บทที่ 269 สาบานว่าจะสังหารเย่จั้ง
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ในใจของคนแทบทุกคนตลอดทั้งสำนักธาราเทพล้วนมีจิตสังหารลุกโชน บางคนเก็บกลั้นไว้ในใจ บางคนเอ่ยปากระบาย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พลังอำนาจเขย่าคลอนฟ้าดินระลอกหนึ่งต่างก็ระเบิดออกมาจากทุกยอดเขาในสำนักธาราเทพ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาช้า แม้เขาจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่ก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้สำนักธาราเทพเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามอย่างไรบ้าง สามารถจินตนาการได้ และตอนนี้ก็ยิ่งมองออกว่าใจของทุกคนตลอดทั้งสำนักธาราเทพล้วนพร้อมที่จะรบเต็มที่แล้ว!
“พูดถึงสำนักธาราโลหิต เสี่ยวฉุน ช่วงนี้เจ้าออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก ไม่รู้จะได้ยินหรือเปล่าว่าในสำนักธาราโลหิตมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่น่าตะลึงผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา คนผู้นี้นามว่าเย่จั้ง ทั้งยังได้เลื่อนขั้นเป็นบุตรโลหิตเขาจงเฟิงแล้วด้วย!” โหวอวิ๋นเฟยที่อยู่ข้างกันเอ่ยถาม
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลุ้มใจเรื่องที่สองสำนักจะเปิดศึกกัน พอได้ยินคำพูดของโหวอวิ๋นเฟย เขาจึงหรี่ตาลง
“คราวนี้ ข้าและเป่ยหันเลี่ย รวมไปถึงกุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่ว ต่างก็มีข้อตกลงร่วมกันว่าหากเจอเย่จั้งผู้นั้นในสนามรบ จะร่วมมือกันสังหารเจ้าเย่จั้งผู้นั้นที่ด่านหน้า เสี่ยวฉุน ถึงเวลานั้นเจ้าก็มาเข้าร่วมด้วยกันสิ!” ไอสังหารในดวงตาโหวอวิ๋นเฟยเปล่งวาบ หลังจากสร้างฐานรากวิถีดิน ลักษณะบุคลิกของโหวอวิ๋นเฟยก็เปลี่ยนไปจากเดิม เขามีโลกที่เป็นของตัวเอง ทว่ามิตรภาพระหว่างเขากับป๋ายเสี่ยวฉุน เขากลับยิ่งให้ความสำคัญราวกับสิ่งของล้ำค่า
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน เลียริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก คนรอบกายเขาพอได้ยินชื่อเย่จั้งต่างก็พากันระเบิดจิตสังหาร แม้แต่สวีเป่าไฉเองก็ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
โดยเฉพาะจางต้าพั่งที่ดวงตาราวกับพ่นไฟได้ มีเพียงโหวเสี่ยวเม่ยเท่านั้นที่เผยความหวาดกลัวออกมาทางใบหน้า
“เย่จั้งผู้นั้นโหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด ฆ่าคนเป็นว่าเล่น ข้ามีข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่าคนผู้นี้ชอบดูดเลือด ทุกวันหากไม่ได้กลืนกินเลือดสดในปริมาณที่มากพอจะงุ่นง่าน ว่ากันว่านั่นเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับวิชาที่เขาฝึก” คนหนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นจมูก
“ชอบดูดเลือดคน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง รู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก เขาลองย้อนนึกดูอย่างละเอียด ไม่เห็นจำได้เลยว่าตัวเองเคยทำอย่างนั้น…
“ข้ายังได้ยินมาว่าเย่จั้งผู้นี้นิสัยวิปริต ทั้งยังเป็นพวกบ้ากาม ชื่อเสียงในสำนักธาราโลหิตฉาวโฉ่ แต่เป็นเพราะอำมหิตชั่วช้า ถึงยับยั้งการต่อต้านจากทุกคนไว้ได้” ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มกัดฟันพูด
“พวกบ้ากาม? นิสัยวิปริต…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ไม่ว่าจะฟังยังไงก็รู้สึกว่านี่ไม่เหมือนตนสักนิด…
“นี่ยังน้อยไป ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเย่จั้งผู้นี้เสพติดการหลอมศพ ทำให้คนขนลุกขนพอง!!” สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกันพูดด้วยความเคียดแค้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน…
“แต่ว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง เดิมทีไม่มีชื่อเสียงใด ทว่าเพียงแค่สร้างฐานรากวิถีมนุษย์กลับข่มเซวี่ยเหมยและผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงได้ ทั้งยังบดขยี้ซ่งเชวีย กลายมาเป็นบุตรโลหิต!”
