บทที่ 301 โกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด!
“ตู้เซวี่ยเหมย ไม่ว่าสุดท้ายแล้วศึกครั้งนี้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร ทว่าคราวนี้…เจ้าตายแน่!”
“ฆ่าตู้เซวี่ยเหม่ยบุคคลที่สร้างวิถีดินน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งแบบนี้ก็เหมือนได้ฆ่าอู๋จี๋จื่ออีกคนของสำนักธาราโลหิต!!”
“ตู้เซวี่ยเหมย ตอนนั้นที่เจ้าฆ่าศิษย์น้องของข้า เคยคิดหรือไม่ว่าตัวเองก็จะมีวันนี้!” นักพรตสร้างฐานรากช่วงท้ายสี่คนนั้น มีทั้งคนที่ต้องการสร้างคุณความดีในการรบ มีทั้งที่ต้องการแก้แค้น ต่างก็หมายมาดว่าจะต้องสังหารเซวี่ยเหมยให้ได้
หากเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาอื่น พวกเขาอาจจะยังกังวลทางด้านของอู๋จี๋จื่อ ทว่าตอนนี้สงครามใหญ่ของสำนัก เดิมทีก็ต้องตายกันไปข้างอยู่แล้ว แบบนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับพวกเขา!
เวลานี้เมื่อลงมือจึงโหดเหี้ยมถึงที่สุด ทั้งยังไม่เลือกวิธีการ
เซวี่ยเหมยกระอักเลือด ทั้งในเลือดสดเหล่านั้นยังสามารถมองเห็นเส้นสีดำมากมาย เห็นได้ชัดว่าโดนพิษร้ายแรง สำหรับสำนักธาราทมิฬที่ฮุบกลืนสำนักธาราโอสถไปแล้วเกินครึ่ง ยาพิษ…จึงกลายมาเป็นอาวุธร้ายกาจของพวกเขาเช่นกัน!
เวลานี้นางหัวเราะขมขื่น นัยน์ตาเซวี่ยเหมยเผยความสิ้นหวัง ขณะเดียวกันก็เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่นั่น บิดาของนางกำลังประมือกับบุรพาจารย์ของสำนักธาราทมิฬ เดิมทีก็ไม่สามารถแบ่งเวลามาสนใจนางได้อยู่แล้ว อีกทั้งอังคุฐโลหิตและผู้อาวุโสไท่ซ่างคนอื่นๆ ก็กำลังสู้รบดุเดือด สมรภูมิรบกว้างใหญ่เกินไป จะสามารถสังเกตเห็นทุกคนได้อย่างไร ต่อให้สังเกตเห็นจริง เมื่อถูกศัตรูตัวฉกาจของสำนักธาราทมิฬโรมรันรั้งตัวเอาไว้ ก็ไม่สามารถมาช่วยได้ทันเวลา
และนางก็ไม่ต้องการให้บิดาเสียสมาธิเพราะตัวนางเอง เพียงแต่ว่าท่ามกลางการเปิดศึกอย่างต่อเนื่องหลายเดือนมานี้ อาวุธล้ำค่าบนกายนางได้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ขณะนี้ท่ามกลางความขมปร่า มุมปากของนางมีเลือดสดไหลรินออกมาอีกครั้ง ร่างโซซัดโซเซ เบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือน
“จะต้องตายอยู่ที่นี่แล้วหรือ…” เซวี่ยเหมยตรอมตรม หัวเราะขื่นหนึ่งครั้ง กัดฟันยกมือขึ้นทำมุทราร่ายเวทต่อ สามารถมองเห็นได้ว่าบนหลังมีของนางคล้ายมีรอยแผลเป็นจางๆ อยู่รอยหนึ่ง
จิตสังหารในดวงตาของนักพรตสำนักธาราทมิฬสี่คนนั้นยิ่งเข้มข้น คำรามอู้เข้ามาใกล้อีกครั้ง ทั้งห้าคนต่อสู้โรมรันพันตู เซวี่ยเหมยยิ่งอ่อนแอ ถอยร่นไม่เป็นท่า อีกทั้งบาดแผลบนร่างก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เงามืดแห่งความตายยิ่งเข้มข้น
และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ห่างไปไกลพันจั้ง มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้…
วินาทีที่มองเห็นเซวี่ยเหมย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจหายวาบ และพอมองเห็นวิกฤตที่เซวี่ยเหมยกำลังเผชิญ ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดเสียงดังอื้ออึง บัดนี้ ในสมองของเขาไม่มีความคิดใดอีกแล้ว นอกจาก…
ต้องช่วยเซวี่ยเหมยให้ได้!!
