บทที่ 250 ฆ่า!
ผู้พิทักษ์สามคนของเซวี่ยเหมยที่ซ่งจวินหว่านยกขึ้นมาพูดเป็นพิเศษนั้น คนหนึ่งคือเซียวชิงที่สามารถฝ่าทะลุรวมโอสถได้ตลอดเวลา อีกทั้งการอยู่ในทะเลทรายร้างสีเลือดแห่งนี้ บางทีอาจมีสาเหตุพิเศษบางประการที่ทำให้การฝ่าทะลุขั้นของเขาสำเร็จราบรื่น และสามารถนึกภาพได้เลยว่า ต่อให้ฝ่าทะลุขั้นไปได้ครึ่งเดียว เขาก็ยังแข็งแกร่งจนสามารถทำลายล้างทุกอย่างได้อยู่ดี
ส่วนสองคนที่เหลือ คนหนึ่งคือจางอวิ๋นซาน อีกคนคือผู้ที่กำลังลงมืออยู่ตอนนี้ หยางหงอู่!
แม้ว่าหยางหงอู่ผู้นี้จะมีตบะสร้างฐานรากช่วงท้าย ทว่าบนร่างของเขายังมีของวิเศษล้ำค่า และของวิเศษล้ำค่าที่ว่านี้ถึงแม้จะสู้สมบัติล้ำค่าที่สามารถระเบิดพลังน่าหวาดกลัวเหนือล้ำเกินขอบเขตที่เป็นอยู่ไม่ได้ แต่กลับทำให้คนคนหนึ่งที่มีพลังไม่ธรรมดา ปลดปล่อยพลังเหนือล้ำขอบเขตของตนเอง เป็นพลังสู้รบที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้พ่าย!
นี่ก็คือของวิเศษล้ำค่า!
ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกบำเพ็ญตบะมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากหม้อกระดองเต่าของเขาแล้ว ก็ยังไม่เคยได้รับของวิเศษล้ำค่ามาก่อน เดิมทีหากเขายังคงอยู่ที่สำนักธาราเทพ เมื่อตบะถึงสร้างฐานรากช่วงท้าย สำนักธาราเทพต้องมอบของวิเศษล้ำค่าให้อย่างแน่นอน ทว่าเขาจากมาตั้งแต่ช่วงสร้างฐานรากขั้นต้น แน่นอนว่าย่อมไม่ได้รับ
เพราะยังไงซะก็มีน้อยครั้งนักที่จะมอบของวิเศษล้ำค่าให้กับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าสร้างฐานรากช่วงท้ายลงไป เพราะไม่เพียงแต่สำแดงอานุภาพได้ยาก ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกคนช่วงชิงไปด้วย
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่ควันของธูปหอมในมือหยางหงอู่ลอยออกมา ความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายพลันก่อเกิดขึ้นกลางใจของเขา แม้ว่าพลังของกล้ามเนื้อที่เพิ่มพูนขึ้นจะทำให้ความรู้สึกถึงวิกฤตนี้อ่อนจางลงไปเล็กน้อย แต่ตอนนี้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งอยู่ดี
เขามีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า หากปล่อยให้อีกฝ่ายร่ายเวทต่อไป ถ้าเช่นนั้นตนจะกลายมาเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ขณะที่หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรากฏเส้นเลือดฝอย
“สถานที่แห่งนี้มีสายตาคนมากมายจับจ้อง คาถามากมายของข้าไม่สามารถร่ายออกมาได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน พอสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เนื้อคงกระพันของเขาโคจรทันใด มือทั้งคู่ทำมุทราโบกสะบัด ในฝ่ามือซ้ายขวาของเขาพลันมีพลังแปลกประหลาดเส้นหนึ่งแผ่ออกมา
นี่คือพลังของแรงผลักและแรงดูด แม้ว่าในด้านพลังแม่เหล็ก ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังคงอยู่ในช่วงคลำทาง ยังไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่นัก แต่หากนำมาช่วยใช้ในการบิน ก็ยังถือว่าพอฝืนทำได้
พลังประหลาดสองเส้นนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามหนึ่งครั้ง มือทั้งสองประสานเข้าด้วยมัน มันก็ก่อตัวขึ้นมากลายเป็นพลังผลักดันที่รุนแรงระลอกหนึ่ง เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็ผลักให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดความเร็วจากที่มี ไต่สูงขึ้นไปอีกหลายเท่า พริบตาเดียวก็ห้อทะยานบินไปไกล
แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออก ธูปหอมในมือของหยางหงอู่ปลดปล่อยควันสีเขียวออกมา ราวกับสามารถตัดแบ่งความว่างเปล่าทั้งหมดได้ มันตรงเข้าไปโอบล้อมจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ทุกที่ที่ผ่าน รอยปริร้าวมากมายหลายเส้นปรากฏขึ้นบนความว่างเปล่า ดั่งว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนช้าอีกนิด ตอนนี้ร่างก็คงถูกตัดแบ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
ขณะที่ผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยพากันขมวดคิ้ว ไอสังหารในดวงตาหยางหงอู่เปล่งวาบ สองครั้งแล้วที่เขาลงมือแต่อีกฝ่ายหนีรอดไปได้ สำหรับเขาที่กุมของวิเศษล้ำค่าไว้ในมือแล้ว ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยครั้งมาก
“กะอีแค่สร้างฐานรากวิถีมนุษย์ช่วงกลางคนหนึ่ง กลับสามารถหลบเลี่ยงการสังหารจากของล้ำค่าข้าได้ถึงสองครั้ง ดูท่าในตัวคนผู้นี้คงมีความลับอยู่ไม่น้อย” หยางหงอู่สูดลมหายใจเข้าลึก หน้าอกพลันยุบยวบลง และความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นทันตาเห็น กระโดดผลุงข้ามกายสหายรอบด้าน กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว เป็นฝ่ายไล่กวดป๋ายเสี่ยวฉุนนำไปก่อนใคร
ขณะที่ไล่ล่าอยู่นั้น เขาไม่ได้พ่นลมหายใจออกมาสักครั้ง แต่กลับสูดลมเข้าอีกสองครั้งอย่างพิลึกพิลั่น หลังจากหน้าอกยุบลงไปอย่างต่อเนื่อง ความเร็วก็ระเบิดออกอีกครั้ง เมื่อทำเช่นนี้หลายรอบติดกันจึงสามารถเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างรวดเร็ว
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ มองเห็นว่าหยางหงอู่ไล่ตามตนมาเพียงลำพัง เส้นเลือดฝอยในตาของเขาก็ยิ่งมีมาก
“นึกจริงๆ รึว่าข้าจะรังแกได้ง่ายๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงต่ำ อยู่ๆ ก็หันขวับกลับมา ไม่หนีอีกต่อไป แต่เปลี่ยนทิศทางกระโจนเข้าใส่หยางหงอู่ที่ไล่กวดมาด้านหลัง
ความเร็วนั้นเร็วเกินสายฟ้าแลบ เสียงตู้มดังหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าหยางหงอู่ทันที เขายกมือขวาขึ้นฉับพลัน กำเป็นหมัดแล้วเหวี่ยงโครมลงไป
จิตสังหารในดวงตาหยางหงอู่เปล่งวาบ ยกมือขวาขึ้น ธูปหอมที่อยู่ในมือพลันถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ปล่อยควันจำนวนมากลอยดิ่งเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน
“เจ้าคิดจะล่อให้ข้าตามมาเพียงลำพังมิใช่หรือ ข้าผู้แซ่หยางให้โอกาสเจ้า!” ขณะที่หยางหงอู่หัวเราะเสียงเย็น ธูปหอมอันเป็นของวิเศษล้ำค่าของเขาที่ปลดปล่อยควันออกมาพลันรวมตัวกันเป็นการสังหารแบบตัดสลับรัดพัน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งตัว ทว่าดวงตากลับแดงก่ำ ไม่เพียงแต่ไม่หลบหลีก ยังปล่อยให้ควันนี้คำรามเข้ามาหา แถมยังปลดปล่อยพลังที่แฝงเร้นอยู่ในหมัดนั้นอย่างเต็มที่
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้า หมัดนั้นหลอมรวมเอาพลังผีร้ายเจ็ดตนจากเนื้อคงกระพันขั้นที่สองป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ความแรงของพละกำลังนี้มากพอที่จะเขย่าคลอนภูเขาทั้งลูก เวลานี้เมื่อร่วงลงไป รอบด้านจึงเกิดเสียงระเบิดดังก้อง พลังแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหันนี้กลายมาเป็นพายุคลั่งกวาดทลายรอบทิศ
เมื่อมองไกลๆ ภาพนี้น่าพรั่นพรึงเป็นที่สุด ท่ามกลางหมัดที่ควงออกไป ในยามนี้ปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนได้แปลงเงามายาหนึ่งร่างขึ้นมาเบื้องหลัง นั่นคือผีร้ายขนาดใหญ่ยักษ์ตนหนึ่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าผีร้ายทั่วไปมากมายนัก ราวกับราชันแห่งผีร้าย กำลังกรีดร้องคำรามพร้อมๆ กับหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ต่อยโครมออกมา
และควันเหล่านั้นที่โอบล้อมรอบด้านของผีร้ายก็กำลังตีวงเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว ราวกับต้องการแยกร่างมันออกจากกัน!
