Skip to content

A Will Eternal 293

บทที่ 293 มารโรคห่ารีดไถอย่างกำเริบเสิบสาน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เกาหัวแกรกๆ มองทุกคนด้วยใบหน้าของคนได้รับความไม่เป็นธรรม

“ทำอะไรของพวกเจ้ากันน่ะ…”

“ที่ข้าจะทำก็เพื่อให้ภารกิจลุล่วง อีกอย่างข้าก็หลอมยาเก่งมากเลยนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง สีหน้าของทุกคนรอบด้านเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เริ่มมีคนไม่น้อยออกปากพูดเกลี้ยกล่อม

“อาจารย์อาป๋าย คือว่า…เรื่องหลอมยานี่ช่างมันเถอะนะ…”

“ไต้เท้าบุตรโลหิต ปล่อยตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนี้ไปเถอะ…”

ทุกคนแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ แม้แต่เสินซ่วนจื่อเองก็ยังอดไม่ได้จนต้องพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นมา

“ไม่ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะไม่เปิดประตู!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ยกมือขวาขึ้นหยิบเอาเตาหลอมออกมา

พอเตาหลอมปรากฏ สีหน้านักพรตสองสำนักที่อยู่รอบด้านยิ่งไร้สีสัน ถอยห่างออกไปอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องไปที่ประตูเขาของตระกูลเสวียนกวางเขม็ง หัวเราะเย็นๆ หนึ่งเสียง ตบเตาหลอมหนึ่งที หยิบเอาพืชหญ้าปริมาณมากออกมาแล้วเริ่มหลอมยา!

ด้านหลังของเขา ลูกศิษย์สองสำนักถอยร่นต่อเนื่อง แต่ละคนลมหายใจไม่มั่นคง เผยความหวาดเกรง ขณะเดียวกันนัยน์ตาของคนไม่น้อยก็เผยให้เห็นถึงความรอคอย

“ตระกูลเสวียนกวางจบอนาถแน่…”

“บังอาจกล้ามายั่วยุมารโรคห่า!!”

“พวกเจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอยู่ในสำนักธาราเทพของเรา สายฟ้าฟาดผ่าไม่ขาดระยะ ฝนกรดเต็มฟากฟ้า…”

“ทำไมจะไม่รู้ ตอนที่อยู่สำนักธาราโลหิตของพวกเรา เขาเส้าเจ๋อเฟิงเกือบจะพังถล่มลงมาแล้ว!”

ด้วยความรู้ด้านวิถีโอสถของป๋ายเสี่ยวฉุน มีเตาหลอมยาอยู่ในมือ ในถุงเก็บของก็มีทั้งผลึกไฟและพืชหญ้า อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในวิธีการหลอมยาเป็นอย่างดี ไม่นานจึงเริ่มหลอมยาเตาวิเศษเตาที่หนึ่งออกมา

ยาวิเศษนี้ เขาย้อนความทรงจำไปตอนที่หลอมยาอยู่เขาซือเฟิงแล้วเกิดควันที่ทำให้ประสาทหลอน ตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ กัดฟันด้วยความเกรี้ยวกราด ภายใต้การหลอมยาครั้งนี้ หนึ่งวันผ่านไป เตาหลอมยาที่อยู่ด้านหน้าเขาก็เริ่มสั่นไหว มีควันสีดำมากมายหลายเส้นลอยออกมา

มองเห็นควันดำเหล่านี้ ลูกศิษย์สองสำนักที่อยู่ด้านหลังสำลักลมหายใจ พากันกระวนกระวาย ถอยห่างออกไปอีกครั้ง

หรือแม้แต่ในตระกูลเสวียนกวางเองก็ยังมีคนไม่น้อยที่เริ่มประหวั่นใจ พวกเขาเคยได้ยินนามมารโรคห่าของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้จึงยิ่งระแวดระวังสูงสุด จับตามองวิธีการโจมตีที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนนี้เป็นพิเศษ

ผ่านไปอีกครึ่งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าคำรามเสียงดัง มือทั้งคู่ตบลงไปบนเตาหลอม ควันสีดำกลุ่มใหญ่พลันลอยขึ้นมา พอเขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้งมันก็ถูกม้วนตลบให้ปลิวเข้าหาซุ้มประตูของตระกูลเสวียนกวางทันที

