บทที่ 244 เต็มไปด้วยเจตนาร้ายแท้ๆ
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง เจี่ยเลี่ยผู้นี้ก่อนหน้านั้นเขาก็ได้สังเกตเป็นพิเศษแล้ว คือบุคคลที่โดดเด่นในบรรดาผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมย ยามนี้พอลงมือ ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจนั้นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่านี่จะเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง
“ตบะสูงกว่าข้า แต่กลับมาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้เพื่อลอบโจมตีข้า ไร้ยางอาย ต่ำช้า ข้าเกลียดคนแบบนี้ที่สุดเลย คนแบบนี้สมควรจะถูกฟ้าผ่า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก ดวงตาเปล่งประกายวาบ กำลังจะลงมือ แต่เวลานี้เอง…กลับเกิดภาพเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ภาพเหตุการณ์ที่แม้แต่เจี่ยเลี่ยเองก็ยังไม่อยากเชื่อ!!
แทบจะวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งพูดจบ เสียงหัวเราะของเจี่ยเลี่ยดังสะท้อน หมอกทั่วร่างกลายเป็นมือประทับขนาดใหญ่สีเลือด นำพาร่างกายให้ตรงดิ่งเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน…
ทันใดนั้น ไม่มีลางบอกเหตุใดๆ ท้องฟ้าสีเลือดพลันมีเสียงดังสนั่นสั่นไหวเสียงหนึ่งลอยมา สายฟ้าหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า แล้วฟาดใส่เจี่ยเลี่ยโดยตรง
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลือนลั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เจี่ยเลี่ยร้องอุทานด้วยความตกใจ มือประทับขนาดใหญ่สีเลือดพังทลายลงไปเกินครึ่ง เขาเบิกตากว้าง รู้สึกเหลือเชื่อ ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาและป๋ายเสี่ยวฉุนมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับ สายฟ้าเส้นที่สอง เส้นที่สาม เส้นที่สี่ ทยอยกันฟาดผ่าลงมาเสียงดังเปรี้ยงปร้าง
เจี่ยเลี่ยร้องโหยหวน มือประทับใหญ่ยักษ์นอกร่างถล่มทลายทันทีทันใด สายฟ้าจึงฟาดลงบนร่างของเขาโดยตรง เลือดสดพุ่งทะลักออกมาจากปาก สีหน้าตะลึงพรึงเพริด เผยความไม่อยากเชื่อ
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”
“เย่จั้ง นี่มันวิชาอภินิหารอะไรของเจ้า!!” เจี่ยเลี่ยคำรามคลั่งแค้น ในใจตื่นตะลึงระคนหวาดผวา ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังจะเงยหน้ามองท้องฟ้า ทว่าสมองของเขาก็ต้องเกิดเสียงดังอึงอลตามมาติดๆ หนังหัวแทบจะระเบิด เขามองไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้พลันปรากฏสายฟ้าระโยงระยางกันเป็นสาย มีมากนับร้อยเส้น ตรงดิ่งเข้ามาหาตนท่ามกลางเสียงเปรี้ยงปร้างดังกึกก้อง
“ไม่!!” เจี่ยเลี่ยร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้า เวลานี้ไม่มีเวลาสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก เขายกมือขวาขึ้นตบไปที่หน้าผาก ปากก็พ่นซากโล่ซึ่งเต็มไปด้วยลายซับซ้อนอันหนึ่งออกมาปกป้องตัวเอง แล้วถอยกรูดด้วยความรวดเร็ว
ขณะที่เขากำลังถอยหลัง สายฟ้านับร้อยพุ่งทะยานเข้าใส่ ฟาดฟันลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีซากโล่สกัดกั้นเอาไว้ แต่ก็ยังคงทำให้เจี่ยเลี่ยกระอักเลือดสดออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะสุดท้ายที่สายฟ้าสิบกว่าเส้นร่วงลงมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ซากโล่อันนั้นไม่สามารถทนรับได้อีกจึงพังทลายลงไปทันที เจี่ยเลี่ยกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างกายทรุดโทรม หยิบเอายันต์ออกมาหนึ่งแผ่น นัยน์ตาเผยความหวาดผวาและเหลือเชื่อ เขาบีบแรงๆ หนึ่งครั้ง ยันต์แผ่นนั้นก็ลุกไหม้ แลกมาด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง ถอยกรูดเผ่นแนบไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แม้แต่มือก็ยังไม่ได้ยกขึ้น เพียงแค่…พูดประโยคเดียวเท่านั้น