ทุกอย่างนี้พูดแล้วเนิ่นนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสายฟ้าแลบเท่านั้น เสียงตูมตามสะเทือนฟ้าดิน ก่อให้เกิดเป็นพลังโจมตีที่กวาดทำลายไปสี่ทิศ ร่างของหยางหงอู่สั่นเยือก มุมปากมีเลือดสดไหลซึม ร่างถอยกรูดรวดเร็ว นัยน์ตาเผยความกริ่งเกรงรุนแรง ในเมื่อเขากล้าไล่ฆ่าเย่จั้งเพียงลำพัง แน่นอนว่าย่อมเข้าใจพลังในการสู้รบของเย่จั้งเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้กลับค้นพบอย่างกะทันหันว่า เย่จั้งผู้นี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าที่เขาเข้าใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดสดออกมาเช่นกัน ตลอดทั้งร่างราวกับถูกฉีกกระชาก การสังหารแบบตัดสลับรัดพันจากควันเหล่านั้นแฝงฝังไว้ด้วยพลังของวิเศษล้ำค่า แยกเงาร่างของผีร้ายให้กระจัดกระจาย ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับการปกป้องจากเนื้อคงกระพัน จึงทำให้เขาแค่บาดเจ็บเท่านั้น ไม่สามารถแยกร่างของเขาได้ บัดนี้เมื่อเขาดิ้นรน ควันเหล่านั้นก็เริ่มพังทลายไปทีละชุ่น
วินาทีที่ควันเหล่านั้นแตกสลาย ความว่างเปล่างที่อยู่ห่างป๋ายเสี่ยวฉุนไปไม่ไกลเกิดบิดเบือน ร่างหนึ่งบินทะยานเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว นั่นคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ในมือของเขาถือพัดเล่มเล็กหนึ่งเล่ม สีหน้ามืดทะมึน นัยน์ตาฉายแสงสังหาร ยกพัดที่มือขึ้นได้ก็พัดโบกเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง
คลื่นวายุพลันเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก่อตัวเป็นพายุหมุนที่ทำท่าราวกับจะเชื่อมโยงเข้ากับฟ้าดิน ยิ่งหมุนยิ่งขยายใหญ่ หมุนคว้างเสียงดังครั่นครืนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“จางอวิ๋นซาน!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง ช่วงเวลาคับขัน เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามกร้าว ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ พลังอำนาจบนร่างของเขาทะลักทลายออกมาอีกครั้ง คราวนี้ด้านหลังของเขาเกิดเงามายาของราชันแห่งผีร้ายขึ้นใหม่อีกรอบ จากนั้นก็มีผีร้ายปรากฏขึ้นมาเป็นร่างที่สอง ร่างที่สาม ร่างที่สี่…
พริบตาเดียว หลังจากที่เงาร่างของผีร้ายทั้งเจ็ดตนเผยกายขึ้นมา แต่ละตนล้วนแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพื้นปฐพี และทันใดนั้นก็เข้ามาซ้อนทับกันเป็นร่างเดียว ปราณน่าหวาดกลัวก่อกำเนิดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แม้จะไม่สามารถก่อตัวเป็นร่างปีศาจฟ้า ทว่ากลางอากาศนั้นกลับมีมือข้างหนึ่ง…ปรากฏขึ้น!
นั่นคือมือสีขาวข้างหนึ่ง ไม่ใช่กรงเล็บผี แต่เป็นมือของปีศาจฟ้า!
มือนี้ขาวซีด ทั้งยังมีเกล็ดขึ้นเป็นแพ และปุ่มกระดูกที่ปูดนูนนั้นก็น่าสะพรึงกลัว หลังจากที่มันปรากฏขึ้นก็ตบผลั๊วะเข้าใส่ชายหนุ่มที่ตรงเข้ามาเข่นฆ่าทันที
ปะทะเข้ากับพายุหมุนโดยตรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้แปดทิศสั่นสะเทือน พายุหมุนพังทลาย มือปีศาจฟ้าพร่าเลือน แต่กลับไม่ดับสลาย ยังคงกระแทกลงไปดังเดิม
เสียงตู้มดังหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มมีเลือดสดไหลรินออกมาตรงมุมปาก และร่างก็ถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมือปีศาจฟ้าสลายหายไปในที่สุด กลางอากาศ ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าขาวเผือด กระอักเลือดออกมาอีกคำ สีเลือดในดวงตามอบความรู้สึกอำมหิตชั่วช้าให้แก่คนมอง เขามองหยางหงอู่และจางอวิ๋นซานอีกครั้ง จากนั้นจึงสะบัดร่างห้อทะยานออกไปไกล