ควันดำไม่เข้มข้น หลังจากที่สัมผัสกับม่านแสงของซุ้มประตู ม่านแสงนั้นจึงบิดเบือนอยู่หลายครั้ง แล้วสกัดขวางไว้ได้เกินครึ่ง มีเพียงเส้นเดียวที่ทะลุเข้าไปด้านใน ไม่นานก็สลายหายวับ หมอกควันเส้นเดียวนี้น้อยเกินไป เมื่อเทียบกับตลอดทั้งภูเขาแล้วจึงเรียกได้ว่าน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลุ้มใจก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังออกมาจากในตระกูลเสวียนกวางบนภูเขา

“ไอ้ข้าก็นึกว่านามมารโรคห่าจะร้ายกาจน่าเหลือเชื่อถึงเพียงใด ที่แท้ก็แค่พวกสร้างชื่อเสียงจอมปลอม ป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ตระกูลเสวียนกวางของข้าจะสวามิภักดิ์ต่อสำนักธาราโลหิต แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะมารีดไถได้ตามใจชอบ ตำแหน่งฐานะของเจ้ายังไม่มากพอให้ตระกูลของข้าเปิดประตูต้อนรับ ไสหัวกลับไปซะ เมื่อใดที่เจ้ากลายเป็นนักพรตรวมโอสถแล้วค่อยมา!”

เสียงหัวเราะนี้ไปกระตุ้นอารมณ์เดือดของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้าพรวด จ้องเขม็งไปยังเทือกเขาของตระกูลเสวียนกวาง ดวงตาฉายประกายเฉียบคม

“เส้นเดียวไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งร้อยเส้น หลายร้อยเส้น!” ต่อหน้าคนมากมายที่อยู่ข้างหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่านี่ทำให้ตัวเองขายหน้ายิ่งนัก เวลานี้อารมณ์เดือดพล่านอย่างถึงที่สุด จึงยกมือขวาขึ้นแล้วหลอมยาอีกครั้ง คราวนี้ควันดำมีมากกว่าเดิม แต่กลับไม่ได้ถูกเขาม้วนตลบเข้าไปที่ซุ้มประตูได้โดยตรง แต่เมื่อเขาทำมุทรา แรงผลักแรงดูดจึงทำให้มันกลายมาเป็นลูกแสงทรงกลม

ลูกแสงนี้หลังจากที่ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่สามารถควบคุมพลังฉีกอาภรณ์โดยที่พลังไม่กระจายออกไปด้านนอกจนกลายมาเป็นวงจรหนึ่ง จึงสามารถเรียกมันว่าอาวุธที่นำมาใช้งานได้จริง

เมื่อลูกแสงปรากฏขึ้น เขาก็เอามาบรรจุหมอกควันทันที ไม่นานลูกแสงก็เต็มไปด้วยไอหมอก จากนั้นเขาจึงขว้างออกไปตรงหน้าเจี่ยเลี่ยที่อยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยด้านหลัง

“รับไว้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แม้แต่จะหันมามอง หลอมยาต่อไปท่ามกลางความอกสั่นขวัญหายของเจี่ยเลี่ย ใช้เวลาห้าวัน เขาก็หลอมลูกแสงออกมาได้หลายร้อยลูก

ในลูกแสงทุกลูกต่างก็บรรจุหมอกที่สามารถทำให้เกิดประสาทหลอนเอาไว้ ทุกลูกล้วนถูกโยนให้กับนักพรตสองสำนักที่อยู่ด้านหลังเขา

จนกระทั่งทุกคนต่างถือเอาไว้ในมือคนละลูกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตามีเส้นเลือดฝอยพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังประตูหน้าของตระกูลเสวียนกวาง มือขวายกขึ้นแล้วชี้ไปยังประตูหนึ่งครั้งพร้อมเสียงคำรามกร้าว

“โยนออกไปให้หมด ตระกูลเสวียนกวาง แน่จริงพวกเจ้าก็อย่าโผล่หัวออกมา!” ขณะที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้อง ทุกคนที่อยู่ด้านหลังเขารีบใช้พละกำลังที่มากที่สุดเท่าที่ตัวเองมีโยนลูกแสงที่ทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่หลายวันออกไปทันที

พริบตาเดียวลูกแสงหลายร้อยลูกก็ตรงเข้าหาค่ายกลของซุ้มประตูตระกูลเสวียนกวาง ชั่วพริบตาที่ตกกระทบลงไปเสียงตูมตามพลันดังสนั่นหวั่นไหว ลูกแสงแต่ละลูกหลังจากสัมผัสเข้ากับค่ายกลก็ระเบิดกระจายทันที แรงผลักแรงดูดที่อยู่ด้านในนั้นก่อให้เกิดคลื่นรบกวน ทำให้ค่ายกลบิดเบือน ถูกฉีกออกเป็นรูโหว่รูแล้วรูเล่า

