นเมืองใหญ่โตแห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปไกล ตั้งตระหง่านระหว่างกลุ่มเทือกเขา
เมืองที่มีคูน้ำแห่งนี้เป็นสีเขียวทั้งหมด รอบด้านมีกำแพงสูงตั้งโดดเด่น ก่อสร้างจากอิฐสีเขียว คล้ายว่าอิฐสีเขียวแต่ละก้อนนั้นได้สลักอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ทำให้กำแพงเมืองถูกโอบล้อมไปด้วยค่ายกลเกรียงไกร
ลำแสงที่เกิดจากค่ายกลพุ่งทะยานขึ้นไปเชื่อมต่อกับท้องฟ้า กลายเป็นน้ำวนขนาดยักษ์สีเขียว ค่อยๆ เคลื่อนโคจรอยู่บนคูเมือง มีสายฟ้าหลายเส้นพาดผ่านตลอดเวลา มองดูแล้วโอ่อ่าเป็นอย่างมาก
และยิ่งมีพลังบีบคั้น ทำให้นักพรตที่ตบะน้อยกว่ากำหนดไม่สามารถบินผ่านที่แห่งนี้ได้
อีกทั้งเมืองแห่งนี้ก็ใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด มากพอที่จะบรรจุคนได้พอสิบล้านคน ประตูเมืองสี่ด้านมีคนจำนวนมากเดินเข้าๆ ออกๆ ครึกครื้นเหลือประมาณ
หน้าประตูเมืองมีป้ายศิลาตั้งสูงเด่น สูงเทียบเทียมกับประตูเมือง ด้านบนสลักตัวอักษรหนาใหญ่มีพลังสามคำ
“เมืองตงหลิน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งตะลึง จากนั้นดวงตาก็เปล่งประกายระยับ
ที่แห่งนี้ก็คือเมืองใหญ่อันดับหนึ่งในขอบเขตของสำนักธาราเทพ!
ขึ้นตรงต่อสำนักธาราเทพ อยู่ในขอบเขตของเกาะตงหลิน มีตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรสิบตระกูลใหญ่ร่วมกันควบคุมดูแล อยู่มานานเกือบหนึ่งหมื่นปี ด้านในไม่เพียงแต่มีนักพรตจำนวนมาก คนธรรมดาก็มากเกินจะนับด้วย
นอกจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรสิบตระกูลใหญ่ที่คอยควบคุมแล้ว สำนักธาราเทพยังส่งลูกศิษย์ผู้เป็นตัวแทนคล้ายทูตมาดูแลสถานที่แห่งนี้ คอยสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งสิบ
ตู้หลิงเฟยถูกส่งมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน ทำหน้าที่เป็นทูต แม้ว่าจะมีตบะแค่รวมลมปราณ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สำนักธาราเทพเองก็ส่งผู้อาวุโสสร้างฐานรากมาควบคุมอยู่ในเมืองแห่งนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าวันธรรมดาจะไม่ออกมาข้างนอก ทุกเรื่องยกให้ตู้หลิงเฟยเป็นผู้จัดการ
ภารกิจของตู้หลิงเฟยก็คือปรับความสมดุลของสิบตระกูลใหญ่
“ปีนั้นศิษย์พี่หญิงตู้กลับสำนักไปได้ไม่นานก็ถูกส่งให้มาเป็นทูตที่นี่ ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว…” ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนเร่า ในสมองมีภาพที่ตู้หลิงเฟยทั้งเขินทั้งอายลอยขึ้นมา
“ไม่ได้ ข้าต้องปลอมตัวไปตรวจสอบเสียหน่อย ดูสิว่าหลายปีมานี้ตู้ตู้น้อยทรยศข้า หันไปซบอกผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำหน้าเจ้าเล่ห์ รีบบินออกไป ตรงดิ่งเข้าหาเมืองตงหลิน
ขณะที่เกือบจะเข้าไปใกล้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบที่ลอยมากลางอากาศ
“จริงๆ เล้ย ข้าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เป็นศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนักนะ เมืองตงหลินแห่งนี้เป็นของสำนักธาราเทพ ก็ไม่เท่ากับเป็นของข้าด้วยหรือ มาห้ามไม่ให้ข้าบินได้ยังไง” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำและลดตัวลงมาบนพื้นดิน ห้อตะบึงเข้าใกล้ประตูเมือง มองเห็นว่ามีคนไม่น้อยกำลังเข้าแถว และเขาเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะไปแทรก ดังนั้นจึงยืนรออยู่ด้านหลังพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ต้องยัดสินบนเป็นหินวิเศษให้อย่างไม่เต็มใจ แล้วเข้าเมืองตงหลินไป
ไม่มีคนตรวจสอบและซักถาม สถานที่แห่งนี้รู้จักแค่หินวิเศษ ราวกับมั่นใจว่าไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่นี่
“เมืองตงหลินใหญ่มากขนาดนี้ เข้าเมืองยังต้องจ่ายด้วยหินวิเศษอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจอย่างมาก ทว่าพอนึกถึงฐานะของตัวเองก็รู้สึกว่าหากคิดเล็กคิดน้อยเรื่องแบบนี้จะดูน่าขายหน้าไปเสียหน่อย ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เอามือไพล่หลัง เดินวางมาดใหญ่โตเข้าไปในประตูเมือง มองสิ่งปลูกสร้างจำนวนนับไม่ถ้วน
แค่มองไปครั้งเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เบิกตากว้าง