เพียงแต่ว่านักพรตสร้างฐานรากสี่คนนั้นยังถือเป็นเรื่องรอง ระยะห่างระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและเซวี่ยเหมยนั้นไกลถึงพันจั้ง มีหุ่นเชิดของสำนักธาราทมิฬขวางกั้นอยู่มากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะพุ่งตัวไปด้วยความเร็วที่มากที่สุด…เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
นอกเสียจาก เขาจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ ถึงจะสามารถกวาดตะลุยไปแปดทิศ พุ่งเข้าสังหาร…ได้โดยตรง!
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงฉาน เงยหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำรามยาวสั่นคลอนสี่ทิศ
“นักพรตเขาจงเฟิง มา!” หลังจากเสียงคำรามยาว ปีศาจฟ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจำแลงกายกระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ เสียงของเขาดุจดั่งฟ้าผ่า แผ่ขยายครั่นครืนดังสะท้อนออกไปแปดทิศ
เมื่อมันดังออกไป ปราณเลือดเข้มข้นก็พลันระเบิดออกจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ลำแสงสีเลือดที่ก่อเกิดจากปราณเลือดพวยพุ่งเข้าสู่ชั้นเมฆ ทำให้นภากาศสั่นคลอน แม้แต่เหล่าบุรพาจารย์ก็ยังตื่นตะลึง
เวลาเดียวกันนั้น เมื่อปราณเลือดบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ผู้ที่ได้รับอิทธิพลมากที่สุด ก็คือ…นักพรตเขาจงเฟิง เพราะนอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นนายแห่งโลหิตแล้ว เขายังเป็นบุตรโลหิตเขาจงเฟิงด้วย!
บนสนามรบ นักพรตเขาจงเฟิงทุกคนตัวสั่นเยือก มีปราณเลือดเข้มข้นระเบิดออกมา ราวกับต้องการขานรับเสียงคำรามยาวของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งในร่างกายของพวกเขายังมีความวู่วามอย่างหนึ่งพลุ่งพล่าน ต้องการเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน
ความวู่วามนี้ระงับไม่อยู่แม้แต่นิด หากคิดจะยับยั้งมัน ตบะในร่างก็จะไม่มั่นคง หากไม่ยับยั้ง พลังตบะในการสู้รบก็จะไต่ระดับขึ้นสูงต่อเนื่องด้วยความเร็วที่ทำให้ทุกคนปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง
พริบตาเดียวก็มีนักพรตเขาจงเฟิงไม่น้อยสะบัดร่างออกห่างจากเขตที่ตัวเองอยู่ ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานนักพรตสำนักธาราโลหิตที่อยู่บนสมรภูมิแห่งนี้ นักพรตเขาจงเฟิงทุกคนต่างก็พากันบินออกมารวมตัวอยู่ใกล้เคียงกับป๋ายเสี่ยวฉุน!
และปราณเลือดของพวกเขาก็ยิ่งลอยลิ่วขึ้นสูงอยู่ด้านหน้าพวกเขา ดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน วนล้อมรอบร่างปีศาจฟ้า เกาะตัวเข้าด้วยกันต่อเนื่องจนเริ่มมองเห็นเป็นรูปร่างของกระบี่โลหิตหนึ่งเล่มได้เลือนราง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้า ความเร็วระเบิดออกเสียงดังตูมตาม พอเขาถลาออกมา ก็ยิ่งมีนักพรตเขาจงเฟิงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาใกล้ พุ่งออกไปประหัตประหารพร้อมกับเขา
เมื่อมองไกลๆ ปราณเลือดค่อยๆ ก่อตัวกลายมาเป็นกระบี่ และรอบกายปีศาจฟ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อลูกศิษย์เขาจงเฟิงเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็ราวกับมหาสมุทรโลหิต คลื่นลูกยักษ์โหมซัดสาด พลังอำนาจสะท้านฟ้า
ราวกับว่าเวลานี้ร่างปีศาจฟ้าเหยียบอยู่บนมหาสมุทรโลหิต ภายใต้การห้อมล้อมของนักพรตสำนักธาราโลหิตมากมาย จึงเห็นเด่นชัดเป็นพิเศษบนสนามรบแห่งนี้ ห่างออกไปไกล เถี่ยตั้นก็คำรามกร้าว พุ่งถลาเข้ามาหา สัตว์รบหลายตัวต่างก็พากันเคลื่อนพล พื้นดินสั่นไหว นภากาศบิดเบือน
ยังมีนักพรตสำนักธาราเทพจำนวนไม่น้อยที่พอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เลือดร้อนก็เดือดพล่าน เข้ามารวมตัวด้วย ไม่นานนักพรตที่อยู่รอบด้านป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีมากหลายพันคน ดุจดั่งมีดแหลมคมเล่มหนึ่งที่พุ่งทะยานฝ่าออกไปในสนามรบแห่งนี้!