แม้ว่ารูโหว่เหล่านี้จะประสานตัวเข้าหากันทันทีทันใด ทว่าจากการระเบิดออกของลูกแสง หมอกประสาทหลอนที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในจึงเล็ดรอดเข้าไปในค่ายกลได้เป็นจำนวนมาก…

ไม่นานเสียงร้องอุทานด้วยความแตกตื่นก็ดังออกมาจากบนภูเขาอย่างต่อเนื่อง ทว่าเสียงนี้กลับดังติดต่อกันไม่นานก็กลายมาเป็นความเงียบสงบ ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างมองตระกูลเสวียนกวาง คนหลายร้อยคนด้านหลังเขาซึ่งรวมพวกเป่ยหันเลี่ยสามคนเอาไว้ต่างก็ดวงตาลุกเรืองท่ามกลางความลุ้นระทึก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเข้าร่วมการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงค่อนข้างรอคอยผลลัพธ์จากลูกแสงที่ตัวเองโยนออกไปกับมือ

ไม่นานนัก หลังจากผ่านความเงียบในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในเทือกเขา หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระงม เสียงหัวเราะ เสียงคำรามแหบแห้ง และยังมีเสียงมากมายน่าตกใจที่ดังเซ็งแซ่อึกทึก

เพียงแค่เสียงอย่างเดียวก็ทำให้พวกเป่ยหันเลี่ยขนลุกขนพอง นักพรตสองสำนักที่อยู่รอบด้านต่างก็สำลักลมหายใจ โดยเฉพาะลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตที่ยิ่งนึกถึงความน่าสังเวชของเขาซือเฟิง

ในนี้ก็มีคนของเขาซือเฟิงอยู่เช่นกัน เวลานี้ในใจพวกเขาซับซ้อน ทั้งยังมากด้วยการย้อนนึกความทรงจำ

สามวันหลังจากนั้น…ตระกูลเสวียนกวางยอมแพ้อย่างไร้เงื่อนไข เปิดประตูเขาต้อนรับป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังมอบทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลให้ ตอนที่ทุกคนในตระกูลมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็เผยความหวาดกลัวอย่างรุนแรง สามวันนี้คือฝันร้ายที่ชีวิตนี้พวกเขาไม่ยินดีจะย้อนระลึกถึงมันอีก…

ในเกาะเทียนกง นามมารโรคห่า แผ่บารมีออกไป…เป็นครั้งแรก…

ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ นักพรตสองสำนักเหล่านั้นที่อยู่รอบกายเขา กลับกระหายใคร่ในระดับความน่ากลัวของการแผลงฤทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมากจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าลุ่มหลง

ซึ่งแม้แต่เป่ยหันเลี่ย เสินซ่วนจื่อและเจี่ยเลี่ยสามคนก็ยังติดใจอย่างถึงที่สุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนมีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย ทรัพย์สินที่รีดไถมาได้จึงแบ่งสันปันส่วนให้กับทุกคนที่ติดตาม ตอนนี้พอเห็นว่าทุกคนล้วนเห็นด้วยกับการสร้างสรรค์วิธีสำแดงฤทธิ์เดชของตนจึงดีใจขึ้นมาทันควัน ถือโอกาสหลอมยาต่อเนื่อง ทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายเขาต่างก็มีลูกแสงสามลูกห้าลูกคุ้มกันกาย…

ในลูกแสงนี้มีทั้งพลังที่สามารถก่อเกิดเป็นฝนกรด มีทั้งหมอกควันทำให้ประสาทหลอน มีทั้งที่สามารถชักนำให้เกิดฟ้าผ่า มีทั้งสามารถทำให้คนท้องเสียได้ในพริบตา…

ภายใต้กระแสความนิยมนี้ ไม่นานตลอดทั้งกลุ่มก็ได้รับอิทธิพล…จนเปลี่ยนแปลงกันไปหมด ต่อให้เป็นพวกเป่ยหันเลี่ยสามคน ก็ยังถูกชักนำให้ออกนอกลู่นอกทางไปมากโดยที่ไม่รู้ตัว…

เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในสองเดือนนี้ ลูกศิษย์สองสำนักในกลุ่มของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีคนที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตาย โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่ตรวจสอบตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหนึ่ง กลับค้นพบว่าในนั้นมีลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬอยู่หลายคน ทั้งยังมีคนหนึ่งที่ใกล้จะสร้างค่ายกลนำส่งสำเร็จแล้วด้วย

หากค่ายกลก่อตัวสำเร็จก็จะสามารถส่งนักพรตของสำนักธาราทมิฬที่อยู่ในแนวหน้าออกไปสร้างความวุ่นวายให้กับแนวหลัง

ศึกครั้งนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือเองอย่างเหี้ยมหาญ หลังจากโยนลูกแสงจำนวนมากออกไปแล้วก็ฉวยโอกาสที่ศัตรูกำลังอ่อนแอ กลายร่างเป็นทหารกล้าพุ่งเข้าเข่นฆ่าประชิดตัว ทุกที่ที่ผ่าน สร้างความสยดสยอง ศึกเดียวสะเทือนเลือนลั่นปฐพี!

