Skip to content

A Will Eternal 291

บทที่ 291 บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน ชีพจรฟ้าธาราเทพ

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อสังหารศัตรูในแนวหน้า จะมาทำเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ได้อย่างไร!” พลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออก น้ำเสียงกังวานทรงพลัง ทุกคนรอบด้านที่ได้ยินพากันใจสั่น สายตาตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเผยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงพวกเป่ยหันเลี่ยสามคนที่แอบด่าอยู่ในใจ ตัวตนที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขารู้ดีกว่าลูกศิษย์ทั่วไปเยอะเลยล่ะ

ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเอ่ยปากอีกครั้ง

“บุรพาจารย์น้อย นี่คือคำสั่งของบุรพาจารย์ อีกอย่างการกวาดล้างสนามรบ จัดวางแนวหลังให้มั่นคงก็เป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่ง”

ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบหัวเราะอยู่ในใจ ทว่าภายนอกกลับเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นจนใจจึงทำได้เพียงเอ่ยเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค สุดท้ายเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนปฏิเสธไม่ยอมรับภารกิจนี้ ดังนั้นตัวเขาจึงเตรียมถอดใจ ทว่าเพียงแค่น้ำเสียงของเขาลดความเด็ดเดี่ยวลงไปนิดเดียวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนจะตอบรับขึ้นมา

“แต่ก็ช่างเถอะ เพื่อไม่ให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะรับไว้แล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็บินพรวดออกไปแล้วตะโกนเสียงดังไปรอบด้าน

“ใคร ยินดีไปกวาดล้างสนามรบ สร้างชื่อเสียงและบารมีให้แก่สองสำนักเราพร้อมข้าผู้เป็นบุรพาจารย์น้อยและนายแห่งโลหิตบ้าง!”

คำพูดนี้ของเขาดังออกมา ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็พากันขานรับรวดเร็ว ทุกคนรีบเอ่ยปาก น้ำเสียงดังไปสี่ทิศ

“ข้ายินดีติดตามนายแห่งโลหิต!”

“บุรพาจารย์น้อย นับข้าด้วยคนหนึ่ง!”

“อาจารย์อาป๋าย ข้าก็ไปด้วย!!”

พริบตาเดียวคนหลายร้อยที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็มีเกินครึ่งที่ต้องการเข้าร่วมด้วย ทั้งยังมีกระบี่โลหิตขนาดยักษ์เล่มหนึ่งที่นักพรตเขาจงเฟิงของสำนักธาราโลหิตบวงสรวงไว้ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเวลานี้กระบี่โลหิตได้ลอยขึ้นกลางอากาศ ขยายขนาดเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยจั้ง อานุภาพสะท้านฟ้า

ทว่าเป่ยหันเลี่ยกลับหดคอลง เสินซ่วนจื่อเองก็ก้าวถอยหลังพร้อมร่างที่สั่นเทิ้ม ส่วนเจี่ยเลี่ย การประลองบุตรโลหิตในคราวนั้น ทำให้ความเคารพยำเกรงที่เขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนสูงเทียมฟ้าไปแล้ว บัดนี้จึงถอยกรูดอย่างไร้ซึ่งความลังเล กลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเห็นตน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ก้าวยาวๆ เหยียบขึ้นไปบนกระบี่โลหิต มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้งหัวปีศาจมากมายที่โอบล้อมประตูสำนักแห่งนี้ก็บินมา คอยปกป้องอยู่รอบด้าน ทั้งยังมีศพหลอมหลายตนบินเข้ามาใกล้ ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพพากันบินออกมาทีละคน ห้อมล้อมอยู่รอบด้าน

ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจฮึกเหิม เหยียบอยู่บนกระบี่เล่มใหญ่ มองพื้นดินที่อยู่เบื้องล่างหนึ่งครั้งด้วยใบหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งแล้วพลันเอ่ยปาก

“เป่ยหันเลี่ย เสินซ่วนจื่อ เจี่ยเลี่ย พวกเจ้าสามคนหลบข้าทำไม มาๆๆ ไปทำภารกิจให้สำเร็จพร้อมกันกับข้า!”