ภาพนี้เหลือเชื่อเกินไป เขาเห็นทุกเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เจี่ยเลี่ยพุ่งเข้ามาใกล้ตนแล้วถูกสายฟ้านับร้อยเส้นกระหน่ำผ่าลงไปบนร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งเขาเผ่นแนบไปไกล ภายใต้ความสะท้านสะเทือน เขาจึงไม่ได้บุ่มบ่ามตามไปฆ่า
เขาสำลักลมหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วก็มองไปยังทิศทางที่เจี่ยเลี่ยหนีหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน
“หรือว่า…หรือว่าตบะของข้าอยู่ในระดับที่แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ แค่พูดคำเดียวก็ตัดสินเป็นตายได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเกิดความฮึกเหิม ทว่าพอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก็ทำได้เพียงสรุปว่าทุกอย่างนี้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับวิชาอมตะมิวางวาย เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจี่ยเลี่ยจะปรากฏตัวอีกครั้ง แบบนี้ตนจะได้วิเคราะห์อย่างละเอียด
พกพาเอาความสงสัยและคาดหวัง ป๋ายเสี่ยวฉุนลอยเตร็ดเตร่อยู่กลางอากศ เหยียบย่างเข้าไปในมหาสมุทรเลือด
และยามนี้ ในเขตมหาสมุทรที่อยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนระยะหนึ่ง เจี่ยเลี่ยสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มุมปากยังคงมีเลือดสดไหลริน นัยน์ตาเผยความบ้าคลั่ง ทว่าส่วนลึกในความบ้าคลั่งนี้กลับแฝงไว้ด้วยความหวาดผวา เขาแน่ใจอย่างยิ่งว่าสายฟ้าที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่นต้องเกิดจากวิชาอภินิหารของเย่จั้งอย่างแน่นอน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น บัดซบเอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้มีสายฟ้ามากมายขนาดนั้นผ่ามาที่ข้า!”
“ข้ารู้แล้ว เย่จั้งผู้นี้มีฉายาว่ามารโรคห่า ทั้งยังจิตใจอำมหิต กลอุบายลึกล้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาเดาได้ว่าจะมีคนลอบโจมตี ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรที่เพียงแค่มีคนเข้าใกล้ ก็จะล่อให้สายฟ้าฟาดลงมา ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน!” เจี่ยเลี่ยใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็ได้แต่ข้อสรุปเช่นนี้ แม้จะไม่มั่นใจเต็มร้อยนัก ทว่าเขาก็คิดถึงสาเหตุอื่นไม่ออกอีกแล้ว
“น่าจะเกี่ยวข้องกับสถานที่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ ที่นั่นเป็นจุดตัดระหว่างแอ่งน้ำและทะเลทราย มีคลื่นเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคงดำรงอยู่ และการที่ข้าปรากฏตัวกะทันหัน ตบะแผ่กระจาย ก็น่าจะสอดคล้องกับกฏเกณฑ์บางอย่าง เย่จั้งเป็นอาจารย์โอสถ รู้เรื่องมากกว่าข้า ดังนั้นถึงได้นำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์…” เจี่ยเลี่ยกัดฟัน จิตสังหารในดวงตาซัดตลบอบอวล
“ข้าไม่เชื่อหรอก คราวนี้ข้าจะเตรียมตัวดีๆ ต้องฆ่าเขาได้แน่นอน ข้าจะแล่เนื้อเถือหนังเขาออกมาเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ทรมานเขาทั้งเป็นจนกว่าจะตายไป!” เจี่ยเลี่ยไม่เคยเสียเปรียบใครมากขนาดนี้มาก่อน เวลานี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ฝืนตัวเองให้สงบลง
“ครั้งนี้ข้ายอมใช้ตบะมาเซ่นสังเวย เพื่อแลกมาด้วยการซุกซ่อนปราณชีวิต นอกจากนักพรตขั้นรวมโอสถแล้ว มิฉะนั้นในบรรดาสร้างฐานรากก็จะไม่มีใครจับสังเกตได้ว่าข้าเข้าไปใกล้ในระยะร้อยจั้ง!” เจี่ยเลี่ยกัดฟัน ใบหน้าแดงปลั่ง แต่ร่างกายกลับซูบผอม เริ่มเคลื่อนไหวอย่างลับๆ หาโอกาสย่องเข้าไปสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
โอกาสที่ว่านี้ สามวันให้หลัง ในที่สุดเขาก็หาเจอ วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังบินอยู่บนมหาสมุทรเลือด ตลอดทางที่ผ่านมาผิวน้ำราบเรียบไม่มีคลื่นลมใดๆ เมื่อมองออกไปทั้งแผ่นน้ำเป็นสีชาด ไร้วี่แววของสัตว์โลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่รู้อย่างมากว่าสัตว์โลหิตหน้าตาเป็นเช่นไร แต่กลับไม่มีโอกาสได้เห็น