“ได้ยินว่ามีบุรพาจารย์คนหนึ่งของสำนักธาราโลหิตรับคนผู้นี้ไว้เป็นลูกบุญธรรมด้วย…”
“วิถีโอสถของเย่จั้งผู้นี้ก็มีความเป็นมารมากเหมือนกัน ได้ฉายาว่ามารโรคห่า…” ทุกคนพูดเออออสอดรับกันไปมา โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงวิถีโอสถและฉายามารโรคห่า ยังมีคนหลายคนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายใจคว่ำ
“เอ่อ…เจ้าเย่จั้งนี่เลวร้ายขนาดนี้จริงๆ หรือ? ก็แค่ข่าวลือกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะแก้ตัวตามจิตใต้สำนึก ทว่าเขาเพิ่งจะพูดจบ จางต้าพั่งที่อยู่ข้างกันกลับกำหมัดแน่น
“เสี่ยวฉุนเจ้าไม่รู้อะไร สิ่งที่ทำให้เจ้าเย่จั้งผู้นั้นน่ากลัว ไม่ใช่ความโหดเหี้ยมของเขา แต่เป็นการพยากรณ์ของคนผู้นี้ แทบจะไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ ไม่ว่าเรื่องใด แค่เขานับนิ้วคำนวณ ใต้ฟ้าบนพื้นล้วนอยู่ในใจ ยังมีเรื่องเกี่ยวกับเจ้าที่แค่เขาคำนวณก็ตรงเผงเลยล่ะ ยังไงซะก็ต้องกำจัดคนผู้นี้ให้ได้!” จางต้าพั่งกลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะประเมินศัตรูต่ำไป จึงรีบพูด
ทุกคนเห็นด้วยอย่างมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองจางต้าพั่งตาปริบๆ ไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนกลับมาในฐานะของเย่จั้ง
“ถูกต้อง เจ้าหมอนี่จะเอาไว้ไม่ได้ สมควรตาย ข้าสวีเป่าไฉหากมีวิชาอภินิหารอย่างนั้นบ้าง ตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว เท่าที่ข้ารู้มา คนในสำนักเราที่รวมตัวกันเพื่อกำจัดเย่จั้งมีมากหลายสิบคนแล้ว
อีกอย่างแม้แต่ลำดับผู้สืบทอดก็ยังเอ่ยปากว่าตอนทำสงครามจะฆ่าบุตรโลหิตเพื่อสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง แม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ยังมีการวางแผน ข้ายังเคยได้ยินเจ้าสำนักพูดด้วยว่าใครที่สังหารบุตรโลหิตได้ จะตบรางวัลอย่างหนัก!