พวกเป่ยหันเลี่ยสามคนตัวสั่นสะท้าน แอบร้องทุกข์อยู่กับตัวเอง ใจจริงแล้วไม่อยากไป แต่ในคำสั่งของบุรพาจารย์ก็บอกเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถเลือกพานักพรตไปด้วยได้ตามใจชอบ ประโยคนี้ก็บอกชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะเลือกใครก็ตามที่เขามองเห็นให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับเขา

“ข้า…” เป่ยหันเลี่ยคิดจะดึงดันสักหน่อย…ทว่าเพิ่งจะพูดได้แค่คำเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขึงตาใส่ทันที

“ข้ามีคำสั่งของบุรพาจารย์!”

เป่ยหันเลี่ยกัดฟันกรอด ร่างพลันบินพรวดออกไปหยุดอยู่ด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน กลัดกลุ้มอย่างมาก เสินซ่วนจื่อและเจี่ยเลี่ยร้องพิลาปรำพันอยู่ในใจ รู้แน่แล้วว่าตัวเองหนีไม่พ้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงบินออกไปตามคำสั่ง เข้าไปรวมอยู่กับกลุ่มคน

“แบบนี้สิถึงจะถูก พวกเราไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่เล่มใหญ่ใต้ฝ่าเท้าก็ส่งเสียงดังตูมตาม กลุ่มของคนหลายร้อยคนบึ่งทะยานห่างออกไปด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตาอย่างตอนนี้มาก่อน เวลานี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนกระบี่ยักษ์ มองหัวปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบด้าน มองศพหลอมมากมายเหล่านั้น ทั้งยังมองไปที่นักพรตสองสำนักหลายคนที่อยู่รอบกาย โดยเฉพาะมองเห็นเป่ยหันเลี่ยสามคนที่หน้าตาอมทุกข์ ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก

“เลือกมาที่สมรภูมิรบนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ ตอนที่อยู่สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิต ข้ายังไม่เคยมีหน้ามีตามากขนาดนี้มาก่อน ไม่นึกว่าพอมาอยู่ที่นี่จะได้สมดังใจปรารถนา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ถือโอกาสลุกขึ้นยืน มือขวายกขึ้นชี้ไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง

“ศิษย์หลานทั้งหลาย จงตามข้าไปกวาดล้างสำนักธาราทมิฬ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมเต็มกำลัง เมื่อเสียงของเขาดังสะท้อนออกไป รอบด้านมีลูกศิษย์คนหนึ่งของสำนักธาราโลหิต ลูกศิษย์ผู้นี้ไหวพริบดีมาก พอเห็นท่าทางห้าวหาญมีความสุขของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจเขาพลันกระตุก หลังจากเขยิบเข้ามาใกล้ เขาก็รีบตะเบ็งเสียงพูดขึ้นมา

“บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน!!”

อยู่ๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมาแบบนี้ ทำให้คนไม่น้อยที่อยู่รอบด้านอึ้งงันกันไปทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองนักพรตของสำนักธาราโลหิตผู้นี้ด้วยสายตาประหลาดใจ คนผู้นี้รู้สึกกระอักกระอ่วนทันใด พบว่าทุกคนล้วนหันมามองตน จึงหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ครุ่นคิดว่าคำพูดประจบเอาใจของตนเห็นได้ชัดว่ามีช่องโหว่ ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง

“ต่อไปอย่าพูดอย่างนี้อีก ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบคำพูดประจบเอาใจเช่นนี้ ส่วน…ยานี่ มอบให้เจ้าแล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มกลั้นความลำพองใจ ถึงปากจะพูดอย่างนี้ ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกชัดเจนว่าปรารถนาจะให้คนอื่นพูดอีกหลายๆ ประโยค แถมในดวงตายังเผยแววให้กำลังใจ แถมยาที่มอบให้ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตผู้นี้ยังเป็นยาวิเศษระดับสามหนึ่งเม็ด

ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตผู้นี้ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด มองออกถึงแววให้กำลังใจในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน ความกล้าหาญจึงเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า มิใช่คำพูดป้อยอเพื่อเอาใจ บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน!!”

ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตคนอื่นที่อยู่รอบด้านพอมองเห็นภาพนี้ก็เบิกตากว้างทันควัน โดยเฉพาะมองเห็นว่ายาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้เป็นถึงยาวิเศษเม็ดหนึ่ง ทุกคนก็เกิดความเร่าร้อน ตะโกนเสียงดังตามกันอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด

“บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน!!”

พอคนนับร้อยเอ่ยปากเช่นนี้ ทำให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนปลาบปลื้มถึงขีดสุด ทว่าภายนอกกลับไอแห้งๆ ไม่หยุด เพียงแต่ว่ายาที่มอบให้เป็นรางวัล กลับไม่มีใครที่ไม่ได้รับ…

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนนับร้อยของสำนักธาราเทพจึงไม่สบอารมณ์กันขึ้นมาทันที แต่ละคนมองนักพรตของสำนักธาราโลหิตอย่างขุ่นเคือง ด้วยความไม่ยอมน้อยหน้า จึงตะโกนขึ้นมาเสียงดังเช่นกัน

“ชีพจรฟ้าธาราเทพ บารมีเขย่าคลอนแปดทิศ!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันลิงโลดถึงขีดสุด ร่างสั่นเทิ้มไปหมด ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายระยับ ความซาบซึ้งในใจประหนึ่งกระแสน้ำขึ้นน้ำลงที่ไหลกราก เขาตบป้าบลงไปบนถุงเก็บของ หลังจากโปรยยาวิเศษออกมาเป็นจำนวนมาก ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตก็แจ่มแจ้งทันใด ดังนั้นแต่ละคนจึงห้อมล้อมป๋ายเสี่ยวฉุน บินทะยานเคลื่อนหน้าพลางคำรามเสียงดังราวจะเขย่าฟ้า

“บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน ชีพจรฟ้าธาราเทพ บารมีเขย่าคลอนแปดทิศ!”

มีเพียงพวกเป่ยหันเลี่ยสามคนเท่านั้นที่เวลานี้กัดฟันกรอด ยิ่งเหยียดหยามป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น พวกเขาปิดปากแน่นไปตลอดทาง คำพูดประจบสอพลอที่น่ารังเกียจพวกนั้น พวกเขารู้สึกว่าต่อให้ตัวเองต้องตายก็จะไม่มีทางพูดมันออกมาเด็ดขาด

“ต้องถ่อมตัว พวกเจ้าต้องถ่อมตัว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งได้ใจ แต่รู้สึกว่าตัวเองยังจำเป็นต้องถ่อมตัวสักเล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบโบกมือ และก็เป็นอย่างนี้ ทุกคนบุกตะลุยไปตามพื้นที่ของสำนักธาราทมิฬที่ถูกสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพยึดครองเอาไว้ได้ กวาดทำลายไปด้วยอานุภาพอันแข็งแกร่ง

ไม่นานนักทุกคนก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขาแห่งนี้มีตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแห่งหนึ่งที่เคยอยู่ในปกครองของสำนักธาราทมิฬ เมื่อสองสำนักพุ่งเข้ามาโจมตี หลังจากบาดเจ็บหนักจึงเลือกยอมแพ้ เพียงแต่ในใจยังหลงเหลือความไม่ยินยอม ภายนอกยอมลงให้ ทว่าความเกลียดแค้นในใจที่มีต่อสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพกลับมีไม่น้อย

ตอนนี้ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ บุรพาจารย์และคนในตระกูลจำนวนมากกำลังปรึกษากลยุทธ์กันอยู่

“สำนักธาราเทพนั่นทำกันเกินไปแล้ว เคยร่วมมือเป็นพันธมิตรกับสำนักธาราทมิฬ แต่กลับมาทรยศกัน!!”