ขณะที่กำลังบินเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเบื่อหน่ายอย่างยิ่งนั้น อยู่ๆ ความว่างเปล่านอกรัศมีร้อยจั้งฝั่งขวามือของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดบิดเบือน ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงวาบ ผินหน้าหันไปมองก็เห็นเงาร่างของเจี่ยเลี่ยที่ปรากฏกายอยู่นอกรัศมีร้อยจั้งอย่างเงียบเชียบทันที
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เจี่ยเลี่ยเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่า ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน ตลอดทั้งร่างเกิดเสียงตูมระเบิดหนึ่งครั้งก็กลายเป็นหมอกโลหิตหนึ่งกลุ่ม เมื่อซ่อนร่างอยู่ในกลุ่มหมอกนี้แล้ว หมอกโลหิตก็โหมซัดสาดกลายมาเป็นศีรษะดุร้ายขนาดยักษ์ตรงเข้าเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน
“เย่จั้ง ตายซะเถอะ!!” ความเร็วของเจี่ยเลี่ยนั้นเร็วเกินไป อีกทั้งอยู่ห่างแค่ร้อยจั้ง ภายใต้ความเร็วที่เร็วอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ คำพูดของเขายังดังสะท้อน ทว่าศีรษะที่กลายร่างมาจากหมอกเลือดกลับมาปรากฏอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว กำลังจะกลืนกินเขาเข้าไปในคำเดียว
แต่…ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะลงมือ วินาทีที่ศีรษะหมอกเลือดนี้เข้ามาใกล้ ทันใดนั้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมฟ้าลมฝนพัดตลบ ลมพายุบ้าคลั่งยากจะพรรณนาระลอกหนึ่งพลันรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน!
ความแรงของลมคลั่งนี้ทำให้แม้แต่มหาสมุทรก็ยังเกิดเสียงดังครั่นครืน ราวกับต้องการม้วนตลบเอาท้องทะเลเกินครึ่งขึ้นมา พลังอำนาจซัดโหมดุเดือด ม้วนตลบเข้าหาศีรษะหมอกเลือดที่เจี่ยเลี่ยเสกออกมาโดยตรง เพียงแค่สัมผัสน้อยๆ เสียงตูมตามดังสนั่น ศีรษะนี้พลันพังทลาย เผยให้เห็นเจี่ยเลี่ยที่กำลังกรีดร้องโหยหวนอยู่ภายใน
“เป็นไปไม่ได้ เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร เย่จั้ง…”
ร่างกายของเขาไม่ได้หยุดชะงักเลยแม้แต่นิดเดียว ลมพายุคลุ้มคลั่งนั้นพัดกวาดเขากระเด็นไปยังขอบฟ้า…สามารถมองเห็นได้ว่าท่ามกลางลมนี้ อาภรณ์ของเขาขาดกระรุ่งกระริ่ง เลือดและเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก หากไม่เพราะว่าช่วงเวลาสำคัญเจี่ยเลี่ยได้หยิบเอาอาวุธป้องกันตัวออกมา ฝืนย้ายตัวเองออกไปจากพื้นที่นี้ได้ เกรงว่าตลอดทั้งร่างของเขาคงถูกลมนั่นซัดจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ตำแหน่งที่เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งที่เจี่ยเลี่ยอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงยี่สิบจั้ง พายุคลั่งนั่นรุนแรงจนพัดให้น้ำทะเลเกินครึ่งโถมตัวขึ้นกลางอากาศ ทว่าเส้นผมของเขา…กลับไม่กระดิกสักเส้น
ราวกับว่าระยะห่างยี่สิบจั้งนี้มีภูเขากั้นขวาง…
มองเห็นเจี่ยเลี่ยถูกม้วนตลบไปไกลด้วยสภาพน่าสังเวชคาตาตัวเองแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยืนเซ่อไปทันที ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ยามนี้หากยังไม่เข้าใจ เขาก็ไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
“โลกใบนี้…กำลังปกป้องข้า? เพราะข้าฝึกวิชาอมตะมิวางวาย เพราะมีจุดกำเนิดเดียวกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที เขามองไปรอบด้าน ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยิ่งเด่นชัด ครู่ใหญ่เขาถึงได้ฟื้นคืนสติกลับมาจากความตื่นเต้น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็เชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ อีกหนึ่งที
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว ก็สามารถทำให้สร้างฐานรากกระจอกๆ สิ้นราบพนาสูร!”
ความตึงเครียดทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนหายเกลี้ยงไม่มีเหลือ เขาพกพาเอาความลำพองใจ เต๊ะท่าอาดๆ บินเคลื่อนไปข้างหน้า เวลาเดียวกันนั้น บนพื้นที่ของมหาสมุทรที่ห่างออกไปไกล เจี่ยเลี่ยกระอักเลือดไม่หยุด บ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์แบบ
“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!!” เขาคำรามเดือดดาลราวกับคนบ้า ร่างสั่นเทิ้ม นัยน์ตาเผยความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง
“ตอนแรกก็ฟ้าผ่า แล้วยังมาพายุคลั่ง เจ้าเย่จั้งผู้นี้ร่ายวิชาคาถาใดกันแน่ หรือว่าโลกนี้กำลังปกป้องคุ้มครองเขา? ข้าไม่เชื่อ แล้วก็ไม่ยอมด้วย!” ขณะที่เจี่ยเลี่ยกำลังคำรามเสียงดังก็กระอักเลือดออกมาอีก ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ก้มหน้าลงมองร่างกายที่ใกล้จะโรยราเต็มทีของตัวเอง ยิ่งคลุ้มคลั่งกว่าเดิม ยามนี้เขาบาดเจ็บหนัก ยังดีที่ถุงเก็บของยังอยู่ เพราะตอนที่ถูกลมพัดเขากำไว้ในมือแน่น
หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ จิตสังหารของเจี่ยเลี่ยก็พวยพุ่ง ความเกลียดชังที่เขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในระดับที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันแล้ว จากนั้นจึงกัดฟันหยิบเอารูปปั้นอันหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ
รูปปั้นนี้เหมือนผีเฮี้ยนตนหนึ่ง ดุร้ายเกินจะเปรียบ ถือรูปปั้นไว้ในมือ เจี่ยเลี่ยลังเลเล็กน้อยแล้วจึงกัดปลายลิ้น พ่นเลือดสดใส่รูปปั้นนั้น รูปปั้นพลันหลอมละลาย สุดท้ายกลายมาเป็นของเหลวสีดำ แล้วเกาะตัวกันออกมาเป็นอักขระตัวหนึ่ง ลอยมาประทับลงบนหว่างคิ้วของเจี่ยเลี่ย
เจี่ยเลี่ยสั่นไปทั้งร่าง คำรามแหบแห้งเจ็บปวด อักขระตรงหว่างคิ้วแผ่กระจายกลายมาเป็นเกราะสีดำปกคลุมทั่วเรือนกาย และร่างของเขาก็พองขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานอาการบาดเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้ง รูปร่างของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ไม่ได้ผอมแห้งอีกต่อไป แต่กำยำล่ำสันอย่างยิ่ง ทว่าหากมองอย่างละเอียด ร่างของเขากลับพร่ามัว ราวกับว่าอยู่ระหว่างความจริงและภาพมายา
“ร่างผีที่บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงมอบให้ข้านี้ สามารถทำให้ตบะของข้าฟื้นคืนได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งยังพัฒนาไปอีกหนึ่งขั้น เจ้าเย่จั้งผู้นั้นผิดปกติ สายฟ้าของเขาข้ามองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ส่วนลมนั่นแม้ว่าข้าจะไม่รู้ที่มาที่ไป แต่คราวนี้ข้าจะซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำแล้วพุ่งขึ้นไปฆ่าเขา เมื่อมีร่างของเงาผีแบบนี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ลมพัดมาโดนได้!”
“เย่จั้ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกใบนี้จะดูแลเจ้า แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าก็จะฝืนกำหนดฟ้า จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้!” เจี่ยเลี่ยกัดฟัน เก็บตบะ บินจมลงไปใต้มหาสมุทรและทะยานดิ่งไปเบื้องหน้า ครั้งนี้เขาทุ่มเทสุดพลัง