Skip to content

A Will Eternal 276

บทที่ 276 ค่ายที่เก้าของเขาจ้งเต้า

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกงซุนหว่านเอ๋อร์หลังกลับมาจากสำนักธาราโลหิต ทว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ในยามนี้แตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง!

กงซุนหว่านเอ๋อร์เมื่อครั้งอดีตนั้นแม้ว่าจะมีใบหน้างดงาม แต่กลับไม่มีเสน่ห์ใดๆ ทว่าหญิงสาวที่เห็นตอนนี้ความงามเพริศพริ้งเย้ายวนที่ซุกซ่อนเอาไว้ไม่เคยเผยให้ใครเห็นมาก่อน ทำให้ทุกคนที่ได้มองนางล้วนจิตใจสะท้านไหว

ต่อให้ใบหน้ายังคงเหมือนเดิม ทว่าความรู้สึกที่มอบให้เขา และยังมีความรู้สึกถึงวิกฤตรุนแรงที่พุ่งสูงขึ้นกลางใจนั้น ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกราวหนังหัวจะระเบิด

แม้แต่คลื่นตบะก็ยังถูกพลังชีวิตชักพาให้แอบโคจร เป็นเหตุให้สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นแข็งกร้าว แม้แต่ปราณเลือดในร่างกายก็ยังทำท่าจะเคลื่อนไหวตามไปด้วย

“ผิดปกติ!!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังใจสั่นสะท้าน กงซุนหว่านเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะเบาๆ แล้วจึงหมุนกายเดินจากไปไกล เรือนร่างของนางถูกกลุ่มคนบดบัง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหาอีกฝ่ายไม่เจอไปชั่วขณะ

จนกระทั่งบัดนี้ ความรู้สึกหวาดผวาถึงเพิ่งจะหายไป ทว่าภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนแน่ใจอย่างมากว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจผิดไปเองแน่นอน

“กงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้เหตุใดถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจรัวเร็ว เขาย้อนนึกถึงสายตาเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่ายอย่างละเอียด โดยเฉพาะเสียงหัวเราะราวระฆังแก้วที่ดังเข้าหูนั่น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

แต่เดิมทีเขาก็คุ้นเคยกับกงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยากที่จะตัดสินได้ว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่ว่านี้เขาคิดไปเองหรือไม่

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังขวัญสะท้านอยู่นั้นเอง โหวเสี่ยวเม่ยคล้ายจะสังเกตได้ จึงมองไปตามสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ากลับมองไม่เห็นกงซุนหว่านเอ๋อร์

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านเป็นอะไรไปหรือ?” โหวเสี่ยวเม่ยถาม

ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจยังคงใคร่ครวญเรื่องที่เกิดขึ้น คนหลายหมื่นคนที่อยู่ในค่ายกล ภายใต้การนำทางของนักพรตนับพันภายนอกจึงค่อยๆ ถูกเรียกตัวไปทีละคน ไม่นานก็มาถึงคราวของซ่างกวานเทียนโย่ว

“อาจารย์อาซ่างกวาน ตามกำหนดการของสำนัก ท่านจะได้เป็นผู้บัญชาการหลักของค่ายกลที่สามในบรรดาสามค่ายใหญ่สร้างฐานรากของเขาชิงเฟิง ค่ายกลที่สามเขาชิงเฟิงจะมีเจตจำนงของท่านเป็นหลัก โปรดตามข้าน้อยไปทำความคุ้นเคยกับค่ายกลด้วยขอรับ” ลูกศิษย์ฝ่ายในชายฝั่งทิศเหนือคนหนึ่ง ประสานมือคารวะซ่างกวานเทียนโย่ว คำพูดของเขาที่ดังขึ้นดึงดูดความสนใจไม่น้อยจากคนรอบด้าน

ก่อนหน้านี้ทุกคนที่ถูกนำตัวไป ส่วนใหญ่แล้วจะถูกส่งไปอยู่ในแต่ละค่ายของยอดเขาที่ตัวเองอาศัยอยู่ กลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล ทว่าพอมาถึงซ่างกวานเทียนโย่ว เขากลับได้เป็นถึงผู้บัญชาการหลัก การเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากคนอื่นเช่นนี้ทำให้คนไม่น้อยให้ความสนใจ ทั้งยังมีคนมากมายที่วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา

“ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์อาซ่างกวาน ได้รับความสำคัญอย่างมากจากสำนัก กลายเป็นผู้บัญชาการหลักของค่ายกลที่สามเขาชิงเฟิง…”