“หึ แล้วก็สำนักธาราโลหิตนั่นอีก พวกนักพรตมาร กระหายเลือดติดเป็นสันดาน สักวันจะต้องโดนสวรรค์ลงทัณฑ์!!” ในห้องโถงใหญ่ ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันด้วยความขัดเคือง เสียงด่าดังขรมไม่ขาดระยะ ทันใดนั้นพลานุภาพสยบระลอกหนึ่งก็พลันเยื้องกรายมาเยือน

“ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ จงออกมาพบบุตรโลหิตของข้า!” หลังจากการมาถึงของพลานุภาพสยบ กลับมีน้ำเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งตรงเข้ามาในหูของทุกคน ทำให้นักพรตที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้พากันหน้าถอดสี

บุรพาจารย์ของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในโถงใหญ่คือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อยู่ในขั้นสร้างฐานรากช่วงกลาง เวลานี้หน้าเขาพลันเปลี่ยนสี เงยหน้าพรวด ก้าวยาวๆ ออกมาด้วยความรวดเร็ว คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงก็พากันทยอยบินออกมา

แล้วก็มองเห็นทันทีว่าบนท้องฟ้า เวลานี้มีกระบี่สีเลือดเล่มใหญ่เล่มหนึ่งคำรามเข้ามาใกล้ รวมไปถึงนักพรตสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพหลายร้อยคนที่อยู่รอบกระบี่ใหญ่เล่มนั้นด้วย

ทั้งยังมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนกระบี่ยักษ์ รวมไปถึงได้ยิน…เสียงดังราวฟ้าคำรณที่มาจากคนมากมายบนท้องฟ้า

“บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน ชีพจรฟ้าธาราเทพ บารมีเขย่าคลอนแปดทิศ!!”

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรจิตใจหวาดหวั่น เหม่อมองไปยังบนท้องฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าลง กวาดตามองในเทือกเขา

ภารกิจที่เขาได้รับมาคือกวาดล้างเศษซากของสำนักธาราทมิฬที่ยังหลงเหลืออยู่ ภารกิจนี้ไม่ได้ให้เขาคลำหาหนทางเอาเอง แต่มีแผ่นหยกหนึ่งแผ่นที่ด้านในนั้นบันทึกข้อมูลของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเอาไว้ทั้งหมดสามสิบเจ็ดตระกูล

ตามการสำรวจของสำนักธาราเทพ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามสิบเจ็ดแห่งนี้ต่างก็มีปัญหา จำเป็นต้องทำการกวาดล้าง ส่วนจะทำเช่นไร จะฆ่าหรือจะเก็บเอาไว้ ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้ชั่งน้ำหนักเอาเอง อีกทั้งแผ่นหยกนี้ก็มีประสิทธิภาพมหัศจรรย์ ขอแค่ผู้ที่ถือครองสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ ก็จะสามารถแยกแยะจากคลื่นวิชาของอีกฝ่ายได้ว่าเป็นพวกเศษเดนของสำนักธาราทมิฬหรือไม่

“คารวะบุตรโลหิต!” เห็นว่าอีกฝ่ายมีคนมากกว่า อีกทั้งพลังอำนาจก็ไม่อ่อนแอ ทุกคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนี้จึงพากันสะกดกลั้นความแค้น บุรพาจารย์ผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วประสานมือคารวะไปทางนภากาศ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ดวงตาที่หว่างคิ้วพลันเปิดออก ดุจดั่งสวรรค์เบิกดวงตา สายตากวาดไปทั่วทั้งหุบเขา ทะลุทะลวงผ่านทุกอุปสรรคที่กีดขวาง จนกระทั่งมองเห็นว่าด้านล่างของหุบเขามีวังใต้ดินแห่งหนึ่ง

ในวังใต้ดินเวลานี้มีคนเจ็ดแปดคนกำลังนั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผล แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เคยเห็นคนเจ็ดแปดคนนี้มาก่อน ทว่าอาการบาดเจ็บบนร่างของพวกเขา รวมไปถึงอาภรณ์ที่สวมใส่ บวกกับคลื่นพลังของสำนักธาราทมิฬจึงทำให้แผ่นหยกในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนส่องแสงสว่างขึ้นมาทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!