และนี่ยังเป็นเพียงแค่การมองจากในมุมของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…บัดนี้สมรภูมิรบเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงที่สุด แม้แต่บุรพาจารย์ของแต่ละสำนักก็ยังสำลักลมหายใจ
สำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพ แม้ว่าจะปรับตัวเข้าหากันในช่วงต้น แม้จะมีลูกศิษย์บางส่วนที่กลายมาเป็นเพื่อนกัน ทว่าโดยภาพรวมแล้วยังคงแยกตัวกันอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างสู้รบ
พลังในการสู้รบสิบส่วนที่รวมกันของสองสำนัก ในความเป็นจริงแล้วที่ระเบิดออกมาบนสนามรบตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
นี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สำนักธาราทมิฬยังคงกระเสือกกระสนดิ้นรนรอดมาได้ เรื่องนี้เทพโลหิตสองสำนักล้วนเข้าใจดี แต่กลับไม่มีวิธีบีบบังคับให้เปลี่ยนแปลงได้ เพราะยังไงซะเวลาในการรวมตัวกันของสองสำนักใหญ่ยังถือว่าน้อยมากนัก
ทว่าตอนนี้เนื่องจากการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน เนื่องจากการแผดเสียงคำรามยาวของเขา เนื่องจากปราณเลือดบนร่างเขาที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า ทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนแปลงไปทันที!!
สถานที่ที่เขาอยู่ พลังการรบของสำนักธาราโลหิตเพิ่มพูน สัตว์รบของสำนักธาราเทพถูกกระตุ้นเร้าให้ฮึกเหิม ยิ่งยินดีติดตามอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน เพื่อสู้ศึกอย่างเต็มกำลัง
และตอนนี้ ภายใต้การระเบิดโทสะของเขา นักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่บนสนามรบ พลังในการต่อสู้ของพวกเขาต่างก็ทวีคูณขึ้นอย่างบ้าคลั่ง การเพิ่มพูนนี้ ไม่แบ่งตบะ ล่างถึงศิษย์ฝ่ายนอก บนถึงบุรพาจารย์ ทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน!
สามารถพูดได้ว่าพลังการสู้รบของตลอดทั้งสำนักธาราโลหิต พริบตาเดียว…ก็ขยายมากขึ้นถึงสามส่วน สร้างความเด่นชัดอย่างถึงที่สุดบนสนามรบแห่งนี้ ทำให้สำนักธาราโลหิตพากันสูดลมหายใจเฮือกๆ ขณะเดียวกันสำนักธาราเทพเองถึงแม้จะไม่ได้มีพลังเพิ่มขึ้น ทว่ามองเห็นความบ้าคลั่งของสำนักธาราโลหิต พวกเขาเองก็พากันระเบิดความสามารถทั้งหมดที่มี เมื่อมารวมตัวกันจึงก่อเกิดเป็นอานุภาพทำลายล้าง!
โดยเฉพาะจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในตอนนี้ที่เปล่งประกายแวววับจับตาอย่างถึงที่สุด นักพรตที่พุ่งเข้ามารวมตัวอยู่ข้างกายเขาจึงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลายพันคนก่อนหน้านั้น กลายมาเป็นนับหมื่นคนแล้ว!
ในบรรดาคนเหล่านี้ ที่มีมากที่สุดคือนักพรตของสำนักธาราโลหิต เพราะเมื่ออยู่ใกล้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ก็ดูเหมือนว่ายิ่งเข้าใกล้ การแสดงออกถึงความสามารถในการใช้เวทคาถาของพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง!
บนสนามรบแห่งนี้ วิธีรักษาชีวิตรอดอาจมีอยู่เยอะมากก็จริง ทว่าความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเองก็คือหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นดั่งกาวประสาน ผูกติดสำนักธาราโลหิตด้วยปราณเลือดของเขา ผูกติดสำนักธาราเทพด้วยความรู้สึกของเขา แนบประสานสองสำนักเข้าด้วยกัน ซึ่งนี่คือจุดที่เด่นชัดเป็นพิเศษบนสนามรบแห่งนี้
สำนักธาราเทพ สำนักธาราโลหิต และสำนักธาราทมิฬที่พวกเขากำลังประมือมือด้วย บุรพาจารย์หลายคนเวลานี้ล้วนจิตใจสั่นสะท้าน ต่อให้เป็นพวกนักพรตสำนักธาราทมิฬส่วนที่เฝ้าอยู่แต่ในเมืองคูน้ำไม่ยอมออกมาก็ยังสะท้านสะเทือนไปกับภาพเหตุการณ์นี้
“เขา…ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน?!”
“คนผู้นี้แหละ…ที่สร้างสงครามครั้งนี้ขึ้นมา!!”
“บุรพาจารย์พันหน้าเคยบอกไว้ว่า หากป๋ายเสี่ยวฉุนตาย สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตก็จะล่มสลายไปเอง!!”