ดังนั้นขอแค่เปิดศึกกันเมื่อใด เจ้าเย่จั้งผู้นี้ก็ย่อมตายอย่างมิต้องสงสัย!” สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างๆ กัดฟันพูด
เวลานี้ทุกคนเข้ามาใกล้เขาจ้งเต้าแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังจนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึม ในใจเขากล้ำกลืน เขารู้สึกว่าตอนที่ตนอยู่ในร่างเย่จั้ง ไม่เคยล่วงเกินคนมากมายเหล่านี้นี่นา…ทำไมทุกคนต้องคิดจะฆ่าตนด้วย
โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าแม้แต่ลำดับผู้สืบทอดและผู้อาวุโสใหญ่ไท่ซ่างก็ยังถึงขั้นวางแผนการ หรือแม้แต่ศิษย์พี่เจ้าสำนักก็ยังเอ่ยปากขนาดนี้ ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสั่นระรัวอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะกล่าวเพื่อแสดงจุดยืน ทันใดนั้นบนเขาจ้งเต้าพลันมีเสียงมากด้วยบารมีของเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงดังลอยมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน รีบมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
“หา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตึงเครียด ตอนนี้อยู่ๆ ได้ยินคำพูดของเจิ้งหย่วนตง เขาก็ตกใจจนแทบจะสะดุ้งโหยง หน้าเผือดสี ยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าของตัวเองโดยไม่รู้ตัว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ได้สวมหน้ากาก ถึงได้เอ่ยลาทุกคนด้วยความกระวนกระวาย บินไปยังตำหนักใหญ่ของเจิ้งหย่วนตงท่ามกลางความสงสัยของทุกคน
ในตำหนักใหญ่แสงไฟมืดสลัว มีความรู้สึกกดดันระลอกหนึ่งแฝงเร้นอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนเดิมทีก็หวาดผวาเพราะวีรกรรมที่ก่อไว้อยู่แล้ว เวลานี้พอมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ก็ยิ่งใจสั่น มองเจิ้งหย่วนจงตาปริบๆ
“ศิษย์พี่เจ้าสำนักที่รัก…”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!” เจิ้งหย่วนตงหันขวับกลับมา สายตาดุจดั่งสายฟ้า น้ำเสียงราวอสนีบาต ตบะสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบบนร่างยิ่งระเบิดออก ทั้งยังสัมผัสได้ถึงปราณของขอบเขตรวมโอสถเส้นหนึ่งได้รำไร
หากพูดถึงพลานุภาพสยบที่เกิดขึ้นจากตบะแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ว่าเดิมทีเขาก็เคารพยำเกรงเจิ้งหย่วนตงและหลี่ชิงโหวอยู่แล้ว ตอนนี้พอถูกอีกฝ่ายตวาดใส่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แอบคาดเดากับตัวเองว่าหรืออีกฝ่ายจะรู้แล้วว่าตนคือเย่จั้ง…
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าผิดไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวตนเย่จั้งของตนหรือไม่ ยังไงซะขอแค่ตนยอมรับผิดก่อน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
“กำเริบเสิบสาน ทำตัวเหลวไหล เจ้าออกไปหาประสบการณ์ก็ยังพอว่า แต่นี่กลับซุกซ่อนปราณของตัวเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนออกไปตามหาเจ้ามากเท่าไหร่ หรือแม้แต่บุตรโลหิตทั้งสี่คนของสำนักธาราโลหิตก็ยังเอ่ยคำสาบานว่าต้องสังหารเจ้าให้ได้ หากเจอตัวเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าก็ต้องตายอย่างมิอาจฟื้นตื่นมาได้อีก!!”
“ทางสำนักทำได้เพียงบอกกับคนอื่นว่าเจ้าปิดด่าน แล้วแอบไปตามหาเจ้าอย่างลับๆ หากันจนแทบจะพลิกทั้งแผ่นดินเกาะตงหลินแล้ว!” เจิ้งหย่วนตงพูดด้วยความเดือดดาล
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ผ่อนลมหายใจ ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกตื่นตระหนก รีบก้มหน้ายอมรับผิดอย่างว่าง่าย
เจิ้งหย่วนตงตำหนิและตักเตือนอยู่พักใหญ่ มองเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกหนักๆ หนึ่งครั้ง พอพบว่าตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่สร้างฐานรากช่วงกลางแล้ว สีหน้าถึงได้คลายลงมาเล็กน้อย แต่ก็ยังปั้นหน้าเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม
“เอาเถอะ ข้าจะไม่ถามว่าเหตุใดเจ้าถึงได้อำพรางตบะ แล้วไปอยู่ที่ไหนมา เจ้าเองก็ไม่เด็กแล้ว จะทำอะไรต้องรู้หนักรู้เบา…ที่ให้เจ้ามาเพราะมีภารกิจหนึ่งจะมอบให้เจ้า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตคำพูดและสีหน้าของเจิ้งหย่วนตง รู้ว่าเรื่องที่ตนซ่อนปราณตอนออกไปข้างนอกถือว่าผ่านไปได้แล้ว เวลานี้จึงตบอก วางมาดแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว กล่าวด้วยเสียงทุ้มหนัก