ที่นี่ใหญ่มากเหลือเกิน รอบด้านมีอิฐสีเขียวปูเป็นทาง อิฐเขียวแต่ละก้อนแผ่พลังวิญญาณ สิ่งปลูกสร้างสองข้างทางก็ยิ่งเหลืองอร่ามแวววาว สลักทั้งมังกรทั้งหงส์ ลักษณะพลังไม่ธรรมดา
เพชรนิลจินดา หินวิเศษ แสงอาคม เมื่ออยู่บนสิ่งปลูกสร้างรอบด้านนี้ล้วนกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ บรรยากาศหรูหราโอ่อ่าพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“นี่…ที่นี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายเอื้อก มองความงามวิจิตรรอบด้าน มองผู้คนรถราที่เดินและวิ่งสวนกันขวักไขว่ของสถานที่แห่งนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้เข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
ที่นี่มีคนมากมาย ต่างก็สวมผ้าไหมผ้าแพรเดินวางมาด ไม่ว่าจะมีตบะเท่าไหร่ก็มีท่าทางหยิ่งยโสอวดดีกันหมด แม้แต่คนธรรมดาเองก็ยังเหมือนปะปนเข้าเป็นพวกเดียวกับนักพรต ไม่มีแม้แต่ความกริ่งเกรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือกๆ ติดกัน เดินไปบนถนนก็ยิ่งเปล่งเสียงอุทานตกใจออกมาตลอดเวลา ในใจของเขาเกิดเป็นลูกคลื่นขึ้นๆ ลงๆ ติดต่อกันอย่างแท้จริง เพราะเขาโตมาจากในหมู่บ้านตั้งแต่เด็ก ออกจากหมู่บ้านได้ก็มาอยู่ในสำนัก ไม่เคยเห็นเมืองที่มีคูน้ำล้อมรอบซึ่งน่าตื่นตะลึงแบบนี้มาก่อน
และท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ทำให้นักพรตบางคนที่เดินไปเดินมาเผยความดูแคลนออกมาทางสายตา เหมือนมองพวกบ้านนอกคอกนา และยังมีไม่น้อยที่พอเห็นอาภรณ์ขาดรุ่งริ่งบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะเห็นคราบเลือดบนนั้น รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ควรเข้าไปหาเรื่อง จึงหลีกห่างทันที
“ข้าไม่รู้เลยว่าที่นี่จะดีขนาดนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมองก็ยิ่งชอบ เขายังทอดถอนใจ หากรู้แต่แรกว่าที่นี่หรูหราขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขอให้สำนักจัดการส่งตัวเองมาเสวยสุขที่นี่ให้ได้
เวลานี้กำลังปลงอนิจจัง พอเดินผ่านหอเรือนแห่งหนึ่งเขาก็ต้องหยุดฝีเท้าเงยหน้าขึ้นมองทันที จ้องเขม็งไปยังอาภรณ์แต่ละชุดที่แขวนไว้ในร้าน อาภรณ์เหล่านั้นมีทุกสี มีหลายรูปแบบ ปักทองามประณีต ตัวที่ไม่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็ยังมีจุดละเอียดลออมากมาย ถักทอออกมาอย่างชำนาญ
ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน อาภรณ์ทุกชิ้นของที่นี่สวยงามน่ามองยิ่งกว่าอาภรณ์ของสำนักตนเองมากมายนัก ดวงตาเขาเปล่งแสงวิบวับ รีบเดินเข้าไปทันใด
ในหอเรือนมีคนอื่นอยู่หลายคนกำลังเลือกอาภรณ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเข้ามาในหอเรือน คนพวกนี้ก็พากันหันมามอง มองเห็นสภาพกระรุ่งกระริ่งของอาภรณ์ป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ในใจจะดูหมิ่น แต่หลังจากที่สัมผัสได้ถึงปราณรวมลมปราณขั้นเจ็ดของเขาซึ่งแผ่กระจายออกมา แต่ละคนจึงถอนสายตากลับ
ทว่ามีชายหนุ่มสวมอาภรณ์หรูหราผู้หนึ่งที่หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงงัน จากนั้นจึงก้มหน้าปิดบังประกายแปลกประหลาดที่วาบผ่านดวงตา
เวลาเดียวกันนั้นลูกจ้างในร้านใบหน้าเปื้อนยิ้มคนหนึ่งก็เดินมาอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน แนะนำให้เขาฟังอย่างกระตือรือร้น
“อาภรณ์มังกรสวรรค์ตัวนี้ใช้หนังของงูเหลือมวารีฟ้าแช่ในสมุนไพรเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดชนิด จากนั้นก็เชิญให้ปรมาจารย์มาปักลาย แฝงไว้ด้วยค่ายกล โดยเฉพาะเมื่อเจอกับเวทคาถาที่มีคุณลักษณะเป็นน้ำก็จะยิ่งต้านทานได้ดี!”
“ยังมีเสื้อพันใบตัวนี้ ถักทอออกมาจากใบวิเศษหนึ่งพันชนิด เพิ่มวิธีลับในการทำขึ้นมา สวมลงบนร่าง ทุกวันจะได้กลิ่นหอมของพืชหญ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับได้รับยาวิเศษ”
“ยังมีตัวนี้อีก…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าติดๆ กัน ลูบไปทางซ้ายที คลำไปทางขวาที ขณะที่กำลังตัดสินใจไม่ถูก ชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์หรูหราผู้นั้น เวลานี้ได้เงยหน้าขึ้น บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เดินมาทางป๋ายเสี่ยวฉุนพลางประสานมือคารวะ
“ยินดีต้อนรับพี่ชายท่านนี้”
————