แม้ว่าจะไม่ได้ไปแนวหน้า ทว่าชื่อของเขากลับดุจดั่งดวงอาทิตย์กลางนภาที่แผ่บารมีอันน่าครั่นคร้ามไปทั่วพื้นที่ของแนวหลังแห่งนี้!

โดยเฉพาะศึกครั้งนี้ผู้ที่เลื่องชื่อลือนามไม่ได้มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้น นักพรตสองสำนักข้างกายเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับเรื่องที่อยู่ห่างกันไกลมาก ทว่าเพียงแค่โยนลูกแสงควันพิษออกไปก็ทำให้ทุกคนที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขาเกิดเรื่องราวน่าหวาดกลัวมากมาย และผู้ติดตามทุกคนก็กลายมาเป็นเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนกลายมาเป็นปีศาจร้ายกระหายเลือด ประหัตประหารเข้าไปในกลุ่มศัตรู เหยียดตะลุยทั่วทุกสารทิศด้วยความกำเริบเสิบสาน

ทำให้พวกคนเหล่านี้ยิ่งยึดติด ยิ่งกระตือรือร้นร่วมมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็เริ่มหลงรักวิธีการต่อสู้เช่นนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ

ท่ามกลางความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ภารกิจกวาดล้างลุล่วงไปได้พอสมควรแล้ว และตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ก็ค่อยๆ ห่างไกลจากแนวหลัง เขยิบเข้าไปใกล้ตำแหน่งของแนวหน้า

ลูกศิษย์หลายร้อยคนของสองสำนักที่อยู่รอบด้านของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนราวกับเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ หลังจากติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนออกศึกในสองเดือนนี้ ทุกคนต่างก็เปลี่ยนแปลงไปมาก

ไม่เพียงแต่กระเป๋าของทุกคนที่เต็มล้นไปด้วยของรางวัลจำนวนนับไม่ถ้วนจากการต่อสู้ แม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ยังสนิทสนมกลมกลืนกันมากขึ้น แถมบางครั้งยังมองเห็นนักพรตของสองสำนักพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ปรึกษากันว่าลูกแสงควันพิษสองอันไหนที่รวมกันแล้วทำให้คนย่อยยับได้มากที่สุด หรือแม้แต่ตอนที่ฆ่าศัตรูก็ยังพยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ความปรองดองเช่นนี้ หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่ว่าจะเป็นสำนักธาราโลหิตหรือสำนักธาราเทพต่างก็คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้

ทว่าตอนนี้ กลับบังเกิดขึ้นจริงต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

ต่อให้เป็นพวกเป่ยหันเลี่ยสามคนที่ถึงแม้ภายนอกจะยังคงหัวเราะเย็นชาเป็นประจำ ทว่าความคิดในใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเพิ่มเติมเข้ามา

โดยเฉพาะเป่ยหันเลี่ย เขามองทุกคนที่อยู่รอบด้าน มองกลุ่มนักพรตที่มีทั้งรวมลมปราณและสร้างฐานราก บางครั้งเขาก็รู้สึกงงงันเล็กน้อย เมื่อหลายเดือนก่อน จากนักพรตที่บาดเจ็บของสองสำนักมารวมตัวกัน ตอนนี้…ได้กลายมาเป็นพลังในการสู้รบที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด

พลังในการต่อสู้เช่นนี้ถึงขนาดแข็งแกร่งยิ่งกว่าแนวหน้าของสองสำนักที่ติดอาวุธเพรียบพร้อมซึ่งเขาเคยได้เห็นด้วยซ้ำ โดยเฉพาะวิธีการสู้รบที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังชื่นชอบแบบนั้น เขาเชื่อว่า หากคนเหล่านี้ไปที่แนวหน้า ต้องสามารถทำให้ทุกคน…ตะลึงงันได้อย่างแน่นอน!

และทั้งหมดนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไปเพราะ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!