หยางหงอู่ลังเลเล็กน้อย เช็ดเลือดตรงมุมปากออก ไม่ได้ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไปเพียงลำพังต่อ เวลานี้ใจเขายังคงสั่นสะเทือนรุนแรง พลังในการสู้รบของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาอึ้งตะลึง โดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่ได้เห็นนั่น ทำให้หยางหงอู่มีลางสังหรณ์ว่า เย่จั้งผู้นี้…ยังไม่ได้เผยพลังในการสู้รบออกมาอย่างเต็มที่
ต่อให้เป็นการลอบโจมตีของจางอวิ๋นซานก็ยังเหมือนว่าแค่บีบให้เย่จั้งเผยพลังในการต่อสู้ออกมาอีกเล็กน้อยเท่านั้น
“คนผู้นี้…ยังมีความลับซุกซ่อนอยู่มากมายแค่ไหนกันแน่!” ขณะที่หยางหงอู่สูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มผู้นั้น ซึ่งก็คือจางอวิ๋นซาน เขาก็มีสีหน้ามืดทะมึนไม่ต่างกัน จ้องเขม็งไปยังท้องฟ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนีห่างไปไกล
เวลานี้ทุกคนที่ไล่ตามมาเบื้องหลังล้วนตามมาทัน แต่ละคนแตกตื่นอยู่ในใจ ขณะที่กำลังเกิดความลังเล จางอวิ๋นซานและหยางหงอู่มองตากันหนึ่งครั้ง คนทั้งสองเป็นผู้นำไล่กวดออกไป ดวงตาของทุกคนเปล่งแสงวาบ ไล่ตามออกไปอีกครั้งเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว บินทะยานด้วยความรวดเร็ว ภายนอกมองดูแล้วเด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญ อาภรณ์อาบเลือด ทว่าใบหน้าที่แท้จริงใต้หน้ากากกลับซีดเผือด ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน
“รังแกกันเกินไปแล้ว หากไม่เพราะข้ากังวลเรื่องจะเผยตัวตน ตอนที่ลงมือก่อนหน้านี้ต้องทำให้พวกเขาเจ็บหนักแน่นอน…สมควรตายเอ๊ย ยังเหลืออีกตั้งสามชั่วยามกว่า รีบๆ จบสิ้นเสียทีเถอะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม ขณะที่เผ่นหนีเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ชั่วยามที่สี่มาถึงในที่สุด
คราวนี้เขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว วินาทีที่ชั่วยามที่สี่เยื้องกรายมาเยือน ขณะที่กุญแจดอกที่สี่ปรากฏกายขึ้น ใจเขาอยากจะหลีกหนี และก็ได้ยินเสียงผู้พิทักษ์เหล่านั้นของซ่งจวินหว่านที่ไล่กวดเข้ามารอบด้านร้องอุทานดังอึงอลด้วย
“เย่จั้ง อย่าดูดเอาไปอีกนะ เอากุญแจมาให้พวกข้า!”
“เย่จั้ง หยุดนะ!” ซ่งเชวียเองก็คำรามเสียงต่ำ
ทว่าวินาทีที่เสียงของพวกเขาดังออกไปนั้นเอง กุญแจดอกที่สี่ซึ่งเผยกายขึ้นกลับพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ความรวดเร็วนั้นราวกับว่าบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีพลังดึงดูดรุนแรงดำรงอยู่อย่างไรอย่างนั้น ไม่สนใจความต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุนเลยแม้แต่นิดเดียว มันหลอมละลายด้วยตัวเอง กลายร่างเป็นปราณเลือดเข้นข้น ผลักดันให้เนื้อคงกระพันระเบิดออกอีกครั้ง
“เย่จั้ง เจ้า…เจ้ารนหาที่ตาย!!” ซ่งเชวียเกรี้ยวกราดอย่างหนัก พวกผู้พิทักษ์ที่อยู่ข้างกายเขา เวลานี้ก็คลุ้มคลั่งกันไปหมด ก่อนหน้านี้เดิมทีพวกเขาก็ลังเลอยู่แล้ว พอเห็นว่ากุญแจดอกที่สี่ก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนสูบไป จึงร้อนรนกระวนกระวายขึ้นมาทันที
เพราะยังไงซะ…พวกเขาก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนดูดเอากุญแจไปแล้ว จะหมายความว่าทุกคนในกลุ่มล้วนได้ครอบครองกุญแจหรือไม่ หากใช่ก็ยังถือว่าดี แต่หากไม่ใช่…พอนึกถึงความเสี่ยงที่อาจถูกกำจัด มีหรือที่พวกซ่งเชวียจะไม่เคร่งเครียด พวกเขาไม่กล้าเดิมพันด้วยหรอกนะ
“ข้าก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้สักหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องแต่ร้องไม่ออก เดิมทีเขาคิดว่าจะหาที่หลบในทะเลทรายร้างสีเลือดแห่งนี้ มองคนอื่นเข่นฆ่ากัน รอจนกุญแจลูกท้ายๆ ปรากฏขึ้นค่อยลงมือ แต่ตอนนี้เขากลับกลายมาเป็นเป้าหมายในการโจมตีของทุกคนเสียได้