“เมื่อครู่นี้ข้าสังเกตอย่างละเอียด การจัดวางตำแหน่งที่เทือกเขาลั่วเฉินแบ่งเขตตามยอดเขา แต่ละยอดเขาล้วนมีค่ายกลของลูกศิษย์ฝ่ายนอกหลายสิบค่าย ค่ายกลของลูกศิษย์ฝ่ายในประมาณสิบกว่าค่าย แล้วก็มีค่ายของผู้นำเขา ค่ายของผู้อาวุโสอีกหลายท่าน ตอนนี้ที่ซ่างกวานเทียนโย่วได้ไป น่าจะเป็นค่ายของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ…”

“อาจารย์อาซ่างกวานเทียนโย่วหลังกลับมาจากหุบเหวกระบี่อุกกาบาตก็ปิดด่านอยู่หลายวัน ได้ยินว่าออกด่านเพียงครั้งเดียวก็ไปท้ารบกับกุ่ยหยา น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบะปาก รู้สึกยอมไม่ได้นิดๆ

ขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันนั้นเอง ซ่างกวานเทียนโย่วสีหน้าเป็นปกติ ก้าวเดินออกไป ความรู้สึกที่ถูกสายตาคนนับหมื่นจับจ้องแบบนี้เขาเคยชินมานานแล้ว มองลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศเหนือที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้หนึ่งครั้ง ซ่างกวานเทียนโย่วจึงกล่าวเบาๆ

“ค่ายกลที่สองและค่ายกลที่หนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้บัญชาการ”

“เรียนอาจารย์อาซ่างกวาน ค่ายกลที่สองได้ยินมาว่าพวกผู้อาวุโสเขาชิงเฟิงเป็นผู้บัญชาการด้วยตัวเอง ส่วนค่ายกลที่หนึ่งคือผู้นำเขาชิงเฟิง” เมื่อลูกศิษย์ฝ่ายในชายฝั่งทิศเหนือผู้นั้นตอบด้วยความนอบน้อม ซ่างกวานเทียนโย่วจึงพยักหน้า กวาดสายตามองไปบนร่างป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง แค่นเสียงเย็นใส่อีกหนึ่งที

เวลานี้มีคนอีกคนหนึ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าโจวซินฉี คารวะด้วยความเคารพ

“อาจารย์อาโจว ศิษย์เป็นผู้นำทางให้ท่าน ท่านคือผู้บัญชาการหลักค่ายกลที่สามเขาเซียงอวิ๋นขอรับ”

โจวซินฉีพยักหน้าเงียบๆ ถูกพาออกไปจากค่ายกลพร้อมซ่างกวานเทียนโย่ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้ง โจวซินฉีนั้นเขาไม่สนใจ แต่ไม่ว่าจะมองซ่างกวานเทียนโย่วอย่างไร เขาก็รู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนัก

“ไอ้หมอนี่ก็ได้เป็นผู้บัญชาการหลักกับเขาด้วยหรือ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูท่าแล้วแต่ละยอดเขานอกจากลูกศิษย์ฝ่ายนอกและลูกศิษย์ฝ่ายในแล้ว สร้างฐานรากก็ล้วนมีค่ายกลยอดเขาละสามแห่ง? แล้วข้าล่ะ? ข้าจะได้ไปอยู่ที่ไหน?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสงสัยใคร่รู้ ห่างออกไปไกลมีลูกศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งของชายฝั่งทิศใต้กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว ห้อตะบึงเข้ามา

เพิ่งจะเข้ามาใกล้ก็ตะโกนเสียงดังทันที

“อาจารย์อาป๋ายอยู่หรือไม่…”

เสียงเขาดังมาก หน้าผากมีเหงื่อผุดพราว คำพูดของเขาดังขึ้น ทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนได้ยินกันหมด แม้แต่ซ่างกวานเทียนโย่วและโจวซินฉีก็ยังหยุดชะงักฝีเท้า หันไปมอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาเป็นประกาย เดินออกไปหลายก้าว กวักมือเรียกลูกศิษย์ฝ่ายในคนนั้น

ลูกศิษย์ฝ่ายในชายฝั่งทิศใต้คนนี้มองปราดเดียวก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุน จึงรีบบินเข้ามาหา ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ก็ประสานมือคารวะโค้งตัวลงต่ำทันที ในตาเผยความเคารพนบนอบและความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง

“คารวะอาจารย์อาป๋าย!”

“เจ้าสำนักมีคำสั่ง อาจารย์อาป๋ายไม่เข้าร่วมค่ายกลใดๆ ของเจ็ดยอดเขาชายฝั่งเหนือใต้ แต่ให้ไปเป็นผู้บัญชาการหลักของ…ค่ายกลสร้างฐานรากยอดเขาจ้งเต้า!” เมื่อลูกศิษย์ฝ่ายในผู้นี้เอ่ยปาก รอบด้านมีคนมากมายได้ยินประโยคนี้ เสียงสูดลมหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าพลันดังลอยมา พากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

“ผู้บัญชาการหลักค่ายกลสร้างฐานรากเขาจ้งเต้า?”