“ศิษย์พี่โปรดพูด ไม่ว่าจะขึ้นภูเขามีดหรือลงกระทะน้ำมัน ขอแค่ศิษย์พี่พูดประโยคเดียว ศิษย์น้องอย่างข้าจะไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตอนนี้ตนควรจะแสดงท่าทีอะไรสักหน่อย แต่ก็คิดว่าตัวเองจะพูดให้เด็ดขาดเกินไปไม่ได้ ดังนั้นในคำพูดที่มองดูคล้ายจะสง่าน่าเกรงขามนี้ จึงไม่มีคำใดที่รับรองว่าตัวเองจะทำภารกิจสำเร็จ
“สำนักธาราเทพของเราใกล้จะเปิดศึกกับสำนักธาราโลหิตแล้ว ภารกิจของเจ้าก็คือเมื่ออยู่ในสนามรบ เจ้าต้องโจมตีบุตรโลหิตที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาบุตรโลหิตทั้งสี่…เย่จั้ง!” เจิ้งหย่วนตงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบร้องทุกข์อยู่กับตัวเอง เขารู้สึกว่าตนใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว สำนักธาราโลหิตให้ตนฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนสำนักธาราเทพก็ให้ตนฆ่าเย่จั้ง…
การกระทำที่ต้องฆ่าตัวเองแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไร…เวลานี้จึงกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เจิ้งหย่วนตงมองเห็นว่าสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนทะแม่งๆ จึงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาสงสัย
“เจ้าเป็นอะไรไป? บุตรโลหิตของสำนักธาราโลหิต ไม่ว่าใครก็ควรสังหารทั้งสิ้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนก รีบตบอกของตัวเองแรงๆ หลายครั้ง
“ศิษย์พี่เจ้าสำนักโปรดวางใจ เจ้าเย่จั้งผู้นี้นิสัยวิปริต ชอบดูดเลือดคน ทำเรื่องชั่วช้าไม่เว้นวัน วิปลาสฟั่นเฟือน ไม่ว่าใครก็อยากฆ่าเขาทั้งนั้น ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเขาล่อลวงผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิง แถมยังได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์หลายคนในสำนักธาราโลหิต คนแบบนี้ ข้าต้องกำจัดเขาอย่างแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงดังด้วยท่าทางของผู้รักในความยุติธรรม แต่ในใจกลับยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้น
“เจ้ารู้จักเย่จั้งดีไม่น้อยเลยนะ” เจิ้งหย่วนตงถามขึ้นมาหนึ่งประโยคด้วยความแปลกใจ
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนร้องรำพัน คิดว่าทำไมวันนี้ตนถึงได้พูดพลั้งปากอยู่เรื่อย ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ จึงรีบกล่าวเสริม
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนรักความยุติธรรม ตอนที่ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก็ได้ยินเรื่องราวของเย่จั้งผู้เสียสตินี้ ศิษย์พี่เจ้าสำนักโปรดวางใจ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนรับรองว่าต้องทำภารกิจสำเร็จแน่นอน!”
เจิ้งหย่วนตงมองป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าค่อยๆ อ่อนโยน
“ด้วยสร้างฐานรากวิถีฟ้าของเจ้า บวกกับตบะสร้างฐานรากช่วงกลาง ย่อมสามารถสังหารเย่จั้งนั่นได้ตั้งแต่ด่านหน้าอย่างแน่นอน ข้าจะจัดการให้คนอื่นๆ ร่วมมือกับเจ้า หรือแม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างและลำดับผู้สืบทอดก็จะสร้างโอกาสให้เจ้าด้วย!”
“จงจำไว้ว่า ต้องทำภารกิจสังหารบุตรโลหิตให้สำเร็จให้ได้ เมื่อทำได้สำเร็จแล้ว ต่อให้เจ้าจะยังไม่ได้รวมโอสถ แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของความชอบครั้งนี้ เจ้าจะได้ขึ้นเป็นลำดับผู้สืบทอดทันที!”
“และลำดับผู้สืบทอด…ถึงจะเป็นรากฐานของสำนักธาราเทพเรา ต่อให้อยู่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำจนมิอาจฟื้นตัวได้อีก ตลอดทั้งสำนักก็ยังจะรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อรักษาลำดับนี้ไว้!” เจิ้งหย่วนตงเอ่ยปากเนิบช้า มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความหมายลึกล้ำหนึ่งครั้ง ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในคำพูดทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำ ขณะเดียวกันความอบอุ่นไร้ที่สิ้นสุดก็พุ่งสูงขึ้นมา