ขณะที่ทุกคนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงดูดเอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนพาพลังอำนาจและนักพรตนับหมื่นรอบด้านบุกบันออกไป ทุกที่ที่ผ่าน นักพรตสำนักธาราทมิฬทุกคนที่มองเห็น ไม่มีใครไม่ใจแกว่ง เลือกที่จะถอยหลบโดยไม่รู้ตัว ระยะห่างนับพันจั้งกับเซวี่ยเหมย ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจกลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนร่นระยะให้สั้นอย่างถึงที่สุด!
และเบื้องหลังของเขา จากการรวมตัวกันของทุกคน ปราณเลือดยิ่งเพิ่มมากขึ้น เค้าโครงร่างของกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งจึงได้ก่อตัวสำเร็จอย่างรวดเร็ว!
เซวี่ยเหมยเองก็ได้ยินเสียงครึกโครมด้านหลังเช่นกัน สัมผัสได้ว่าบัดนี้ตบะในร่างกายกลับฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วน แม้แต่พลังในการสู้รบก็ยังเพิ่มสูงอีกไม่น้อย พอจะฝืนประมือกับนักพรตสร้างฐานรากสำนักธาราทมิฬทั้งสี่คนนั้นได้บ้าง ส่วนนักพรตสร้างฐานรากสี่คนนั้นเวลานี้ก็ล้วนตื่นตะลึง พวกเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเซวี่ยเหมยและป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้หลังจากหันมามองหน้ากัน ต่างก็พากันกัดฟันกรอด ทุกคนร่ายเวทไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ต้องการกำจัดเซวี่ยเหมยให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปลายคมดาบของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้
คนผู้หนึ่งทำมุทราแล้วกลายร่างเป็นมังกรดำตัวหนึ่ง และยังมีอีกคนหนึ่งที่ร่างพร่าเลือน แยกร่างเดินออกมา อีกสองคนต่างก็หยิบเอาอาวุธวิเศษของใครของมัน แบ่งออกเป็นเชือกหนึ่งเส้น และเทียนสีดำหนึ่งเล่ม!
“ตู้เซวี่ยเหมย ตายซะเถอะ!!”
มังกรดำคำราม พุ่งพรวดออกมาในพริบตาเดียว ร่างจำแลงตามมาด้านหลัง มือที่ถือกระบี่เล่มยักษ์ตวัดฟัน ทั้งยังมีเชือกที่ตรึงอยู่รอบด้านซึ่งปล่อยปราณคมกริบ สุดท้ายคือเทียนเล่มนั้นที่ลุกไหม้ด้วยตัวเอง ปล่อยเส้นควันคมประดุจใบมีด เข้ามาใกล้อย่างฉับพลัน
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เซวี่ยเหมยกระอักเลือด ถูกมังกรดำตัวนั้นรัดพันไปทั่วร่าง เมื่อถอยร่น ร่างจำแลงพลันเข้ามาใกล้ เซวี่ยเหมยทำมุทรา ไม่สนว่าต้องถูกพลังโจมตีกลับ มือขวายกขึ้นชี้ ตราประทับรูปดอกเหมยปรากฏขึ้นเลือนราง ปะทะเข้ากับร่างจำแลงนั้น เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างจำแลกแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ทว่าร่างของนางก็ราวกับว่าวที่สายป่านขาดสะบั้น ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างแรง
เวลานี้เชือกพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ควันเทียนแฝงไว้ด้วยไอสังหาร พริบตาเดียวก็อยู่ห่างจากนางไม่ถึงสามจั้ง!
เซวี่ยเหมยยิ้มอย่างเศร้าสลด เบื้องหน้าพร่ามัว ราวกับว่าเวลาเคลื่อนช้าลง นางนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย…ทันใดนั้นนางพลันได้ยินเสียงคำรามเดือดดาลที่แฝงไว้ด้วยความขุ่นแค้นและร้อนใจดังลอยมาแว่วๆ
เมื่อเสียงคำรามแค้นเคืองดังออกมา ร่างปีศาจฟ้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระโดดผลุงขึ้นจากจุดที่ห่างไปไกล เขามองเห็นวิกฤตความตายที่เซวี่ยเหมยต้องเผชิญในตอนนี้ มือขวาพลันยกขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว เอื้อมมือออกไปคว้าด้ามกระบี่ยักษ์โลหิตที่ก่อตัวสำเร็จแล้ว เหวี่ยงตวัดมาด้านหน้า หันไปทางนักพรตสร้างฐานรากสี่คนที่เวลานี้ใบหน้าชั่วร้ายหมายปลิดชีพเซวี่ยเหมย แล้วฟันฉับลงไป…อย่างเหี้ยมเกรียม!!
“ตาย!!”