“เดิมก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว อาจารย์อาป๋ายสร้างฐานรากวิถีฟ้า ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาใด หากให้เขาไปอยู่ก็ล้วนเรียกได้ว่าเอาคนตำแหน่งสูงไปทำงานตำแหน่งต่ำ มีเพียงเขาจ้งเต้าเท่านั้นถึงจะเหมาะสมกับอาจารย์อาป๋าย!”

ในสายตาเหล่านั้นมีความเคารพยำเกรง และยังมากด้วยความริษยา เห็นได้ชัดว่าในสายตาของสำนัก ความยิ่งใหญ่ของประโยชน์ในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนได้เหนือล้ำเกินกว่าซ่างกวานเทียนโย่วและโจวซินฉีไปแล้ว

โจวซินฉีมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งก็ถอนสายตากลับมา ตามลูกศิษย์ด้านหน้าที่นำทางไป ซ่างกวานเทียนโย่วสีหน้าเป็นปกติ แต่มือขวากลับกำแน่น ความรู้สึกที่ถูกเปรียบเทียบอย่างเด่นชัดเช่นนี้ ทำให้เขากัดฟันอยู่ในใจ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บินออกไปก่อนใคร

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกสบายอุราขึ้นมาทันที ก่อนจะจากไป เขาใช้ตำแหน่งของตัวเองจัดการและสั่งความลงไป ทำให้ถึงแม้โหวเสี่ยวเม่ยจะถูกส่งไปรวมตัวกับลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศใต้ ทว่าภายใต้การดูแลอย่างไร้รูปลักษ์จากป๋ายเสี่ยวฉุนและโหวอวิ๋นเฟย โหวเสี่ยวเม่ยจึงได้รับการปกป้องอยู่ในเขตของลูกศิษย์ฝ่ายนอก

ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ตามลูกศิษย์ฝ่ายในชายฝั่งทิศใต้คนนั้นไป เดินลอดแนวป้องกันรอบนอกมาถึงเขตศูนย์กลาง ที่แห่งนี้มีค่ายกลขนาดยักษ์เก้าค่าย นาบตราประทับลงบนพื้นดิน แต่ละค่ายล้วนมีขนาดพันจั้ง ตอนนี้กำลังปล่อยคลื่นและแสงที่น่าตื่นตกใจ คล้ายขานรับกับค่ายกลใหญ่ตลอดทั้งเทือกเขาลั่วเฉิน

และมีลูกศิษย์หลายร้อยคนกำลังง่วนอยู่นอกค่ายกลทั้งเก้า บางครั้งก็ปรับเปลี่ยน บางครั้งก็แก้ไข ทำให้ปราณของค่ายกลทั้งเก้านี้ยิ่งแผ่ความน่าตื่นตะลึงออกมา

ในค่ายกล ตอนนี้มีคนไม่น้อยกำลังนั่งขัดสมาธิแยกกันไปตามค่ายกลทั้งเก้า จุดที่ทุกคนนั่งล้วนถูกทางสำนักกำหนดไว้แน่นอน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เมื่อมองอย่างละเอียด ที่นั่งในค่ายกลนั้นเป็นรูปยันต์แปดทิศ นอกจากแปดคนที่นั่งอยู่โดยรอบแล้ว ตรงกลางยังมีที่นั่งของผู้บัญชาการหลักอีกสามคน เป็นรูปแบบในสามนอกแปด

เมื่อมองไป นักพรตที่นั่งอยู่ในค่ายกลเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ต่างก็เป็นผู้อาวุโสร้างฐานรากของสำนักธาราเทพ คนไม่น้อยที่อยู่ด้านในพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพากันพยักหน้าทักทาย

ค่ายกลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่คือค่ายกลที่เก้าของที่แห่งนี้ เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับค่ายกลอีกแปดค่าย ตำแหน่งผู้บัญชาการของค่ายกลที่เก้านี้มีเพียงตำแหน่งเดียว

“เจ้าสำนักมีคำสั่ง ค่ายกลที่เก้าของเขาจ้งเต้านี้ อาจารย์อาป๋ายเป็นผู้บัญชาการคนเดียว!” หลังจากลูกศิษย์ที่นำทางคนนั้นประสานมือคารวะแล้วจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตโดยรอบแล้วจึงเดินเข้าไปในค่ายกล นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงตำแหน่งผู้บัญชาการอันเป็นตำแหน่งเดียวตรงจุดศูนย์กลางของยันต์แปดทิศ

เวลานี้ผู้อาวุโสสร้างฐานรากที่ถูกจัดให้อยู่ในค่ายกลที่เก้ารอบกายเขายังไม่มาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถือโอกาสหลับตาลง แผ่ตบะออกสัมผัสกับค่ายกล

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ตบะของเขาแผ่ออกไป มันก็หลอมรวมเข้ากับค่ายกลทันที ค่ายกลนี้ขานรับกับคาถาลมปราณม่วงแปลงกระถางของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุเดือด พริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีความรู้สึกรุนแรงว่าตัวเองได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับค่ายกล

ในสมองยิ่งมีเสียงดังอื้ออึง ป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายรู้สึกได้รำไรว่าตัวเองกลายร่างเป็นยักษ์ แค่ความคิดเดียว เมื่อยืนขึ้นก็จะกลายเป็นยักษ์ได้ทันที

ความรู้สึกนี้ดุเดือดถึงขีดสุด ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจสะท้านไหว ขณะเดียวกันก็เริ่มคิด ทันใดนั้น…แสงจัดจ้าระลอกหนึ่งพลันพวยพุ่งจากค่ายกลที่เก้าของเขาขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้อาวุโสสร้างฐานรากที่อยู่ในค่ายทั้งแปดรอบด้าน ทั้งยังทำให้นักพรตทั้งหมดที่อยู่รอบทิศสัมผัสได้ แม้แต่นักพรตกลุ่มที่สี่หลายหมื่นคนที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งกำลังถูกจัดวางไปยังตำแหน่งต่างๆ อยู่นั้นก็ยังแตกตื่น หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง

ไม่นานเสียงสูดลมหายใจฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังไปสี่ทิศ เห็นเพียงว่าบนค่ายกลที่เก้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้มีเงาร่างของยักษ์สูงพอสองร้อยจั้งตนหนึ่งกำลังก่อตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสว่างจ้า แม้จะมองเห็นเพียงโครงร่าง แต่กลับมองออกว่าใบหน้าของยักษ์ตนนี้ก็คือใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน!

พวกจางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง สวีเป่าไฉ ต่างก็อยู่ในตำแหน่งของใครของมันบนเทือกเขาลั่วเฉิน เวลานี้หลังจากมองเห็นยักษ์ตนนั้น ทุกคนก็อึ้งตะลึงไปทันที

กุ่ยหยานั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกลที่สามของเขากุ่ยหยา ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกโพลง หลังจากมองไปยังยักษ์ตนนั้น ดวงตาทั้งคู่ก็ฉายแสงคมกล้า

เป่ยหันเลี่ย สวีซง และยังมีซ่างกวานเทียนโย่ว โจวซินฉีที่เพิ่งนั่งลงเมื่อครู่นี้ต่างก็เป็นเหมือนกัน พร้อมใจกันหันไปมอง

รวมไปถึงกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ดวงตาฉายแสงแปลกประหลาด

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองกลายร่างเป็นยักษ์ เจตจำนงของเขาก็คือเจตจำนงของยักษ์ตนนี้ ดุจดั่งนี่ก็คือร่างจำลองนอกกายของเขาร่างหนึ่ง!

ความรู้สึกแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้เขาแผดเสียงคำรามยาวอย่างอดไม่ได้ เสียงนี้ประหนึ่งอสนีบาต ครั่นครืนไปแปดทิศ ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนกลับดังก้อง

หลังจากทดลองโบกแขนทั้งสองข้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับปรับตัวไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก เพิ่งจะขยับแขน ร่างของยักษ์ตนนี้ก็ไม่มั่นคง เริ่มพังทลายทันที แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้ ภาพเหตุการณ์นี้ได้ทำให้จิตใจของทุกคนที่เห็นไม่สงบสุขอย่างถึงที่สุด

แม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างและลำดับผู้สืบทอดที่อยู่กลางนภากาศก็ยังสังเกตเห็นภาพนี้ พากันจ้องมองนิ่ง

“เขาก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน…”

“เพิ่งเข้ามาอยู่ในค่ายกลหลักครั้งแรกก็สามารถกระตุ้นพลังของค่ายกล ก่อตัวเป็นร่างจำลองนอกกาย…”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…ไม่คิดเลยว่าวิชาของเขากับค่ายกลของสำนักธาราเทพจะตอบรับกันได้ดีขนาดนี้!”

“มิน่าละเจ้าสำนักถึงจัดให้เขาเป็นผู้บัญชาการหลักค่ายกลที่เก้าคนเดียว การแปลงกายของค่ายกลนี้จำเป็นต้องใช้นักพรตสามคนถึงจะแปลงออกมาได้ แต่เมื่อเป็นเขา แค่คนเดียวก็พอแล้วจริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!